แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    เรื่องเล่า ขำๆ จาก พระ



    พระนอนไม่หลับ เลยไปหาหมอใหม่จบมาจากเมืองนอก


    หมอ: เป็นอะไรครับ
    พระ : จำวัดไม่ได้จ๊ะโยมหมอ

    หมอ: (ทำหน้างง) แล้วจะกลับวัดยังไง
    พระ: (ทำหน้างงด้วย) มามอไซด์รับจ้างก็ต้องกลับมอไซด์นะโยม

    หมอ: (ทำหน้าง๊งงง) แล้วมอไซด์รับจ้างจำวัดได้เหรอ
    พระ: (ทำหน้าง๊งงงด้วย) มอไซด์รับจ้างจำวัดไม่ได้หรอกโยม มีแต่พระที่จำวัดได้

    หมอ: (ทำหน้างงง๊งงง) อ้าวไหนบอกว่าจำวัดไม่ได้ไง
    พระ : !\=-+#@ %^&*( +๐"ฯ, ?

    จำวัดเป็นภาษาพระแปลว่านอน.........................
    หมอ: อ๋ออออออออออออออออออออออออออ
     
  2. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณอากทมครับ

    ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณอาเขียนถึงผลในด้านลบของไสยศาสตร์เป็นวิทยาทานให้ลูกๆหลานๆได้เรียนรู้เป็นวิทยาทานบ้าง หลายๆคนจะอ่านและได้ยินแต่ผลในเชิงบวกหรือด้านดีอย่างเดียว บางคนเลยหลงไปทางนี้กว่าจะรู้ตัวก็หาทางแก้แทบไม่ได้หรือแก้ไม่ได้ก็มี

    ผมเคยมีรุ่นน้องคนหนึ่ง ชอบทางไสยศาสตร์มาก เขาเคยให้เพื่อนเอาน้ำมันเสน่ห์ไปใช้กับสาวที่ชอบ และได้ผลจริงๆ ใหม่ๆเพื่อนเขาก็ดีใจมาก แต่นานๆไปผู้หญิงที่เขาเคยรักมีสภาพเปลี่ยนไปในด้านลบอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนละคน ส่วนตัวเองชีวิตก็ตกต่ำเพราะน้ำมันเสน่ห์ผีซึมเข้าตัว เลยกลับไปขอให้รุ่นน้องผมช่วย รุ่นน้องผมก็ทำเป็นแต่แก้ไม่เป็น ก็มาขอให้ผมหาทางช่วยอีกแรงหนึ่ง ... ทุกวันนี้รุ่นน้องคนนี้ตั้งสำนักไสยศาสตร์เป็นที่รู้จักพอสมควรทั้งคนไทยและต่างชาติ

    ยังมีอีกหลายๆเหตุการณ์ที่ผมเคยเจอมา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจริงกับรุ่นพี่และรุ่นน้องที่เล่นทางสายนี้

    ส่วนตัวผมเองไม่กล้าเล่นสายไสยดำ ... แต่เวลาใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาเล่าให้ฟัง
     
  3. น้าต๋อย เซมเบ้

    น้าต๋อย เซมเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7,815
    ค่าพลัง:
    +58,748
    สวัสดีตอนสายๆ ครับ พี่น้องงงง....
    ขออนุญาตทำงานสักครู่ เดี๋ยวมีบทวิเคราะห์
    การบูชาพระเครื่องกับคน ในความคิดของผม
    เห็นเป็นตามที่ผมคิดเช่นไร รบกวนบอกด้วยนะครับ
    พระเครื่อง กับ คอมพิวเตอร์
    แปะติดไว้ก่อน จะมาโม้ให้ฟังทีหลัง....
     
  4. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    ขอเฝ้าด้วยคนนะครับ... 9.00 - 17.30 น. จ-ศ (^_^)
     
  5. ฤาษีน้อย

    ฤาษีน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    826
    ค่าพลัง:
    +1,262
    .

    ปกติเห็น น้าต๋อย เซมเบ้ โพสทีไรส่วนใหญ่อ่านแล้วจะต้องขำกระจายทุกที วันนี้เปลี่ยนแนวนะครับ จะตั้งตารออ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กันยายน 2010
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    สวัสดีครับพี่ กทม. และสวัสดีทุกคนด้วยครับ
    เช้าวันจันทร์ทีไรจะต้องวุ่นวายแทบทุกครั้ง กว่าจะมีเวลาหายใจสะดวกก็ต้องสองสามชั่วโมงผ่านไปแล้ว ขอบพระคุณพี่ กทม.สำหรับความเมตตาต่อน้องๆหลานๆทุกคน ทุกอย่างที่มีผู้เมตตามอบให้มาทำการกุศล ผมก็จะทำตามเจตนาของเจ้าของเดิมอย่างเคร่งครัด รู้สึกดีใจครับที่มีคนมองเห็นเจตนาของพวกเราทุกคน คงมีทีมงานส่งที่อยู่ของผมเพื่อการส่งมวลสารให้แล้วนะครับ

    หากไม่รบกวนมากไปนัก อยากขอรับประสบการณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบ จากการเล่นไสยศาสตร์ของพี่ครับ รวมทั้งขอทราบมุมมองในเรื่องนี้จากการผ่านมาหลายๆปีในชีวิตจริง ถือว่ามอบให้น้องๆหลานๆเป็นวิทยาทานเพื่อความรู้จริงที่ไม่ต้องใช้ชีวิตของตนเองไปเสี่ยงอีกแล้ว ขอบพระคุณไว้ตรงนี้เลยครับ
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ขอคัดลอกเรื่องจริง ที่เล่าจากคนที่เจอมาด้วยตนเอง ขอบคุณเจ้าของเรื่องมากครับ

    จับลูกอมพุทธโธแล้วร้องกรี๊ดเป็นเสียงผู้หญิง เล่าเรื่องโดย น.ส.พรพรรณ เรื่อง โดย คุณพรพรรณ จุ่นกัน
    เล่าเรื่อง โดย คุณแก้ว

    น้อง พรพรรณ จุ่นกัน อายุ ๑๖ ปี ขณะนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนบวรฯ กรุงเทพมหานคร เดินทางลำปางเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่จังหวัดลำปาง แต่นั่งรถผิดไปลงที่ อ.งาว นั่งรอรถจนถึง ๖ โมงเย็น ก็มีรถประจำทางสีเขียววิ่งระยะทางตามหมู่บ้าน ไป อ.น้ำหงาว นั่งรถคันนี้ไป ไปถึงหมู่บ้านประมาณ ๒ ทุ่ม สำหรับผู้หญิงคนเดียวค่อนข้างอันตราย (อาจารย์เสริมศิลป์ บอกว่าลูกอมจะป้องกันภัยจะทำให้เหมือนมีคนมาอยู่ด้วยเยอะแยะค่ะ และตัวน้องพรพรรณเองก็แปลกใจว่าม่มีใครเข้ามาถาม หรือสนใจตัวของน้องเลย ทั้ง ๆ ที่นั่งรอรถนานมากค่ะ น้องเขาก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันค่ะ)
    ไป ถึงบ้าน ๒ ทุ่มก็อาบน้ำ ทานข้าว ในขณะที่ทานข้าวก็เล่าเรื่องว่า ไปเจอพี่คนหนึ่งชื่อพี่แก้ว เขาถามว่าหนูไปไหน หนูก็บอกพี่เขาว่าไปบ้านน้ำหง่าว พี่เขาเอาลูกอมไว้ให้ เก็บไว้รักษา ไว้ป้องกันตัว
    หนู คุยกับครอบครัวของเพื่อน คุยกับคุณพ่อเรื่องว่าได้ลูกอมที่ไว้ป้องกันตัว คุณพ่อเพื่อนซึ่งเป็นชาวม้ง ชื่อ นายหล่อง จึงสนใจขอดูลูกอม หนูก็ส่งให้ แต่เมือคุณพ่อหล่องจับลูกอมเท่านั้นก็ลงไปชักที่พื้น แล้วร้องเสียงโหยหวลเป็นเสียงผู้หญิง ร้องกรี๊ดดด ..... ดิ้นลงไปสักครู่ ก็มีสติรู้ ที่บ้านก็ถามด้วยความตกใจว่าเป็นอะไร คุณพ่อบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้ร้อง แต่คุณแม่ของเพื่อนเห็นก็เลยขอลูกอมจากหนู แต่หนูให้ไม่ได้ค่ะ เอาไว้ป้องกันตัวค่ะ
    พอกลับ ถึงบ้านที่สมุทรปราการ บ้านหนูอยู่ใกล้วัดอโศการาม หลวงพ่อลีหนูก็เล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็นำลูกอมไปอัดมาให้ป้องกันภัย และอันตรายจากวิญญาณค่ะ
    ทางบ้านของเพื่อนน้องพรพรรณ ก็โทรศัพท์มาขอลูกอมจากอาจารย์แล้วค่ะ
     
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ขอบคุณเจ้าของเรื่องครับ
    สวดมนต์ปล่อยวิญญาณ ณ วัดหลวงป่ายาง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์
    [​IMG]
    พระตาใส ดวงพระเนตรของท่านเป็นแก้วใสค่ะ

    อาจารย์เล่าเรื่อง

    อาจารย์สวดมนต์ บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ พร้อมสวดบทแผ่เมตตา (เมตตาใหญ่ แบบพิสดาร อาจารย์บอกว่าเป็น "บทสวดปลดปล่อยวิญญาณ") เพื่อปลดปล่อยวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน และที่ถูกกักขังจองจำ

    ทางหมู่บ้านมาเชิญอาจารย์ไปเนื่องจากคนในอำเภอ ๑๐ หมู่บ้านมีคนตายโดยไม่มีสาเหตุไปแล้ว ๔๐ กว่าคน ตายติด ๆ กันต่อให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องหวั่นบ้างอ่ะนะ อาจารย์บอกว่าจำนวนวิญญาณที่อยู่ ณ วัดหลวงป่ายาง จังหวัดอุตรดิตถ์มีมากมาย และทับซ้อนกัยหลายสมัย เป็นพัน ๆ ปี จึงทำให้หมู่บ้านไม่สงบ ทางหมู่บ้านเคยได้รับการรักษาโรคจากอาจารย์ จึงทราบว่าอาจารย์สามารถส่งวิญญาณเหล่านั้นได้ จึงเชิญอาจารย์มาที่วัดค่ะ

    เริ่มการสวดมนต์ ของวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๑
    เวลา ๑๗.๐๐ น. หลังจากที่เจ้าอาวาส ได้จุดธูปกราบอาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พร้อมบอกกล่าวแก่เทพเทวดา อินทร์ พรหม และวิญญาณ ทั้งหลายให้มาฟังการสวดมนต์นี้

    [​IMG]

    อาจารย์ฯ ได้เริ่มสวดมนต์ ร่วมกับคณะ ฯ และกลุ่มชาวบ้านหลายร้อยคน ที่อยู่ในโบสถ์ และภายนอกโบสถ์ เป็นเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง รวมทั้งนั่งสมาธิเพื่อเป็นการประกอบบุญกุศลที่สูงที่สุด เพื่อทำให้บุญที่ทำครบถ้วน และแผ่เมตตาให้ทุกทิศ ทุกภพ ทุกภูมิ

    เรื่องเล่าหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว

    ดิฉัน ได้ยินผู้สวดมนต์ในคณะเล่าให้ฟังว่า ได้ยินเสียงกลองตีดังลั่นทั่วโบสถ์ ซึ่งพอสอบถามก็ได้ยินกันหลายท่านเหมือนกัน พร้อมทั้งได้ยินเสียงร้องของวิญญาณ ที่โหยหวน บางท่านบอกว่าเสียงหวีดร้องดังก้องอยู่ข้างหู แต่ดิฉันไม่ได้ยินค่ะ (คิดว่าโชคดีนะ ... อิอิ .. )

    นอกจากนั้นอาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านท่านหนึ่งเห็นวิญญาณ มาเกาะตามหน้าต่างของโบสถ์ และบางท่านเห็นวิญญาณที่ยืนกันแน่นขนัด แทบจะเรียกว่าเหมือนมาฟังคอนเสิร์ทวงบอยแบนด์ เลยก็ว่าได้ วิญญาณที่มา มีทั้งผู้หญิงก็นุ่งผ้าแถบ ส่วนผู้ชายไม่ได้ใส่เสื้อมายืนกันเต็มพื้นที่ ลักษณะเหมือนเป็นคนโบราณเต็มหน้าวัด เลยไปบนถนนเต็มพื้นที่หมดเลย

    บทสรุปเรื่องราววันนั้น

    ฉะนั้น จากประสบการณ์จากเรื่องราวที่มีหลายท่าน เห็น ได้ยิน หลากหลายกลุ่ม ก็ทำให้ตัวดิฉันเชื่อมั่นได้เรื่องหนึ่งว่า วิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานนั้นมีจริง การสวดมนต์ นอกจากทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งดีกับตัวผู้สวดมนต์แล้ว ยังสามารถทำกุศลโดยอุทิศแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ให้แก่วิญญาณที่เป็นญาติ หรือวิญญาณทั่วไปที่ทุกข์ทรมานให้พ้นทุกข์ได้ การทำความดีอย่างนี้ ดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีค่ะ เพราะพระพุทธองค์ทรงเน้นการกำหนดสติรู้ และการทำสมาธิค่ะ อาจารย์เช็คเรทติ้ง จากทางวัดหลังสวดมนต์ เจ้าอาวาสบอกว่า วัดสงบขึ้นมาก
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ๑๐ ปี เป็นเปรต เพราะห่วงหลาน [​IMG]

    เป็น "เปรต" เพราะห่วงหลานเรื่องเล่าจาก คนอุตรดิตถ์

    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ตำบลบ้านโพธิ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ มีคุณยายท่านหนึ่งแกชอบทำบุญเข้าวัดฟังธรรม เป็นประจำ ยิ่งโดยเฉพาะการสร้างโบสถ์สร้างวิหาร (ผู้เล่าจำชื่อคุณยายไม่ได้ จะสอบถามเพิ่มเติมมาให้นะคะ)

    แต่ต่อมาไม่นานก็เสียชีวิตแต่ในขณะจิตที่เสียชีวิตนั้น แกไปห่วงหลานคนเล็กที่เพิ่งอายุ ๗ ขวบ เข้า เมื่อจิตดับไปจึงกลายเป็น "เปรต" อยู่ที่บ้านหลังนั้น หลังจากกลายเป็นเปรต ก็มักจะปรากฎร่างให้คนในบ้านเห็นเสมอทุกวันโกน แรม ๗ ค่ำ/ขึ้น ๑๔ ค่ำ/ขึ้น และวันพระ ๘ ค่ำ/ขึ้น ๑๕ ค่ำ/ขึ้น ปรากฎร่างให้เห็นตลอดเวลาเป็น ๑๐ ปี

