อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ หรือปล่อยรู้ไปตามธรรมชาติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 14 พฤศจิกายน 2010.

  1. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ท่านพ่อลี ท่านสอนการเจริญอาณาปาฯ ให้รู้แจ้งชัดในกองลม
    รู้ลักษณะของลมทั้งหลาย คือ ทั้งลมหยาบ ลมละเอียด ฯลฯ

    การดูลมหายใจ ขณะที่ลมหายใจของเรา เข้า-ออก ในร่างกาย
    เพื่อกระจายลมไปยังจุดต่างๆของร่างกายเรา
    หาฐานจุดสงบของลมหายใจของเรา ปรับลมหายใจให้สบาย
    จนจิตเราสงบระงับจากเวทนา กายเบา จิตเบา
    เราจะรู้ชัดในกองลม....ประโยชน์ของลม เป็นปัจจัตตัง


    สำหรับคนมีจริตโมหะจริต
    พึงระวังการตกภวังค์ในสมาธิ หลับในสมาธิ
    ควรเจริญภาวนาดังที่ได้ยกมาข้างต้น....
    เจริญสติสัมปัชญะให้มาก เพื่อระงับนิวรณ์


    สำหรับคนมีจริตวิตกจริต
    ควรเจริญภาวนาดังที่ได้ยกมาข้างต้น....
    เนื่องจากเป็นคนมีนิสัยช่างคิด วิตกกังวลขี้สงสัย
    เจริญสมาธิให้มาก ทำจิตใจให้มีความสงบ เพื่อระงับความคิดฟุ้งซ่าน
    ตั้งจิตให้ตั้งมั่น ไม่สอดส่ายไปทางอื่น นอกจากกำหนดลมหายใจของตน
    รู้ลมหายใจของตน รู้จิตใจของตน...
     
  2. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือของ ท่านพ่อลี เรื่องอานาปาฯ ..........

    มีก็แต่ว่า กำหนดลมเข้าแล้วออกให้ทั่วรูขุมขน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

    พอกายเบาจิตเบา ตัวก็ลอย ไม่ทราบว่าเป็นแบบที่ ท่านพ่อลี สอนไหมครับ
     
  3. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    เป็นแบบที่ ท่านพ่อลี สอนครับ
    เป็นอาการของการเกิดปิติ ในสมาธิ
    บางคนรู้สึกตัวลอย บางคนเกิดปิติน้ำตาไหล บางคนรู้สึกตัวเองขยายใหญ่
    บางคนเห็นลมละเอียด บางคนเห็นลมกระจายไปตามขุมขน
    บางครั้งรู้สึกตนเองเสมือนตนเองไม่ได้หายใจ บางคนสมาูิธิดิ่งกายและจิตหายไปไม่มีตัวตน
    บางคนเกิดอุคนิมิตต่างๆ เห็นนิมิตรเป็นลำแสงสว่าง บางคนระลึกชาติ
    เป็นปัจจัตตัง ของแต่ละบุคคลครับ

    ขอเจริญยิ่งขึ้นในธรรมปฏิบัติ สาธุ
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    กิเลสก็กลัวตายเหมือนกัน

    เห็นจะเป็นอย่างแรกซะมากกว่าคับ
     
  5. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    <link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Ccom%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:AngsanaUPC; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:222; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65536 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> ถ้าลุงจะมาให้ definition ภายหลัง ว่าตามลมของลุงหมายถึงอย่างนี้อย่างนี้
    แล้วตอนลุงกดปุ่มไม่เห็นด้วยในข้อความของผม
    ทำไมให้ definition ของลุงก่อนล่ะครับ
    อย่างนี้จะให้มองว่าลุงมีเจตนาอะไรล่ะครับ
    เอานะคราวนี้ตามลมของลุงเป็นแบบไหนบอกผมมาแล้วกัน


    การดูลมหายใจถ้าเป็นการตามลมอย่างที่ผมคิดว่าลุงเข้าใจผิดนี่นะครับ<o></o>
    คือลุงเข้าใจว่าต้องรู้ลมแต่ละจุดเคลื่อนไปตามฐานของลมตามลำดับ
    เหมือนการตรวจระบบทางเดินอาหารด้วยกล้อง
    ที่ส่องเข้าไปดูตามระบบทางเดินอาหารใช่มั้ยครับ
    การดูลมแบบนี้ทำให้ฟั่นเฝือ<o></o><o></o>

