สติดีดออกจากสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dangcarry, 18 สิงหาคม 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473

    ขออนุญาตอธิบายต่อ

    ข้อความของท่านลุงมหาไม่ได้ว่า ท่าน dangcarry แต่อย่างใดเลยท่านอธิบายไปตามธรรมะ และผมไม่เคยรู้จักท่านลุงมหามาก่อนเลย พึ่งได้คุยกับท่านลุงมหาก็กระทู้นี้เอง ท่านลุงมหายกธรรมะพระอริยะเจ้าพระอรหันต์มาก็ชอบใจก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแอบแฝงแม้แต่น้อย

    การที่ท่าน dangcarry เข้าใจข้อความผู้เข้าถึงพุทธะที่เป็นพุทธภูมิ ผิดไปแม้เพียงเล็กน้อย ย่อมทำให้ฌานสมาธิท่านคาดเคลื่อนได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดนิวรณ์วิจิกิจฉา ขึ้นได้ แม้ท่านจะมีภูมิธรรมเบื้องต้นแล้วก็ตาม ดูจากกระทู้ที่โพสปฏิบัติถัดมาของท่านฌานท่านก็คาดเคลื่อนจริงและท่านก็เกิดความสงสัยขึ้นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนต้องมีเหตุปัจจัย ความบังเอิญไม่มีอยู่ในธรรมะของพระพุทธศาสนา

    ท่าน dangcarry จัดว่าเป็นผู้มีภูมิธรรมเป็นผู้ได้ฌาน ท่านสามารถสังเกตุได้จากการทำสมาธิว่า เกิดสิ่งที่ท่านไม่เคยเป็นมาก่อน คือ ฐานของสติ มิได้ตั้งอยู่ที่รู้ของจิตในอุเบกขา (ความสงบ) แต่กลับไปอยู่ที่กายแทน ซึ่งไม่ใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ท่านขอขมาพระรัตนตรัย และมหาโพธิสัตว์ผู้เข้าถึงพุทธะทั้งหลาย ท่านก็จะกลับทำสมาธิได้เหมือนเดิม แต่ดูเหมือนท่านทำได้เช่นเดิมแล้ว เนื่องจากท่านมิได้มีเจตนาที่ไม่ดี

    แต่ปุถุชน ที่กระทำโดยเจตนาเพราะความไม่รู้ ท่าน dangcarryลองดูตัวอย่างผู้ที่ท่านคุยด้วยในกระทู้นี้ ท่านหนึ่งปรามาสผมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งที่ผมไม่เคยพูดถึงท่านนั้นเคยแม้แต่ครั้งเดียว ผมอธิบายธรรมะบางท่านกลับกล่าวตู่ธรรมะนั้นด้วยเพราะความไม่รู้ธรรมะจริง เห็นแต่ธรรมที่เป็นตัวหนังสือ แต่ไม่เห็นธรรมะในใจตนเอง ซึ่งดูเหมือนเป็นผู้มีภูมิธรรม แต่เอาเข้าจริงไม่มีธรรมะในใจเลย แม้แต่น้อย และก็แสดงความไม่มีธรรม(อธรรม)ออกมาอย่างที่เห็น ท่าน dangcarry ดูท่านที่ปรามาสผมโดยเจตนาจะไม่สามารถเข้าใจธรรมะที่อธิบายไปได้ แม้เพียงเล็กน้อยเลย ท่านอธิบายเพิ่มไปก็ไม่เข้าใจหรือคิดได้ว่าเข้าใจไม่ตรงกันอยู่ดี

    สำหรับปุถุชนแล้วการปรามาสผู้เข้าถึงพุทธะโดยเจตนาจะเป็นการห้ามมรรคผล ห้ามพระนิพพานในชาตินั้นทันที จึงไม่สามารถเข้าใจธรรมะของผู้เข้าถึงธรรมได้เลยไม่ว่าด้วยวิธีใดๆก็ตาม เพราะท่านนั้นต้องไปรับผลกรรมที่ได้กระทำจบลงไปแล้วในชาติถัดไปก่อน ลองดูตัวอย่างได้จากประวัติสมัยพุทธะกาล ท่านที่ปรามาสผู้เข้าถึงธรรมไม่มีท่านใดเลยเข้าถึงธรรมะได้