    ในขณะนั้นทางบ้านหลังนี้ได้รู้จักอาจารย์เสริมศิลป์ อาจารย์ไปที่ จ.อุตรดิตถ์ เพื่อไปรักษาผู้ป่วย ไม่นานเลยจากวันที่อาจารย์ไปบ้านนั้น วิญญาณเปรตของคุณยายก็มาเข้าสิงหลานเพื่อมาขอส่วนบุญ ในการเข้าแฝงนั้นอาการที่วิญญาณของยายที่มาแฝงหลานทำให้หลานสาวไม่สบาย เมื่อมาเจออาจารย์ อาจารย์ก็รักษาตามปกติที่เป็นโรคที่ถูกแฝง วิญญาณก็ร้องออกมาเสียงดัง โหยหวน อาจารย์ลองสอบถามดูก็ทราบว่าเป็นคุณยาย ซึ่งกลายเป็นเปรตเพราะห่วงหลาน ห่วงทรัพย์ อาจารย์เลยเทศน์ว่า

    จะ ไปห่วงหลานทำไม หลานเขาโตเป็นสาวแล้วเขาแต่งงานออกไปจะไปห่วงเหลนอีกเหรอ ทรัพย์ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ฟันที่ติดปากอยู่ก็เอาไปไม่ได้ วางห่วงนั้นซะ ลูกหลานเป็นคนดีไม่ต้องห่วงแล้ว นึกถึงบุญที่สร้างกุศล ให้อนุโมทนาบุญที่ตนเองทำ


    เมื่อเกิดความปัญญาเกิดแสงสว่าง จึงได้หลุดจากการเป็นภาวะเปรต ไปรับผลบุญของตัวเองที่ทำ ๑๐ ปี ที่รับทุกขเวทนา เพราะห่วงหลานซึ่งยังเล็ก ความห่วงที่มีอยู่ในจิต แต่ไม่สามารถที่ตัวตนมาเลี้ยงดูหลาน เพราะอย่างนั้นสภาวะจิตที่มีความห่วง ไม่ว่าจะห่วงหลาน ลูก สามี หรือทรัพย์ ผลก็คือการรับทุกขเวทนายาวนาน
     
  10. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เกือบตายเพราะ "สีผึ้ง" ผสมผี [​IMG]

    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉันเอง เป็นประสบการณ์ทางวิญญาณที่ดิฉันไม่คิดว่าจะได้พบเจอในชีวิตนี้

    เป็นเรื่องของพระพี่ชายของดิฉัน ซึ่งท่านได้ตัดสินใจบวชเป็นพระครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ อายุท่านประมาณ ๔๓ ปี ในการบวชพระครั้งแรกนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ส่วนในครั้งสองนี้ท่านบวชเพราะต้องการหนีชิวิตทางโลก เพราะชีวิตครอบครัวมีปัญหาค่อนข้างวุ่นวาย ไม่มีความสุข (แต่ขณะที่ไปนั้น จิตใจท่านค่อนข้างว้าวุ่น ยังตัดขาดทางโลกอย่างเด็ดขาดไม่ได้) เมื่อบวชแล้วก็จำวัดอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์แม้ว่ายังคงมีความวุ่นวายใจอยู่ ท่านได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์มิได้ขาด


    ซื้อสีผึ้งจากคนไม่รู้จักมาเก็บไว้ มาทราบภายหลังว่า คือสาเหตุที่ทำให้วิญญาณมาเกาะตัวท่าน จากการทดลองวิชาของผู้ที่ชอบเล่นคุณไสยฯ

    ต่อมาประมาณ ๕ - ๖ เดือน หลังจากนั้นมีคนนำสินค้าเข้ามาขายในวัด ท่าน เกิดความสงสาร และซื้อสีผึ้งจากคนนั้น ซึ่งท่านก็ไม่รู้จักมาก่อนมาเก็บไว้ (มาทราบภายหลังว่า คือสาเหตุที่ทำให้วิญญาณมาเกาะตัวท่าน จากการทดลองวิชาของผู้ที่ชอบเล่นคุณไสยฯ) ท่านก็จะมีอาการร้อนวูบวาบ ขนลุกซู่ๆ ตามตัว มีอาการปั่นป่วนในท้อง ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ และเวลาเข้าโบสถ์จะสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิก็จะทำได้ไม่นาน เพราะอาการต่าง ๆ ก็จะเริ่มมารบกวนจิตใจ ไม่มีสมาธิที่จะปฏิบัติธรรมได้ อาการเป็นต่อเนื่อง จนอาการหนักมาก สุขภาพร่างกาย ทรุดลง จนคิดว่าจะต้องตายแน่นอน ในช่วงนั้นท่านก็ไปรักษาตัวกับหลวงพ่อที่อยู่ต่างวัดกันในจังหวัดนครสวรรค์ ไปรักษาหลายครั้งด้วยกันอาการก็ไม่ดีขึ้น แต่กลับมีอาการแย่ลงไปเรื่อย ๆ

    นอกจากพระพี่ชายของดิฉันซื้อสีผึ้งและยังมีเณรท่านหนึ่งซื้อสินค้านั้นด้วยเช่นกัน อาการของโรคที่เป็นคล้ายกันกับพระพี่ชายของดิฉัน แต่สามเณรสามารถเห็นวิญญาณ ที่แฝงอยู่มารบกวน และมาทำร้ายเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค เมื่อ เห็นดังนั้นแล้วเลยคุยกับพระพี่ชาย จึงได้ไปหาพระอาจารย์เพื่อรักษาตัวตามที่ต่าง ๆ อย่างที่เล่าไว้ด้านบน และก็ท่านก็โทรมาเล่า ให้ฟังว่าเกิดเรื่องอย่างนั้นกับท่าน

    เมื่อรับรู้เรื่องราวจากพระพี่ชาย ดิฉันก็นึกถึงพี่คนหนึ่งที่ทำงานเดียวกัน ได้แนะนำให้ดิฉันพาท่านไปรักษาตัวกับอาจารย์ ที่อยู่จังหวัดแพร่ ดิฉันได้แจ้งพระพี่ชายว่าจะไปรักษาตัว ท่านก็เหมือนไม่อยากไป บ่ายเบี่ยงจนดิฉันและพี่น้องค่อนข้างอึดอัดใจ แต่ต่อมาภายหลังก็ยอมไป โดยที่ดิฉันและพวกพี่น้องขับรถไปส่งท่าน

    วันที่ไปพบอาจารย์ ท่านก็ทำงานประจำอยู่ พร้อมกับการรักษาคนไปด้วย (ใช้เวลาว่างขณะทำงาน) อาจารย์รักษาโดยการใช้มีดหลวงพ่อเดิมวางลง ไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไปจนถึงปลายเท้า ระหว่างที่รักษาท่านจะมีอาการเจ็บม๊ากๆๆ จนทนไม่ไหวต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อยกมีดออกมา จะเห็นรอยไหม้เกิดขึ้นที่ผิวหนังอย่างชัดเจน ซึ่ง ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ญาติ ๆ และตัวดิฉันได้เกิดความสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร จึงให้เพื่อนบ้านของดิฉันที่ไปด้วยกัน ขอลองใช้มีดกดลงที่จุดเดียวกันโดยให้กดแรง ๆ ปรากฏว่าท่านไม่เจ็บเหมือนอาจารย์รักษา หลวงพี่ท่านได้รับการรักษา ถึง ๒ ครั้ง ในวันเดียวกัน ท่านมีอาการดีขึ้นพอสมควร แต่ก็ยังไม่หายขาด อาจารย์ แนะนำให้ปฏิบัติ สวดมนต์ ภาวนา ให้มาก ๆ และแผ่บุญกุศลให้กับวิญญานที่แฝงอยู่ อาการโรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ ก็จะหายไปเอง ดิฉันได้โทรศัพท์ติดตามถามอาการของหลวงพี่เป็นระยะ ๆ ว่าดีขึ้นมากน้อยเพียงไร หลวงพี่ก็บอกว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ และสภาวะจิตก็ดีขึ้นมาก

    เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ดิฉันได้ข้อคิด คือ ถึง แม้จะอยู่ในร่มกาสาวพัด แต่เพียงจิตใจที่ยังมีความขุ่นเคือง ว้าวุ่น และไม่สามารถที่จะละวางเรื่องทางโลกได้ ก็หนีไม่พ้นสภาวะการถูกก่อกวน และการแฝงตัวของวิญญาณ หรือ การรับเวทมนต์ คุณไสย ต่าง ๆ ได้ อย่างง่ายดาย ดัง นั้นการสวดมนต์ ภาวนา เพื่อเป็นสร้างบุญกุศลให้ตัวเองมากๆ บุญนี้จะคอยเป็นเกราะแก้วป้องกันภัยต่าง ๆ จากสิ่งที่มองเห็น และมองไม่เห็น และที่สำคัญเป็นการกระทำที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย
     
  11. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ปอบไข่ดิบ (เรื่องจริง) [​IMG]
    ภาพจาก DMC

    ปอบไข่ดิบเรื่องเล่าจาก คนจังหวัดแพร่

    เมื่อปี ๒๕๓๙ คุณสมหมาย อินสองใจ จังหวัดแพร่ มีอาการป่วย อาการของโรคคือ เศร้าซึม ผอมลงเรื่อย ๆ และผิวคล้ำ จน ชาวบ้านโจษจันกันว่าเป็นโรค AIDS ทางบ้านก็พาไปหาหมอ แต่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ตรวจไปก็ไม่เจอโรค เมื่อหาทางออกไม่เจอก็ไปหาพระ ท่านก็บอกว่าโดนของ โดนวิญญาณ และคนทรง ก็บอกเหมือนกันแต่ว่าไม่รู้ว่าผีอะไรเข้าสิง


    อาจารย์บอกว่าอาการของโรคที่ผอมและดำลงเกิดจากการที่ปอบกินข้างในของผู้ที่ถูกสิง ส่วนที่ชอบกินไข่ดิบ เพราะตัวปอบชอบกินไข่ดิบ

    หลังจากนั้นอาการของป้าสมหมายก็แปลกขึ้น เรื่อย ๆ คือ ชอบกินลาบดิบ ๆ เนื้อดิบ ๆ ยิ่งใครเดินถือไข่ดิบมา ป้าสมหมายจะเดินตาม ออกอาการอยากกินไข่ดิบอย่างเห็นได้ชัด ขอให้ทางบ้านเอาไข่ดิบมาให้ 2 แผง ทันทีที่เอามาให้ ป้าสมหมายก็เอาหน้าชุบไข่ เอาลิ้นเลียกินไข่ดิบอย่างกระหาย (เขียนเองยังสยองเลยค่ะ) กินไข่วันละ ๗๐ ฟอง ทางบ้านเห็นอย่างนั้นแล้วก็เห็นท่าจะไม่ดี เลยพามาหาอาจารย์เพื่อมารักษา

    ป้าสมหมายจิตรวมตัวกันเป็นสมาธิ สามารถเห็นการกระทำของโลกวิญญาณได้ คือ สามารถรู้ได้ว่าบุญทาน ชนิดใดวิญญาณจะได้รับไม่ได้รับ


    ขณะที่อาจารย์ใช้มีดหลวงพ่อเดิมรักษา ก็ร้องโหยหวน ชวนสยอง แล้วก็ร้องว่ากลัวแล้ว ๆ อยู่ตลอดเวลาที่อาจารย์รักษา จนกระทั้งผีจะออกจากร่างกายไปแล้ว แต่กรรมที่ยังมีอยู่ ป้าสมหมายหนีวิญญาณผีปอบไปจังหวัดอุตรดิตถ์ วิญญาณผีก็ยังตาม ต้องมารักษากับอาจารย์ถึง ๖ ครั้ง ถึงจะหายดี อาจารย์เห็นว่าผีปอบยังสามารถที่กลับเข้าไปหาป้าสมหมายได้อีก จึงสอนให้ป้าสมหมายตั้งจิตเป็นสมาธิ จนป้าสมหมายจิตรวมตัวกันเป็นสมาธิ สามารถเห็นการกระทำของโลกวิญญาณได้ คือ สามารถรู้ได้ว่าบุญทาน ชนิดใดวิญญาณจะได้รับไม่ได้รับ

    ในวันนี้ป้าสมหมายหายดีแล้ว ก็ยังไม่เคยลืมเรื่องราวความทรมานที่เกิดจากการถูกแฝงโดยผีปอบ ยังคงบอกเล่าเรื่องราว และสอนให้ลูกหลานและผู้ที่ป้ารู้จัก สวดมนต์เมตตาใหญ่ แบบพิสดาร แผ่เมตตาไปทุกทิศ เพราะความเมตตาจะช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยธรรมชาติ และวิญญาณที่อยู่ในที่ต่าง ๆ ได้ สุดท้ายป้าสมหมายก็เล่าต่อว่าตั้งแต่หายจากที่ผีปอบมาแฝงก็ไม่กินไข่อีกเลย ค่ะ
     
  12. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ผียักษ์ ที่ต้นผึ้ง เรื่องจริงจากจังหวัดแพร่

    เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗ โดยประมาณ เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่สถานีรถไฟ คือ ขบวนรถไฟตกรางบ่อยมาก และมีคนตายเป็นประจำ จนคนขยาดกลัวแถบบริเวณที่เกิดเหตุ เล่าลือกันต่าง ๆ นา ๆ ว่า ผีดุ เจ้าที่แรง ไม่ นานนักมีคนมาเล่าเรื่องให้อาจารย์ฟัง เพื่อขอให้อาจารย์มาช่วยสวดมนต์เมตตาใหญ่เพื่อให้พื้นที่ไม่มีอาถรรพ์ เมื่ออาจารย์มาถึงอาจารย์ก็เรียก วิญญาณเจ้าถิ่นมา (ในขณะนั้นทุกคนไม่ทราบว่าเป็นใคร หรือเป็นอะไรอย่างไร) อาจารย์ทราบว่าอยู่ที่ "ต้นผึ้ง" เมื่อเรียกมาพูดคุยกันโดยผ่านร่างของชายชาวอุตรดิตถ์ท่านหนึ่งที่ไปด้วย ในขณะที่วิญญาณมานั้น ก็ได้กลิ่นสาบสาง เหม็นอับ ๆ ตลอดเวลา

    อาจารย์ก็ถามวิญญาณว่า : "ชื่ออะไร"

    วิญญาณพูดผ่านร่างชาวอุตรดิตถ์ ว่า : "กูชื่อ ปู่หนานปัญญา อยู่ที่ต้นผึ้งมาหลายร้อยปีแล้ว"
    อาจารย์ก็ถามต่อว่า : "แล้วไปทำร้ายคนเขาทำไม"
    ปู่หนานปัญญา : "กู ไม่ชอบพวกมัน มันมาตัดต้นไม้ที่กูอยู่ "
    อาจารย์ : "พวกตัดต้นไม้ เป็นพวกเดียวกับที่ ท่านทำร้ายหรือไม่"
    ปู่หนานปัญญา : "ไม่ใช่ "
    อาจารย์ : "แล้วท่านไปทำร้ายพวกเขา ท่านก็จะได้รับเคราะห์กรรม บาปหนักขึ้น"