    ส่วนการดูลมหายใจที่เห็นทั้ง 3 ฐาน อย่างในตำราวิสุทธิมรรค<o></o>

    ท่านให้ดูโดยตลอดทั่วถึง ทั้งหมด<o></o>
    เหมือนการตรวจดูระบบทางเดินอาหารด้วยการกลืนแป้ง<o></o>
    แล้วไปถ่ายเอกซเรย์ ก็จะเห็นโดยตลอดทั่วถึงในระบบทางเดินอาหาร<o></o>
    <o></o>
    การตามลมของลุงตามแบบการส่องกล้องนี้ผิดครับ<o></o>
    ทำให้รู้ลมตลอดทั่วถึงไม่ได้ รู้ได้เป็นจุดที่กำหนดว่าลมอยู่เท่านั้น<o></o>
    และจุดที่กำหนดนี้จะเคลื่อนไปเรื่อย ๆ<o></o>
    วิธีนี้ทำให้ฟั่นเฝือสับสน ยุ่งเหยิงครับ จับผิดจับถูก<o></o>
    ดีไม่ดีหายใจออกคิดว่าหายใจเข้า หายใจเข้าคิดว่าหายใจออก<o></o>
    <o></o>
    เพราะฉะนั้นการดูลมทั้งกองที่ถูกต้อง<o></o>
    ต้องถอยออกมาดูครับ ดูเหมือนถ่ายเอกซเรย์ นั่นแหละครับ<o></o>
    จะเห็นฐานของลมพร้อมกัน และจุดของลมที่สัมผัสไปเป็นระยะ ระยะ ไปครับ<o></o>
    นี่จึงจะเห็นกองลมได้โดยตลอดทั่วถึง<o></o>
    <o></o>
    ถ้าตามลมแบบของลุง ก็จะอยู่เฉพาะจุดที่กำหนดเฉพาะอยู่เท่านั้นครับ<o></o>
    ไม่ตลอดทั่วถึงในกองลม[FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้าที่ผมปฏิบัติอยู่นั้นเดิมทีก็หายใจแล้วรู้ว่าลมเข้าที่ปลายจมูกและสุดที่ท้องน้อย ไประยะหนึ่ง ผมหาระดับของการหายใจว่าแบบไหนมันทำให้ผมรู้ว่าจากจมูกสู่ท้องน้อยนั้นรู้ได้ชัดเจนที่สุด มันจะมีอยู่แบบหนึ่งคือแบบไม่แรงมากและไม่เร็วมาก ไม่รู้ว่าเป็นฐานหรือไม่ประการใดแต่รู้ว่า ผ่านจากจุดไหนถึงจุดไหน คือรู้ว่าผ่านเป็นแนวตลอดตั้งแต่จมูกไปสู่ท้องน้อยทั้งไปทั้งกลับออกสู่ปลายจมูก พอทำไปทำไปสักพัก มันก็กลายเป็นลมกระจายออกสู่ร่างกายผ่านจมูกสู่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าทั่วทั้งร่างกาย และพอทำไปนานๆเข้าก็เป็นสัมผัสได้เวลาหายใจเข้าออกไปตามผิวหนังและขุมขนตั้งแต่ปลายเส้นผมถึงปลายขนในร่างกายพอหลังจากนี้มันก็ว่างจาก จากสิ่งต่างๆคล้ายคนไม่มีสติเพราะไม่มีตำแหน่งของความรู้สึกของการเคลื่อนที่ของลม เหมือนไม่มีลม แต่รู้ว่ายังไม่ตาย แต่ก่อนหน้านั้นกายมันจะโยกไหวไปมาเหมือนคนกำลังจะหลับแต่ไม่ใช่และได้ยินเสียงบางอย่างอย่างต่อเนื่องอยู่ในโสตประสาทบางครั้งก็มีความรุ้สึกว่าแสบแก้วหูอย่างมากบางทีก็ดังปิ้งเหมือนแก้วหูจะแตก แต่ดังนานอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นจะต้องลืมตามาออกจากสมาธิมาดูด้วยความสงสัยว่าเสียงอะไรพอลืมตามาเสียงนั้นก็เบาลงบางครั้งก็หายไป และที่ว่าโยกๆเหมือนร่วงลงพื้นนั้นพอลืมตามากลับพบว่ายังนั่งอยู่อย่างเดิม จึงแน่ใจว่านั่นไม่ใช่หลับแน่นอน และหลังจากผ่านจุดเหล่านั้นไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหลือให้หาที่ไว้เลย แต่ครั้งแรกที่เป็นตกใจมากๆ นึกว่าตนเองนั้นตายไปแล้วสะดุ้งโย่งขึ้นมาอย่างแรง ทุรนทุรายตกกระใจน้ำตาไหล นึกว่าตายจริงๆ ทำไปทำมาก็เป็นแบบนั้นมาตลอดไม่ได้ออกพิจารณาอะไร คือพอรู้ว่า นั่นคือความสงบ ก็เอาไว้อย่างนั้น ไม่ได้ทำอะไรต่อไป บางครั้งในขณะทำสิ่งต่างๆก็เกิดเสียงในโสตประสาทเป็นเสียงยาวอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา เข้าใจว่ามันก็เป็นสมาธิในระดับหนึ่ง อย่างนี้พอเป็นแนวทางฝึกตนเองได้ต่อไปไหมครับ
    ท่านอโศช่วยชี้แนะด้วยครับ
     