    ในอดีตเมื่อหลายๆปีก่อน ก่อนที่เว็บพลังจิตจะตั้งขึ้น เคยอธิบายธรรมะในเว็บคนเมืองบัว และยังเคยเห็นเจ้าของเว็บพลังจิตโพสท่านเว็บสโนสใช้ชื่อที่มีตำแหน่งตั้งเองยาวมาก โพสตอนนั้นท่านคนเมืองบัวใช้เว็บ Board ฟรีและยังไม่มีเว็บไซต์เอง ผมอธิบายธรรมะมีคนเข้ามาอ่านเป็นจำนวนมากในกระทู้ที่ผมตั้ง พออธิบายไปไม่นาน ท่านคนเมืองบัว กล่าวตู่ใส่ความธรรมะที่ผมอธิบายทั้งที่ตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า สุดท้ายใส่ความผู้อธิบายคือผม หลังจากปรามาสผมแล้ว สมาธิที่ท่านสอนท่านไม่สามารถทำได้จริงแม้แต่น้อย ประมาณปีกว่า ท่านทะเลาะกับภรรยาจนบ้านแตกจนต้องแยกทางกัน คนมีธรรมะจะทะเลาะกับภรรยาจนบ้านแตกเป็นได้อย่างไร ท่านจัดได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ท่านหนึ่ง ท่านอุทิศตนสอนตามแบบพระอรหันต์นั้นทั้งหมด ท่านสอนจนได้รับประกาศ ท่านทำบุญต่ออายุก็ตามแบบพระอรหันต์ท่านสอนไว้แทบทุกเดือนสุดท้ายท่านคนเมืองบัวอายุสั้น เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ท่านเองยังสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร ทั้งหมดนี้ เพราะ การปรามาสผู้เข้าถึงพุทธะภูมิเพราะความไม่รู้นั้นล่ะ คือ คำตอบ

    คนเมืองบัวนี้น่าเห็นใจมาก ท่านปรามาสเพราะความไม่รู้ และก็ไม่มีทางรู้ด้วยว่าผมคือท่านใด เพราะกล่าวตู่ทุกท่านที่แสดงธรรมะดูเหมือนว่าแข่งขันท่าน ท่านล่วงเกินบุคคลที่ไม่พึ่งล่วงเกิน ยกคนเมืองบัวเพราะน่าจะเป็นที่รู้จัก มีตัวอย่างอีกหลายๆท่านที่ผู้อ่านไม่รู้จักจึงขอยกท่านคนเมืองบัวให้เป็นตัวอย่าง ท่านลงอบายภูมิและได้รับอานิสงค์ที่ไม่ดีจะอย่างน้อยจะได้ทราบว่าล่วงเกินใครไว้แต่คนเมืองบัว ไม่มีโอกาสได้รู้เลย

    วันนั้นถ้าคนเมืองบัว ไม่อยากให้ผมอธิบายที่เว็บบอกผมตรงๆผมก็จะไป ผมมาคนเดียวก็ไปคนเดียว ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ไม่อยากได้ชื่อเสียง ไม่อยากได้เงินทอง ทั้งที่คาดว่าจะไม่อยู่อธิบายนานด้วยซ้ำ แต่การปรามาสผู้เข้าถึงพุทธะที่เป็นพุทธะภูมิ ท่านจะได้อานิสงค์ไม่ดีกลับไปอย่างแรงในชาตินี้เลย นับตั้งแต่ปรามาสเสร็จวินาทีนั้น ถ้าทำสมาธิได้จริงท่านจะรู้เดียวนั้นเลยว่าทำไม่ได้แล้ว ไม่ต้องรอชาติหน้า บางท่านไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่ท่านกำลังกล่าวใส่ความอยู่ภูมิธรรมเป็นอย่างไร และเป็นสาเหตุหนึ่งให้ผมบอกว่าเป็น ผู้เข้าถึงพุทธะก็เพราะไม่อยากให้ท่านผู้ใดประมาท เหมือนคนเมืองบัว อย่างน้อยเมื่อได้รับอานิสงค์ที่ไม่ดีก็ควรจะได้ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ด้วยเหตุอะไร ซึ่งว่าเป็นธรรมกับท่านผู้นั้นมากที่สุด เพราะท่านเลือกที่จะเป็นเช่นนั้นเอง

    ขอบคุณครับ
     
  2. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ขออธิบายเปรียบเทียบคำสอนเพิ่มเพราะคาดว่ามีท่านที่ไม่รู้ความหมายอีกหลายท่าน