    จากนั้นอาจารย์ก็เทศน์ ปู่หนานปัญญา และแผ่เมตตาบุญกุศลบารมีที่ได้บำเพ็ญเพียรมา เมื่อได้ฟังธรรม และได้เมตตาจากอาจารย์ ปู่หนานก็บอกว่า

    ปู่หนานปัญญา :"ต่อ ไปเราจะไม่ทำร้ายมนุษย์ เราจะปฏิบัติธรรม และถือศีล แต่เราอยากให้ ชาวบ้านมาสรงน้ำให้เราทุกวันปีใหม่ โดยการเอาน้ำ ผสมส้มป่อย มาราดที่ต้นไม้ และขอให้เอา แมงปากแหลม มาให้กินด้วย"
    อาจารย์ : "เราจะบอกให้"


    สงสัยไหมคะว่า "แมงปากแหลม" คือะไร ครือออ "กะ กะ ไก่" นั่นเองเจ้าค่า คนสมัยก่อนเขาเรียกกันอย่างนั้นค่ะ

    อาจารย์บอกว่าตั้งแต่วันนั้น รถไฟก็ไม่ตกรางผู้คนแถบนั้นก็อยู่กันอย่างสงบ ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยค่ะ ส่วนปู่หนานปัญญา ก็กลายเพศจากยักษ์กลายเป็นเทวดาผู้ทรงศีลบารมี แล้วค่ะ อนุโมทนาด้วยค่ะ ทางผู้เขียนได้สอบถามเพิ่มเติมไปว่า เพราะอะไรปูหนานปัญญาจึงมาอยู่ที่ต้นผึ้ง อาจารย์ก็เมตตาตอบว่า

    อาจารย์ : "ก่อนนั้นปูหนานปัญญานั้นเป็นทหาร น่าจะเป็นหัวหน้าทหารที่มีความเก่งกล้า และเป็นคนที่มีอาคมด้วยเช่นกัน ในช่วงสงครามอาจมาตั้งค่ายรบ หรือพักที่บริเวณต้นผึ้ง บาดเจ็บสาหัสทำให้เสียชีวิต แต่เนื่องจากความเป็นห่วงผสม ความโกรธที่ทำสงครามเมื่อเสียชีวิตจึงต้องไปเกิดเป็นยักษ์ และอาศัยสิงสู่อยู่ที่ต้นผึ้ง (ตายตรงไหนอยู่ตรงนั้น) นี้นานมากแล้ว ดังนั้นเป็นอะไรไม่ควรห่วง หวงของ ปล่อยวาง ทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นก็พบแต่ความลำบากมากมายหลังความตาย"

    ส่วนเรื่องกลิ่นสาปสางของวิญญาณ เพราะพวกเขาไม่สามารถอาบน้ำได้ ดังนั้นพวกเพื่อน ๆ ลองสังเกตุดี ๆ วันโกน วันพระ มักจะมีฝนตกปรอย ๆ เพราะเป็นวันที่พวกจากนรก ขึ้นมารับส่วนบุญ ข้างบนเขาสงเคราะห์ให้อาบน้ำล้างตัวกันบ้าง เหมือนคนเรานั่นแหละค่ะ อาบน้ำร่างกายสดชื่น ถึงแม้วิญญาณไม่มีร่าง แต่ สัญญา สังขาร เวทนา วิญญาณ ยังเกาะอยู่ครบถ้วนเลย

    อีกอย่างในวันพระ ลองสังเกตก้อนเมฆนะคะ จะเป็นก้อนแยกกันชัดเจน พี่คนหนึ่งเขาบอกมาค่ะว่าเป็นวิมานเทวดามารออนุโมทนาบุญกับมนุษย์ผู้ใจบุญ ค่ะ
     
  13. บานชื่น

    บานชื่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,529
    ค่าพลัง:
    +18,358
    ลูกอม2ลูกครับ บานชื่น
     
  14. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    เคาะกระจกขอส่วนบุญ

    เรื่องจริงของผู้เขียนค่ะ

    วันนี้ Admin ขอแชร์ประสบการณ์จริง ๆ ขอบอกว่าก่อนที่เราจะเข้าใจเรื่องของ "โลกวิญญาณ" ตัว เราเองก็เจอประสบการณ์ด้วยตัวเองมาตลอด การที่เราเห็นวิญญาณ หรือสัมผัสวิญญาณ อาจเป็นเพราะตอนที่เราเกิดมานั้นเราเกือบตายเพราะหัวใจที่ทำงานผิดปกติ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็เล่ากันว่าใครก็ตามที่ผ่านความตาย ไกล้ตายแต่ไม่ตาย จะมี SIXTH SENSE ติดตัวมา (จริงหรือเปล่าไม่รู้นะคะ เขาเล่ามา)

    ขอบอกว่าที่เราเจอมาตลอด เจอซะจนกลัวสุด ๆ สุดจะบรรยาย ถึงขนาดใส่บาตรทำบุญต้องขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอไม่ให้เห็น ไม่เจอ ไม่ได้ยิน แถมไม่ได้กลิ่นด้วยนะ เพราะกลัวสุด ๆ เลยเจ้าค่ะ

    วิญญาณบางพวกตายแล้วไม่ได้ไปไหน แต่ยืนอยู่ตรงบริเวณที่เขาเสียชีวิต
    แต่เมื่อมาพบอาจารย์เสริมศิลป์ ขอนวงค์ อาจารย์สวดมนต์เพื่อปลดปล่อยวิญญาณ ตอนแรกก็งงคิดว่าวิญญาณเขาก็มีที่ไปของเขา เราจะไปยุ่งกับเขาทำไม แต่ เมื่ออาจารย์ให้ดู CASE ของผู้ป่วยที่ถูกวิญญาณแฝงทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งอาจารย์ให้ Admin ได้สอบถาม สัมภาษณ์เรื่องจริงประสบการณ์จริงจากผู้ป่วย ทำให้เราเองค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ได้พบ จากการสอบถาม เราเพิ่งจะได้รู้ว่าวิญญาณบางพวกตายแล้วไม่ได้ไปไหน แต่ยืนอยู่ตรงบริเวณที่เขาเสียชีวิต และเรื่องราวอีกมากมาย ซึ่งท่านสามารถอ่านในหัวข้อ วิญญาณ การรักษาโรค และมงคลพิธีต่าง ๆ

    เอาล่ะ .. ขอเข้าเรื่องเสียที โม้ไปไกลไปหน่อยค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ทุกวันเราจะเปิด CD เสียงสวดมนต์อาจารย์ (ท่าน สามารถ Download หรือฟังเสียงอาจารย์ได้ที่ ==> Download เสียงสวดมนต์อาจารย์เสริมศิลป์_ขอนวงค์ )ไว้ที่คอนโด (แถวพระราม ๙ ใกล้สถานบันเทิงชื่อดัง) เพื่อให้เทวดา สรรพวิญญาณทั้งหลายฟัง (ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ท่านสามารถเลียนแบบได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะเราก็ลอกมาเหมือนกัน )

    เปิด CD เสียงมาหลายอาทิตยืแต่เมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อนหน้านั้นไปหลายจังหวัด เบลอ ๆ จนลืมเปิด CD พอตอนกลางคืนประมาณวันที่ ๗ เมษายน โดยประมาณนะคะ กลางคืนประมาณ ๕ ทุ่ม ตอนนั้น ง่วงมาก ๆ เพราะต้องทำ WEB SITE มันเบลอน่ะค่ะ พอหลับตาก็มีเสียงเคาะกระจกดัง "ก๊อก" เราก็ลืมตา เสียงก็เงียบ หลับตาทีไร เสียงเคาะกระจกดังขึ้นทุกที เมื่อมานึก ๆ ก่อนนอนจิตเราก็บอกว่าให้เปิด CD แต่เราง่วงอยากนอนแบบเงียบ ๆ น่ะคะ เสียงเคาะกระจกดังไม่หยุด ด้วยความโกรธ ผสมงอน เลยพูดในจิตและเพ่งไปที่กระจก

    "เราทำงานให้อาจารย์นะ เราเหนื่อย เราขอนอนก่อน"

    จิตที่พูดนั้นทั้งขู่ ทั้งเบ่ง ทั้งขอร้องวิญญาณ แล้วก็หลับตา ในใจคิดว่า อิอิ เงียบเลย ... ที่ไหนได้ เสียงเคาะกระจกยาวรูดไปถึงครัวเลย โห.... ก็ เลยต้องลุกขึ้นมาเปิด CD ให้เขาฟังอย่างง่วง ๆ พอเปิด CD เสียงเคาะกระจกก็หายไปเลย เล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์หัวเราะ แล้วให้เหตุผลเพราะเมื่อเขาฟัง เขาก็ได้ไปเกิด ไปจากตรงที่เขาตาย ไปรับกรรม หรือรับบุญกุศลที่เขาทำได้

    อีกอย่างวิญญาณที่ตายบางครั้งไม่ใช่ในช่วงเวลา ๒๕๕๑ นี้ บางครั้งนานแสนนานเพราะที่แต่ละที่ มีคนตายทับถมกันเยอะค่ะ การแผ่เมตตาจิตให้วิญญาณ พอเขาไปแล้วพื้นที่ ที่เราอยู่อาศัยจะมีแต่เทวดา เมื่อมีเทวดามาก วิญญาณอื่น ๆ (ผีต่างถิ่นน่ะค่ะ) จะมาอยู่อาศัยบริเวณนั้นไม่ได้ เพราะแสงสว่างจากกายเทวดามีมากกก จนวิญญาณเขาทนไม่ได้เพราะแสบตา เขาจะไปจากพื้นที่
     
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    สวดบทเมตตาใหญ่พิสดารแล้วพี่สาวเค้าก็ร้องโหยหวนขึ้นมา เรื่อง : สวดบทเมตตาใหญ่พิสดารแล้วพี่สาวเค้าก็ร้องโหยหวนขึ้นมา
    เรื่องโดย: คุณจ๊ะทิงจา
    เรียบเรียงโดย Mirin


    <hr>

    เรื่อง ราวข้างล่างนี้นำมาจากอีเมล์ของน้องคนหนึ่งซึ่งส่งมาถึงดิฉันเมื่ออาทิตย์ ที่ ๒๖ ธ.ค.๕๑ เพื่อขอคำแนะนำของดิฉันและเพราะตัวดิฉันยังไม่สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้อง แก่น้องเขาได้ จึงขอให้ทางลูกศิษย์ของอาจารย์เสริมศิลป์กรุณาแนะนำน้องตามที่น้องร้องขอมา ด้วยค่ะ
    [​IMG]

    หวัดดีจ้าพี่Mirin น้องมีเรื่องอยากเล่าให้พี่ฟังค่ะ

    น้องได้รับหนังสือสวดมนต์ของอาจารย์มาประมาณต้นเดือนธันวานี้เอง และได้ท่องบทสวดเมตตาใหญ่พิสดารด้วยตั้งแต่ที่ได้รับหนังสือมา

    เรื่องมาเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๕๑ นี้เอง (น้องพักอยู่คอนโดกับพี่สาว ๒ คน) ปกติน้องจะเริ่มสวดมนต์ประมาณ ๕ ทุ่มกว่า ๆ ทุกคืนเวลาที่สวดมนต์พี่สาวจะหลับไปแล้วทุกครั้ง ช่วงที่กำลังสวดเมตตาใหญ่พิสดารอยู่นั้นใกล้จะจบแล้ว จู่ ๆ พี่สาวก็ร้องเหมือนคนละเมอ (เสียงร้องเค้าโหยหวนนะ) ขึ้นมานะ น้องก็ตกใจมาก (ปกติเป็นคนกลัวผีมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ) แล้วน้องก็เอามือไปกระชากพี่สาว เพื่อให้รู้สึกตัว พอพี่เขารู้สึกตัว น้องได้ยินเสียงพี่สาวหอบ
    แฮก ๆ เลยเหมือนไปวิ่ง ๔ x ๑๐๐ เมตร มายังงัยอย่างนั้นนะ พอพี่สาวรู้สึกตัวน้องก็สวดมนต์ต่อไปตามปกติจนจบ

    พอตอนเช้าตื่นขึ้นมา พี่สาวกำลังจะออกไปทำงานจู่ ๆ น้องก็ถามพี่สาวขึ้นมาว่า

    น้อง : "ลูกอมของอาจารย์ที่น้องเช่ามาให้น่ะ ได้แขวนคอหรือเปล่า"
    พี่สาวบอกว่า : "ไม่ได้แขวน แต่เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์"


    แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับตัวพี่สาวเอง ซึ่งน้องก็ลืมไปแล้ว

    พี่สาวก็บอกว่า : "นี่เธอ เธอรู้เปล่าเมื่อคืนตอนที่เธอสวดมนต์อยู่นะ ผีหนีเธอมาแล้วมาหาเรา แล้วเราก็พยายามสะบัดให้ออก แต่ไม่ยอมออกเราก็ท่องนะโม เธอได้ยินเสียงท่องนะโมของเราหรือเปล่า เราตะโกนสุดเสียงเลย เพราะเรากลัวผีมันไม่ได้ยิน"
    น้องก็ตอบไปว่า : " เสียงนะโมที่ไหนละ มีแต่เสียงร้องโหยหวนที่ดั่งขึ้นเรื่อย ๆ "


    นึกแล้วก็ขำเหมือนกันนะพี่ Mirin ขำแต่ลึก ๆ แล้วกลัวสุด ๆ เลยพี่ ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่เลย แสดงว่าห้องที่เราอยู่ก็ต้องมีวิญญาณอยู่ด้วยใช่ไหม น้องก็อยากให้เค้าได้รับส่วนบุญเต็มที่เลย อยากให้พวกเค้าหลุดพ้น แต่ไม่อยากเห็น ไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากได้กลิ่น พี่พอมีวิธีแนะนำบ้างไหมเพื่อให้เราหลุดพ้นจากความกลัว
     