  7. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ตอบ คุณ kengkenny

    เริ่มจาก.....คุณเก่งปฏิบัติอยู่นั้น....
    กำหนดลมหายใจ ลมเข้าที่ปลายจมูกผ่านเป็นแนวตลอด...ไปสู่ท้องน้อย
    ทั้งไปทั้งกลับออกสู่ปลายจมูก จนลมกระจายออกสู่ร่างกาย
    ผ่านปลายจมูกสู่ปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าทั่วทั้งร่างกาย
    เป็นการปรับสมดุลย์ของลม....รู้แจ้งชัดในกองลม
    ทั้งลมหายใจเข้า-ออก ภายในร่างกาย
    รู้ทั้งลมหยาบ ลมละเอียด ฯลฯ
    กระจายลมไปยังจุดต่างๆของร่างกาย
    จนลมหายใจละเอียดกระจายไปตามผิวหนังและขุมขน
    ตั้งแต่ปลายเส้นผมถึงปลายขนในร่างกาย

    ถูกต้องทั้งหมด....

    ปัญหาอยู่ที่....
    ขณะที่รู้สึกว่า...ร่างกายตนเองมันจะโยกไหวไปมาเหมือนคนกำลังจะหลับแต่ไม่ได้หลับ
    คล้ายคนไม่มีสติ เพราะไม่มีตำแหน่งของความรู้สึกของการเคลื่อนที่ของลม
    เหมือนไม่มีลม แต่รู้ว่ายังไม่ตาย...
    มีความรู้สึกรับรู้ ทั้งได้ยิน เสียงบางอย่างอย่างต่อเนื่องอยู่ในโสตประสาท
    บางครั้งก็มีความรุ้สึกว่าแสบแก้วหูอย่างมาก บางทีก็ดังปิ้งเหมือนแก้วหูจะแตก
    แต่ดังนานอย่างต่อเนื่อง....
    พอหลังจากนี้มันก็ว่าง....จากสิ่งต่างๆ

    คำตอบ....
    จิตตกสู่ภวังค์ ขณะจิตกำลังจะรวม
    สติตามไม่ทัน ทำให้ตกใจกลัวในสิ่งที่ปรากฏ...ในปรากฏการณ์สมาธิขณะนั้น
    ทั้งที่บางครั้งมีความรู้สึกเสียงดังเหมือนแก้วหูจะแตก...
    โสตประสาททางหูดับ เนื่องจากจิตกำลังจะวางกาย

    บางครั้งนึกว่าตนเองนั้นตายไปแล้วสะดุ้งขึ้นมาอย่างแรง...จนทุรนทุรายตกใจน้ำตาไหล
    จิตขณะนั้น...จะมีความกลัว สะดุ้ง ไม่ตั้งมั่นหวั่นไหวไปตาม ในสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น

    เนื่องมาจากสติไม่แนบแน่นกับจิต จิต
    หวาดหวั่นเกรงในสิ่งที่เกิดขณะนั้น...
    สงสัยไม่ทราบในสิ่งที่ปรากฏ...มันคืออะไร
    จึงทำให้ลืมตา...น่าเสียดาย...ทำให้จิตถอนจากสมาธิ
    ทั้งๆที่ จิตกำลังจะรวม หยั่งสู่ความสงบอันละเอียดตามลำดับ
    ทีหลังห้ามลืมตา
    ถอนจากสมาธิ เด็ดขาด


    วิธีแก้ไข....

