พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอบารมีพระทุกพระองค์จงดลบันดาลให้ท่านประสพแต่ความสุขสำเร็จสมหวังสมความปรารถนาทุกประการนับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  2. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอเรียนเชิญทุกท่านมาร่วมกัน
    ถวายสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน โดยร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม และวัดบ่อเงินบ่อทอง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนาตลอดไป
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  3. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ทศชาติชาดก

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    น้อมกราบขอขมาองค์พระประทีปแก้วมณีโชติ ๓ ประการ ขอน้อมอารธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด ข้าพระพุทธเจ้าขอพระพุทธานุญาติ นำเรื่องราวการบำเพ็ญเพียรของสมเด็จพระองค์ปัจจุบันเพื่อก้าวสู่ทศบารมีเต็ม ๑๐ ประการ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายจะได้สดับตรับฟังและร่วมโมทนาบุญกุศลอันไม่มีประมาณ เหล่านี้


    พระเจ้าสิบชาติ

    :cool: พระชาติที่ 6 พระจันทกุมาร

    [​IMG]


    ในสมัยอดีตกาล
    พระเจ้าเอกราชเป็นพระราชแห่งเมืองบุปผาวดีนคร
    อันเป็นนามเดิมของเมืองพาราณสี
    พระเจ้าเอกราชมีพระอัครมเหสีนาม "โคตมี"
    มีพระราชโอรสพระนาม "จันทกุมาร" และ "สุริยราชกุมาร"
    มีพระธิดาพระนาม "เสลากุมารี"


    ทรงธรรมช่วยประชา

    ในพระราชวังมีปุโรหิตใจบาปนามว่า "กัณฑหาลพราหมณ์"
    เป็นผู้มักคิดการชั่วช้าชอบสินบน ตัดสินความใดก็มิชอบธรรม
    ผู้รู้เห็น ก็มิกล้าปริปากไปด้วยกลัวปุโรหิตจะเอาโทษได้

    คราวหนึ่งผู้แพ้ความทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายถูกแต่มิได้ติดสินบน
    เดินร่ำไห้ออกมาพอดีพระมหาอุปราชจันทกุมารผ่านมาพบ
    จึงทรงตรัสถามเมื่อทรงทราบเรื่องก็เรียกชำระความใหม่
    แล้วตัดสินสอบสวนอย่างชอบธรรม
    ให้ผู้ชนะที่ติดสินบนนั้นกลายเป็นฝ่ายผิด
    และให้ผู้แพ้ที่บริสุทธิ์เป็นฝ่ายชนะความ

    เหล่าไพร่ฟ้าทราบเรื่องก็พากันแซ่ซ้องสรรเสริญกันทั่วนคร
    พระเจ้าเอกราชจึงให้พระอุปราชจันทกุมาร
    เป็นผู้ตัดสินความแทนปุโรหิตกัณฑหาล

    เมื่อกาลกลับเป็นดังนั้น
    ปุโรหิตก็อดได้ลาภสักการะโดยมิชอบ
    ยังความแค้นใจอาฆาตต่อพระจันทกุมารเป็นยิ่งนัก
    ที่มาขัดลาภทำให้อดทรัพย์และเสียหน้าอีกด้วย

    คนบาปคิดแค้น

    เวลาต่อมาพระเจ้าเอกราชทรงพระสุบินเห็นพระองค์
    ได้เสด็จขึ้นสรวงสวรรค์ ณ ชั้นดาวดึงส์
    ได้เที่ยวชมวิมานทิพย์ปราสาทแก้ว
    ซุ้มประตูทองและปราสาททิพย์สูง ๑ พันโยชน์
    อุทยานสวรรค์มีแต่เหล่าอัปสรและบุปผาชาติหอมจรุง
    ริมสระโบกขรณีมีดุริยางค์ทิพย์ขับกล่อมบรรเลง
    ทุกหนแห่งล้วนน่าตื่นตาตื่นใจทั้งสิ้น

    ครั้นตื่นบรรทมจึงให้ทรงปีติพระทัยนัก
    ทรงตรัสถามปุโรหิตกัณฑหาลว่า
    ควรบำเพ็ญกุศลใดหนอ
    จึงจักได้เสด็จไปเสวยสุขในชั้นสวรรค์ได้

    พราหมณ์ชั่วจึงกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจว่า

    "ข้าแต่พระองค์ หากประสงค์จะเสด็จสู่สวรรค์
    ต้องทำพิธีบูชายัญ พระเจ้าข้า
    พระองค์จะต้องทรงสละสิ่งอันเป็นที่รักทั้งปวง พระเจ้าข้า"

    "สิ่งอันเป็นที่รักอย่างไรหรือท่านปุโรหิต"

    "ก็คือพระราชโอรสทั้ง ๔
    พระราชธิดาทั้ง ๔
    พระมเหสีทั้ง ๔
    ช้างแก้ว ๔
    ม้าทรง ๔
    และเศรษฐีอีก ๔ พระเจ้าข้า"

    ปุโรหิตทูลให้ฆ่าคนทั้งปวงนั้น
    แล้วเอาถาดทองคำรองเลือด
    แล้วนำเลือดไปบูชายัญ
    โดยจะต้องตัดคอพระโอรสจันทกุมารเป็นองค์แรกด้วย
    ซึ่งปุโรหิตคนชั่วคิดแค้นเพียงพระจันทกุมารองค์เดียว
    แต่เกรงเป็นที่ครหา จึงหาอุบายให้มีการฆ่าผู้อื่นด้วย
    เป็นอุบายที่อำมหิตยิ่งนัก

    บรรดาเสนาไพร่ฟ้าเมื่อได้ยินข่าวนี้
    ก็ให้หวาดกลัวเสียขวัญกันไปทั่ว
    ต่างเลื่องลือกันต่อ ๆ ไป
    ว่าพระเจ้าเอกราชจะทรงประหารลูกเมียบูชายัญ
    ด้วยเพราะอยากเสวยสมบัติทิพย์ดั่งพระอินทร์บนดาวดึงส์
    มิว่าผู้ใดก็มิอาจทัดทานเปลี่ยนพระทัยได้

    ด้านพระบิดาพระมารดาของพระเจ้าเอกราชก็เสด็จมาทูลวิงวอน
    ตรัสว่ากษัตริย์ที่ใดจะประหารมเหสี
    ธิดาและโอรสเพื่อบูชายัญให้เป็นบาปเป็นกรรมผิดธรรมเนียม
    ควรปฏิบัติทศพิธราชธรรมจึงจะถูกต้อง

    แต่ทว่าพระเจ้าเอกราชทูลตอบว่า

    "ขอเดชะพระราชบิดา ปุโรหิตกัณฑหาลพราหมณ์นั้นกล่าวว่า
    การบูชายัญนี้จะทำให้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าได้เมื่อสวรรคตแล้ว"

    ฝ่ายจันทกุมารก็กราบทูลว่า

    "ขอเดชะพระราชบิดา การฆ่าคนเพื่อบูชายัญมิใช่ทางไปสวรรค์
    หากการสละของรักทำให้ขึ้นสวรรค์ได้จริง
    เหตุใดปุโรหิตจึงมิฆ่าลูกเมียบูชายัญบ้างเล่า
    ปุโรหิตทำเช่นนี้เพราะแค้นเคืองหม่อมฉัน
    หากพระบิดาทรงเมตตาก็ให้ขับหม่อมฉันออกจากนคร
    แล้วไว้ชีวิตทุก ๆ คนด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

    เมื่อถูกวิงวอนหลายครา
    พระเจ้าเอกราชก็ใกล้จะใจอ่อนยอมเลิกการบูชายัญ

    ฝ่ายปุโรหิตจึงรีบเตรียมพิธีและให้ขุดหลุมโดยเร็ว
    แล้วก็รีบมายุยงเพ็ดทูลพระราชาให้รีบกระทำพิธีโดยมุ่งมั่น
    มิให้ทรงเปลี่ยนพระทัยได้ดังนั้น

    พระธิดาเสลากุมารีก็ทรงเข้ากราบพระบาทพระราชา
    และทูลวิงวอนว่า

    "พระบิดาจะฆ่าเสด็จพี่และฆ่าหม่อมฉัน
    เพื่อไปสวรรค์ได้อย่างไรกันเพคะ"

    ฝ่ายพระนางจันเทวี มเหสีของจันทกุมารก็ทรงกันแสง
    พระโอรสของจันทกุมารมีนามว่า "วสุละกุมาร"
    จึงทูลวิงวอนเสด็จปู่ว่า

    "พระอัยยิกาทรงเว้นการประหารพระบิดาของหม่อมฉันด้วยเถิด"

    เมื่อเห็นหลานและคนทั้งปวงร่ำไห้
    พระเจ้าเอกราชจึงทรงสลดพระทัยตรัสว่า

    "เอาล่ะ เราจะงดบูชายัญ มิต้องคิดเรื่องไปสวรรค์แล้ว"

    เมื่อพระราชาเปลี่ยนพระทัย
    ปุโรหิตจึงรีบเข้าเพ็ดทูลยุยงพระราชาตามลำพังว่า

    "ขอเดชะ การบูชายัญนั้นเป็นเรื่องยากนัก
    ดังนั้นถ้าผู้ใดมีจิตเปลี่ยนพระทัย
    จงรีบให้ทำพิธีที่หลุมบูชายัญทันทีมิรั้งรออีกแล้ว

    พิธีบูชายัญอำมหิต

    พระมเหสีทั้ง ๔ ที่จะถูกบูชายัญ คือ
    พระนางโคตมี
    พระนางวิชยา
    พระนางเอราวดี
    พระนางเกสินี

    พระโอรสทั้ง ๔ ก็มี
    เจ้าชายจันทกุมาร
    เจ้าชายสุริยกุมาร
    เจ้าชายภัททเสน
    เจ้าชายรามโคตร

    เศรษฐีทั้ง ๔ คือ
    ปุณณมุขะ
    ภัททิยะ
    สิงคาละ
    วัทธะ

    และช้างแก้ว ม้าแก้ว อย่างละ ๔ ทั้งหมดทั้งปวงนี้
    ถูกนำไปรอพร้อมที่พิธีทันที
    ท่ามกลางความโกลาหลของชาววังและชาวเมือง

    ที่หน้าพระราชวังจึงมีแต่เสียงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินร่ำไห้กันอึงคนึง
    เหล่านกกาก็บินว่อนร้องกันผิดอาเพศทั่วในนภากาศ

    ปุโรหิตสั่งให้นำตัวจันทกุมารมานั่งก้มพระศอที่หลุมเป็นองค์แรก
    แล้วปุโรหิตก็เตรียมดาบจะฟันพระศอพระจันทกุมารให้วายชนม์
    สมความแค้นแห่งจิตบาปหยาบช้า

    เทวดาคุ้มครอง

    ฝ่ายพระนางจันทเทวีพระมเหสีของพระจันทกุมารทรงกันแสง
    ด้วยอาดูรใจจะขาด พระนางยกมือพนมตั้งสัตย์อธิษฐานแก่ทวยเทพว่า

    "ข้าแต่เทพยดาอันทรงศักดิ์
    พระอุปราชจันทกุมารสวามีของข้ามิเคยประพฤติชั่ว
    แต่กัณฑหาลพราหมณ์นี้เป็นปุโรหิตที่ทุศีล
    ประพฤติบาปหยาบช้าอยู่เป็นนิจ
    คิดแต่จะทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน
    คำกล่าวนี้เป็นคำสัตย์ ขอเทพยดาทั้งปวงเป็นพยาน
    ของจงทรงช่วยพระจันทกุมารให้พ้นภัยจากมือคนบาปด้วยเถิด"

    ด้วยแรงอธิษฐานนั้น พระอัมรินทราชาบนดาวดึงส์
    จึงทรงถือค้อนเหล็กอันลุกโชติช่วงด้วยเปลวเพลิง
    เสด็จเหินลอยลงมากลางอากาศ
    ทรงตวาดด้วยสุรเสียงอันกึกก้องว่า