    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม พระอรหันต์ทรงคุณปฏิสัมภิทา จัดได้ว่าเป็นผู้แตกฉานในจิต
    "คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้ "

    ท่าน dangcarry
    " จิตคิดสติดับ "


    การที่ท่าน dangcarry รู้ว่า จิตคิดสติดับ ก็ย่อมต้องรู้ความหมายว่า จิตหยุดคิด สติเกิด เพราะท่านปฏิบัติได้ถูกต้อง และธรรมะนี้ ตรงกับ สิ่งที่ท่านปฏิบัติ ได้

    อธิบายแบบสอนเด็ก คือ

    " จิตคิดสติดับ " ตรงกับ คิดเท่าไรก็ไม่รู้

    จิตหยุดคิด สติเกิด ตรงกับ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
    แม้ท่าน dangcarry ยกมาเพียงครึ่งเดียว แต่ใจความรวมทั้งหมดนั้น เทียบความหมายได้เหมือนกับ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม


    ขอบคุณครับ
     
  3. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เอ้า!ไหนคุณสับสนอธิบายความคิดไม่ใช่จิตให้เราฟังหน่อย เอาแบบยาวๆเลย ที่ท่านมีภูมิรู้ ส่วนเรื่องอาย ไม่ต้องห่วงถ้าเราอายที่จะได้รู้เราก็คงไม่ตั้งกระทู้เพื่อให้ท่านได้มากระทุ้งเราหรอกเพราะแต่ละความคิดเห็นของท่านไม่ค่อยจะได้ธรรมเลย ได้แต่การเสียดสี จนบางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าท่านจะบอกอะไรเรา จะให้เราได้ธรรม แบบไหน :z16
     
  4. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เรียนท่านลุงมหา ไม่ทราบว่าท่านหายไปไหน คงเบื่อที่จะแสดงความคิดเห็นแล้วหรือเปล่า วันนี้ต้องระลึกถึงคำพูดที่ท่านได้กล่าวไว้อีกครั้ง เรื่องจิตวิเวก กายวิเวก ที่ท่านเคยสอนให้ข้าพเจ้าวางจิตไว้ ข้าพเจ้าคงต้องกล่าวกับท่านว่า ขอประลองยุทธกับกิเลสสักหน่อยในการตอบกระทู้ของท่านอื่น ที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้รู้ธรรม เพราะได้มีกระทู้ที่แตกออกไปของบางท่าน ข้าพเจ้านั้นพึงสังวรตลอดด้วยปัญญาของข้าพเจ้า ไม่ถนัดเรื่องพวกมากลากไป เอาเป็นว่าถ้าท่านมิเห็นด้วยก็ตักเตือนข้าพเจ้าได้ แต่อกุศลในจิตของข้าพเจ้าไม่มีต่อผู้ใดค่ะ ขอขอบคุณท่านไว้ล่วงหน้าค่ะ
     
  5. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
     
  6. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    พระอาจารย์ สงบ มนัสสันโต.. ท่านเทศน์ไว้ชัดเจน ไหนคุณว่าไปกราบท่านมาแล้วทั้งคู่.! ความคิดไม่ใช่จิต.!

    ท่านทดสอบ1...ผมว่าท่านไปกันใหญ่แล้ว นี่บอร์ดสาธารณะ การโต้แย้งท่านจะมองว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นท่านไปหมดได้ยังไง..ถ้าเป็นอย่างท่านว่าป่านนี้ใครก็ตามที่คุยหรือสนทนาโต้แย้งกับท่าน ก็มีอันเป็นไปหรือไม่ก็ พิกลพิการไปหมดโลกแล้ว..

    ธรรมพระพุทธองค์ต้องถามได้ตอบได้ว่ามายังไงไปยังไงและเพื่ออะไร..ก็เพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านยังไงเล่า จะได้ไม่ยึดถือเป็นตัวตน ธรรมคือของกลางใครก็แตะต้องได้ ไม่ใช่ข้าถูกคนเดียว
    ..แค่อดทนต่อความเห็นที่แตกต่างหน่อยท่านยังทนไม่ได้ อัตตาท่านยังไม่ลดเลยว่าไปถึงพุทธูมิโน่น..เมตตาท่านหายไปไหนหมด ..จะคุย จะบอก ก็เอ่ยชื่อล็อคอินผมมาเลยหรือใครก็ได้ ในที่นี้เขาเถียงกันปกติ.."พูดกันเพราะๆทะเลาะกันได้"..อีกคนก็จะเป็นอริยะให้ได้ บ้าจี้ตาม..เอ้าตามสบายนะ..ผมไม่อิจฉาคุณหรอก !
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อธิบายแบบสอนเด็ก คือ ​