  16. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ผี โ ก ร ธ

    ประสบการณ์จริง

    ข้าพเจ้าย้ายเข้ามาอยู่ที่แฟลตดินแดงเมื่อประมาณปลายปี ๒๕๒๘ เป็น แฟลตที่แม่เซ้งไว้ นับตั้งแต่น้องชายย้ายกลับไปอยู่บ้านนานแล้วปิดไว้ไม่มีใครเข้าไปอยู่ น้องสาวข้าพเจ้ามาขอร้องให้ย้ายเข้าไปอยู่ เพราะเห็นว่าใกล้ที่ทำงานข้าพเจ้า และที่สำคัญน้องสาวจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางที่กำลังเป็นภาระอยู่ด้วย (คิดเองนะ)
    ทั้งกุญแจและมือถือก็ตกกับพื้นอย่างแรงเหมือนถูกปัด เพราะหลุดจากมือทั้ง ๆที่มือกำไว้แน่น
    ก่อนเข้าอยู่ก็จ้างช่างเข้ามาปรับปรุง ห้องก่อน ซึ่งมีปัญหานานา ๆ ประการ จนรู้สึกแปลกใจ เพราะพอเข้าอยู่ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติมากขึ้น เช่น ตื่นมากลางดึก จะได้ยินเสียงโซฟาหวายในห้องดัง เอียด อาด เหมือนมีคนนอนอยู่แล้วขยับพลิกตัวไปมา (ได้ยินทุกคืน) รู้สึกหวาด ๆ อยู่บ้าง พอปีใหม่ ใต้ถุนแฟลตมีการทำบุญเลี้ยงพระปีใหม่ ข้าพเจ้าจึงนำอาหารไปร่วมทำบุญด้วย ก่อนไปก็ตะโกนบอกกลางห้องว่า

    “นี่เดี๋ยวจะทำบุญอุทิศไปให้ ช่วยโมทนาบุญด้วยนะจะได้ไปเกิดเสียที”

    ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะทำให้วิญญาณไม่พอใจ เหมือนเราไปไล่เขาให้ออกไปจากห้องนั้น เพราะหลังจากทำบุญเสร็จแล้วข้าพเจ้าจะไขกุญแจเข้าห้อง ขณะนั้นอยู่ ๆ ทั้งกุญแจและมือถือก็ตกกับพื้นอย่างแรงเหมือนถูกปัด เพราะหลุดจากมือทั้ง ๆที่มือกำไว้แน่น และมีเหตุการณ์อีก ๒ -๓ อย่าง แต่จำไม่ได้แล้ว

    สัปดาห์ต่อมาขณะข้าพเจ้านอนกำลัง จะหลับ ๆ อยู่ ก็รู้สึกถูกผีอำเพราะเกิดอาการขยับตัว และพูดออกเสียงไม่ได้ มีบางอย่างนอนทับร่างข้าพเจ้า เหมือนพยายามจะเข้าร่างข้าพเจ้าอย่างนั้นล่ะ รู้สึกกลัวมากพยายามดิ้นสุดฤทธิ์ จนตื่นขึ้นมาได้

    คืนต่อมาก็จะรู้สึกว่าพอนอนเคลิ้ม ๆ จะรู้สึกเสียวแปลบ ๆ ที่ปลายเท้าจนต้องหดเท้าเข้าหาตัว เป็นอยู่ ๕ ครั้งได้ จนหลับไป แต่ในครั้งหลัง ๆ ที่รู้ว่าถูกดึงเพราะระหว่างที่หดเท้ากลับก็ถูกดึงกลับทันทีเหมือนชักเย่อ แต่ข้าพเจ้าง่วงนอนมากเลยลืมกลัว หลังจากนั้นก็ถูกดึงเท้าเรื่อย ๆ ข้าพเจ้ากรู้สึกว่าเริ่มชินเสียแล้ว (ไม่สนใจ !!นอนลูกเดียว ครอกกกก)

    เงยหน้ามองไปบนชั้นลอย ก็เห็นเป็นผู้ชายลาง ๆ นั่งอยู่ลักษณะตัดผมสั้นจนเกือบเกรียนกำยำไม่สูงมาก


    คืนต่อมาประมาณตี ๒ - ๓ เกิดรู้สึกตัว ได้ยินเสียงกรนของคนนอนหลับดังชัดเจนมาก ก็ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ ระหว่างอยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลงส้นขึ้นบันไดชั้นลอยที่ห้อง (ในห้องมีต่อชั้นลอยเอาไว้ด้วย) บันไดทางขึ้นอยู่ข้างประตูห้องน้ำ ถ้าข้าพเจ้าเปิดประตูเดินออกมาก็จะมองเห็นชัดเจนแน่นอนถ้ามีอะไรอยู่จริง ตอนนั้นถามว่ากลัวไหม มันตอบไม่ถูกเพราะเริ่มชินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องน้ำหลังจากเสร็จธุระอย่างไม่ต้องลังเล และเงยหน้ามองไปบนชั้นลอย ก็เห็นเป็นผู้ชายลาง ๆ นั่งอยู่ลักษณะตัดผมสั้นจนเกือบเกรียนกำยำไม่สูงมาก
    เอ....วิญญาณตนนี้ตอนมีชีวิตอยู่คงจะเป็นคนเจ้าอารมณ์น่าดูเลย พอตายไปแล้วก็ยังพกพาเอาอารมณ์เหล่านี้ไปด้วย
    ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็เดินผ่านบันไดไปเฉย ๆ ไม่รู้สึกกลัว (เชื่อกันไหมเนี้ย) และไม่หยุดยืนมอง กลับมานอนคิดว่า....เอ....วิญญาณตนนี้ตอนมีชีวิตอยู่คงจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ น่าดูเลย พอตายไปแล้วก็ยังพกพาเอาอารมณ์เหล่านี้ไปด้วย เพราะแกเดินขึ้นบันไดกระแทกส้นเหมือนไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่าง(เดานะ!ว่าคง กำลังหลับอยู่ แล้วข้าพเจ้าลุกเข้าห้องน้ำ แกคงตื่นแบบนอนไม่เต็มอิ่ม เหมือนคนขี้เซาทั่วไป..) แสดงว่าวิญญาณที่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง อยู่มาก ทำให้ไม่มีกะใจรับบุญกุศล ถึงจะมีคนทำบุญไปให้ก็ไม่อยากได้ และจิตที่มีกิเลสเกาะหนักนั้น ทำให้มีน้ำหนักมาก แม้ไม่มีร่างกายแล้ว วิญญาณก็ทำให้เดินเสียงดังได้ (เดินด้วยอารมย์)

    อาจารย์ จึงสอนเสมอว่า ให้ละกิเลส โลภ โกรธ หลง ก่อนตายให้ได้ เพราะถ้าตายแล้วไม่สามารถทำได้ จึงควรเร่งปฏิบัติให้มากที่สุด เพื่อจะได้หมดทุกข์เร็ว ๆ
    ทำให้ได้ความรู้ใหม่ว่า...ตอนเป็นคนมีนิสัยอย่างไร พอตายไปแล้วก็ยังมีนิสัยอย่างนั้นอยู่ แสดง ว่าคนเราตายเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น อย่างนี้เองอาจารย์จึงสอนเสมอว่า ให้ละกิเลส โลภ โกรธ หลง ก่อนตายให้ได้ เพราะถ้าตายแล้วไม่สามารถทำได้ จึงควรเร่งปฏิบัติให้มากที่สุด เพื่อจะได้หมดทุกข์เร็ว ๆ พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวว่าตนเองจะตายเร็ว เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถรู้วันตายของตัวเองได้ และทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังมีความโกรธอยู่ ความโลภ (เล็กน้อย) ความหลง (มาก) อยู่เลย แล้วถ้าเกิดตายลงไปตอนนี้ ไอ้ที่ได้กินของถูกใจ ได้เที่ยวตามใจ ได้นอนที่สบาย มันก็ไม่ได้แล้ว คงจะทรมานไม่ต่างอะไรกับวิญญาณที่อยู่ในห้องของเราตอนนี้แน่เลย อารมย์ต่าง ๆ ที่วิญญาณตนนี่มีจึงทำให้วิญญาณต้องติดอยู่ ที่นี่จะไปไหนตามที่อยากไปก็ไม่ได้ (ถ้าไปได้แกคงไปนานแล้ว) พูดบอกใครก็ไม่ได้ ไหนจะคิดถึงคนที่เรารักอีก โอ้ย.....ช่างทรมานน่าดู คิดแล้วเกิดความสงสารวิญญาณนั้น มากกว่าความกลัว แต่กลับกลัวกิเลสที่ข้าพเจ้ายังละวางไม่ได้ มากที่สุด

    จึงไม่มีอารมณ์จะนอนต่อแล้ว ลุกขึ้นอาบน้ำสวดมนต์ ทำสมาธิยาวเลย และไม่ลืมอุทิศให้กับวิญญาณที่เห็นนั้นด้วย (ไม่รู้จะได้หรือเปล่า..ขณะนั้น) ข้าพเจ้าเล่าให้ใคร ๆ ฟัง ดูสีหน้าแล้วเค้าไม่ค่อยจะเชื่อข้าพเจ้ากันเท่าไหร่ (เหมือนบ้าอยู่คนเดียว)

    อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็มีพยานบุคคลเรื่องนี้จนได้ คือ มีป้าคนหนึ่งมาจากจังหวัดอ่างทอง มาพักที่ห้องของข้าพเจ้าเพื่อรอจะเดินทางไปเหนือช่วงตอนกลางคืน กลางวันป้าแกอยู่ในห้องคนเดียว พอตอนเย็นข้าพเจ้ากลับมา แกรีบเล่าเรื่องที่แกเจอตอนกลางวันให้ข้าพเจ้าฟังใหญ่เลย ว่าพอหลังจากข้าพเจ้าออกจากห้องไปแล้ว ป้าก็เอาหนังสือสวดมนต์ที่เห็นข้าพเจ้าสวดมนต์ไปเมื่อเช้ามานั่งดู นั่งไปนั่งมา ก็นอนดู แล้วก็นอนหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (แกนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกด้วย) มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง ก็เห็นตนเองนอนอยู่ที่เดิมแล้วเห็นมีผู้ชายวัยกลางคน ๆ หนึ่งมานั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ป้า

    ป้าแกก็ถามว่า "เป็นใคร ร้องไห้ทำไม"
    แกบอกว่า "คิดถึงเมีย"
    ป้าถามว่า "แล้วเมียไปไหนเสียล่ะ"
    ผู้ชายคนนั้นตอบว่า “เมียผมตายไปแล้ว” พูดแล้วก็นั่งร้องไห้ต่อไป


    ข้าพเจ้ารีบบอกถึงลักษณะของผู้ชายคนนั้นตามที่ข้าพเจ้าเคยเห็นในห้อง ซึ่งป้าก็บอกว่าใช่ลักษณะตรงกันทุกอย่าง แล้วป้าก็เล่าต่อว่าป้าก็รู้สึกสงสารผู้ชายคนนั้น เพราะป้าเองก็เป็นหม้ายเหมือนกัน ต่างคนต่างเป็นหม้าย จึงพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า "เรามาอยู่ด้วยกันดีไหม" (ข้าพเจ้าคิดในใจ โธ่...ป้าทำไมใจง่าย อย่างนี้......) ผู้ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปทางด้านหลังของห้อง ป้าแกก็ลุกเดินตามไป แต่ผู้ชายคนนั้นเดินเร็วมาก และไม่หันมาบอกเลยว่าจะไปทางไหน ทำให้แกเดินตามไม่ทันจึงหยุดตามแล้วก็ตื่นขึ้นมา

    ข้าพเจ้านำเรื่องนี้ ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง

    อาจารย์บอกว่า "เธอเกือบจะถูกแจ๊กพ็อตแล้ว..."
    ข้าพเจ้าถามว่า "แจ๊กพ็อตอย่างไง"
    อาจารย์พูดว่า "อ้าว...ก็เกือบจะมีคนแก่มาตายในห้องเธอแล้วยังไงล่ะ เพราะถ้าแกเดินตามผีตัวนั้น
    ไป แกก็ต้องตายนะซิ"


    ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ คิดได้ว่า เออ....ถ้าป้าแกมาตายในห้องเรา คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ ไหนจะถูกญาติของป้า ไหนจะถูกแม่เราเล่นงาน คงวุ่นวายน่าดู แต่ปัจจุบันนี้ ป้าคนนั้นก็ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปลายปี ๒๕๓๙ นั่นเอง

    เมื่อ ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า ห้องที่อยู่มีวิญญาณอยู่ด้วยแน่ ๆ จึงอุทิศบุญกุศลให้วิญญาณตนนั้นทุกครั้งที่ สวดวัตรเช้า และสวดวัตรเย็น เสร็จแล้ว จนกระทั่งคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าฝันเห็นผู้ชายคนเดิมมานั่งอยู่ที่โซฟาหวาย แต่หน้าตาและการแต่งตัวไม่เหมือนที่เคยเห็นจนตอนแรกเห็นจำแทบไม่ได้ ใส่เสื้อผ้าใหม่เหมือนคนจะไปงานมงคลตามต่างจังหวัดอย่างนั้นล่ะ ในฝัน

    ข้าพเจ้าถามเขาว่า "ยังอยู่อีกหรือ?" (โดยส่วนตัว ก็ยังงงว่าทำไม่เราถึงไปถามเขาอย่างนั้น)
    ได้คำตอบว่า "รอเพื่อน อยากให้เพื่อนได้อย่างนี้บ้าง"


    ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า ได้อย่างไง เพราะฝันเพียงแค่นั้นเอง ก็ตื่นขึ้นมา เรื่องที่เล่ามานี้ วิญญาณตนนี้ แก คิดถึงเมียที่ตายก่อนที่แกจะตาย พอแกตาย คงคิดว่าจะได้ไปเจอกัน แต่พอตายไปจริง ๆ ไม่เจอกัน แถมยังไม่ไหนไม่ได้อีก ก็เลยเสียอกเสียใจใหญ่

    เหตุการณ์ที่แฟลตนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ความรู้ใหม่และพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่าน ทรงตรัสสอนว่า....

    การ ยึดติดสิ่งใด ๆ ก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็น ติดลูก ติดเมีย-ผัว ติดทรัพย์ ติดยศ ติดตำแหน่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตเป็นทุกข์ไม่สามารถนำพาจิตของตนไปสู่ที่สุขสบายได้เลย
     
  17. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ระบุชื่อ สื่อวิญญาณ - อุทิศบุญอย่างไรให้ถึงผู้ตาย เรื่อง "ระบุชื่อ สื่อวิญญาณ" - อุทิศบุญอย่างไรให้ถึงผู้ตาย
    รวบรวมข้อมูลจากคำถามที่ถามมาในเวบบอร์ด และบทสัมภาษณ์อาจาร์แม่ชีดารา
    โดย เมตตาเจโตวิมุตติ

    จาก คุณผู้มีปัญญาน้อย สอบถามมาที่เวบบอร์ดเมื่อวันที่ ๒๕ มี.ค. ๒๕๕๒
    “ทำไมเวลาอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ต้องบอกเทพเทวาและพระยายมด้วยคะ ขอท่านผู้รู้ช่วยตอบทีคะ”
    คุณกองเพล และคุณPiyo ได้ตอบคำถาม
    <hr> ความเห็นโดยคุณกองเพล
    ขอแสดงความเห็น....