    "ชะช้า.... ไอ้พระราชาโฉดเขลา มิได้ครองราชย์โดยธรรม
    คิดจะฆ่าลูกเมียบูชายัญ มิรู้มีประเพณีที่ใดปรากฎเช่นนี้
    หากทำพิธีเราจะประหารท่านด้วยค้อนเหล็กนี้แหละ"

    พระอินทร์ตวาดพลางทรงฟาดค้อนใส่ฉัตรล้มระเนระนาด
    เสียงกัมปนาทลั่นนคร

    ผู้คนทั้งปวงเห็นฤทธานุภาพเช่นนั้นก็แตกตื่นอลหม่าน
    ต่างกรูกันเข้ารุมทุบตีขว้างปาพราหมณ์กัณฑหาลจนสิ้นใจตาย

    หลังจากนั้นก็กรูกันจะเข้าจับตัวพระเจ้าเอกราช
    พระจันทกุมารจึงทรงเข้ากอดพระบิดาขวางประชาชนไว้
    พรางขอร้องมิให้ฆ่าพระราชา

    บรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินพากันตะโกนขับไล่พระราชา
    ต่างโห่ร้องประฌานมิให้ครองราชย์สืบต่อไป
    ให้พระองค์ทรงโพกผ้าย้อมขมิ้นที่ศีรษะเป็นคนจัณฑาล
    ให้เนรเทศออกไปอยู่หมู่บ้านจัณฑาล
    แล้วอัญเชิญจันทกุมารขึ้นครองเมือง

    เวลาต่อมาพระเจ้าจันทกุมารเสด็จออกนครบุปผวดี
    ไปดูแลปฏิบัติต่อพระบิดาอยู่เนือง ๆ
    พระบิดาก็ทรงถวายพระพร
    ให้พระเจ้าจันทกุมารเสวยราชสมบัติโดยสุขตลอดพระชนมายุ
    โดยมิต้องประสบภัยใดอีกเลย...


    ชาดกเรื่องนี้มีคติธรรมคือเรื่องอาฆาตจองเวรนั้น
    ย่อมให้ทุกข์กลับคืนแก่ตนในที่สุด
    และความเขลาหลงในทรัพย์และสุขของผู้อื่น
    ก็ย่อมให้ผลร้ายแก่ตัวได้ในไม่ช้าเช่นกัน


    ขอน้อมจิตกราบโมทนาบุญกุศลอันบุคคลทั่วไปทำได้ยากยิ่งนั้น ขอธรรมและฌาณสมาบัติที่พระองค์บรรลุแล้วจงปรากฏแก่กายและจิตของข้าพเจ้าและทุกท่านด้วยเถิด สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  4. chai9club

    chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +2,770
    ขอโมทนาถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    (f) (f) (f)
    ขอโมทนาบุญทั้งหลายที่ท่าน โอ๋ อ่างศิลา ได้นำภาพรอยพระหัตถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เราทั้งหลายได้โมทนา ทำให้จิตใจมีความสุข เป็นปิติเป็นอย่างยิ่ง
    ยิ่งได้เห็นแล้ว ทำให้ข้าพเจ้านั้นรู้สึกอิ่มเอมในบุญมาก และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอันประมาณไม่ได้นั้นอยู่ทุกขณะ ขอบารมีแห่งพระทุกพระองค์ฯ ขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้ชมบารมีภาพพระหัตถ์นี้ ให้ประสบผลสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมทุก ๆ ประการครับ
     
  5. นำธรรม

    นำธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +2,914
    การเดินทางสร้างบุญอันประมาณมิได้

    ในกาลแห่งเวลาอันเป็นกุศลยิ่ง


    เมื่อถึงเหตุปัจจัยในการสร้างบารมีให้เกิด แก่ข้าพระพุทธเจ้าและคณะท่านผู้มีคุณ คณะพระธาตุแก้วมณีโชติ ยังกิจแห่งพระศาสนาที่กระทำได้ยากหากไม่มีท่านผู้มีคุณชี้นำการบำเพ็ญบารมี บุญใหญ่ยังจะเกิดได้ยากยิ่งหากไม่ประกอบด้วยปัญญาบารมีแห่งท่านผู้มีคุณ

    ในเวลาแห่งการพักผ่อนของท่านทั้งหลาย ในแดนแห่งโลกนี้ กับกลายเป็นเวลาแห่งการเดินทางเพื่อบำเพ็ญบุญบารมี ให้เกิดกับใจ กาย และยังประโยชน์แก่พระศาสนา และมหาชนทั้งหลายให้ได้รับกระแสแห่งบุญจากการยังกิจบางอย่างให้บังเกิด ด้วยทางคณะฯ


    ได้เดินทางเพื่อไปในดินแดนที่ราบสูงทางภาคอีสาน โดยการเดินทางในครั้งนี้ ได้เริ่มต้นที่
    การบวงสรวงที่ อนุเสาวรีย์ พระธาตุเจดีย์ ศูนย์ศีลปาชีพไทรทองเทพนิมิตภาคอีสาน เป็นธรรมนาวาประดิษฐานพระธาตุ และอนุเสาวรีย์องค์บูรพกษัติยาธิราชเจ้า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระเอกาทศรถ และท่านท้าวสุรนารีแห่งเมืองนครราชสีมา การบวงสรวงการเดินทางขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อันมีองค์สมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เทพพรหมทั้งหมด
    ขอการเดินทางเพื่อบำเพ็ญบุญในครั้งนี้สำเร็จ ทุกประการ(ปล.มีภาพพระสงฆ์บนท้องฟ้ามาส่ง จากการถ่ายรูป )
    เมื่อถึงผามออีแดงที่ติดกับทางขึ้นเขาพระวิหาร เพื่อกราบบูชารอยพระบาทและสถานที่สำคัญ ที่หน้าผา คือภาพแกะสลัก มีภาพพระอมิตาพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวร พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ อันเป็นศีลปะเขรมตามความเชื่อศัทธาที่แผ่เข้ามาในเขรมในยุคที่พระพุทธศาสนามหายานรุ่งเรือง
    คณะเราได้อธิฐานให้ดินแดนแห่งพระศาสนาเชื่อมเป็นแดนเดียวกัน ในภายภาคหน้า และได้เดินทางไปที่น้ำตกภูละออ เพื่อไปสำรวจรอยพระบาท และได้พบและได้อธิฐานจิตบูชา เป็นแดนที่พระพุทธเจ้าได้เดินทางมาพระทับรอยพระบาทคู่ และได้โปรดพระฤาษี 500 ตนที่ได้บำเพ็ญเพียรที่แห่งนั้น โดยพระฤาษีที่ได้บำเพ็ญเข้าฌาณสมาบัติมีสุขนานนับเป็นพัน ๆ ปี เมื่อพระองค์เสด็จมาโปรดพระฤาษีจากบุพกรรมในกาลก่อน ได้ทรงเทศน์ให้ละจากความสุขอันไม่พ้นทุกข์ได้ ให้เห็นความเป็นไปของโลก ที่มีทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ เมื่อพระฤาษีได้ฟังธรรมก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
    และได้ไปสำรวจรอยพระบาทที่น้ำตกแก่งลำดวลได้พบรอยพระบาทสี่รอยท่านผู้มีคุณได้อธิบายว่ากว่าที่พระพุทธเจ้าจะประทานรอยพระบาทไว้ทั้งหมดสี่รอย คงต้องบำเพ็ญบารมีมาไม่น้อยกว่า 80 อสงไขย กับแสนมหากัป
    เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่แก่สรรพสัตว์ทั้งปวงที่พระองค์ทรง ปรารถนาขนเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ เป็นมหาเมตตาอันไม่มีประมาณ
    แต่สถานที่แห่งนี้เป็นที่ท่องเที่ยว จึงทำให้คนทั้งหลายอาจประมาทพลาดพลั้งในรอยพระบาท ก็ขอให้พระพุทธองค์ทรงเมตตาอดโทษล่วงเกินอันนั้นแก่คนทั้งหลายด้วยเทอญฯ
    ในการบวงสรวงก็กระทำอย่างเรียบง่ายงดงาม ได้มีเหตุอัศจรรย์ท้องฟ้าที่ร้อนก็มีเมฆเริ่มมาบดบัง และมีฝนตกมาท่ามกลางการบวงสรวง แต่เป็นอัศจรรย์เป็นฝนที่ตกแล้วไม่เปียก เป็นการสงเคราะห์แก่คณะพระธาตุแก้วมณีโชติเป็นอย่างยิ่ง ในการตั้งใจบำเพ็ญบารมีคอยดูแลรอยพระบาททั้งปวง และอธิฐานให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นสืบไป
    จากนั้นได้เดินทางไปที่อ.โขงเจียม วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อันมีพระคุณเจ้าหลวงปู่คำคะนิง ผู้มีบุญบารมีอันมากยิ่ง เพื่อเข้าพัก และได้ร่วมทำบุญทุกอย่างที่วัด มีการสร้างพระ สร้างพระธาตุ ร่วมสร้างวัด ทำเป็นธรรมทานวิหารทาน ชำระหนี้สงฆ์ และร่วมถวายเทียนพรรษา สังฆทาน ทำบุญทุกอย่างภายในวัด และเดินทางไปที่แก่งตะนะ เพื่อจุดประทีปบูชารอยพระบาทในแก่ง อันมีเป็นจำนวนมากนับประมาณมิได้ น่าจะมากที่สุดในตอนนี้ที่พบ
    และตอนเช้าได้เดินทางไปที่ บริเวณ น้ำตกถ้ำเหวสินธุชัยใกล้บริเวณวัด
    เป็นแหล่งที่พระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในหอยสังข์
    เมื่อพระองค์ตรัสรู้ก็เสด็จมาประทับรอยพระบาทบนหน้าผา มีรอยพระบาทพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ล่วงมาแล้ว ในเวลานี้ท่านผู้มีคุณได้นำคณะฯ ได้อธิฐานสร้างรอยพระบาทอันอัศจรรย์ เป็นการสร้างจากเงินวิระทะโย ดอกไม้แห่งคำสัมปะจิตฉามิ อภิญญา สร้างธรรมจักรฝ่าพระบาทด้วยแก้วและเพชรพลอยล้ำค่า
    สร้างนิ้วพระบาทจากหินแก้วทรายทอง เป็นการสร้างรอยพระบาทอันประกอบด้วยมหาปัญญาบารมีให้บังเกิดรอยพระบาทที่เสร็จโดยฉับพลัน

    และยังกิจแห่งคำอธิฐานปรารถนาพระโพธิญาน และพระสาวกผู้ติดตามอุปฐากพระในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นท่านผู้เจริญในหมู่คณะฯ ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายจึงได้กล่าวคำโมทนา สาธุในเจตนาอันงามนี้

    คงเป็นมหาบุญอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพพระพุทธเจ้าและคณะพระธาตุแก้วมณีโชติ และท่านผู้เจริญทั้งหลายที่ได้รับรู้ โมทนาบุญอันทำได้ยากยิ่ง ในการสร้างพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เพื่อเกื้อกูลสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ด้วยพระมหาเมตตา บุญจึงมีความพิศดาลอลังการมากยิ่ง บุญจะเกิดนับจากนี้จนพระองค์สำเร็จแห่งพระโพธิญาณ ขนสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์บุญทุกอย่างที่เกิดจะมากมายเพียงใดคงมิอาจกำหนดนับได้ บุญใดที่จะเกิดในพระศาสนาเราทั้งหลายจะมีส่วนในบุญนั้น