    " จิตคิดสติดับ " ตรงกับ คิดเท่าไรก็ไม่รู้

    จิตหยุดคิด สติเกิด ตรงกับ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
    แม้ท่าน dangcarry ยกมาเพียงครึ่งเดียว แต่ใจความรวมทั้งหมดนั้น เทียบความหมายได้เหมือนกับ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม


    ขอบคุณครับ

    ...นี่ซีต้องอย่างนี้ ท่านทดสอบ1 ดีใจที่เห็นผมเป็นเด็ก ต้องเปิดช่องคุยกันบ้างผมไม่โกรธหรอกครับผมจะได้ความรู้จากท่านอีกเยอะยิ่งมองว่าผมเป็นเด็กผมก็ยิ่งสบายใจเดี๋ยวท่านก็เมตตาเองแหละดีมากกกครับ
    การตีความของท่าน ตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ ..เกิดมาผมเพิ่งเคยได้อ่าน..มันอยากจะรับ แต่มันเหมือนไม่เต็มภูมิยังไงชอบกล เดี๋ยวรอท่านผู้รู้ดีกว่าครับ
    จิตกับสติ..ที่สุดแล้วก็รวมกันเป็นหนึ่ง คืออันเดียวกันผมว่าท่านอธิบายมาอีกทีซิครับ ผมอยากทราบแนวคิดท่านว่าผิดหรือถูก หรือว่าเรายืนกันคนละมุมผมจะได้เปิดใจรับท่านถูก..อีกอย่างท่านมาแยกสติออกจากจิตทำไม..! ..อ้อตีความตามสำนักดูจิต ที่ชลบุรีนี่เอง..ทะแม่งๆผิดแล้วท่านทดสอบ1..!<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2010
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมจะเปรียบเทียบอะไรให้ดูนะครับเอาไว้เป็นข้อคิดแล้วกันครับ โดยธรรมดาแล้วหากเราตั้งอยู่บนฐานของความดีแล้วนั้น
    ข้อ1. คนที่อายุน้อยกว่าจะไปว่ากล่าวตักเตือนคนที่อายุมากกว่านั้นทำได้ไหม
    ข้อ2. คนที่ชำนาญในงานนั้นน้อยกว่าจะไปว่าคนที่ชำนาญในงานนั้นมากกว่านั้นทำได้ไหม
    ข้อ3. คนที่ถือศีล5 จะไปว่ากล่าวตักเตือนคนที่ถือศีล 10 นั้นทำได้ไหม
    ข้อ4. ข้ามไปถึงคนที่ถือศีล10 จะไปว่ากล่าวตักเตือนคนที่ถือศีล 227 นั้นทำได้ไหม
    ข้อ5. เมื่อเทียบโดยภาระหน้าที่แล้ว คนที่อยู่คนละภาระหน้าที่กันนั้นจะไปว่ากล่าวตักเตือนกันก็ไม่อาจก่อประโยชน์แต่อย่างใดยังแต่ผลเสียมากมาย ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม
    ข้อ6. หากพิจารณาในแง่ของความโอหังส์ คนที่คิดว่าตนเป็นพุทธภูมิ เป็นโพธิสัตว์ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีแต่คนที่คิดว่าตนเป็นพุทธภูมิ หรือโพธิสัตว์ด้วยกันเท่านั้นที่ตักเตือนแนะนำได้ไม่ฟังกระแสแม้ของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย แม้ของมนุษย์ปุถุชนผู้เป็นกัลยาณมิตร แบบนี้แล้ว ยังจะเรียกว่า ตนเป็นพุทธภูมิ หรือเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร พระโพธิสัตว์คือผู้สนองโลกเรียนรู้โลก เรียนทั้งถูกเรียนทั้งผิด แต่ว่าติดอยู่ที่ว่าเวลานี้พระศาสนาพระสมณโคดมบังเกิดขึ้นในโลกนี้มากว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว ยังมีเหตุจำเป็นให้หลงทางไปและพลอยพาคนอื่นหลงทางไปอีกนั้น มันไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก นั่นคือหากคนที่กำลังสนทนาด้วยพากันถือตัวถือตนอยู่ด้วย การอบรมธรรมอบรมจิตนั้นก็ไม่อาจเป็นไปอย่างปณิธานที่ตั้งไว้ จะพึ่งเริ่มตั้งไว้ก็ดี หรือจะตั้งมานานแล้วนับอสงไขยไม่ถ้วนก็ดี แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ คนเราเมื่อผ่านอะไรมาแล้วมากๆหลายๆครั้งหลายๆหน เมื่อเห็นไม่ว่าจะกี่ครั้งๆมันก็ควรจะรู้ว่าอะไรคืออะไรได้ทันที ไม่ต้องมีใครชี้บอกหรือสอนมากมาย นี่สำหรับความเป็นจริง ก็ลองพิจารณาเอานะครับว่า คำว่า ความเพ้อฝันกับความเป็นจริงนั้นต่างกันแค่ไหน ผมเองก็ได้แต่เพียงบอกว่า เมื่อมองในแง่ธรรมไม่มีกาลเวลาแล้วทุกคนนั้นแนะนำสั่งสอนเราได้หมด ติดอยู่ที่เราเองจะพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อมารที่เรียกว่า กิเลสมาร ว่าด้วยความถือตัวนั้น มันยังคอยบดบังตาบังใจอยู่ จึงยังไม่ใช่ทางที่พระศาสดาสอนไว้ครับ
    ลองๆพิจารณาดูครับ
    อนุโมทนาสาธุคั๊บ
     