    กำหนดรู้ในกองลมเท่านั้น จนลมหายใจละเอียดตามลำดับ
    เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบอย่างแนบแน่น...สติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
    จะเกิดอะไรขึ้น....ในปรากฏการสมาธิขณะนั้น
    อย่าตกใจกลัวหรือสงสัยในสิ่งที่ปรากฏ...เด็ดขาด

    กำหนดจิตให้อยู่กับผู้รู้ วางเฉย...เป็นอุเบกขา
    รักษาจิตให้นิ่ง ไม่เคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ถอยไปข้างหลัง ไม่หลงในความว่าง
    สติกับจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แนบแน่นกับสมาธิ
    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เป็นปรากฏการณ์ในสมาธิเท่านั้น
    รักษาความตั้งมั่นของจิต อย่าส่งจิตออกนอก รู้อยู่่ที่รู้...ในปัจจุบัน

    ที่สำคัญ...อย่ากลัวตาย ธรรมะอยู่ฟากตาย
    เป็นเพียงนิมิต มาขัดขวางเท่านั้น...
    เมื่อจิตเข้าสู่ฐานความสงบอย่างเต็มที่
    จะหายสงสัย....ในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2010
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กราบขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงและอนุโมทนากับธรรมทานนี้ครับ
     
  9. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    อนุโมทนาด้วยครับ
    สำหรับผมหากจะอาศัยลมหายใจ จะเริ่มการนับลมหายใจ เป็นเครื่องรวมจิต รวมความคิดไม่ให้สัดส่าย ให้จิตมาอยู่กับการนับลมหายใจ
    จนจิตจับที่จุดใดจุดหนึ่งเด่นชัด รู้อยู่ที่ลมหายใจกระทบที่จุดใดจุดหนึ่ง เช่นปลาย โพรงจมูก รู้ชัดอยู่อย่างนั้น จากนั้นจะเริ่มมีอาการต่างๆเข้ามา(สัดส่าย วูบวาบ ขนลุก เสียง แสง โยก ฯ) ผมจะไม่เอาทั้งหมด เอาแต่ตัวที่รู้นั้นไว้ แล้วใช้ตัวที่รู้นั้นพิจารณาต่างๆ ตามกำลัง
    อย่างนี้มีคำแนะนำอย่างไรบ้างครับ
     
  10. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ขอบคุณมากครับ....
    อาการปิติที่ท่านอโศ อธิบายมานั้น แต่ก่อนผมก็ผ่านมาทั้งหมดที่กล่าว แต่
    เป็นแบบควบคุมมันยังไม่ได้(ไม่ชำนาญมาก)แล้วแต่ว่าจะเกิดก็เกิดมาเองแบบไหน

    ผมรบกวน ท่านอโศ ช่วยอธิบายเพิ่มจาก ปิติ ที่หายไปเมื่อเข้าฌานที่สาม ด้วยครับ
    หรือจะไล่ตั้งแต่ ฌาน1 เข้า ฌาน2 ก่อนก็ได้ครับ ขอบคุณครับ........
     
  11. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ตอบ คุณรู้รู้ไป
    เริ่มจาก.....คุณปฏิบัติอยู่นั้น....