    และคณะได้เดินทางไปที่ภูผักแผวเพื่อกราบรอยพระบาท และรอยตากผ้าพระ เดินทางไปได้โดยยาก ได้ทำกิจอันสำคัญคือ
    ได้อธิฐานซ่อมผ้าจีวรจากสิ่งมงคลทั้งปวง อาจเป็นครั้งแรกในพระศาสนา
    ได้บูชารอยพระนั่ง ทั้ง 4 พระองค์ด้วยสิ่งมงคลทั้งปวง
    ได้ให้ท่านผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ อธิฐานเทียนแก้วให้ผู้มีกำลังบุญแห่งพะอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ได้จุดบูชาพระ
    ได้อธิฐานไม้ค้ำรอยพระบาทดอกบัวทองแก้วมณีโชติค้ำรอยพระบาทตลอดไป
    (เป็นที่น่าสังเกตุ ไม่มีพระอยู่จำพรรษา น่าจะมีการกระทำอันไม่สมควรบางอย่างในสถานที่แห่งนี้ จึงมิอาจอยู่ได้)
    ได้เดินทางต่อไปที่วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์เพื่อสำรวจรอยพระบาท และร่วมทำบุญถวายปัจจัยเทียนพรรษา

    เมื่อถึงเวลาอันควรฝนได้ตกมาเพื่อเป็นกำลังกายใจในการบำเพ็ญของทางคณะฯ และได้อยุดงานแห่งบุญในครั้งนี้ จึงเดินทางกลับด้วยใจที่อิ่มในบุญกันถ้วนหน้า

    ขอด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์อันมีองค์สมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์อันมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด เหล่าเทพพรหมผู้มีคุณทั้งหลาย ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า และท่านผู้เจริญทั้งหลายจงเป็นผู้สำเร็จในธรรมเป็นฉับพลัน เป็นผู้มีอภิญญาบารมีทั้งปวง เพื่อยังกิจแห่งพระศาสนาเป็นกำลังใหญ่ให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นนิรันดร์


    (verygood) (verygood) (verygood)


    นำธรรม อนันตชัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2006
  6. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ทศชาติชาดก

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    น้อมกราบขอขมาองค์พระประทีปแก้วมณีโชติ ๓ ประการ ขอน้อมอารธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด ข้าพระพุทธเจ้าขอพระพุทธานุญาติ นำเรื่องราวการบำเพ็ญเพียรของสมเด็จพระองค์ปัจจุบันเพื่อก้าวสู่ทศบารมีเต็ม ๑๐ ประการ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายจะได้สดับตรับฟังและร่วมโมทนาบุญกุศลอันไม่มีประมาณ เหล่านี้



    พระเจ้าสิบชาติ

    :cool: พระชาติที่ ๗ พระนารทพรหม

    [​IMG]

    ในครั้งหนึ่งเหล่าพระภิกษุและพุทธศาสนิกชน
    ได้พากันทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้ทรงเล่าเรื่องอดีตชาติ
    เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นมหาพราหมณ์และปราบมารร้ายให้บรรพชาได้
    พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเล่าประทาน
    หลังจากทรงแสดงพระธรรมเทศธรรมจักกัปปวัตนสูตร
    ณ ลัฏฐิวนอุทยานใกล้กรุงราชคฤห์

    ความเป็นมาว่าในครั้งอดีตกาล
    กษัตริย์แห่งมิถิลานครมีพระนามว่า "อังคติราช"
    ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวพระนามว่าเจ้าหญิงรุจา

    พระเจ้าอังคติราชได้ทรงครองเมืองโดยธรรม
    ทรงพระราชทานผอบดอกไม้
    และภูษาแพรพรรณอย่างดีให้พระธิดาทุก ๆ วัน
    และในทุก ๑๕ วัน ทรงพระราชทานทรัพย์ให้พระธิดาบริจาคทาน
    ทรงให้พระสนมอีกหลายร้อยหมั่นบริจาคทานอยู่เนือง ๆ ด้วยเช่นกัน

    ในพระราชวังมี ๓ เสนาอำมาตย์ผู้ใหญ่นามว่า
    อำมาตย์วิชัย อำมาตย์สุนามะ และอำมาตย์อลาตะ
    ซึ่งเป็นบุคคลที่พระราชามักขอให้ถวายคำปรึกษาอยู่เนืองนิจ

    ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ บนท้องฟ้าปรากฏเพ็ญเต็มดวงสว่างไสว
    ในสระน้ำก็เจิ่งนองสดใสเต็มไปด้วยบัวใหญ่งดงามชื่นบาน
    เป็นฤดูกาลที่ทั่วแคว้นดั่งแดนวิมานประดับแก้วแวววาว
    พระเจ้าอังคติคราชจึงทรงมีรับสั่งว่า

    "ดูกรท่านอำมาตย์ทั้งสาม ในวันเป็นฤกษ์ดีแห่งฤดูกาลนี้
    ท่านว่าเราควรจะประพฤติใดจึงเป็นมงคลดีสม"

    ขอเดชะพระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันเห็นว่าพระองค์สมควร
    ออกทัพตีหัวเมืองมาไว้ในครอบครองพระเจ้าข้า"
    อำมาตย์อลาตะกราบทูล

    "ขอเดชะ พระองค์น่าจะจัดมหรสพเฉลิมฉลอง
    ตกแต่งอุทยาน จัดมโหรีบรรเลงตลอดวันคืน
    ให้นางกำนัลฟ้อนถวายด้วยเครื่องประดับงดงาม
    จัดโภชนาการอาหารเพรียบพร้อม
    ให้อภิรมย์ทั้งฤดูพระเจ้าข้า"
    อำมาตย์สุนามะทูลดั้งนั้น

    "ขอเดชะ พระองค์เป็นสมมติเทพผู้ไม่ยินดีในทางอภิรมย์
    สมควรจะสนทนาธรรมกับปราชญ์
    เพื่อให้รู้กระจ่างเห็นแจ้งในธรรมยิ่งขึ้นพระเจ้าข้า"

    เมื่ออำมาตย์วิชัยกราบทูลถวายทางสงบ
    พระเจ้าอังคติราชก็ทรงตรัสเห็นด้วย
    อำมาตย์อลาตะจึงรีบทูลเอาความดีว่า

    "ข้าพระองค์คุ้นเคยกับท่านคุณาชีวกะ
    ท่านเป็นผู้ใฝ่ธรรมและมีผู้ศรัทธามากพระเจ้าข้า"

    คำตอบพราหมณ์เขลา

    ครั้นพระราชาทรงสดับฟังแล้ว
    จึงให้ยกขบวนเสด็จไปยังสำนักชีตนนั้น
    พระราชาทรงตรัสถามแก่คุณาชีวะเป็นปริศนาธรรมว่า

    "สิ่งใดควรทำสำหรับพระราชา
    เมื่อทำแล้วย่อมสำเร็จสู่สวรรค์
    สิ่งใดมิควรทำสำหรับพระราชา
    ทำแล้วย่อมเป็นทางนำสู่นรก
    และสิ่งใดเป็นข้อควรประพฤติปฏิบัติต่อบิดามารดา
    อาจารย์ บุตรภรรยา ผู้เฒ่าผู้อาวุโส พราหมณ์และสมณสงฆ์
    และไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน"

    เมื่อชีเปลือยคุณาชีวกะอับจนปัญญา
    จึงกราบทูลตามลัทธิมิจฉาทิฐิของตนว่า

    "ขอเดชะท่านมหาบพิตรความสงสัยของพระองค์นั้นตอบได้ดังนี้

    ๑ เรื่องของบุญนั้นไม่มีจริง บาปก็ไม่มี ภพหน้าก็ไม่มี

    ๒ เรื่องของบุพการีบิดามารดาก็ไม่มีจริง มิต้องปฏิบัติด้วยดีอย่างใด
    เพราะคนเราเกิดมาตามธรรมดา ดั่งเรือเล็กตามเรือใหญ่
    ไม่ใช่ผู้มีบุญคุณต่อกัน

    ๓ สัตว์ทั้งหลายก็เสมอกันเช่นดั่งคน วัยผู้เฒ่าผู้อาวุโสก็เสมอเหมือนกัน
    มิต้องนอบน้อมบำรุงปฏิบัติหรือเกื้อกูลแต่อย่างไร

    ๔ สมณพราหมณ์ก็มิได้วิเศษใด ทำดีไปสวรรค์
    ทำชั่วไปนรกมิใช่เรื่องจริง ทำทานไปก็มิได้สิ่งใดตอบแทน
    มิมีผลแห่งบุญหรือผลแห่งบาป

    ๕ การถือศีลก็จะทำให้หิว มิควรถือศีลการให้ทานก็คือความโง่
    แต่คนฉลาดคิดแต่รับทาน"

    คุณาชีวิกะเห็นพระราชานิ่งสดับฟังด้วยความทึ่งดังนั้น
    ก็รีบกล่าวต่อย่างลำพองใจในปัญญาอันมืดมิดของตนอีกว่า

    "แม้แต่ร่างกายของคนเรานั้นก็รวมกันมาจาก ๗ สิ่งคือ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์ และชีวิต
    หากเมื่อสูญสลายตายไปแล้วส่วนที่เป็นไฟก็จะไปอยู่กับไฟ
    ส่วนที่เป็นลมก็จะล่องลอยไปอยู่กับลม
    สุขและทุกข์ก็ลอยไปในลมในอากาศเช่นเดียวกับชีวิต

    ดังนั้นการฆ่าหรือตัดชีวิตใครก็จึงมิใช่เรื่องของบาปหรือกรรม
    สัตว์และมนุษย์เวียนว่ายตายเกิดอีกชั่ว ๖๔ กัปป์กัลล์อยู่แล้ว
    ต่อจากนั้นก็จะบริสุทธิ์ได้เองมิต้องถือศีลทำบุญ"

    อำมาตย์อลาตะฟังดังนั้นก็รีบทูลสนับสนุน ว่าตนเองก็เห็นจริงเช่นนั้น
    อ้างว่าตนระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นคนใจบาปชื่อ "ปิงคละ"ผู้ฆ่าโคขาย
    ชาติต่อมายังได้เกิดเป็นกุลบุตรในตระกูลเสนาบดีจนมียศศักดิ์จนถึงวันนี้
    มิเห็นต้องตกนรกหมกไหม้แต่อย่างใด
    ก็ย่อมแสดงว่าบาปบุญไม่มีจริงดังที่ท่านอาจารย์กล่าว
    เพราะหากบาปมีจริง ตนก็คงต้องไปตกนรกหมกไหม้แล้ว

    แต่ในทางแห่งความเป็นจริงที่เป็นมา
    อำมาตย์อลาตะเกิดเป็นกุลบุตรในตระกูลดี
    เนื่องจากในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า
    ได้ถวายพวงอังกาบบูชาพระเจดีย์
    เมื่อตายไปเกิดเป็นปิงคะผู้ฆ่าโคขาย
    และอานิสงส์ในภพที่ถวายพวงอังกาบ
    จึงได้มาเกิดเป็นเสนาอำมาตย์ในชาติภพนี้
    แต่อำมาตย์ระลึกชาติได้ชาติเดียวจึงเห็นผิดไปว่า
    เรื่องการทำบาปมิได้ส่งผลให้ต้องชดใช้กรรมแต่อย่างใด

    คนบาปเห็นผิดเป็นชอบ

    ในขณะนั้น บุรุษนาม "วิชกะ"
    บุตรช่างหม้อยากไร้ได้ฟังความด้วยก็ร่ำไห้ออกมา

    ครั้นพระราชาตรัสถาม วิชกะก็กราบทูลว่า ตนเสียใจนัก
    ตนเคยระลึกชาติว่าเป็นเศรษฐีเมตตาจิตบริจาคทานอยู่ตลอดชีวิต
    แต่ชาตินี้จึงมาเกิดเป็นคนจนอนาถา แสดงว่าบุญและบาปไม่มีจริง ๆ
    แน่นอนแล้วล่ะนี่

    ซึ่งในความจริงนั้น ชาติเดิมวิชกะเป็นคนเลี้ยงโค
    วันหนึ่งโคหายก็พาลดุด่าพระภิกษุที่ผ่านมาถามหนทาง
    ตายไปจึงมาเกิดเป็นคนต่ำต้อย
    ซึ่งวิชกะระลึกชาติได้แค่ชาติเดียวที่เกิดเป็นเศรษฐี