  9. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    (i):d :((y)ฟังธรรม ฟังธรรม
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    "จิตคิดสติดับ" นึกว่า หมายถึง เวลาจิตมันคิดแล้วเอาสติไปดับเสียอีก

    ถ้าใครแยก จิต สติ ความคิดได้ จะเริ่มเข้าใจตรงนี้...
     
  11. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    การอธิบายธรรมผมว่า เราต้องอธิบายให้เห็นถึงภาพ
    ลักษณะว่าเป็นอย่างไร ถ้าขืนเอาคำแค่คำเดียวมาเถียงกัน
    ผมว่ามันไม่ได้เรื่องครับ ตัวอย่างเช่นจิตคิดสติดับ

    ไอ้คำว่าคิดมันมีขอบค่ายแค่ไหนครับ แล้วเราใช้อะไรเป็นตัวคิดครับ
    ถ้าเรามองให้ดี จิตไม่ได้เป็นผู้คิดนะครับ
    ตัวที่ทำหน้าที่คิดจริงๆคือรูปในส่วนที่เรียกว่า สมอง
    ซึ่งเป็นตัวรับอายตนะอย่างหนึ่ง

    จิตที่ว่าเป็นเพียงสภาวะหรือผลที่เกิดขึ้นจาก การทำงานของรูปที่เรียกว่าสมอง
    ดังนั้นผมเห็นว่าการเอาคำที่ว่า จิตคิดสติดับ มันไม่ถูกต้องนัก

    การได้รับผัสสะปัจจุบัน แล้วไประลึกรู้ให้เกิดสติ
    การไประลึกรู้ก็คือการไปย้อนรู้ในสิ่งที่ผ่านมาเรียกว่า สัญญา
    และจากขบวนการทำงานจากปัจจุบันไปหาสัญญา
    เราเรียกมันว่าความคิดมั้ยครับ
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ผมมีข้อไว้สังเกตุ เอาไว้สังเกตุ เล่นๆ

    ท่านใด แยก รูปกับนาม ออกจากกันได้
    คำว่า รูปกับนาม ตัว นี้ หมายถึง รูปที่เป็น รูปกาย
    ไม่ได้หมายถึง รูปนามปริเฉท ในส่วนวิปัสนาญาน

    เวลา แยกออกจากรูปกายแล้ว ลองสังเกตุดู ว่า
    รูปกายของตัวเองที่นอนอยู่ กับ รูปกาย ของตัวเองที่อยู่ต่างหาก
    ลองสังเกตุดูว่า
    รูปกาย ที่มองดูรูปกาย ที่นอนอยู่
    มันคิดได้ไหม
    มันมีความรู้สึกไหม
    มันมีความจำได้หมายรู้ไหม
    มันมองเห็นสิ่งรอบข้างไหม

    ลอง ลองไปให้ถึงจุดนี้จะเข้าใจ
     
  13. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    พี่ปราบ..อย่ากิน m100 m150..มากเกินไปนะครับ เดี๋ยวแยกจิต กับ ใจ(เผลอกับเบลอ) ไม่ออก..
     