    ในการอุทิศส่วนบุญกุศล ที่ต้องบอกกล่าวให้เทพ..เทวา หรือ ให้บุคคลอื่นที่จะให้บุญกุศล นั้น จะต้องเจาะจงหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าไม่เจาะจง บุคคลที่เราอุทิศบุญนั้นจะได้หรือไม่....ก็ไม่รู้ เพราะว่าวิญญาณที่มีฤทธิ์..มีเดช หรือมีพลัง กว่าจะได้รับก่อน หลังจากก็ต่อๆ กันไป....
    หากเจาะจง...ให้บุคคลนั้นก็จะได้รับทันที...ยิ่ง ถวายกับพระอริยฯ หรือพระปฏิบัติดี..บุญกุศลที่อุทิศให้นั้นมีพลังและพลานุภาพยิ่งขึ้น ( ถูกต้องหรือไม่นั้น...เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ) หากไม่ถูกต้อง ขออภัยนะที่นี้ด้วยครับ
    <hr> ความเห็นโดยคุณ PIYO
    การที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาที่รักษากาย และท่านยมบาล และแจ้งให้ท่านรับทราบด้วยนั้น
    เนื่องจาก "เจ้ากรรมนายเวร" คือ ผู้ที่เราล่วงเกินเขา กับ คนก็ดี กับสัตว์ก็ดี ทั้งอดีตชาติและปัจจุบันชาติ การที่เรามีชีวิตอยู่ในลักษณะแบบใดนั้น เกิดจาก “กรรม” เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น ซึ่งมีทั้ง “กรรมดี” และ ”กรรมชั่ว” ถ้าเราไม่เคยกระทำ มันก็จะไม่เกิดขึ้น
    เราอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขอขมาในสิ่งที่เคยกระทำล่วงเกินซึ่งกันและกัน ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ไม่อาฆาตพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน การที่เราอุทิศให้ท่านเทวดารักษากายและท่านยมบาลด้วยนั้น เมื่อท่านทั้งหลายได้รับรู้ ก็จะอนุโมทนาส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้กระทำ และช่วยจดจำสิ่งที่เราทำบุญไว้ เมื่อเราตายไป ท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานให้ว่าเราทำความดีอะไรมาบ้าง
    ในกรณีที่เราอุทิศให้ วิญญาณ เจ้ากรรมนายเวร ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เราไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ตรงไหน ถ้าพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยทำบุญ หรืออยู่ในส่วนที่ไม่สามารถรับรู้หรือขึ้นมารับส่วนบุญส่วนกุศลได้ เราแจ้งแก่ท่านยมบาล ท่านก็จะช่วยส่งส่วนบุญหรือเรียกให้วิญญาณเหล่านั้นขึ้นมารับบุญกุศลที่ญาติ พี่น้องทำมาให้
    ดังเช่นที่พี่กลองเพลบอกแหละค่ะ ว่ามีดวงวิญญาณมากมายมหาศาลที่รอรับส่วนกุศลผลบุญอยู่ ถ้า เราสามารถระบุชื่อได้ ดวงวิญญาณที่ถูกระบุชื่อเหล่านั้นก็จะมาอยู่ข้างหน้าหรือรับแบบเต็มๆ แล้วบุญจึงค่อยกระจายถึงดวงวิญญาณอื่น ๆ ลดหลั่นกันไปตามกำลังบุญที่เราทำว่าแผ่ออกไปได้ถึงไหนค่ะ ซึ่งดวงวิญญาณที่ได้รับความทรมาน หรือรอส่วนบุญส่วนกุศลดวงอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ มารับส่วนบุญกันด้วยค่ะ
    การทำบุญแต่ละครั้งอานิสงส์ผลบุญไม่เท่ากัน ตามแต่ประเภทของการทำบุญ ตามลำดับความยากง่ายที่จะได้กระทำ เราสามารถกระทำได้ตั้งแต่ การบริจาค การใส่บาตร การถวายสังฆทาน การถวายผ้าป่า กฐิน จนถึงการสร้างโบสถ์ – วิหาร การสร้างพระพุทธรูป ฯลฯ และที่สำคัญขึ้นอยู่ว่าเรามีความยินดี และความศรัทธาการทำบุญนั้นมากน้อยเพียงใด
    อย่างเช่น คนยากจนทำบุญเพียง ๑ สลึง ตามกำลังศรัทธาที่เขาสามารถทำบุญได้ หรือมีเพียงแค่กำลังกาย ในการทำนุบำรุงศาสนาแต่เขามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็สามารถได้ผลบุญเทียบเท่ากับผู้ทำบุญ ๑ ล้าน แต่ทำโดยไม่ประกอบด้วยกำลังศรัทธา เป็นต้น
    ดังนั้นการทำบุญตามกำลังศรัทธาและตามกำลังตนที่สามารถกระทำได้ ดีที่สุดค่ะ
    อ้อ! และเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์ที่ได้มาว่ามาจากอะไรด้วยค่ะ ถ้าทุจริต ยักยอก ฉ้อโกง ขโมยของมาขาย ขายยาเสพติด ขายของผิดกฎหมาย ขายมนุษย์ ก็จะไม่ได้ผลบุญ ดังนั้นทรัพย์ที่ได้มาจึงต้องเป็นทรัพย์ที่สุจริตด้วยค่ะจึงจะได้บุญที่มี กำลังมากและละเอียดมากขึ้น
    กราบขอบพระคุณ อ.เสริมศิลป์ ขอนวงค์, พี่ Student , พี่กลองเพล เป็นอย่างสูงค่ะ
    <hr> ผู้เขียนขอยกประโยคที่กล่าวว่า
    “หากเจาะจง...ให้บุคคลนั้นก็จะได้รับทันที..”
    และ
    “ถ้า เราสามารถระบุชื่อได้ ดวงวิญญาณที่ถูกระบุชื่อเหล่านั้นก็จะมาอยู่ข้างหน้าหรือรับแบบเต็มๆ แล้วบุญจึงค่อยกระจายถึงดวงวิญญาณอื่น ๆ ลดหลั่นกันไปตามกำลังบุญที่เราทำว่าแผ่ออกไปได้ถึงไหนค่ะ”
    จาก คำถามและคำตอบ ทำให้ข้าพเจ้านึกได้ว่ามีบทสัมภาษณ์แม่ชีดารา ที่วัดค่างาม จ.แพร่ ที่ยังไม่ได้ถอดความเทป คำตอบเหมาะเจาะเป็นตัวอย่างได้จริง จึงขอนำเรื่องเล่าของแม่ชีดารามาลงไว้ ณ ที่นี่ค่ะ
    <hr> สัมภาษณ์ ที่วัดค่างาม จ.แพร่
    เมื่อวันที่ ๒๘ ก.พ. ๕๒

    ในช่วงแรกที่พูดคุยไม่ได้บันทึกเสียงไว้ค่ะ
    แม่ชี : “แม่ ชีมาปฏิบัติธรรมที่ป่าช้า ก็คือวิญญาณมาเยอะมาก แล้วเขามาพอเราแผ่บุญให้เขาเนี่ย เขาได้รับเลย เสื้อผ้าเขาเปลี่ยนหมด ทีนี้เขามายืนเป็นแถว เราก็ขอเขาจับดูหน่อยได้ไหม เอามือสอดไปดู จับเสื้อนี้ (ทำท่าเอามือลอดไปในปลายแขนเสื้อ) อุณหภูมิพอดี เสื้อนี้เป็นของทิพย์นะ เสื้อที่เขาใส่ นั้นไม่หนาวไม่ร้อน ไม่เย็น เสื้อตัวนั้นได้ใส่แล้วมันพร้อมหมด เวลาเขาอยากได้สี เขาชอบสีม่วง แต่เป็นโทนอ่อน ๆ นะ หลากสีเลย”
    Admin : “บันดาลตามใจของเขา ตามปรารถนา? ”
    แม่ชี : “อยากได้สีม่วงก็เป็นสีม่วงสีชมพู สีฟ้า เหลืองนี้ก็สลับกัน เขายืนกันเป็นแถว อู้หู ขนาดวิญญาณเขามีวินัยในตนเองนะ”

    Admin : “เรียงแถวเป็นแถวตอนแบบนักเรียน แล้วตอนเขามาเป็นอย่างไรบ้างคะ”

    แม่ชี : “ตอน แรกเขามา เขาไม่มีเสื้อ มาครึ่งท่อน อย่างนี้ก็มี (ทำมือประกอบว่าใส่เสื้อครึ่งท่อน) เขาไม่ได้เดินบนดินนะ เขาลอยมาเหนือดินมาสักคืบหนึ่ง มาจากทางโน้น (แม่ชี้ไปทางข้าง ๆ วัด) เยอะมาก”
    สอบถาม แม่ชีก็บอกว่ามาจากป่าช้าไกลจากวัดไม่มาก เป็น ป่าช้าประจำอำเภอ
    แม่ชี : “วัน แรกที่เรามาเราได้กลิ่นเหม็น เหมือนยากล้อง เราก็เอ๊ะ ... ไปหาดู ดูแล้วก็มีแต่พระอายุน้อย ๆ ทั้งนั้น ไม่น่าจะสูบคืนแรกก็ไม่เป็นไร พอคืนที่สองเราก็นั่งสมาธิ นอนไม่หลับ พอ ตี ๑ ก็มาแล้ว มากันเป็นกลุ่มเลยนะ สภาพที่มามาเป็นกลุ่ม หน้าตาเศร้าหมองเลย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เยิน ๆ มอมแมม เหมือนคนคลุกฝุ่นมาเลย เหม็น ๆ เหม็นเขียวหน่อย พอเราบอกว่า บุญที่เราทำนะ อุทิศส่วนกุศลให้หมดเลย เขาก็เปลี่ยนเลยนะชุดนึง แล้วกลุ่มใหม่ก็มาอีกนะ เขาได้(บุญ)หมดทุกคนแล้วเขาก็ยืนเป็นแถวเหมือนโรงเรียน เป็นแถวเลยนะ ขอจับดูหน่อยได้ไหมเสื้อนี้ ทำไมมันดูอุ่นจังเลย เอามือสอดอย่างนี้ (แม่ชีทำมือสอดนิ้วเข้าไปที่แขนเสื้อแม่ชีเอง) เนื้อผ้ามันนิ่ม”
    Admin : “เหมือนผ้าไหม ไหมคะ”
    แม่ชี : “มันไม่เชิงไหมนะ มันเหมือนผ้ากันหนาวแบบ wool เหมือนผ้าขนสัตว์ แต่เนื้อละเอียดมาก วิญญาณบอกว่าผ้านี้เป็นของทิพย์ ใส่แล้วไม่หนาว ไม่ร้อน ไม่หิว แล้วเราได้ถวายผ้าห่ม เต็นท์ ถวายอาหารวันนั้น อบรมธรรมะทั้งวัน เขาก็ได้รับส่วนบุญทั้งวัน”
    วิญญาณเขาก็บอกขอบคุณแม่ชีที่แม่ชีมาโปรดตรงนี้
    แม่ชี : “เรา ก็บอกว่า เอ๊ะ! ทำไมตรงนี้วิญญาณมันเยอะ เขาบอกตรงสี่แยกนี้ เป็นจุดที่วิญญาณเข้าออกได้ สี่แยกที่ไม่ตัดตรง ทางด้านหนึ่งจะเลี้ยวไปทางน้ำ และอีกทางเลี้ยวมาทางหมู่บ้าน และศาลาอยู่ที่ข้างทางเดินของน้ำ ตรงที่แม่ไปที่อื่นมีเจ้าของ ไม่ให้เข้า ไม่มีเจ้าของ วิญญาณมันผ่านได้ แล้วก็มีอยู่ ๓ คน รับไมได้ มานั่งอยู่ตรงปลายเท้า คนแก่หัวฟูผมหงอกสูบยากล้องใส่เสื้อม่อฮ่อมเก่า ๆ และอีก ก็มีเด็กผู้หญิง กับเด็กผู้ชาย เสื้อคอกระเช้าและเสื้อกล้ามเปียกน้ำด้วย ก็เลยมาเล่าให้ผู้หลักผู้ใหญ่เขาฟัง มี ๓ คนเขามารับไมได้ เขาก็บอกชื่อลุง..... (จำไม่ได้) เขาหนาวตาย ส่วนอีกสองคนเขาแช่น้ำ”
    Admin : “จมน้ำตาย เพราะอะไรรับไม่ได้”
    แม่ชี : “เพราะจิตเขาก่อนตายเขาสับสน จิตเขากระวนกระวาย จิตเขาเคว้งคว้าง ถ้าเราไม่เอ่ยชื่อเขารับไม่ได้”
    แต่โชคของวิญญาณทั้งสามยังพอมีค่ะ พอดีชาวบ้านจำได้ เลยบอกชื่อทั้งสามกับแม่ชีค่ะ
    แม่ชี : “ตอนเช้าเราก็ทำบุญใส่บาตร อบรมธรรมะ ตอนเย็นก็กรวดน้ำ ขอให้ชื่อนี้ ชื่อนี้ รับบุญนะ โอ้ หายเลย กลิ่นเหม็นหายไป”
    Admin : “เขาไม่ได้มาขอบคุณ แต่กลิ่นเหม็นหายไปหรือคะ”
    แม่ชี : “กลิ่นเหม็นหายไป แล้วก็ไม่มีมานั่งตอนกลางคืนแล้ว”
    Admin : “ทั้งป่าช้าไม่เหลือแล้ว...”
    แม่ชี : “ก็ ไม่เหลือแล้วจ๊ะ เมื่อก่อนนี้เราไปแต่ละที่มาแค่ ๒ คน ๓ คน แต่เดี๋ยวนี้มากันเป็นแถวเลย และที่สำคัญเขาได้รับบุญแล้วเข้าไปยืนเข้าแถวน่ะ เข้าแถวเป็นระเบียบ”
    Admin : “แล้วทรงผมเปลี่ยนหรือเปล่าคะ”
    แม่ชี : “เขาเรียบร้อยหมดน่ะ”
    Admin : “เขารวบผมขึ้นหรือเปล่า...”
    แม่ชี : “ไม่ นะ มันจะเป็นหมวก ๆ สวมหัวหมวกแบบเสื้อกันหนาว สวมเป็นชุดไปเลยนะ ชุดที่ใส่เหมือนไปเมืองนอก มีหมวกเหมือนหน้าหนาว เพราะช่วงนั้นเราอบรมในหน้าหนาว ทุกครั้งที่รับบุญเขาก็จะได้เสื้อผ้าที่เขาต้องการ แต่คราวนี้มาเป็นชุดสวม แล้วแต่เขาปรารถนามันไม่เกี่ยวกับกับเราชอบ ที่เราทำบุญถวายเป็นผ้าห่ม กันร้อนกันหนาวกันฝนได้ ทั้งหลังเลย”
    จาก บทสัมภาษณ์แม่ชีดารา และความเห็นที่คุณกองเพล และคุณ PIYO ลงไว้ มีความคิดเห็นตรงกันว่า การระบุชื่อนั้นจะถึงผู้รับได้และช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าไม่ทราบก็แผ่เมตตารวมๆ ได้ค่ะ แต่ในกรณที่บุคคลนั้น ๆ ทำบาปหนักก็แค่บรรเทาเบาคลายค่ะ อย่างไรเสียก็ต้องได้รับโทษตามกรรมที่ทำไว้ค่ะ
     