    เมื่อมีผู้สนับสนุนเห็นพ้องด้วย
    พระเจ้าอังคติราชก็พลอยเชื่อถือคำของคุณาชีวกะ
    จึงทรงตรัสแก่วิชกะว่าพระองค์ก็บริจาคทานไปแล้วเหมือนกัน
    นับเป็นทางที่ผิด พระองค์จะหาความสุขให้ตัวเองนับแต่นี้
    และไม่มาสำนักนี้อีกเลย
    ในเมื่อมิได้มีใครบันดาลผลบุญธรรมแก่เราทุกคน

    ตรัสดังนั้นก็มิทรงทำความเคารพชีเปลือยอีก
    ทว่าเสด็จกลับวังในทันทีนั้นเอง

    เมื่อเสด็จสู่พระราชวังพระเจ้าอังคติราชก็ทรงให้จัด
    มหรสพรื่นเริงให้มีดุริยางค์ขับกล่อมตลอดเวลา
    มีนางกำนัลตกแต่งกายยั่วยวนฟ้อนรำ
    จัดสุราอาหารสำราญพร้อม มิสนใจในกิจแห่งแผ่นดินอีก
    ทรงมุ่งแต่มัวเมาในทางกามคุณ ละเว้นโรงทานและศาลาธรรมจนสิ้น

    พระธิดาช่วยเหนี่ยวรั้ง

    ครั้นเมื่อถึงวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ
    พระธิดารุจากุมารก็ทรงเข้าเฝ้าตามกำหนด
    พระราชาก็ทรงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งดั่งเดิม
    แต่มิได้ใส่พระทัยว่าจะนำเงินไปทำบุญหรือทำสิ่งใด

    พระธิดายังทรงถือศีลอุโบสถและทำทานเป็นนิจ
    และทรงระลึกชาติได้ ๑๔ ชาติ คือ
    ชาติภพเดิม ๗ ชาติ ภพหน้า ๗ ชาติ
    และพระนางก็คิดช่วยเหลือพระราชบิดา
    ด้วยว่าทั่วนครต่างก็เลื่องลือว่าพระราชา
    หลงอบายมุขตามลัทธิชีเปลือยไปเสียแล้วนั้น

    ครั้นถึงวันพระอีกคราว
    พระธิดารุจาก็เสด็จเข้าตามกำหนด
    ทรงให้นางกำนัลแต่งกายละลานตา
    ทรงได้สนทนากับพระราชาเป็นอันดี
    ทว่าเมื่อทรงทูลขอทรัพย์ตามปกติ
    พระราชจึงทรงตรัสว่า
    ตั้งแต่แจกทานทำบุญก็มีแต่หมดทรัพย์
    แต่มิได้สิ่งตอบแทนคืน
    ตอนนี้พระองค์รู้ทางถูกแล้ว
    คนเราควรเอาเงินบำรุงบำเรอความสุขให้ตนเอง
    ดังนั้นขอให้พระธิดาเลิกเอาเงินไปบริจาคทานเสียทีเถิด
    คุณาชีวกะอาจารย์ก็ได้สำแดงลัทธิให้เข้าใจแล้ว
    ทาสวิชกะก็ยังยืนยันเช่นกัน

    เมื่อธิดารุจาได้ฟังก็ให้สลดพระทัยยิ่งจึงกราบทูลว่า

    "ข้าแต่พระบิดา
    ไฉนพระองค์หลงผิดไปเชื่อความของคนที่ไร้สติปัญญาเช่นนั้น"

    พระราชบิดาตรัสตอบพระธิดาว่า

    "เจ้าหญิงเอ๋ย
    พ่อเชื่อเพราะเห็นว่าความที่คุณาชีวกะแสดงมานั้นเป็นเรื่องจริงที่น่าเชื่อถือ
    ทำให้พ่อหายโง่ เลิกทำบุญถือศีลซึ่งมิได้ผลดีอันใด"

    "หากพราหมณ์นั้นกล่าวว่าคนนั้นเสมอเหมือนกัน
    และการบำเพ็ญภาวนาไม่มีผลใด
    แล้วพราหมณ์นั้นไฉนจึงเฝ้าบำเพ็ญภาวนา
    เป็นอาจารย์ให้ผู้คนกราบไหว้และเชื่อฟัง

    ข้าแต่พระราชบิดา หากคนเราคบคนพาลย่อมเป็นพาลไปด้วย
    หากคบหาบัณฑิตนักปราชญ์ก็ย่อมจะพลอยเป็นปราชญ์ไปด้วย
    ชีเปลือยคุณาชีวกะก็ยังให้คนนับถือตนและบำเพ็ญกิริยาต่าง ๆ
    แล้วจะมาว่าการบำเพ็ญไม่มีผลบุญบาปได้อย่างไร"

    ส่วนอลาตะและวิชกะนั้นระลึกชาติแค่ชาติเดียวเท่านั้น
    หม่อมฉันระลึกได้ถึง ๑๔ ชาติ
    ในชาติหนึ่งนั้นเกิดเป็นหญิงมีสกุลแต่คบชู้
    ตายไปก็ได้เกิดเป็นบุตรมหาเศรษฐี ด้วยผลบุญก่อนยังหนุน
    และผลกรรมยังตามมามิทัน
    ยามเป็นบุตรเศรษฐีก็ทำทานถือศีลเพราะมีมิตรดี
    เมื่อตายไปก็ตกนรกหมกไหม้เพราะผลกรรมที่ลักลอบเป็นชู้ตามมาทัน
    จากนรกก็ไปเกิดเป็นลา ถูกทรมานตาย
    แล้วเกิดเป็นลูกลิง ถูกกัดกินจนตาย
    ก็ไปเกิดเป็นกะเทย
    จากนั้นจึงไปเกิดบนชั้นสวรรค์
    เป็นพระมเหสีของพระอินทร์ ๔ ชาติ
    เพราะผลบุญจากชาติที่ทำทานตามมา
    และในชาตินี้ก็เกิดเป็นพระราชธิดาพระราชาคือพระบิดานี้เอง"

    พระราชาทรงเงียบนิ่งด้วยเพราะหาทางโต้แย้งมิได้
    พระธิดารุจาจึงทูลต่อว่า

    "การคบคนเลวต่างหากที่จะพาให้พระบิดาตกนรก
    การคบหาคนดีจึงจะเสด็จสู่สวรรค์ได้ คนที่เป็นครูเป็นอาจารย์
    หากอบรมสั่งสอนสิ่งชั่วร้ายเลวทรามให้แก่ศิษย์
    ผู้เป็นศิษย์ก็ย่อมตกต่ำไปด้วยเสมือนดั่งใช้ใบไม้เน่าห่อปลา
    ปลานั้นย่อมจะเหม็นเน่าไปด้วย
    หากห่อปลาด้วยใบไม้หอม ปลาก็ย่อมจะหอมหวลด้วยแน่นอน
    ขอให้พระบิดาทรงใคร่ครวญ"

    เมื่อพระราชาสดับฟังดังนั้นก็ยังมิเปลี่ยนความเชื่อมั่น
    ด้วยเพราะยังคงทรงตกต่ำมัวเมาอยู่ในเพศรสมิจฉาทิฐิดังเดิม

    ให้ทวยเทพช่วยเหลือ

    พระธิดารุจาจึงทรงนมัสการ ๑๐ ทิศ
    แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานว่า
    ขอให้ทวยเทพยดาช่วยให้พระราชบิดา
    ให้พ้นทางมัวเมาตามมิจฉาทิฐินั้นด้วยเถิด

    "ข้าแต่ทวยเทพยดา ท้าวจตุโลกบาล
    ท้าวมหาพรหมแลสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม
    ขอพระองค์ทั้งหลายทรงโปรดช่วยพระราชบิดาให้พ้นทางมัวเมา
    ให้เห็นทางสว่างพ้นจากทางผิดอันมืดมิดด้วยเทอญ"

    ยามนั้นพระนารทะมหาพรหมซึ่งคือพระพุทธเจ้านั้นเอง
    ได้ทรงจำแลงกายเป็นนักบวชมาเข้าเฝ้าพระเจ้าอังคติราช
    โดยเหาะลอยมาในอากาศพร้อมทองหาบหนึ่ง

    พระราชาทรงตรัสถามพระมหานารทะว่า
    ไฉนพรหมจึงเหาะได้ พระนารทะจึงทรงทูลว่า
    เพราะพระองค์บำเพ็ญคุณธรรม ๔ ประการ คือ
    รักษาสัจจะ
    ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    ไม่ประพฤติผิดในกาม
    และประพฤติชอบธรรมทั้งกาย วาจา ใจ คือเสียสละ

    พระราชาแคลงพระทัยนัก
    ทรงถามว่าภพหน้าและบาปบุญมีจริงหรือ

    พระนารทะทรงทูลว่า เรื่องนั้นมีจริงพระราชาจึงทรงว่า
    ถ้างั้นก็ขอยืมเงิน ๑ พัน แล้วชาติหน้าจะใช้คืนให้
    พระนารทะว่า พระราชเป็นคนผิดศีล
    ไม่มีธรรม ตายไปก็จะเกิดในนรก
    ซึ่งคงไม่มีใครกล้าลงไปทวงในนรก
    แต่หากพระราชาเป็นคนประพฤติชอบ
    แม้กี่พันก็จะให้ยืม
    เพราะชาติหน้าพระองค์ย่อมชดใช้โดยดี

    เมื่อพระราชาฟังแล้วเงียบนิ่ง
    พระนารทะจึงทรงกล่าวสืบไปว่า
    ถ้าพระราชาหลงผิดในทางอบายมุขละเว้นธรรมเช่นนี้
    เมื่อตายไปก็จะเกิดในนรก
    ต้องถูกแร้งกาจิกกินจนเลือดโทรมกาย
    เจ็บปวดทรมานในนรกโลกันต์อันมืดมิด
    มีดหอกคอยทิ่มตำ มีหนามงิ้วเสียดแทง
    มีทั้งฝนอาวุธตกลงมาทิ่มแทงใส่กาย
    หากล้มไปก็ถูกนิริยบาลรุมแทง
    กระหน่ำย่ำเหยียบและโยนลงกะทะเดือด

    ในนรกมีภูเขาเหล็กลูกมหึมากลิ้งมาทับบดร่างให้แหลกยับ
    ถูกกรอกด้วยน้ำทองแดงจนตับไตไส้พุงขาดวิ่น
    ยามหิวต้องกินน้ำเลือดน้ำหนองของตนเอง
    บรรดาสุนัขนรกตัวเท่าช้างก็คอยมาแทะกัดกินเนื้อตัว
    ให้ทุกข์ทรมานมิรู้สุดสิ้น

    พระราชาทรงนิ่งสดับฟังเสร็จแล้วก็ให้หวาดหวั่นพระทัยนัก
    ทรงตรัสด้วยความกลัวตัวสั่นว่า

    "เรานี้เป็นคนหลงมัวเมาในทางผิด
    เรามิอยากตกในนรกเลยนะท่านนารทะ
    ขอให้ท่านจงช่วยชี้ทางถูกให้ข้าพเจ้าเถิด"

    จากนั้นพระนารทะจึงทรงทูลว่า
    ให้พระราชาทรงละมิจฉาทิฐิหมั่นบำเพ็ญกุศลทำทาน
    และรักษาศีลอย่างแน่วแน่

    บรรดาช้าง ม้า โค กระบือที่แก่เฒ่าก็ให้ปล่อยเสีย
    เช่นเดียวกับอำมาตย์ชราก้ฬห้เลี้ยงดูมิต้องทำราชการอีก
    และให้ยึดมั่นในการรักษาศีล ๕ และศีล ๘
    อันจะมีผลในภายหน้าอย่างสูงส่ง
    เป็นทางสู่สวรรค์ชั้นฟ้าด้วย