  14. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    ว่าแล้ว กิเลสมันทะแม่งๆ (eek)
     
  15. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    คนบางคนก็ชอบที่จะแก้ไข คนบางคนก็ชอบที่จะแก้ตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราจัดอยู่ในประเภทใด!
     
  16. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เราว่าเห็นชัดน่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่ปฏิบัติ เราบอกคุณได้เลยว่า การรู้เพื่อให้เกิดปัญญานั้นยังแยกได้ ต้อง3อย่าง สุตตมัย จิตตมัย ภาวนามัย อันนี้อธิบายคำว่าคิดน่ะ ส่วนเรื่องการถกเถียงกันว่าอะไรเป็นผู้คิด ถ้ามองในธรรมของคุณเราก็ว่าถูก แต่มันยังไม่ซึ้งพอกับถ้าคุณได้รู้แบบละเอียด เรื่องบางเรื่อง ธรรมบางธรรมไม่สามารถอธิบายได้โดยเฉพาะกับผู้ที่รู้ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นธรรมเหมือนกันสุดท้ายปลายทางก็ที่เดียวกัน แต่ถ้าไม่ใช่ ธรรมสุดท้ายปลายทางก็ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    มันก็มีทั้งที่จิตมันคิด กับอาการของขันธ์ 5 เขานั่นแหละ เี่ราลองสังเกตดูให้ดี ๆ นะ

    จิตมันคิด มันคิดยังไง ให้สังเกตเวลาเราโกรธ มันจะคิดเยอะเลย จะทำไอ้โน่นบ้างไอ้นี่บ้าง วาดมโนภาพไม่หยุดเลย คิดไปหายใจหนัก ๆ ไป ฟึดฟัด อึดอัดในอก อันนี้คือจิตมันคิด ตัวนี้แหละให้รู้จักดับ ข่ม ฝืน หยุดคิดเสีย เจริญเมตตาเข้าไปแทนที่ ใหม่ ๆ ถ้ากำลังจิตมันยังน้อย มันก็ต้องดับยากเป็นธรรมดา

    ส่วนความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ 5 คือ วัน ๆ นั่งทำงาน ใช้สมองคิดทั้งวัน กลับมาบ้าน ความคิดพวกนั้นมันก็ยังมาป้วนเปี้่ยนวนเวียนอยู่ในหัว อันนี้มันคือผลข้างเคียงของการใช้สมองเยอะ สมองมันทำงานหนัก มันค้าง ความคิดพวกนี้มีเยอะมาก เป็นความคิดลอย ๆ ไม่ได้ตั้งใจคิด เผลอปั๊บมาแล้ว ใหม่ ๆ ยังไม่มีอารมณ์เข้าร่วม แต่ด้วยความที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ทันมัน สติก็ไม่มี จากความคิดลอย ๆ ทีนี้ก็หลงความคิดพวกนั้น จิตก็เลยเกิดอารมณ์ ก็เลยช่วยมันคิดใหญ่เลย อันนี้เลยกลายเป็นความคิดที่ผลิตโดยจิตอีกทีหนึ่ง ความคิดพวกนี้ครูบาอาจารย์ท่่านให้ฝึกสติขึ้นมาตามดูตามทำความเข้าใจให้ทันตั้งแต่ต้นตอของมันเลยทีเดียว ให้เห็นกระบวนการหลงไปกับมันให้ทัน ถ้าเห็นทันจะเข้าใจเอง ว่าหลงอะไร นี่แหละเราต้องดูให้ออกนะ...
     