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    สิ่งน่ารู้จากกระดานถาม–ตอบ ในเรื่อง “ปอบ” โดย ปิโย สิ่งน่ารู้จากกระดานถาม–ตอบ ในเรื่อง “ปอบ”
    อาจารย์เสริมศิลป์ ขอนวงค์
    เรียบเรียงโดย ปิโย (PIYO)

    จากคำถามของคุณ auanpril ที่สอบถามเรื่องปอบไว้ในเวบบอร์ดที่เวบไซท์รุ่นเก่า ดังนี้ (ปี ๒๕๕๒)

    <table style="width: 626px; height: 74px;" width="626"> <tbody> <tr> <td> “คนที่เป็นปอบบางคนก็ไม่รู้ว่าปอบของตัวเองไปเข้าคนอื่น ปอบที่ไปเข้าคนอื่นก็ออกปากว่าตนเองเป็นใคร ทั้งๆ ที่่คนที่เป็นปอบก็ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลย (บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีปอบแฝงร่างอยู่ จนกระทั่ง ปอบที่แฝงร่างอยู่ไปเข้าคนอื่นแล้วออกปากมานั่นแหล่ะ) ปอบที่ไปเข้าคนอื่นกรณีนี้คืออะไรกันแน่
    จากคำถามนี้นะคะ ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะว่าถ้าจิตวิญญาณเดิม (จิตวิญญาณมนุษย์) กลายเป็นปอบไปแล้ว จิตวิญญาณนี้ก็ยังต้องอยู่ในตัวของคน ๆ นั้นถูกมั้ยคะ แล้วที่ไปเข้าคนอื่นนี่มันอะไรเหรอคะ อาคมที่ครอบงำจิตวิญญาณของคน ๆ นั้น แว๊บไปเข้าคนอื่นชั่วคราวรึเปล่าคะ หรือว่าจิตวิญญาณปอบแบ่งภาคไปเข้าคนอื่นคะเพราะว่าอย่างบางทีคนที่เป็นปอบ (กรณีที่ของเข้าตัว) เค้าก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลยกับการที่ปอบในตัวเค้าไปเข้าคนอื่นนะ คะ ยังคงสับสนประเด็นนี้อยู่ค่ะ แล้วก็เคยอ่านเจอมาว่าบางคนที่เรียนไสยศาสตร์แล้วของเข้าตัวกลายเป็นปอบไป แต่ว่าพอไปเอาของออกก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แบบนี้มันคือยังไงเหรอคะ”

    </td> </tr> </tbody> </table> สอบถามอาจารย์ ได้คำตอบดังนี้ค่ะ
    อาจารย์ เล่าเรื่องให้ฟังเรื่องหนึ่งค่ะ เกิดขึ้นที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ เมื่อประมาณ ปี ๒๕๕๐ นักเรียนพยาบาลคนหนึ่ง ปั่นจักรยานในตัวเมืองช่วงเช้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นมี (วิญญาณของ) ปอบแก่ตนหนึ่งเดิน (ร่อนเร่) อยู่ข้างทางอย่างหิวโหย จังหวะที่น้องคนนี้ปั่นจักรยานสวนทางวิญญาณผีปอบก็เข้ามาเกาะเช่าร่าง กายอยู่เพื่อวิญญาณของตนจะได้มีอาหารกิน ไม่อดอยากหิวโหย
    หลัง จากที่ถูก(วิญญาณ) ผีปอบเกาะ นักเรียนพยาบาลคนนี้ก็มีอาการปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ท่าทางเหมือนคนแก่ กินจุจนน่าแปลกใจ เพื่อนและคนรู้จักก็สงสัยว่าน้องคนนี้นิสัยการกินการอยู่เปลี่ยนไปมากในช่วง ข้ามสัปดาห์ จึงพาไปพบอาจารย์เสริมศิลป์ ถึงได้รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร อาจารย์ก็รักษาให้ หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงรักษาหาย อาจารย์บอกว่า
    “ลักษณะ นี้เกิดจาก เจ้าตัวดวงตกหรือขวัญอ่อน จิตวิญญาณพวกนี้เมื่อเจอใครดวงตกหรือขวัญอ่อนก็จะเข้าตัวเราได้ แต่ประเภทนี้ถ้ารู้ตัวปุ๊บแล้วรักษาแต่เนิ่นๆ ก็จะหาย ไม่เป็นอีก”
    ปัจจุบันน้องนักเรียนพยาบาลคนนี้กำลังจะจบปี ๒ ขึ้นเรียนปีที่ ๓ ค่ะ
    ถ้าถามก็จะตอบตามตรงว่า ดวงจิตดวงวิญญาณในบางครั้งเขาก็ยังเร่ร่อนอยู่ทั่วไป บางทีเราเดินสวนทางกับเขาหรือไปในที่ ๆ เขาอยู่ เมื่อเขาเจอใครที่ดวงตกหรือขวัญอ่อน ประกอบกับ ไม่สวดมนต์ ไม่ค่อยทำบุญ ไม่สิ่งของมงคลป้องกัน (เป็นของทางด้านพุทธคุณแบบเมตตากรุณานะ) เขาก็จะเกาะมาอยู่กับเราด้วย เหมือนมาเช่าบ้านอยู่ (แต่ไม่จ่ายสตางค์และเข้ามาขโมยกินข้าวของของเจ้าของบ้านเช่า .. )
    จิตวิญญาณบางดวง ถ้ามาอยู่กับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว (เนื่องจากสาเหตุด้านบน) แต่สภาวะจิตของเราแข็ง ไม่ยอมทำตาม (กิเลสของตัวปอบ) เช่น ไม่กินของสดของคาว อาหารตามที่เขาชอบ หรือสวดมนต์ เขาก็จะไม่อยู่กับเรา เมื่อเขาไปอยู่กับคนอื่นแทน บางทีเขาก็จะเอ่ยชื่อของเราออกมาเพราะไม่ยอมเลี้ยงดูเขา เหมือนคนพาลนั่นแหละค่ะ พวกนี้จะลองอาศัยอยู่ก่อน ถ้าเลี้ยงดี คือเจ้าของร่างทำตามกิเลสของวิญญาณ เขาก็จะอยู่ตลอด แต่ถ้าเลี้ยงไม่ดี หรือไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม (กิเลสของเขา) ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ (เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งวิปัสสนา) เขาก็จะออกจากร่างของเจ้าของร่างนั้นไป แล้วเร่ร่อนไปหาที่อยู่ใหม่ เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับนักเรียนพยาบาลค่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้รักษาให้หายได้ค่ะ เพราะยังไม่เป็นเต็มตัว แล้วที่สำคัญเราไม่ได้รับเข้ามาเอง แต่เขามาแฝง

    ลักษณะที่สังเกตง่าย ๆ ว่าใครมีอาการผิดปกติ คือ
    ๑. ปัสสาวะ บ่อยมาก (ต้องแยกให้ออกนะคะ เพราะอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นเช่น เบาหวาน ความดัน ฯลฯ อย่าเพิ่งเหมารวม เพราะมีองค์ประกอบอื่นร่วมกันด้วย )
    ๒. ง่วงเหงาหาวนอนตอนกลางวันอย่างมาก นอนกลางวัน ขี้เกียจ (นิสัยต้องเปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อนมาก ๆ ด้วยเช่นกัน)
    ๓. เคยกินข้าวประมาณ ๑ จาน หรือปริมาณปกติที่เคยกิน แต่กลายเป็นกิน ๓ จาน กินไม่รู้จักอิ่ม เป็นต้น
    ๔. ชอบกินของแปลก ๆ เช่น ไม่เคยชอบของสดของคาว ก็หันมากินแบบสดๆ ( แต่ถ้าเป็นลักษณะที่บุคคล ๆ นั้นมีความชอบอาหารนั้นอยู่แล้ว แบบนี้ไม่เกี่ยวนะคะ เช่น คนญี่ปุ่นทานปลาดิบ หรืออาหารการกินตามท้องถิ่น เช่น หอยนางรมสด ตัวเพรียง กุ้งสด พล่าต่างๆ เป็นต้น )
    ๕. บ้านหลังไหน ที่ถวาย (เลี้ยงผี) ด้วยของสด ดิบ ไข่ดิบ เนื้อสัตว์สด ๆ โดยเฉพาะพวกไก่ เป็นประจำ เป็นต้น

    อาจารย์ บอกว่ามีปอบมีหลายประเภท มีประเภทโดนบังคับนำวิญญาณมาเลี้ยง เช่น บางที่เขาให้เช่าบูชามาเพื่อทำให้กิจการค้าขายดี ไปหาซื้อของ ซื้อที่มาแต่ไม่ดูให้ดีเพราะ อยู่ไปนาน ๆ ของที่เซ่นไหว้ไม่ได้ให้เขากิน ไม่นานผู้เช่าของมาก็ต้องเป็นอาหารจานด่วนให้วิญญาณปอบนั้น ๆ ลองคิดดูนะคะ ถ้าจะลองเปลี่ยนเป็น สวดมนต์ ไหว้พระทำบุญ ทำจิตใจให้สบาย อย่างนี้ไม่ต้องผวาว่าจะถูก “เชือดแล้วชิม” รับรองค่ะ
    สอบถามอาจารย์เพิ่มเติม
    “สังเกต ง่ายๆ ถ้าบ้านหลังไหนหรือที่ดินผืนไหน หรือที่ใดมีผีปอบ ผีกะ ผีโลง พวกนี้ เวลาเรานอนในที่นั้นๆ เราจะฝันเห็น หมา แมว เสือ ทุกชนิด ทุกพันธุ์ ทุกสี ไม่ว่าจะดำจะขาว แล้วมันไล่กัดเรา (ในฝันนะ อย่าลืม ) นั่นล่ะชัวร์”
    วิญญาณ เหล่านี้ไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นผู้เรียนอวิชชา กล้าอาคม แล้ววิญญาณกลายเป็นชนิด “ปอบหงอน” หรือเป็น “ปอบปล้อง” ขอบอกอย่างภาษาวัยรุ่นว่า “สุด! สุด!” ถ้ากินใครแล้วตายสถานเดียว แต่ขึ้นกับกรรมเกี่ยวเนื่องกับตัวบุคคลนั้น ว่าจะได้เจอผู้ที่มีเมตตามาก ๆ ด้านพุทธคุณก็จะสามารถแก้ไขได้

    ถาม: คนเป็นแล้วแก้ได้ไหม (รักษา)หายหรือไม่คะ

    อาจารย์ตอบ : เคยมีคน(รักษา) หาย เมื่อปีประมาณ ๒๕๓๙ ต้องสวดมนต์รักษาศีล ภาวนาทุกวัน จนจิตเป็น “พุทธะ” คือไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เหลืออยู่เลย

    ถาม: ถ้าเรารู้ตัวว่าเราหรือใครเป็นแล้ว แล้วไม่อยากให้คนอื่นเป็นต่อ หรือส่งต่อใคร ต้องทำอย่างไรคะ
    อาจารย์ตอบ : ต้อง สวดมนต์อย่างเดียว สวดมนต์บทที่มีเมตตาเยอะๆ บทพาหุงมหากานี่แหละดี ได้หมดบทที่เป็นพุทธคุณ แล้วแผ่เมตตาด้วยนะ สวดทุกวัน ไปเรื่อยจนกว่าเขาจะไปเกิด แต่ถ้ารู้ว่าเป็นชัวร์ แล้วไม่ต้องการส่งต่อ ก็ต้องใช้สายสิญจน์ของผู้ที่ทรงด้านพุทธคุณมัดไว้ห้ามแก้มัด เมื่อตายแล้วให้เผาอย่างเดียว ห้ามฝัง เผาให้หมด เสื้อผ้า ที่นอน หมอนมุ้ง และลูกหลานอย่าร้องไห้ ไม่อย่างนั้นเขาจะมีห่วง
     
  19. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    “กำหนด” พลาดก่อนตาย จาก ”ชาย” กลายเป็น “หญิง”

    <hr>
    เรื่องราวการเกิดและสลับภพชาติ ดังเช่น จากเทวดา นางฟ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ หรือ จากมนุษย์กลายมาเป็นลูกสุนัข เช่นเรื่องของโตเทยยพราหมณ์ ในสมัยพุทธกาล หรือแม้กระทั่งเพศชาย กลับกลายมาเกิดเป็นเพศหญิง ก็เป็นไปได้

    ขอยกตัวอย่างของการกลับชาติมาเกิดจากเพศชายกลายเป็นหญิง อาจารย์เล่าให้ฟังว่ามีคู่สามีภรรยามาที่พบอาจารย์ที่สถานีรถไฟเพื่อมา ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องที่ภรรยาของเขาได้ยินเสียงสวดมนต์ในวันโกนวันพระอยู่ ตลอด ยกเว้นว่าถ้าภรรยาเขาสวดมนต์นั่งสมาธิ ก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไร และเล่าต่อว่าก่อนที่จะมาพบอาจารย์ มีคนแนะนำให้ไปพบกับร่างทรง เมื่อเล่าเรื่องอาการที่เป็นอยู่ให้ร่างทรงฟัง เขาก็แนะนำให้รับขันธ์ โดยให้เหตุผลว่าเขามาเตือนให้รับขันธ์ แต่ทั้งคู่ไม่ได้รับ หลังจากนั้นก็มีคนแนะนำอีกว่าให้ไปหาพระให้ช่วย ก็สอบถามเส้นทางและตัดสินใจที่จะไปพบ แต่เมื่อขึ้นรถจะขับไปพบ ก็พอดีกับที่มีพายุเข้าอย่างรุนแรงจนไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้ เลยยกเลิกไป
    ต่อมาอีก ๕ วัน กำนันที่ตำบลแถวบ้านแนะนำให้มาพบ อ.เสริมศิลป์ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นคนไหน กำนันบอกเพียงว่าไปพบคนชื่อนี้ที่สถานีรถไฟ เมื่อมาถึงที่สถานีภรรยาของเขาก็ชี้ไปทางอาจารย์แล้วพูดว่า
    “คนนั้นงัยล่ะอาจารย์”
    สามีงง แล้วถาม “รู้ได้ยังงัย”
    “เพราะคนนั้นมีแสงสว่างออกมาจากตัวเยอะเลย”