    ให้พระราชาครองราชย์โดยชอบธรรม
    ตั้งกายเป็นราชรถ ตั้งจิตเป็นสารถี
    ให้สารถีขับรถคือจิตนำกายไป
    ประพฤติตามกุศลกรรมบท ๑๐ ประการ
    ละเว้นกิเลส สำรวมตน คบมิตรที่ดี
    และไม่ประมาทเสมอไป

    เมื่อทรงแสดงโอวาทแล้ว
    พระนารทะมหาพรหมก็เหาะกลับสู่วิมานแมน

    พระราชาและเหล่าเสนาอำมาตย์ที่พบเห็นก็แตกตื่นรีบก้มสักการะ
    และนับแต่นั้นมาพระเจ้าอังคติราชก็ประพฤติตามโอวาทพระนารทะ
    บำเพ็ญกุศลถือศีลทำทาน ปกครองเมืองโดยสงบร่มเย็น
    เมื่อเสด็จสวรรคตก็ทรงขึ้นสู่สวรรค์

    คติธรรมอดีตนิทานนี้มีว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    ทำดี ย่อมได้ผลดี
    ทำผิดบาป ย่อมได้ชั่วช้าสามานย์เป็นผลตอบ
    และการคบมิตรสหายนั้นก็จะส่งผลดีเลวแก่ตัวบุคคลนั้นด้วย


    ขอน้อมจิตกราบโมทนาบุญกุศลอันบุคคลทั่วไปทำได้ยากยิ่งนั้น ขอธรรมและฌาณสมาบัติที่พระองค์บรรลุแล้วจงปรากฏแก่กายและจิตของข้าพเจ้าและทุกท่านด้วยเถิด สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  7. chai9club

    chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +2,770
    ขออนุโมทนาถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    (f) (f) (f) (f)
    ขอโมทนาบุญทั้งหมดของคุณนำธรรมเป็นอย่างสูงที่ได้นำผลบุญในครั้งนี้มาเผยแผ่ให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายได้มีโอกาสโมทนาบุญอันยิ่งใหญ่ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ทุกท่านมีความสุข สมความปรารถนาทุกประการ
     
  8. จิตว่าง

    จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +3,098
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง วายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอบารมีพระคุ้มครองนะค่ะ
    อ่านแล้วดีมากค่ะ
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  9. จิตว่าง

    จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +3,098
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ บารมีพระประมาณไม่ได้จริงๆค่ะ อัศจรรย์ใจค่ะ ดีใจที่ได้เกิดมานับถือพระพุทธศาสนาค่ะ
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  10. จิตว่าง

    จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +3,098
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ยังไงก็ขอไปด้วยคนนะค่ะ
    อย่าทิ้งกันละ
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  11. จิตว่าง

    จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +3,098
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ยินดีด้วยกับทุกคนที่ได้ไปนะค่ะ เสียดายติดธุระไปไม่ได้ไม่งั้นคงได้ทำผ้าห่มพระสวยๆไปให้ค่ะ โอกาสหน้าอย่าลืมชวนกันนะค่ะ
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  12. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ทศชาติชาดก

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา​


    น้อมกราบขอขมาองค์พระประทีปแก้วมณีโชติ ๓ ประการ ขอน้อมอารธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด ข้าพระพุทธเจ้าขอพระพุทธานุญาติ นำเรื่องราวการบำเพ็ญเพียรของสมเด็จพระองค์ปัจจุบันเพื่อก้าวสู่ทศบารมีเต็ม ๑๐ ประการ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายจะได้สดับตรับฟังและร่วมโมทนาบุญกุศลอันไม่มีประมาณ เหล่านี้


    พระเจ้าสิบชาติ

    :cool: พระชาติที่ ๘ พระภูริทัติ

    [​IMG]

    ในครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว พระเจ้าพรหมทัตแห่งพาราณสี
    ทรงเกรงว่าพระราชโอรสที่เป็นอุปราชจะคิดแย่งชิงราชสมบัติ
    จึงมีรับสั่งให้พระราชโอรสเดินทางออกท่องเที่ยวไป
    แล้วค่อยกลับมาครองเมืองเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว

    พระมารดาเป็นธิดานาค

    พระราชบุตรจึงทรงออกเดินทางไปถึงป่าแห่งหนึ่ง
    และครองเพศเป็นนักบวชอยู่ที่อาศรมริมฝั่งแม่น้ำยมนาตามลำพัง

    ระหว่างนั้น นางนาคนาม "มานวิกา" มิอาจเห็นนาคอื่นมีคู่ครองเป็นสุข
    จึงออกจากบาดาลมาเที่ยวป่า คิดลองใจนักบวชรูปงาม
    จึงตกแต่งอาศรมด้วยดอกไม้และเครื่องหอมงดงามยั่วยวน
    เมื่อราชบุตรกลับมาพบก็พอพระทัยนัก ลงนอนในอาศรมอย่างปีติ
    นางนาคจึงรู้ว่าราชบุตรมิได้บวชด้วยศรัทธา
    ก็แอบมาจัดอาศรมให้ทุกวันจนราชบุตรแอบดักพบและชอบพอกัน
    จึงตกลงครองคู่กันจนมีพระโอรสและพระธิดานามว่า
    "สาครพรหมทัต" และ "สมุทรชา"

    ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตเสด็จสวรรคต เสนาอำมาตย์มิรู้ว่า
    พระราชโอรสอยู่ที่ใดจึงคิดจะเสี่ยงทายราชรถ
    แต่พอดีมีพรานป่าผู้หนึ่งเคยไปพักพิงที่อาศรมของพระราชโอรสหลายวัน
    จึงบอกแก่เสนาอำมาตย์ว่าตนรู้ที่อยู่ของพระโอรส
    บรรดาเสนาอำมาตย์จึงจัดขบวนไปรับเสด็จราชบุตรในป่านั้น

    หากทว่านางนาคมิยินยอมตามเสด็จเข้าวังด้วย
    นางกล่าวว่า

    "ข้าแต่พระสวามีหม่อมฉันเป็นนางนาค มิอาจร่วมอยู่กับเหล่ามนุษย์ได้
    หากมีอารมณ์โกรธแค้นนางสนมอื่น อาจพ่นพิษใส่ให้ตายได้
    ขอพระองค์เสด็จพร้อมโอรสและธิดาของเราเถิด"

    พระราชบุตรและพระกุมารต่างก็ขอร้องให้เข้าวังด้วยกัน
    แต่นางมิยินยอมได้แต่ร่ำไห้อาลัย สั่งความว่าให้โอรส
    และธิดาเล่นน้ำในเรือขณะเดินทาง เมื่อถึงวังก็ขอให้ขุดสระ
    เพื่อให้กุมารน้อยได้ลงเล่นน้ำ หากขาดน้ำและถูกแดดถูกลมมากไป
    ก็จะทำให้โอรสและธิดาวายชนม์ได้

    เมื่อพร่ำรำพันจากกันด้วยความโศกาอาดูรนักแล้ว
    พระราชบุตรก็เสด็จกลับนครขึ้นครองราชสมบัติ
    และทำตามที่นางนาคมานวิกาสั่งทุกประการ

    คราวหนึ่งพระราชโอรสและพระธิดาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณี
    เห็นเต่าตัวหนึ่งก็ตกพระทัยไปทูลบิดาว่าเห็นยักษ์
    ครั้งอำมาตย์จับได้เต่ามาพระราชาก็ให้ฆ่าเต่าเสีย
    อำมาตย์จึงนำไปถ่วงน้ำวนที่แม่น้ำยมนา

    เมื่อเจ้าเต่าถูกปล่อยลงกลางน้ำวน ก็ตกลงไปในปล่องเมืองบาดาล
    พวกนาคที่อยู่ในเมืองใต้น้ำก็พากันจับเต่ามาโยนเล่นส่งต่อ ๆ
    อย่างสนุกสนาน เจ้าเต่าจึงวางอุบายกล่าวว่า

    "พวกท่านอย่าทำร้ายข้านะ ข้าคือเจตตจุณ เป็นราชทูตกรุงพาราณี
    และพระเจ้าพรหมทัตส่งเข้ามาเจรจากับพระยาทศรถจ้าวเมืองบาดาลนี้
    เรื่องจะยกพระธิดาให้จ้าวเมือง"

    เมื่อนาคมานพพาเต่าไปเข้าเฝ้า ท้าวทศรถจ้าวเมืองก็หัวร่อตรัสว่า

    "ราชทูตแห่งพระราชาเมืองพาราณสีไฉนมีรูปกายเป็นเต่าอัปลักษณ์เช่นนี้"

    "ข้าแต่พระองค์ ราชทูตมีหลายลักษณ์หลายรูป
    ข้าพระองค์เป็นทูตทางน้ำพระเจ้าข้า"

    แล้วเต่าเจ้าเล่ห์ก็ทูลว่า พระราชาปราถนาจะผูกสัมพันธไมตรี
    ขอให้ท้าวทศรถเตรียมเสด็จขึ้นไปรับพระธิดาด้วย

    ท้าวทศรถทรงหลงเชื่อกลอุบายนั้น
    จึงทรงรับสั่งให้นาคมานพ ๔ นาย
    ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระราชาพร้อมเต่าราชทูตก่อนล่วงหน้า
    เมื่อเดินทางจวนจะเข้าใกล้ประตูเมืองแล้ว
    เต่าก็เห็นมีสระบัวใหญ่อยู่ริมทาง
    จึงกล่าวแก่นาคเสนาทั้ง ๔ ว่าให้รีบเข้าเมืองโดยเร็ว
    ตนจะเก็บเหง้าบัวไปฝากพระธิดา
    เมื่อเสนานาคยอมล่วงหน้าไปก่อน
    เต่าร้ายก็ลงซ่อนภายในสระบัวนั้นเอง

    ครั้นเมื่อนาคมานพผู้เป็นเสนาได้กราบทูลเรื่องราวทั้งปวงว่า
    จะมาตกลงเรื่องเตรียมงานรับพระธิดาไปอภิเษก
    พระราชาทรงงุนงงจึงตรัสว่า

    "อันมนุษย์กับนาคนั้นจะแต่งงานครองคู่กันได้อย่างไร
    ย่อมเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ"

    นาคมานพได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจจึงกราบทูลว่า

    "หากพระองค์รังเกียจนาค
    แล้วทรงส่งเจตตจุณราชทูตลงไปส่งสาส์นนี้ไปเพื่อเหตุใด"

    พระราชาทรงยืนยันว่าไม่ได้ส่งใครไป
    เพราะนาคกับมนุษย์ มิอาจแต่งงานกันได้
    แล้วจะทรงส่งทูตไปได้อย่างไร
    นาคทั้ง ๔ จึงทูลลากลับด้วยความโกรธแค้น
    เมื่อพระยาทศรถทรงทราบก็ให้แค้นนัก
    จัดประชุมทัพนาคแล้วยกขึ้นบุกเมืองพาราณสี

    จ้าวเมืองบาดาลเนรมิตกายเป็นนาคยาวโอบล้อมเมืองด้วย
    ขดหาง ๗ ชั้น ๗ รอบ สั่งให้นาคน้อยใหญ่กระจายไปทั่วเมือง
    แต่มิให้ทำร้ายประชาชนพลเมือง

    คืนนั้นทั้งเมืองก็โกลาหล
    ชาวบ้านตกใจพากันแตกตื่นที่นาคเข้ามาเต็มบ้าน
    แม้ในวังต่างก็มีแต่เสียงกรีดร้องวิ่งหนีนาคงูกันทั่ว
    งูสีต่างหลากหลายขู่ฟ่อ ๆ แขวนอยู่ทั่วไป
    มิมีผู้ใดกล้าทำร้ายเพราะกลัวถูกพิษ