  18. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    <!--[if !mso]> <style> v\:* {behavior:url(#default#VML);} o\:* {behavior:url(#default#VML);} w\:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมีความเกิด(คือชาติ)เป็นธรรมดา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความเกิดเป็นธรรมดาคืออะไรเล่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส(ผัสสะ)มีความเกิด(ของจิตหรือวิญญาณหนึ่งขึ้น จนยังให้เกิดเวทนาขึ้นด้วย)เป็นธรรมดา
    (กล่าวคือเกิดแต่เหตุปัจจัยดังนี้ ตา [​IMG]รูป [​IMG]จักษุวิญญาณ [​IMG]จักษุผัสสะ[​IMG]...จิตหนึ่งก็มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วยังให้เกิดเวทนาเป็นธรรมดา)
    (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๘)
    ในอายตนะหรือทวารอื่นๆในผู้ที่ยังดำรงขันธ์อยู่ ก็เป็นเฉกเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อ หู กระทบ เสียง ย่อมเกิดโสตวิญญาณขึ้นเป็นธรรมดา แล้วย่อมเกิดการผัสสะกันเป็นธรรมดา จิตหนึ่งจึงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา, เมื่อ คิดหรือธรรมารมณ กระทบกับ ใจ ย่อมเกิด มโนวิญญาณ หนึ่งขึ้นจากการกระทบกันเป็นธรรมดาจิตหนึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นอีกด้วยเป็นธรรมดา ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา ฯลฯ. ดังนั้นจิตจึงเกิดแต่เหตุต่างๆอันหลากหลาย มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน และยังครอบคลุมหมายรวมไปถึงอายตนะภายนอกหรืออารมณ์คือสิ่งต่างๆที่ไปกระทบสัมผัสอีกด้วยคือเหล่าอายตนะภายนอกทั้ง ๖ อันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์(สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจ) ดังเช่น เมื่อตากระทบรูป รูปหรือภาพที่เห็นอันทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของจิตนั้น ก็ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิต กล่าวคือมีอิทธิพลหรือเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของจิตที่เกิด ณ ขณะนั้นๆ, จิตนั้นถ้าแยกออกมาเป็นกองเป็นกลุ่มหรือเป็นขันธ์ อย่างง่ายที่สุดก็มีถึง ๔ ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งแต่ละกองหรือแต่ละขันธ์นั้น ก็ล้วนเป็นสังขาร-สิ่งปรุงแต่ง อันเกิดมาแต่เหตุปัจจัยต่างๆ อีกมากหลายมาปรุงแต่งกันเช่นกัน จึงต่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นเหตุเป็นปัจจัยหนึ่งของจิตโดยทางอ้อมอีก ด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อประกอบด้วยเหตุปัจจัยอันแปรปรวนได้มากหลายดังนี้ จึงย่อมมีความแปรปรวนง่ายดายเป็นที่สุด คือย่อมแปรปรวนไปตามเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันเหล่านั้นด้วย จึงมีพระพุทธดำรัสไว้ว่า
    เราไม่เล็งเห็นสิ่งอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเหมือนจิตเลย
    (เอกนิบาต ๒๐/๙)
    จิตมีธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก
    (ธรรมบท ๒๕/๑๗)
    "ภิกษุทั้งหลาย การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าใจไปยึดถือว่าร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน ( ขยายความว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิดก็ตาม แต่ก็)ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้ ยังปรากฎให้เห็นว่าดำรงอยู่(ขยายความว่า คงทนอยู่ไม่ได้อย่างแท้จริง อยู่ได้)เพียงปีหนึ่งบ้าง ๒ ปีบ้าง ๓ - ๔ - ๕ ปีบ้าง ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง แต่สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณนี้ ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน(ขยายความว่า เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆ อยู่ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับไป เช่นการฝัน) ลองอ่านกันดู
     
  19. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ชอบใจคำตอบ ท่าน dangcarry ท่านอธิบายได้ตรงธรรม

    ผู้ที่ปฏิบัติได้ ย่อมรู้เห็นและเข้าใจใน สิ่งที่ตนปฏิบัติได้แล้วเป็นอย่างดี
    ธรรมะแม้พูดเพียงเล็กน้อยหรืออธิบายบ้างส่วน ผู้ที่ปฏิบัติเข้าถึงแล้ว ย่อมมีความเข้าใจตรงกัน

    ในทางกลับกันถ้าผู้ปฏิบัติเข้าไม่ถึงนำคำพูดของผู้ปฏิบัติได้มาหาความหมาย
    ก็ทราบได้แค่เพียงความหมายที่เป็นภาษา(ไทย)ที่ท่านผู้นั้น อ่านออกก็เพียงเท่านี้
    ไม่สามารถรู้ความในของคำนั้นได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆก็ตาม
    เพราะ ถ้าธรรมไม่ออกจากใจแล้ว ไม่มีทางเห็นธรรมนั้นได้ตรงกัน


    ขอบคุณครับ
     
  20. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ท่าน Tboon ตอบได้ดี ผมตั้งใจจะคุยกับท่านตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ไม่มีโอกาส ปีนี้น่าจะได้คุยกันบ้างนะครับ

    ขอบคุณครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...