    หลังจากนั้นอาจารย์ก็พูดคุยกับทั้งสองคน และได้ให้ลองยกเสี่ยงทายสอบถามโดยการอธิษฐานจิต ก็ได้ทราบว่าชาติก่อน ๆ ของคุณพี่ผู้ชายเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๑ และคุณพี่ผู้หญิง นั้นภพก่อน ๆ เป็นผู้ชาย และบวชเป็นพระสงฆ์ มีอภิญญามาก แต่ด้วยเนื่องจากก่อนจะมรณภาพ จิตก่อนตายไปจับใบหน้าหญิงสาวผู้หนึ่ง (อาจารย์ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร) จิตของพระรูปนั้นเลยต้องกลับมาเกิดเป็นเพศหญิง
    การกำหนดจิตก่อนเสียชีวิต เป็นตัวกำหนดแนวทางในการเกิดว่าจะหมดกรรม หรือก่อกรรมอีก ดังนั้น พอเกิดมาภพชาติใหม่ พระสงฆ์เลยกลับกลายมาเป็นผู้หญิง ถึงแม้จะเกิดใหม่ในเพศฆราวาสหญิง ก็ยังคงมีอภิญญาติดตัวมา คือสามารถรู้อนาคตได้ และสามารถทักได้ตรงมาก เรียกว่า แม่นเลย (ไม่ได้มีอาชีพเป็นหมอดูนะคะ) และที่ได้ยินเสียงสวดมนต์ทุกวันพระวันโกน แต่ถ้านั่งสมาธิสวดมนต์ก็จะไม่ได้ยิน

    อาจารย์แนะนำว่าให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ และให้รักษาศีล ๘ ในทุก ๆ วันโกนและวันพระ เพื่อจะได้ต่อบุญบารมีที่เคยทำมาให้พ้นจากทุกข์ของโลก แล้วก็เตือนคุณพี่ผู้หญิงว่า การทำงานที่ต้องแต่งหน้า อย่าไปยึดติดความสวย สวยได้ สาวได้ มันก็แก่ได้เช่นกัน ให้ปลงสังขาร แล้วให้มองการแต่งหน้า เป็นการทำตามกฎเกณฑ์ของการทำงานเท่านั้นไม่ได้ตกแต่งปิดบังสังขารที่เสื่อม ลงในทุกวัน เพราะมันปิดไม่ได้
    จากเรื่องราวที่เล่ามานั้น การสลับภพชาติ เพศ ฐานะ (จน หรือ เศรษฐี) มีกรรมเป็นตัวสำคัญกำหนด และ “จิต” ก่อนเสียชีวิตก็มีส่วนสำคัญที่จะนำจิตก่อนตายไปเกิดในภพภูมิใด (เช่น เปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา พรหมฯลฯ)

    ภพภูมิก็เป็นตัวปิดกั้น หรือให้กำลัง การเสวยผลบุญหรือผลกรรม ถ้าเกิดเป็นเทวดา ก็ยังไม่ต้องเสวยกรรมจากบาป หรือ ไปตกนรกภูมิ กุศลกรรมต่าง ๆ ที่ทำมาก็ยังไม่สามารถให้ผลได้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ดังนั้นการที่เราฝึกจิต จะเป็น สมถ หรือ วิปัสสนา ให้รู้เท่าทันอารมณ์ หรือการเข้าสมาธิข่มกิเลส เวทนา ความเจ็บปวด ต่าง ๆ นั้นเพื่อจิตก่อนตายกาลนี้ทีเดียว เพราะถ้าพลาดอาจหลงยาวนาน
     
  20. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    อภินิหารองค์พระนเรศวร์ (พระองค์ดำ) โดย พระมหาภูวการ วัดหัวยสอง จ.ชัยนาท [​IMG]
    อภินิหารองค์พระนเรศวร์ (พระองค์ดำ)
    โดย พระมหาภูวการ รักษาการเจ้าอาวาส วัดห้วยสอง จ.ชัยนาท
    <hr> ขออนุญาตออกตัว..เพื่อเกริ่นนำ
    ก่อนที่จะเล่าถึงปฐมเหตุ พระองค์ดำ ขออนุญาตท่านผู้อ่านเล็กน้อยเพื่อจะได้เดินเรื่องตามลำดับถึงที่ไปที่มาของ พระองค์ดำ ซึ่งจะได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดห้วยสอง ต.สุขเดือนห้า อ.เนินขาม จ.ชัยนาท (แต่ถ้าเป็นการรบกวน ก็เชิญที่ประเด็นต่อไปได้เลย) ซึ่งคิดว่าน่าจะเกี่ยวพันกัน อาตมาคิดว่าตัวเองกำลังต่อจิ๊กซอว์ (JIG SAW)บางอย่างอยู่ และยังไม่รู้ว่า ในที่สุดแล้วจะเป็นไปและลงเอยอย่างไรด้วยซ้ำ
    เบื้อง ต้นนี้ ขอออกตัวอย่างนี้ ว่า โดยส่วนตัวมีพื้นฐานเป็นคนขี้ขลาดตาขาว กลัวผี ไม่อยากเข้าใกล้สิ่งลี้ลับตั้งแต่เล็กแต่น้อย ตั้งแต่บวชมา ชอบศึกษาประวัติพระพุทธเจ้า และพุทธสาวก เรียกว่าบวชมา ชีวิตก็อยู่กับตำรับตำราเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียนบาลีมาบ้าง พออ่านออก แปลได้นิดหน่อย สนุกดี..
    ต่อมา มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ "มหาวิทยาลัยนเรศวร" ศึกษาไปได้ระยะหนึ่ง ทุนหมด ก็คิดว่าจะต้องออกกลางคันแน่ ตอนนั้นนึกถึงสมเด็จพระนเรศวร ก็เลยพูดเล่น ๆ กับรูปท่านว่า
    “คงไม่มีโอกาสเรียนจบในมหาวิทยาลัยภายใต้พระนามของพระองค์แน่ เพราะหมดทุน”
    ไหน ๆ ก็จะออกอยู่แล้ว คิดว่าเรียนไปจนกว่าจะหมดเทอม แล้วค่อยออก ตอนนี้ใช้สิทธิ์ในการเรียนให้เต็มที่ก่อน
    หลัง จากนั้น ก็มีความรู้สึกว่ามีคนดูเราอยู่ ขาดอะไร ต้องการสิ่งไหน ก็มีคนคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่ง ดร.วิทยา ณ เวลานั้นเป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัย มาบอกว่าทางมหาวิทยาลัยมีทุนการศึกษาจะถวาย ช่วงเวลานั้นก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็คิดตามประสาว่า ก็ดีเหมือนกันจะได้ต่อลมหายใจได้ และก็เรียนจนจบการศึกษา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ได้แต่รู้สึกขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่มอบทุนการศึกษาให้ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นอภินิหารของพระองค์ดำ เพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เท่าไร ไม่ชอบสะสมวัตถุมงคล แต่จะชอบด้าน "อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์" คือ "ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าด้านการดำเนินชีวิต" มากกว่า
    ประมาณ ๖-๗ ปี หลังจากจบแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า บุญตัวเองเริ่มหมด ทำอะไรกลายเป็นลบหมด ใครที่มาเกี่ยวข้องด้วยก็มักมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา พูดง่าย ๆ ว่าเข้าที่ไหนหัวหน้าแก๊งค์ตายที่นั่น อะไรประมาณนี้ ถ้าไม่ทำบุญใหญ่คงต้องตายแน่ ก็เลยตัดสินใจสร้างโบสถ์ ทั้งที่เงินวัดห้วยสองมีเพียง ๔ พันกว่าบาท
    ช่วงที่วางรากฐานโบสถ์ พระที่วัดตื่นขึ้นมายามดึกเห็นแสงไฟลักษณะคล้ายพระจันทร์แต่ดวงใหญ่พุ่งลอยลงบริเวณพระประธาน
    บางทีก็มีคนฝันว่ามีผู้ชายผิวดำกำลังโกยหินโกยทรายอยู่ที่โบสถ์

    แต่ สำหรับอาตมา ระยะเริ่มแรกที่สร้างโบสถ์นั้น อธิษฐานจิตไว้ว่าทุกวันพระจะไปสวดมนต์ เจริญพระกรรมฐานตลอดคืนยันรุ่งอรุณของวันใหม่โดยไม่หลับที่ฐานสร้างโบสถ์ (จะไม่ให้อธิษฐานอย่างไรได้ ก็ตอนที่สร้างโบสถ์ วัดห้วยสองมีเงินแค่ ๔ พันกว่าบาท)
    ระหว่าง นั้นก็สัมผัสได้ว่าที่ตรงนั้นมีผู้ชายผิวดำดูแลอยู่แน่ ก็ได้แต่นึกในใจว่าน่าจะเป็นโยมพ่อบุญธรรมที่เคยเลี้ยงอาตมา และท่านเป็นผู้นำในการสร้างวัดห้วยสองแห่งนี้ซึ่งได้เสียชีวิตไปนานกว่า ๒๐ ปี แล้ว ท่านอาจจะยังเป็นห่วงวัด ก็คิดไปทำนองนี้
    บาง ที กำลังสวดมนต์ มีลมคล้ายลมพายุกรรโชกพัดมาอย่างแรง พอมาถึงบริเวณโบสถ์ก็หยุดเฉย!! ก็มีความรู้สึกว่าที่ตรงนี้มีอะไรแปลก ๆ เริ่มกลัว ต่อมาก็ทิ้งระยะห่างในการไปสวดมนต์เจริญกรรมฐานที่นั่น จนกระทั่งไม่ไปอีก เพราะรู้สึกกลัว และอาตมาได้บอกไว้แต่แรกแล้ว มาสวดมนต์ให้ฟัง ไม่ได้มาลองของ ถ้าชอบก็ให้รับรู้ในบรรยากาศที่สบาย ๆ แต่ถ้ามาในบรรยากาศที่ขนลุกขนชัน เราก็จบกันแค่นี้
    ครั้ง หนึ่ง มีเซียนหวยคณะหนึ่ง มาขออนุญาตใช้สถานที่ทำหวย แต่อาตมาไม่ให้ ตอนนั้นก็คิดไปต่าง ๆ นานาว่า เกรงเจ้าที่วัดจะหาว่าให้คนอื่นมาใช้สถานที่ทดลอง หรือลองของ ก็กลัวไปต่าง ๆ นานา กลัวว่าเจ้าที่วัดจะมาเล่นงานตัวเอง แต่ในใจก็คิดว่าพวกเซียนหวยคงต้องแอบมาทำแน่ ก็เลยอธิษฐานบอกเจ้าที่วัดว่าไม่ได้เป็นผู้อนุญาตให้ใครมาทำมิดีมิร้ายใด ๆ แต่ถ้าหากเขามาใช้สถานที่ ก็สุดแท้แต่ว่าจะอนุญาตหรือไม่
    ปราก ฎว่าระหว่างที่เซียนหวยกำลังทำพิธีกรรม ทุกคนได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินสวนสนามกันอย่างสนั่นหวั่นไหว และเหมือนว่าเดินวนไปวนมาไม่ห่าง จนต้องยกเลิกการทำหวยในที่สุด
    <hr> ปฐมเหตุ..พระองค์ดำ เริ่มที่คุณขันชัย ชาวลำปางถวายดาบ
    วัน หนึ่ง อาตมาเดินทางไปที่อำเภออู่ทอง ติดต่อเรื่องป้ายงานปิดทองฝังลูกนิมิต วัดห้วยสอง มีสายโทรศัพท์เข้ามาจึงกดรับสนทนา ปลายสายได้แนะนำตัวเองว่าชื่อ ขันชัย เป็นชาวจังหวัดลำปาง ขับรถมาทำธุระ และผ่านมาทางเส้นสุพรรณบุรี เห็นป้ายวัดห้วยสอง มีความรู้สึกว่าดาบที่ตีไว้ถวายพระองค์ดำ น่าจะอยู่วัดห้วยสอง ยิ่งขับรถออกไปห่างไกลตัวเมืองสุพรรณ ก็มีความรู้สึกว่าต้องรีบโทรหาท่าน (หมายถึงตัวอาตมาเอง) เพื่อจะสนทนาแล้วฝากถวายดาบไว้ที่วัด
    อาตมาจึงตัดบทว่า "เอาอย่างนี้ เรานัดคุยกันที่ตัวเมืองสุพรรณบุรีดีกว่า ถ้าเป็นวัดป่าเลย์ไลยก์ โยมจะสะดวกไหม ? "
    คุณขันชัยตอบว่า "ได้ครับท่าน"
    แล้วถามว่าวัดป่าฯ อยู่ที่ไหน อาตมาก็บอกเส้นทางให้เสร็จสรรพเรียบร้อย
    จากนั้นเราต่างมุ่งตรงสู่วัดป่าเลไลยก์ อาตมา ได้มาถึงที่หมายก่อนคุณขันชัยประมาณ ๑๐ นาที ขณะที่รอก็สังเกตรถป้ายทะเบียนลำปาง ไม่นานนักรถคุณขันชัยก็เลี้ยวเข้ามาพร้อมกับกระบะท้ายรถเต็มไปด้วยดาบ คุณขันชัยหาที่จอดรถแล้วเดินไปที่วิหารกราบนมัสการหลวงพ่อโตแล้ว จึงเดินมาที่รถแล้วกดโทรศัพท์คุยกับอาตมาสอบถามว่าถึงไหนแล้ว
    ความ จริงอาตมาถึงก่อนคุณขันชัยเล็กน้อย แต่รออยู่ในรถ และสังเกตรู้เห็นเหตุการณ์ตลอด ขณะที่คุณขันชัยสอบถามอาตมาทางโทรศัพท์นั้น ฝนตกขนาดหนัก ชนิดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และไม่มีทีท่าจะหยุด ตกหนาเม็ดมาก คุณขันชัยจึงชวนไปจอดรถแนววิหารคตของหลวงพ่อโตเพื่อสนทนากัน เมื่อจอดรถ คุณขันชัยก็ฝ่าลุยฝน พร้อมขนดาบไปวางไว้ในวิหารคตอย่างพร้อมสรรพ แต่อาตมายังไม่ลงจากรถ เนื่องจากฝนตกหนักมาก ชนิดมืดฟ้ามัวดิน คุณขันชัยจึงมานิมนต์ที่ประตูรถ
    อาตมาพูดไปว่า “ฝนหยุดตกแล้วจะลงไปเอง ให้โยมรอก่อน”
    พอพูดจบ คุณขันชัยยังไม่ทันก้าวเดิน ฝนก็หยุดตกทันที อาตมารีบลงจากรถ พอเข้าวิหารคตแล้ว ฝนตกหนักกว่าเดิม เรื่องนี้ อาตมามองว่าแปลกดี คิดว่าเป็นอภินิหารพระองค์ดำ ในใจนึกอย่างนั้น
    [​IMG]
    เริ่ม ต้นบทสนทนา คุณขันชัยได้พรรณนาพระคุณของพระองค์ดำที่กู้ชาติกู้แผ่นดินเสียสละหยาดพระ โลหิตฉาบทาแผ่นดิน ทำให้เราคนไทยได้มีแผ่นดินอยู่ คำพรรณนายาวเป็นหางว่าว แต่อาตมาจับประเด็นได้ประมาณนี้ แล้วสรุปว่า
    ตัวของคุณขันชัยเองทำหน้าที่ตีดาบของพระองค์ดำเพื่อสร้างวัดสร้างวา รับใช้พระองค์ดำ เพราะสมัยที่เกิดศึกสงครามวัดวาอารามมีผลกระทบได้รับความเสียหาย พระองค์ท่านก็เลยให้ทหารของพระองค์มาสร้างบูรณะ
    [​IMG]
    อาตมาได้แต่นิ่งฟังโดยอาการสงบ เพราะถึงอย่างไรก็พูดไม่ทัน และมีอยู่ประโยคหนึ่งที่คุณขันชัยพูดว่า
    "ตัวของท่านเอง (หมายถึงตัวอาตมา) ที่จริงเป็นชาวเหนือแต่หนีมาเกิดที่ภาคกลาง เคยเป็น
    ทหารของพระองค์ดำเหมือนกัน"