    พระเจ้าพรหมทัตเองก็ทรงตกพระทัยเมื่อพบงูใหญ่แผ่พังพานเหนือเศียร
    รอบพระราชวังก็มีแต่เสียงร่ำร้องให้ทรงถวายพระธิดาให้นาคเสียเถิด

    ในที่สุดพระราชาจึงพ่ายฤาธานุภาพ
    ทรงตรัสยินยอมถวายพระธิดาให้โดยดี


    กำเนิดจากเผ่าพันธุ์นาคี

    ต่อมาเมื่อท้าวทศรถอภิเษกกับพระธิดาสมุทรชา
    ทั้งคู่ก็ครองรักกันมีสุขดี และพระธิดาประสูติพระราชโอรส ๔ พระองค์
    อันมี พระสุทัศนะกุมาร ทัตกุมาร สุโภคะกุมาร และอริฏฐะกุมาร

    การอยู่ในเมืองบาดาลนั้น
    ท้าวทศรถมิให้ชาวบาดาลจำแลงร่างเป็นงูเป็นนาค
    ด้วยความที่เกรงว่าพระมเหสีสมุทรชาจะตกพระทัย
    แต่พี่เลี้ยงของอริฏฐะกุมารน้อยสอนว่าพระมารดาเป็นมนุษย์
    พระอริฏฐะจึงเนรมิตรกายเป็นงูเลื้อยไปเสวยนมพระมารดา
    พระสมุทรชาตกพระทัยปัดโอรสน้อยไป
    และเล็บบังเอิญจิกดวงตาพระโอรสจนมืดบอดไปข้างหนึ่ง
    ท้าวทศรถจะประหารแต่งพระนางทรงขอชีวิตไว้
    และได้ทรงทราบว่าตนอยู่ในเมืองนาคตั้งแต่บัดนั้นเอง

    ฝ่ายท้าวทศรถนั้นต้องเข้าเฝ้ามหาราช คือ
    ท้าววิรูปักข์ ๑ ครั้ง ทุก ๑๕ วัน ท้าวทศรถได้นำพระโอรสที่ ๒
    คือ ทัตกุมารไปด้วย คราวหนึ่งท้าววิรูปักข์นำนาคขึ้นเฝ้าพระอินทร์
    บังเอิญมีปริศนาที่มิมีใครแก้ได้ แต่ทัตกุมารสามารถแก้ได้
    ทัตกุมารได้รับการสรรเสริญถึงความมีปัญญาปราดเปรื่อง
    จึงได้นามว่า "ภูริทัต" นับจากครั้งนั้น

    ถือศีลเพื่อสู่สวรรค์

    ภูริทัตตามพระบิดาไปเฝ้าพระอินทร์เสมอ
    เมื่อเห็นเวชยันต์ปราสาท และสมบัติทิพย์วิมานก็คิดถึงพอพระทัยนัก
    ใคร่ปรารถนาจะได้ไปเกิดเป็นเทพเสวยสุขเช่นนั้นบ้าง
    จึงคิดออกบวชหากทว่าพระมารดามิยินยอม
    พระภูริทัตจึงทรงรักษาศีลอุโบสถอยู่ในวังนาค
    แต่ต่อมาจึงคิดหาที่สงบกว่าแวดล้อมด้วยนางสนมเช่นนี้
    จึงขึ้นไปรักษาศีลอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำยมนาใต้ต้นไทรใหญ่
    สั่งให้นำดอกไม้และดุริยางค์ไปบูชาทุกวันด้วย
    โดยตั้งสัตยาอธิษฐานว่าหากใครปรารถนาในหนัง
    กระดูก เอ็น เลือดเนื้อของพระองค์แล้ว
    พระองค์ก็ทรงยินดีสละโดยสิ้น

    วันหนึ่งมี ๒ พรานป่านามว่า เนสาทและโสมทัต
    พ่อลูกเข้าป่ายิงเนื้อล่าสัตว์ไปขายเพื่อยังชีพเนืองนิจ
    ครั้นตามรอยเนื้อไปใกล้บริเวณที่พระภูริทัตถือศีลอยู่
    พรานทั้งสองได้ยินเสียงดุริยางค์และเห็นเหล่านางนาค
    จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ นางตกใจหนีไปเหลือพระภูริทัต
    ซึ่งจำแลงองค์เป็นมนุษย์

    ด้วยความที่กลัวจะถูกพรานทำร้าย พระภูริทัตจึงพาเนสาท
    และโสมทัต ๒ พรานพ่อลูกลงไปชมเมืองบาดาล
    พระราชทานทรัพย์และให้อยู่เป็นสุขในเมืองนาคใต้พิภพ
    แต่ทว่าพรานมิมีบุญญาพอจะอยู่ในเมืองนาคได้นาน
    จึงทูลขอกลับบนโลกมนุษย์ เมื่อเวลา ๑ ปีผ่านไป
    พระภูริทัตก็พระราชทานทรัพย์ให้
    ครั้งพอขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ทรัพย์สมบัติก็อันตรธานหายไปทั้งสิ้น
    เนสาทกับโสมทัตจึงต้องเป็นพรานล่าสัตว์ตามเดิม

    ภัยจากคนโลภ

    ในเวลานั้นครุฑหนึ่งบินลงจากวิมาน โฉบมาจับนาคไป
    ด้วยความกลัวนาคจึงเอาหางรัดต้นไทรแน่น
    เมื่อครุฑบินเหาะไปต้นไทรก็ลอยติดขึ้นไปด้วย
    ใต้ต้นไทรนั้นก็มีฤาษีถือศีลอยู่ใต้ต้นไทรนั้นด้วย

    เมื่อกินนาคแล้วต้นไทรก็ตกลงสู่มหาสมุทรเสียงดังกัมปนาท
    ครุฑเกิดวิตกถึงผลบาปจึงแปลงเป็นมานพน้อย
    เข้าไปถามพระฤาษีว่าตนบาปหรือไม่ที่เอาต้นไทรไปเช่นนั้น
    เมื่อฤาษีตอบว่าผู้ไม่มีเจตนาย่อมไม่มีบาป
    พระยาครุฑดีใจจึงมอบดวงแก้วให้ฤาษีและมอบเวทมนตร์บทหนึ่งชื่อ
    "อาลำพายนะ" และยาทิพย์ก่อนจะจากไป

    เวลาต่อมาฤาษีนั้นได้รับเอาพราหมณ์อนาถาผู้หนึ่ง
    ซึ่งหลบหนีเจ้าหนี้มาซุกซ่อนตัวอยู่ในอาศรม
    อาสาขอดูแลรับใช้พระฤาษีด้วยดี
    ฤาษีจึงเมตตาสอนมนตร์บทนั้นและมอบยาทิพย์ให้
    แรกนั้นพราหมณ์มิยินดีรับไว้แต่ก็จนใจต้องยอมรับเพราะฤาษีวิงวอน

    เมื่อพราหมณ์ออกจากอาศรมก็เดินทางผ่านแม่น้ำยมนา
    พบเห็นนางนาคของพระภูริทัตลงเล่นน้ำริมฝั่งแม่น้ำ
    แต่ละนางวางดวงแก้วไวบนหาดทราย

    เหล่านางนาคเห็นพราหมณ์ผ่านมาก็หนีกันไปด้วยนึกว่าเป็นครุฑ
    พราหมณ์จึงเก็บดวงแก้วถือไปจนพบกับ ๒ พรานพ่อลูก
    เนสาทกับโสมทัต ๒ พรานพ่อลูกจำได้ว่าเป็นดวงแก้วของเมืองบาดาล
    ก็เกิดโลภเข้าไปวางอุบายหลอกขอแก้ว
    แต่ทว่าพราหมณ์ก็มิยินยอมให้ไม่ว่าจะแลกกับอะไร
    ซ้ำยังคุยว่าตนมีเวทมนตร์และยาทิพย์
    หาก ๒ พ่อลูกพาไปเมืองนาคได้ก็จะยอมให้แก้วนั้น

    พรานโสมทัตผู้บุตรได้ทัดทานพ่อมิให้พาไป
    เพราะพระภูริทัตมีบุญคุณนัก แต่พรานเนสาทผู้พ่อโลภนัก
    โสมทัตจึงแยกทางไปบวชเป็นฤาษี พรานพ่อจึงพาพราหมณ์
    ไปยังที่จำศีลของพระภูริทัต
    เมื่อพราหมณ์โยนดวงแก้วให้พรานเนสาท
    ดวงแก้วพลัดตกลงพื้นหายลงดินไป
    พรานจึงอดได้ดวงแก้วและ
    ก็ทำสิ่งเนรคุณต่อผู้มีคุณซ้ำยังเสียบุตรไปอีก

    พระภูริทัตจำได้ว่าพรานผู้นี้เคยได้เสพย์สุขในบาดาล
    แต่กลับพาพราหมณ์มาปองร้าย หากพระองค์จะตอบโต้
    ก็เกรงจะผิดศีล จึงทรงหลับพระเนตรนิ่งเฉยเสีย
    ด้วยเพราะตั้งจิตอธิษฐานสละชีวิตไว้แล้ว


    ถูกทรมานแสนสาหัส

    ด้านพราหมณ์ชั่วจึงกินยาทิพย์และ
    ร่ายเวทมนตร์เข้าจับพระภูริทัต
    กรอกยาให้สิ้นฤทธิ์จนสำรอกออกสิ้น
    จากนั้นจับพระองค์มัดด้วยเถาวัลย์
    ทำทารุณย่ำเหยียบจนโลหิตโทรมพระวรกาย
    นำพระองค์ใส่เถาวัลย์ถักแล้วพาเข้าหมู่บ้าน
    ป่าวร้องเรียกคนมาดูนาคเพื่อหาทรัพย์

    ชาวบ้านต่างพากันมามุงดู
    พราหมณ์ก็บังคับให้พระภูริทัตทำตัวใหญ่บ้าง ตัวเล็กบ้าง
    ให้แผ่พังพานจนถึง ๗ ชั้นบ้าง เปลี่ยนสีตามตัว
    เป็นหลายสีบ้าง ให้พ่นพิษบ้าง จนได้ทรัพย์มากมาย

    พราหมณ์นำเขียดมาเลี้ยง พระภูริทัตก็ไม่ยอมกิน
    จนกระทั่งถูกนำมาถึงเมืองพาราณสี
    ก็เข้ากราบทูลพระราชาว่าวันรุ่งขึ้นจะเล่นงูถวายหน้าพระที่นั่ง

    ด้านเมืองบาดาลนั้นพระนางสมุทรชาทรงสุบินว่าถูกฟันเอาแขนขวาไป
    ครั้นทราบความว่าพระภูริทัตหายไป จึงส่ง ๓ พระโอรส
    ออกตามหาด้วยร้อนพระทัยยิ่งนัก

    พระโอรสทั้ง ๓ จึงออกตามหาพระภูริทัต
    โดยพระอริฏฐไปตามที่ภพสวรรค์
    พระสุทัศนะไปตามที่โลกมนุษย์
    พระสุโภคะไปตามหาที่ป่าหิมพานต์

    สุทัศนกุมารเมื่อไปยังภพมนุษย์
    ก็ตามไปละแวกที่พญานาคภูริทัตเคยจำศีล
    แต่พบรอยเลือดจึงเข้าใจว่าเกิดอันตรายขึ้นแล้วเป็นแน่
    สุทัศนกุมารให้เป็นห่วงใยพระอนุชานัก
    รีบออกตามหาจนทราบข่าวว่าหมองูจับนาคตัวหนึ่งได้
    และจะแสดงกลหน้าพระที่นั่งด้วย

    เมื่อถึงวันแสดงพราหมณ์เปิดถุงแก้วให้พระภูริทัตเลื้อยออกมา
    เห็นสุทัศนะกุมารผู้เป็นเชษฐาจำแลงเป็นมนุษย์มายืนดูอยู่
    พระภูริทัตก็เลื้อยไปหยุดตรงหน้าน้ำตาคลอ
    พระสุทัศนะก็ทรงกันแสงด้วยสงสารน้อง
    เหล่าชาวบ้านเห็นงูร้องไห้ไม่แสดง
    ก็หลีกหนีด้วยความกลัวจะถูกงูกัด ได้แต่เลี่ยงไปยืนห่าง ๆ