    กำหนดลมหายใจ โดยนับลมหายใจ เป็นเครื่องรวมจิต
    ไม่ให้ความคิดสัดส่าย ให้จิตจดจ่อมาอยู่กับการนับลมหายใจ
    จนจิตจับที่จุดใดจุดหนึ่งเด่นชัด รู้อยู่ที่ลมหายใจกระทบที่จุดใดจุดหนึ่ง
    เช่นปลาย โพรงจมูก รู้ชัดอยู่อย่างนั้น....เป็นฐานที่ตั้งของจิต

    จากนั้นเริ่มมีปรากฏการณ์สมาธิ มีอาการปืติต่างๆ
    เช่น สัดส่าย วูบวาบ ขนลุก เสียง แสง โยก ฯลฯ
    กำหนดตัวที่รู้ โดยใช้ตัวที่รู้นั้นพิจารณาต่างๆ ตามกำลัง

    ขอแนะนำ ดังนี้
    ช่วงที่คุณมีปรากฏการณ์สมาธิ มีอาการปีติต่างๆ ผ่านปิติไปได้
    โดยจิตกำหนดผู้รู้ ขณะนั้นจิตและสติจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    จิตจะมีกำลังสมาธิมากขึ้นตามลำดับ จิตดื่มด่ำกับความสงบละเอียดตามลำดับ
    ให้จิตนั้นอยู่ในสมาธิขั้นนั้นอย่างเต็มที่...
    อย่าบังคับหรือถอนจิตเด็ดขาดให้จิตถอนจากสมาธิเอง
    จนจิตค่อยๆ ถอนจากความสงบทีละน้อยๆ....

    จากนั้นจึงเริ่มพิจารณา กาย เพื่อถอดถอนอุปทาน...ตามลำดับ
    อวัยวะส่วนไหนตรงไหนชัดเจนที่สุด พิจารณาทบทวนจุดนั้นให้กระจ่างแจ้งชัด
    ทำบ่อยๆ เป็นวสี จนชำนาญ...พลิกแพลงได้ด้วยอุบายปัญญา
    จนจิตอิ่มพอในการพิจารณา...จึงเริ่มเข้าสู่สมาธิเพื่อพักให้จิตมีกำลังอีกครั้ง
    จากนั้น...เมื่อถอนออกจากสมาธิแล้ว พิจารณาข้อธรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด
     
  12. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ตอบ คุณอวตาร.

    อาการปิติทั้งหลายนั้น ไม่ต้องไปควบคุมบังคับมัน
    ปืติจะเกิดหรือดับ อย่าเอาใจไปเกี่ยวข้อง ให้มันเกิดดับเอง
    เพราะปิติก็อยู่ในกฏพระไตรลักษณ์ มีเกิดก็มีดับเป็นธรรมดา

    กำหนดจิตอยู่กับผู้รู้ ให้สติแนบแน่นกับจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปรากฏการณ์สมาธิ... อย่าเอาใจไปเกี่ยวข้อง
    จิตอยู่กับผู้รู้ เป็้น
    ผู้ดู ไม่ใช่ผู้แสดง... อย่าส่งจิตออกไปจากฐานของจิตเด็ดขาด
    เอาแต่...รู้อยู่ภายใน สติกับจิต เท่านั้น

     
  13. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    จิตอยู่กับผู้รู้ เป็้นผู้ดู............
    ดู อะไรบ้างครับ เช่น ถ้าจิตคิดฟุ้งซ่านคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตัวเราดูความคิดได้ไหม หรือ
    ต้องพยายามให้ความคิดดับลง เพื่อให้เป็นสมาธิ แต่ว่าถ้าดูความคิดนั้นอยู่ด้วย"จิต"นับเป็นสมาธิไหมครับ
    แล้วถ้าสมมติว่า ผมแยกจิตออกเป็น 3 จิต แล้ว ดู พร้อมๆกัน
    จิตหนึ่งไป ดู ความคิด
    จิตที่สองไป ดู ลมหายใจ
    จิตที่สามไป ดู เวทนาในขณะนั้น
    โดยแต่ละจิต ต่างมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่หวั่นไหวไปกับ จิตตัวอื่น อย่างนี้
    ไม่ทราบว่าจะทำได้ไหม หรือต้องทำทีละ จิต ดู ทีละอย่าง
    ขอบคุณครับ
     
  14. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ถ้าจิตคิดฟุ้งซ่านคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ควรเอาจิตไปดูความคิด... เวทนา
    เพราะคุณกำลังปฏิบัติภาวนาทำกรรมฐาน ดูลมหายใจ คุณจะไปดูความคิดทำไม...
    จับกรรมฐานกองใด ทำเพียงกรรมฐานกองนั้น เพียงหนึ่งเดียว