    อาตมาก็ได้แต่ฟังแบบงง ๆ พอมีจังหวะก็พูดว่า
    "อาตมาเป็นชาวสุพรรณบุรี แต่บวชอยู่ที่ชัยนาท ในอดีตไม่รู้ว่าเป็นทหารของใคร แต่ปัจจุบัน
    เป็นทหารของพระพุทธเจ้ามีหน้าที่นำธรรมของพุทธองค์มาบอกชาวบ้าน"

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    สนทนา กันได้พักใหญ่ คุณขันชัยรู้สึกถูกอกถูกใจอาตมามาก จึงถวายดาบพระองค์ดำไว้ที่อาตมา แล้วให้อาตมายื่นมือมารับ ระหว่างที่ยื่นมือค้างรับดาบนั้น คุณขันชัยก็บริกรรมคาถามากมายก่ายกองเหลือเกิน แต่อาตมาก็นึกในใจไปตามประสาของคนขี้กลัวว่า
    "ขอบารมีหลวงพ่อโตวัดป่าเลย์ไลยก์ หลวงพ่อพุทธมงคลเนรมิตวัดห้วยสอง ลูกไม่รู้ว่าคาถา
    เป็นคุณหรือเป็นโทษประการใด แต่ลูกเป็นคนไม่อยากขัดใจใคร"
    ก็เลยยื่นมือรับ

    "ถ้าเป็นคุณลูกขอรับความปรารถนาดี กุศลเจตนาของคุณขันชัยเพื่อนำไปวัดห้วยสอง ถ้าเป็น
    โทษนิมนต์หลวงพ่อช่วยปัดออกจากกายของลูกด้วย"

    ก็คิดอยู่แค่นี้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงต่างแยกย้ายกันไป
    <hr> ดาบเจอเจ้าของ
    ครั้น ได้ดาบมาแล้ว อาตมาก็มาคิดว่าตัวเราเองก็ไม่ชอบสะสมวัตถุมงคล จะเอาไว้ที่วัด ก็เกรงจะเป็นเศษเหล็ก เอาให้พรรคพวกกันที่ชอบสะสมวัตถุมงคลก็กลัวจะผิดวัตถุประสงค์ ก็คิดมาตลอดเส้นทางกลับวัด ระหว่างนั้นไปไหนก็ต้องนำติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ใครรู้ใครเห็นก็มาดูกันใหญ่ กลายเป็นเรื่องแปลกในสายตาของหมู่มิตรสหาย เพราะตั้งแต่เป็นตัวเป็นตนมา อาตมาไปไหนไม่เคยพกพาวัตถุมงคลหรือเครื่องลางของขลัง ธรรมมงคลของพระพุทธเจ้าถือว่าวิเศษสุดแล้ว เข้มขลังสุดแล้ว ไม่ต้องพกพา ไม่ต้องกลัวหาย ไม่ต้องมีใครลองของ ก็คิดอย่างนั้น
    [​IMG]
    อีก ๒ วันถัดมา อาตมาแวะไปตรวจงานที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ว่าจ้างช่างปั้น "พระยาเสือโคร่ง" เป็นเทพดูแลรักษาวัดห้วยสอง ซึ่งคุณทรงชัย และคุณดารณี ธรรมรัตน์ คุณพ่อคุณแม่ของคุณรุ่งธรรม (เจ้าของปั๊มน้ำมันเชลล์บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี) เป็นเจ้าภาพสร้างถวายเพื่อประดิษฐานไว้หน้าอุโบสถมหาอุตม์วัดห้วยสอง ช่างปั้นผู้นี้ชื่อคุณภูวนาท เป็นชาวเชียงใหม่ เราได้พูดคุยถึงลักษณะโครงสร้างของเสือและลักษณะโดยทั่วไปเพื่อให้งานออกมาดี
    ระหว่างนั้น ช่างปั้นชื่อภูวนาท พูดว่า
    “เมื่อคืนผมฝันว่ามีคนมาที่บ้านเยอะแยะเต็มไปหมด มาขอไหว้พระ และผมเกิดนิมิตสัมผัสได้ว่า
    องค์เสด็จพ่อนเรศวรท่านมาบอกว่าท่านจะไปแล้ว ท่านมีที่ไปแล้ว จากนั้นก็สะดุ้งตื่น"

    คุณภูวนาทได้เล่าว่า "เอ..แล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหนละเนี้ย ยังไม่ทันได้บอกเลยก็ไปซะแล้ว"
    แต่พอเห็นอาตมาเดินลงจากรถมา ความรู้สึกก็ผุดขึ้นทันทีว่าองค์พระนเรศวรต้องอยู่ที่วัดห้วยสองแน่ จึงบอกถวายองค์พระนเรศวร
    <hr> แรงบันดาลใจปั้นองค์พระนเรศวร
    คุณ ภูวนาทบอกถวายองค์พระนเรศวรจบ อาตมาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คือ ตกใจ ตลึง ก่อนหน้านี้ ๒ วัน คุณขันชัยถวายดาบพระองค์ดำไว้ และอาตมาก็นำติดรถไว้ตลอด แต่วันนี้ คุณภูวนาทถวายองค์พระนเรศวร ก็เลยให้คนขับรถของอาตมานำดาบที่รถมาให้คุณภูวนาทดู แล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง อันที่จริงคุณภูวนาทเองก็ไม่รู้ว่าอาตมาได้ดาบมา ซึ่งอาตมาเองก็ไม่รู้ว่าจะเล่าให้คุณภูวนาทฟังไปทำไม ก็ได้แต่ไปไหนก็นำติดรถไปด้วยเท่านั้นเอง
    คุณ ภูวนาทเองก็แปลกใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีคนมาขอซื้อ แต่ก็ไม่ขาย เพราะมีความรู้สึกว่าองค์ท่านไม่ไปอยู่ด้วย มีวัดหลายวัดมาขอ แต่คุณภูวนาทก็ปฏิเสธตลอด จนกระทั่งมาเจออาตมาจึงเอ่ยถวาย จะว่าไปแล้วมันก็แปลกดี

    ที่จริง อาตมาเจอคุณภูวนาท ๒ – ๓ ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถวาย แต่พออาตมาได้ดาบเล่มนั้นมาก็ถูกดลใจให้ถวายเลย
    [​IMG]
    คุณภูวนาทเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ปั้นองค์พระนเรศวร และลักษณะที่ปั้นเป็น องค์ประทับยืน พระหัตถ์เบื้องขวา ถือดาบประจำองค์ท่าสบายๆ ไม่ใช่ถือดาบในท่าเตรียมรบออกศึกษา และยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นเป็นเชิงบอกว่า
    "แผ่นดินสยามนี้ พ่อกู้ไว้เรียบร้อยแล้ว พ่อเป็นผู้กู้มาเองกับมือ ขอให้คนไทยช่วยกันรักษาก็พอ
    ไม่ต้องไปกู้อีกแล้ว รักษาไว้ให้ดีก็พอ ห้ามคนไทยทะเลาะกันและให้พรให้รักกันและให้ช่วยกัน
    ทำบุญรักษาพระพุทธศาสนาของพ่อด้วย เพราะพ่อกู้ชาติมาได้ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธศาสนา"

    ออ..แรง บันดาลใจที่คุณภูวนาทปั้น องค์พระนเรศวร เพราะระหว่างนั้นต้องสู้คดีมากมาย และคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม จึงขอพรบารมีท่าน หากผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย ๆ จะปั้นองค์พ่อ (ส่วนรายละเอียดอาตมาจำได้ไม่หมด เชิญไปฟังที่วัดห้วยสอง คุณภูวนาทจะมาเล่าให้ฟังด้วยตัวเอง)
    <hr> พบหญิงชาวบ้าน บอกที่วัดห้วยสองมีเสือนำโชคและผู้ชายผิวดำให้โชค
    วันหนึ่ง อาตมาได้ไปหารือกับคุณภูวภัท เมธากีรติกร ประธานหอการค้าชัยนาท ถึงการเตรียมงานด้านประชาสัมพันธ์พิธีเสาร์ ๕ เป่ายันต์เกราะเพชร ที่วัดห้วยสองนี้ พอพูดคุยกันเสร็จ ประธานหอการค้าก็เอ่ยขึ้นว่า
    "หลวงน้า ลองให้คนงานของผมเดินตระไกให้เอามั้ย"
    อาตมาถามอย่างคนไม่รู้ว่า "เดินอะไร เดินตระไก ? "
    "อ๋อ..ก็คล้ายดูทางในนั่นแหละ แต่เป็นลักษณะตระกรุดวิ่ง ถามอะไรไป ตระกรุดก็จะวิ่ง โดยที่มือไม่ต้องขยับ"
    อาตมาก็บอกว่า "ก็ได้ลองถามดูก็ได้ แต่อาตมาไม่รู้จะถามอะไรนะ โยมประธานช่วยถามแทนด้วย"
    เมื่อคนงานได้ไหว้ครูแล้วเรียบร้อยแล้ว ประธานหอการค้าก็ถามว่า
    "หลวงน้า (หมายถึงตัวอาตมา) ท่านอยากรู้ว่าวัดห้วยสองเป็นอย่างไรบ้าง ?"
    จากนั้น ตระกรุดก็แกว่งไปมาอย่างแรง คนงานก็พูดว่า
    "วัดนี้มีเสือดุมากเฝ้าอยู่หน้าโบสถ์ ดุมาก เสือดุมาก แต่เป็นเสือใจดี จำศีล ให้โชคลาภ ยังมีอีก
    ที่วัดนี้ มีผู้ชายผิวดำ ยืนถืออาวุธดูแลรักษาวัดนี้อยู่ จะต้องหาร่างให้เขาอยู่ด้วย ทั้งเสือและ
    ผู้ชายคนนั้น"

    อาตมาก็ถามว่า "หาร่างให้เขาอยู่ หมายความว่าหาร่างทรงให้เขาใช่หรือไม่ ?"
    คนงานนั้นก็บอกว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นรูปปั้น"
    อาตมา ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจมาก ทั้งที่คนงานคนนี้เป็นผู้หญิงชาวบ้าน ไม่เคยไปวัดห้วยสอง และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าขณะนี้อาตมากำลังให้ช่างปั้นเสือแล้ว และมีผู้ถวายพระองค์ดำแล้ว แต่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมด ทำไมมันช่างมาบรรจบกัน และลงเอยอย่างนี้ได้ละในวันที่ ๒๖ – ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
    <hr> พระรูปนี้ แท้จริงไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร
    และยังมีพระอีกรูปหนึ่งชื่อพระสุพัฒน์โชค ท่าน ติดตามองค์พระนเรศวรเสมือนว่ามีหน้าที่โดยตรงที่คอยติดตามว่าองค์ท่านจะ เสด็จไปอยู่ ณ ที่ใดได้บ้าง ส่วนรายละเอียดอาตมาเองยังไม่ทราบมากนัก เพราะยังไม่ได้พบเห็นท่าน ได้สนทนากับท่านทางโทรศัพท์โดยผ่านทางคุณภูวนาทช่างปั้นพระยาเสือโคร่งเท่า นั้น แต่ท่านได้คุยกับคุณภูวนาทแล้ว และได้รู้จักกับคุณขันชัยด้วย ส่วนคุณภูวนาทกับคุณขันชัยยังไม่เคยเห็นหน้ากันได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ท่า นั้น ส่วนคนงานของประธานหอการค้าไม่รู้จักใครเลย
    อาตมา เล่าลำดับไปมา ก็เริ่มชักจะงงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครเจอกันบ้าง เอาเป็นว่าจิ๊กซอว์ที่อาตมาต่อนั้นอาจยังไม่สมบูรณ์ หากท่านสนใจ ต้องการรู้จัก ต้องการได้ยินเสียง ต้องการเห็นตัวเป็นๆ ของจิ๊กซอว์ปริศนาทั้ง ๔ ท่านละก้อ... พลาดไม่ได้โดยประการทั้งปวง ที่วัดห้วยสอง ต.สุขเดือนห้า อ.เนินขาม จ.ชัยนาท ในพิธีเสาร์ ๕ เป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๒๖ – ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
    อาตมา ได้นัดหมายบุคคลทั้ง ๔ ไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อมาไขข้อสงสัยว่าเหตุใดพระองค์ดำจึงเจาะจงจะไปอยู่วัด ห้วยสอง และทุกคนก็รับปากรับคำว่าจะมาในงานนี้ด้วย และที่แปลกก็คือว่า คน ๔ คนนี้ บางคนยังไม่เคยเห็นหน้ากัน ได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ บางคนโทรศัพท์ก็ยังไม่ได้คุยกัน หน้าตาก็ยังไม่เคยเห็นกัน แต่ดูเหมือนว่าภารกิจของเขาเหล่านั้นไม่ต่างกันมากนัก นั่นคือปฏิบัติภารกิจเพื่อพระองค์ดำ
    แม้แต่อาจารย์เสริมศิลป์ ขอนวงค์ เอง ท่านก็เปรยๆว่า
    “หรือเป็นเพราะพระนเรศวรที่ทำให้ท่านมาทำพิธีที่วัดห้วยสองและท่านก็ย้ำว่าภารกิจของท่านคือเพื่อพระพุทธเจ้า"
    พูดจบท่านก็หัวเราะ ทิ้งปริศนาให้อาตมางวยงงอยู่เพียงลำพัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...