    พราหมณ์เกรงว่าดาบสสุทัศนะจะกลัวงูกัดจึงเดินเข้ามาปลอบ
    แต่พระสุทัศนะแกล้งท้าว่าไม่กลัวงูไร้พิษนี้หรอก
    หากพราหมณ์กล้าเอางูนี้มาสู้กับเขียดน้อยได้ชนะ
    ก็จะได้เงิน ๕ พันตำลึง

    ฝ่ายพราหมณ์หัวร่อและเย้ยว่าดาบสเช่นนี้จะมีเงินมากมายได้อย่างไร
    พระสุทัศนะจึงเข้าไปทูลขอพระราชทานเงินจากพระราชา
    อ้างว่าการต่อสู้น่าดูเช่นนี้พระองค์ควรช่วยให้เดิมพันด้วย

    เมื่อพระราชาเสด็จออกมากับพระสุทัศนะแล้ว
    พระสุทัศนะก็ร้องว่าพราหมณ์นำนาคไร้พิษมาหลอกชาวบ้านว่ามีพิษ
    แต่เขียดน้อยของตนนั้นมีพิษสงยิ่งกว่านับร้อยเท่าพันเท่า
    จะลองพิสูจน์หรือไม่

    ครั้นแล้วพระสุทัศนะก็นำเขียดน้อยออกมาจากชฎา
    เขียดน้อยนี้คือ "พระธิดาอัจจมุนี" น้องสาวต่างพระมารดา
    ซึ่งรักใคร่พระภูริทัตยิ่งนัก เมื่อเขียดน้อยจำแลง
    กระโดดออกมาคายพิษใส่มือพระสุทัศนะแล้ว
    ก็กระโดดไปอยู่ในชฎาตามเดิม พระสุทัศนะจึงประกาศว่า

    "ถึงกาลพินาศของเมืองพาราณสีแล้ว"

    "เหตุใดท่านจึงว่าเมืองจะพินาศ"

    พระราชาตรัสถามอย่างแคลงพระทัย
    พระสุทัศนะจึงกราบทูลว่า พิษนี้ร้ายแรงยิ่งนัก
    หากพิษหยดลงดิน รุกขชาติทั้งสิ้นจะล้มตาย
    หยดลงน้ำ สัตว์น้ำจะตายเกลื่อน
    สาดขึ้นอากาศ ฝนจะแล้งนาน ๗ ปี
    ต้องขุดหลุม ๓ หลุม
    ใส่ยาสมุนไพรหลุมหนึ่ง
    ใส่หญ้า หลุมหนึ่ง
    และใส่ยาทิพย์ อีกหลุมหนึ่ง

    เมื่อพระสุทัศนะหยดน้ำพิษใส่หลุมที่ ๑
    ก็เกิดเปลวเพลิงไหม้ลามไปยังหลุมที่ ๒ และ ๓

    ฝ่ายพราหมณ์ยืนดูใกล้หลุมที่ ๓ ด้วยเพราะมิเชื่อนัก
    จึงถูกควันไฟไหม้ลามจนตัวด่าง
    เป็นขี้เรื้อนพุพองเจ็บปวดร่ำร้องว่าจะปล่อยนาคโดยดี

    พ้นภัยที่ทดลองพระขันติ

    เมื่อสิ้นคำว่ายอมปล่อย พระภูริทัตก็กลายร่างเป็นมนุษย์
    งามสง่าเช่นเดียวกับพระธิดาอัจจมุนีและพระสุทัศนะ

    "ข้าแต่พระองค์ ท่านทราบหรือไม่ว่าพวกข้าพระองค์เป็นผู้ใด"
    พระสุทัศนะทรงทูลถาม

    พระราชาจึงตรัสว่าใคร่จะรู้เช่นกัน เพราะเอะพระทัยมานาน

    พระสุทัศนะจึงกราบทูลว่า
    ตนกับพระภูริทัตเป็นพระโอรสของพระนางสมุทรชา
    พระธิดาของพระราชาองค์เดิมจำได้หรือเปล่า

    พระราชาดีพระทัยที่ได้พบหลาน
    เพราะพระราชานี้คือพี่ชายของพระสมุทรชานั่นเอง
    จึงทรงพาพระโอรสทั้งสองไปพบเสด็จตา
    ที่ทรงสละสมบัติออกบรรพชาอยู่ที่อาศรม

    เมื่อทูลลาและกลับเมืองบาดาล
    พระนางสมุทรชาก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก
    รีบจัดให้พระภูริทัตนอนพักรักษาพระวรกายอย่างดี

    ข้างฝ่ายสุโภคะกุมาร ออกตามหาพระภูริทัตอยู่ที่ป่าหิมพานต์
    พบพราหมณ์เนสาทที่แม่น้ำยมุนา ซึ่งกำลังอาบน้ำชำระบาปอยู่
    สุโภคะพญานาคจึงเอาหางรัดพราหมณ์
    ให้จมน้ำเพื่อทรมานเพราะแค้นนัก
    จากนั้นก็นำตัวลงบาดาลเพื่อให้รับโทษ

    แต่พระภูริทัตขอให้พระเชษฐาละเว้นการลงโทษพราหมณ์
    โดยทรงกล่าวว่า พราหมณ์นั้นก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีความโลภ มีกิเลส
    แต่ที่มาถือบวชถือศีลก็แสดงว่ายิ่งเลวร้ายกว่าคนธรรมดา
    เหมือนดั่งคนมือถือสากปากถือศีล น่าสมเพชนัก

    เมื่อพราหมณ์ถูกปล่อยตัวแล้วก็สำนึกในบาปของตนเป็นยิ่งนัก

    หลักจากนั้นพระนางสมุทรชาจึงเชิญเสด็จท้ายทศรถ
    และพระโอรสทั้ง ๔ ยกขบวนไปเยี่ยมพระเจ้าสาครพรหมทัตผู้พี่ชาย
    และไปนมัสการพระบิดาที่บรรพชาอยู่ในป่า
    พระภูริทัตจึงทูลขอรั้งอยู่กับเสด็จตาที่อาศรมนั้น
    เพื่อถือศีลไปตลอดอายุขัย

    ชาดกนี้ให้คติธรรมว่า
    ความโลภนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกับการเนรคุณ
    แต่ความอดทนย่อมประเสริฐยิ่งนักแล


    ขอน้อมจิตกราบโมทนาบุญกุศลอันบุคคลทั่วไปทำได้ยากยิ่งนั้น ขอธรรมและฌาณสมาบัติที่พระองค์บรรลุแล้วจงปรากฏแก่กายและจิตของข้าพเจ้าและทุกท่านด้วยเถิด สาธุ...สาธุ...สาธุ...
     
  13. chai9club

    chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +2,770
    เหตุแห่งการประดิษฐานพระพุทธศาสนา

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จภัควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์อันมีสมเด็จองปฐมเป็นประธาน พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอนำเหตุแห่งการประดิษฐานพระศาสนา มาเป็นเครื่องโสทรสรงพระคุณ พระรัตนตรัยแก้วมณีโชติ ทั้ง 3 ประการ ให้สาธุชนทุกท่านได้ร่วมโมทนาถึงคุณพระอันมีประมาณไม่ได้นั้น <O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    ในสมัยพุทธกาล หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว เสด็จสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลายนานได้ 25 พรรษา ครั้งนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันมหาวิหาร ปัจจุบันสมัยใกล้รุ่งคืนหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงรำพึงว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ตุลาคม 2006
  14. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    :cool: ถวายปัจจัยทำบุญทุกอย่างกับพระ ฯ ร่วมทอดกฐิน ถวายภัตตาหารพระฯ ร่วมสร้างศาลาธรรมสังเวช ณ วัดหนองบัว ต.หนองบัว อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย

    :cool: ถวายปัจจัยทำบุญทุกอย่างกับพระฯ ร่วมทอดกฐิน ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ ร่วมสร้างวิหาร ณ สำนักสงฆ์คลองห้วยทราย ต.หนองบัวใต้ อ.เมือง จ.ตาก

    (f) น้อมถวายบุญทั้งหมดนี้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาและเพื่อพระนิพพานในชาตินี้
    (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i)
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
    (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i)
    (verygood)
    (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i) (i)
    (b-love2u)
    (f) (f) (f) (f) (f) ​
     
  15. นำธรรม

    นำธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +2,914
    น้อมโมทนาในธรรมทานอันงาม

     
  16. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    (f) (f) (f)

    ขอโมทนาบุญทุกอย่างในพระพุทธศาสนาร่วมกับ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมดพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบกันมา..
    ขอโมทนาบุญคณะพระธาตุแก้วฯน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    : bat: (bb-flower : bat: (b-love2u) : bat: (bb-flower : bat:
    (i) ขอพระศาสนาเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นตลอดกาล(i)
    ขอความปรารถนาของข้าพเจ้าที่ตั้งใจบูชาพระจงเป็นผลสำเร็จทุกประการเทอญ
    (glass) (*) (b-2love) (*) (glass) ​
     
  17. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
     
  18. chai9club

    chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +2,770
    ประวัติความเป็นมาของ"พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก"

    (f) พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา(f)

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระแก้วมณีโชติ ลูกขอนำประวัติความเป็นมาของพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก มาเผยแพร่สาธุชนทุกท่าน เพื่อเป็นการเทิดพระคุณของพระรัตนตรัยอันประมาณมิได้นั้น


    พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก เป็นตำนานพระธาตุและพระบาทของพระพุทธเจ้า เหล่าพรหม เทพ เทวา ทั้งหลายได้เฝ้ารักษาไว้และได้กำหนดชื่อพระบาทและพระตุไว้ในกระดานหิน อันจารึกไว้ที่ มหาเสลอาราม (วัดพระหิน) ณ ลังกาทวีป หินก้อนนั้นยาว 20 ศอก กว้าง 5 ศอก แผ่นหินนี้เคยเป็นที่ประทับครังแรกของพระพุทธเจ้า ในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จไปเมืองลังกา

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ 1 ปี คนทั้งหลายจึงพากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองลังกา แล้วขอพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ จนถึงสมัย พระมหินทรเถระ ผู้เป็นราชโอรสของ พระเจ้าอโศกมหาราชได้พร้อมใจกันสร้างมหาวิหารครอบแผ่นหินที่เป็นของพระบาทและพระธาตุไว้

    เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดานิพพานไปแล้วได้ 2050 พรรษา พระเจ้าอนุรุทธรรมราช เสวยราชสมบัติในเมืองหงสาวดี มีพระประสงค์ใคร่จะรู้ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าที่ประดิษฐานไว้ 101 เมือง ในชมพูทวีปนี้ จะมีเมืองใดบ้างที่เจริญรุ่งเรืองอยู่

    พระองค์จึงทรงอาราธนาพระเถระเจ้าทั้งหลาย 101 รูป ที่สามารถทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสิ้น ให้ท่านเดินทางไปตลอด 101 เมือง ส่วน พระมหาสามีธรรมรส นิมนต์ให้ท่านเดินทางไปดูงานพระศาสนายังลังกาทวีป

    ครั้นได้ไปพบแผ่นหินศิลาจารึกนี้ จึงรู้ว่าพระธาตุพระพุทธเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ในเมืองหงสาวดีนั้นมี 52 แห่ง ประดิษฐานอยู่ในเมืองหริภุญชัย 23 แห่ง กับรอยพระพุทธบาทอีก 12 แห่ง พระบรมธาตุและรอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ในเมืองไทยทั้งหมด 70 แห่ง แล้วพระมหาเถระก็ได้คัดลอกนำกลับมาพม่า