    ถ้าดูความคิดไปด้วย ดูลมหายใจไปด้วย....
    จิตคุณจะไม่เป็นสมาธิ มีแต่ฟุ้งซ่านด้วยความคิดปรุงแต่งตามสังขารสมุทัย
    จนเมื่อเกิดเวทนา จิตไปเกาะยึดเวทนา ความคิดปรุงแต่งจะกัดกร่อนจิตใจคุณ
    เพราะจิตยังไม่เป็นสมาธิแนบแน่น สติกับจิตยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    เรื่องการ แยกจิต แยกกาย แยกเวทนา เป็นมรรคสมังคี
    ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะทำในขณะนี้ แต่อย่างใด...หากฝืนทำไปจะเป็นสัญญาเท่านั้น
    หากสติและจิตยังไม่แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ไม่ต้องพยายามให้ความคิดดับลง เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
    เพราะความคิดจะดับลงได้ ด้วยจิตคุณไม่ไปจดจ่อดูความคิด
    แต่จิตพิจารณาหยั่งลงสู่ความสงบด้วยอุบายปัญญา...โดยจิตยอมรับดุษฎี
    จนจิตใจสงบด้วยอุบายปัญญา...
    เป็นเรื่องปัญญาอบรมสมาธิ

    ไม่ใช่เอาจิตดูความคิด....
    แต่จิตพิจารณาเห็น
    คุณและโทษของความคิดที่เป็นฝ่ายปรุงแต่งสังขาร


    เมื่อถึงคราวทำความสงบ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
    อุบายเพื่อให้จิตสงบนั้น มีหลายวิธี ทั้ง คำบริกรรม ดูลมหายใจ ฯลฯ
    แล้วแต่ความเหมาะสมตามจริตนิสัยของบุคคลนั้น

    แต่
    เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว อุบายปัญญาเพิ่อให้จิตพิจารณานั้น
    เมื่อให้จิตนั้น นำประโยชน์จากกำลังสมาธิมาส่งเสริมปัญญา

    แต่บางบุคคลนั้น ทำจิตให้สงบยาก เนื่องจากเป็นคนช่างคิดพิจารณาไม่หยุด
    ท่านจึงใช้ อุบายปัญญา โดยเอาคิดมาพิจารณาหาเหตหาผล
    จนจิตแลเห็นโทษความคิดที่ปรุงแต่งสังขาร
    จิตจะค่อยๆ ยอมรับ ไม่ส่งจิตไปยึดปรุงแต่งไปตามความคิด
    จนกระทั่งจิตสงบ...นี่เรีียกว่า
    ปัญญาอบรมสมาธิ
    แต่ปัญญาโลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2010
  15. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ใช้ลมเป็นเครื่องช่วยหนึ่ง ให้ถึงซึ่งปัญญา
    ปัญญาซึ่ง เข้าถึงความเป็นจริงแห่งโลก แห่งธรรม
    ที่แท้ คือปัญญา หนทางได้มา ตามแต่ตามหา ด้วยสมาธิวิปัสนาเป็นกำลัง

    อนุโมทนาครับ
     
  16. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อย่างนี้ผิดครับ
    ต้อง....

    จิต 1
    ลมหายใจ 1
    สติ 1

    อย่างนี้ครับ

    เป้าหมายของการภาวนา
    คือ จิต ลมหายใจ สติ รวมกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน
    เป็น เอกคัตตา
     
  17. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ผมสมมติว่า ผมแยกจิตออกเป็น 3 จิต

    แต่ถึงไม่สมมติ ผมก็แยกออกมาแล้วทำให้แต่ละจิตเป็น เอกคัตตาได้

    ผมจึงได้ถามว่าจะดีไหมถ้าทำ ทั้งๆที่ทุกจิตล้วนเป็นฌานสี่ใช้งาน
     
  18. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    หายสงสัย คือ คำตอบ
    ถ้ายังไม่รู้แจ้งชัด....เป็นปัตจัตตัง ด้วยตนเอง
    ยังสงสัย ยังลังเล.....เป็นวิกิจฉา

    คุณกลับไปค้นคว้าพิจารณาทบทวน...จะรู้คำตอบด้วยตนเอง
     
  19. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ผมตอบคุณ เตชพโล ครับ ส่วนที่ผมถาม ท่าน อโศ นั้นตามที่ท่านตอบมานั่นแหละครับ
     
  20. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    เดียวลองดูครับ ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...