    ต่อมาท่านก็ได้เดินทางมากราบไหว้รอยพระพุทธบาทและพระบรมธาตุทุกแห่งในเมืองหริภุญชัย จนกระทั่งมาถึง ดอยเกิ้ง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ในเวลานั้นมีพระเถระ รูปหนึ่งชื่อว่า พระมหาโพธิสมภาร เมื่อได้ยินข่าวนี้ จึงขอคัดลอกเอาตำนานพระบาทและพระธาตุนี้ไว้ เมื่อปีก่าเม็ด (มะแม) จุลศักราช 885 (พ.ศ.2066) เดือน 7 ดับ วันอังคาร ไทยรวายยี แล้วก็มีการคัดลอกสืบมาเรื่อย ๆ

    โดยที่ทางวัดพระธาตุและพระบาทที่มีชื่อปรากฎอยู่ในตำนานเหล่านี้ ต่างก็คัดลอกออกมาไว้ในคัมภีร์ใบลานเป็นภาษาไทยเหนือหรือที่เรียกว่า "อักษรธรรม" เพื่อไว้เทศน์ให้ญาติโยมฟัง ในวันพระหรือในงานเทศกาลสำคัญ ๆ เช่นงานพิธีสรงน้ำประจำปี เป็นต้น

    แต่เวลานี้คัมภีร์ใบลานเหล่านี้ บางวัดได้ทำสูญหายไปบ้างแล้ว เช่นมีผู้มายืมแล้วไม่นำมาส่งคืน เป็นต้น หรือจะเป็นเพราะไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร หรือเป็นด้วยคนสมัยนี้ อาจจะไม่ค่อยเชื่อถือนักว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาถึงเมืองไทยได้

    เหตุฉะนี้ จึงทำให้พุทธตำนานเก่าแก่ ซึ่งเปรียบเสมือน แผนที่ บอกทางให้แก่คนรุ่นหลังได้มีโอกาสรับทราบว่า บ้านเมืองของเราก็ยังมีสถานที่สำคัญอีกมาก ที่พระท่านได้เมตตาประธานพระพุทธบาทและพระบรมธาตุ เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้สักการะบูชา เพื่อยังประโยชน์อันหาประมาณมิได้นั้น ต่อไปแล

    (f) (f) (f) (f) (f) (f)

    ข้าพเจ้าขอบูชายิ่งซึ่งคุณพระแก้วมณีโชติอันประมาณมิได้นั้น ขอพระธรรม, อภิญญาสมาบัติ อันพิสดารนั้นจงมาบังเกิดปรากฎแก่ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายด้วยเทอญ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2006
  19. chai9club

    chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +2,770
    ตำนานพระพุทธบาทยั้งหวีด

    (f) พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา(f)

    (||) ภันเตภควา ข้าแต่องค์สมเด็จภัควันแก้วมณีโชติผู้เจริญ ลูกขอน้อมนำพระตำนานพระเจ้าเลียบโลก ตอนพระพุทธบาทยั้งหวีด มาเล่าสู่มิตรสหายธรรมทุกท่าน เพื่อเป็นการประกาศคุณพระรัตนตรัยอันประมาณมิได้นั้น

    :cool: ขณะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เสด็จมาบิณฑบาตที่ บ้านกอนหลวง-กอนน้อย นั้น มีหัวหน้าหมู่บ้านสองคนเป็นพี่น้องกัน ผู้พี่มีชื่อว่า ขุนอ้ายกอนคำ ผู้น้องมีชื่อว่า ขุนอ้ายท่อนคำ ได้เอาเสื่อมาปูถวายให้พระพุทธองค์ประทับนั่งใต้ต้นมะม่วงต้นหนึ่ง แล้วจึงได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า

    :cool: เมื่อพระองค์ฉันเสร็จแล้ว จึงประทานเส้นพระเกศา 1 เส้น พร้อมกับได้ตรัสสั่งว่าเมื่อเราตถาคตปรินิพพานแล้ว ท่านทั้งหลายจงเอากระดูก ซี่โครงเบื้องซ้าย มาบรรจุไว้กับพระเกศาธาตุที่นี่เถิด

    :cool: ครั้นพระพุทธองค์ตรัสดังนี้แล้ว จึงเสด็จพุทธดำเนินไปไกลประมาณ 14 วา เพื่อทรงถ่ายอุจจาระปัสสาวะใกล้ ต้นหวีด ต้นหนึ่ง อุจจาระอันนั้นก็อันตรธานหายไปสิ้น ไม่เป็นอาหารแก่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งเลย

    :cool: ในขณะนั้น ยังมีพญานาคตนหนึ่งชื่อว่า สะสะญชัย ได้บุ (ผุด) ออกมาให้เป็นบ่อน้ำเกิดขึ้น พร้อมทั้งเนรมิตรกระบวยทองคำ เพื่อถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงใช้ชำระสระสรงพระวรกาย แล้วทูลขอรอยพระพุทธบาททั้งคู่ไว้เป็นที่สักการะบูชาแก่คนเทวดานาคครุฑทั้งหลาย

    :cool: องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงเหยียบรอยพระพุทธบาททั้งซ้ายและขวา ประทานให้แก่พญานาคแล้ว จึงเสด็จกลับมายังต้นมะม่วงตามเดิม และทรงมีพุทธดำรัสแก่พระอานนท์ว่า

    วัดพระพุทธบาทยั้งหวีด2.jpg วัดพระพุทธบาทยั้งหวีด1.jpg
    พระพุทธบาทยังหวีดทั้ง 2 รอย

    :cool: "ดูก่อนอานนท์.. ตถาคตมาในสถานที่นี้ท่านทั้งหลายได้ขอเกศาธาตุไว้ ในที่นี้ภายภาคหน้าจักได้ชื่อว่า "อัมพวนาราม (ขณะนี้เรียกว่า มะกับตอง ต.ยุหว่า ห่างจากวัดพระบาทยั้งหวีดประมาณ 3 ก.ม. แต่ในหนังสือประวัติพระแม่เจ้าจามเทวี บอกว่าปัจจุบันคือ วัดทุ่งตูม)

    วัดทุ่งตูม.jpg
    วัดทุ่งตูม

    :cool: อนึ่งตถาคตได้ถ่ายอุจจาระที่ใกล้ต้นไม้หวีด พญานาคสะสัญชัยได้บุออกมาถวายบ่อน้ำและกระบวยทองคำเพื่อให้ได้ชำระพระวรกายตถาคต แล้วได้ขอรอยพระพุทธบาททั้งคู่ไว้เป็นที่สักการบูชา

    :cool: แต่เราตถาคตก็ได้เหยียบไว้ใหญ่บ้างเล็กบ้างไม่เท่ากัน เพราะเล็งเห็นภัยในอนาคตกาล โดยชาวเมืองโกสัมพีทั้งหลาย จักไม่รู้คุณค่าของพระศาสนา จะมาสร้างบ้านเรือน ทำสวน มีสัตว์เลี้ยง ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ มีแต่เรื่องฆ่าสัตว์เป็นอาชีพ และไม่รู้จักสถานที่อันควรเคารพ จะพากันมาซักเสื้อผ้าและชำระร่างกายที่บ่อน้ำนี้

    :cool: มิหนำซ้ำจะมาทำลายรอยพระบาทที่ตถาคตได้เหยียบไว้นี้ด้วยมีดและขวาน เพราะเข้าใจว่าเป็นรอยเท้าของโยคี ไม่มีความเคารพยำเกรงแม้แต่คนเดียว มีแต่ดูถูกดูหมิ่นประมาทด้วยอาการต่าง ๆ นานา

    :cool: พวกเขาเหล่านั้นต่อไปภายหน้า จะได้เสวยกรรมวิบาก เพราะโทษที่หมิ่นประมาทรอยพระบาท เขาจักเจ็บไข้ได้ป่วย ฉิบหายวายวอดไปตาม ๆ กัน แม้ตถาคตก็มีกรรมวิบากยังไม่สิ้นสุด ถึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ตามกำลังอกุศลกรรมที่เราได้กระทำไว้ก็ยังติดตามสนอง..."

    :cool: พระพุทธองค์ตรัสดังนี้แล้ว จึงนำซึ่งบุพพกรรมของพระองค์เองมาแสดง เพื่อเป็นอุทหรณ์แก่พุทธบริษัท สืบต่อไปอีกว่า

    :cool: "...ในสมัยหนึ่ง เมื่อตถาคตได้เกิดเป็นบุตรกฎุมพีมีชื่อว่า "โลลัตตกุมาร" อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี วันหนึ่งได้ไปเที่ยวเล่นตามถนนหนทางกับเพื่อนเด็ก ๆ โลลัตตกุมารได้วาดเขียนรูปรอยเท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เขียนใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แหว่งวิ้นบ้าง ไม่เท่ากัน และไม่มีนิ้วเท้า เป็นต้น

    :cool: ประการหนึ่งบุคคลสวมรองเท้าแล้วจึงไปเหยียบทราย ฉะนั้น เหตุที่ไม่ชำนาญในศิลปะในการเขียน อุตริเขียนเล่นไปเท่านั้น แล้วได้กล่าวขึ้นว่า รอยเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้าของเรางามแท้หนอ..!

    :cool: แล้วก็เที่ยวเก็บดอกไม้มาบูชาประนมมือไหว้ เมื่อเล่นไป ๆ ก็เอามีดปลายแหลมที่ตนเองขีดเขียนนั้น ขีดเล่นรอยเท้านั้นให้เป็นรอยมีด แล้วก็ลบรอยเท้าที่ตนเขียนเล่นนั้นด้วยฝ่าเท้าของตนเอง

    :cool: ด้วยอกุศลวิบากเพียงเท่านี้ เมื่อเราตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ฝูงชนเหล่านั้นจักได้มาทำลายรอยพระบาทอันนี้ เหตุดังนี้ ตถาคตมิอาจที่จะห้ามกรรมวิบาก อันตถาคตได้กระทำมาแต่ชาติปางก่อนได้

    :cool: ดูก่อนอานนท์.. เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้วได้ 2119 พรรษา กับ 10 เดือน 26 วัน ตำนานพระบาทกับพระเกศาธาตุ จักปรากฎแก่คนทั้งหลาย เมื่อถึงพุทธศักราชดังกล่าวแล้วนี้ กรรมวิบากที่ตถาคตได้กระทำไว้ก็จักหมดสิ้นไปโดยไม่มีเศษเหลือ

    :cool: สถานที่รอยพระบาทประดิษฐานอยู่ก็จักปรากฎรุ่งเรือง มีผู้อุปัฎฐากรักษา มีคนมาเลื่อมใสและถวายเครื่องสักการบูชาเป็นอันมาก ตราบเท่า 5000 พระวรรษาแล

    :cool: ส่วนเหตุที่ได้นามว่า "ยั้งหวีด" ก็เป็นเพราะที่นั่นเป็นดงป่าไม้หวีด ยังมีไม้หวีดต้นหนึ่งใหญ่กว่าต้นอื่น มีกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มคล้ายฉัตร ไกลจากบ่อน้ำไปทางทิศตะวันออก 5 วา พระพุทธเจ้าได้มาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เพราะฉนั้น สถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า "ยั้งหวีด"

    (f) (f) (f) (f) (f)

    ลูกขอน้อมถวายบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว 16 อสงไขยกัป นี้ ถวายแด่องค์สมเด็จภัควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงค์ทั้งหลาย เทพ พรหม เทวา ที่ได้ปกปักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ขอบารมีพระแก้วมณีโชติ ขอให้สถานที่ที่พระท่านได้เมตตาประทานพระธาตุและพระบาทให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบไปตามพุทธพยากรณ์ทุกประการ ให้ลูกและท่านทั้งหลายได้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมเป็นกำลังใหญ่ในการอุปฐากพระศาสนาต่อไปตราบเข้านิพพานตามความปรารถนาของทุกท่านเทอญ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2006
  20. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

     

แชร์หน้านี้

Loading...