การเกิดขึ้นของพระพุทธรูปครั้งแรกในโลก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Denverguy, 23 ธันวาคม 2009.

  1. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ที่แท้จริง
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 60 หน้า 267[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    ....พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    เจดีย์มีกี่อย่าง.
    พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่างอานนท์.
    พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้าง พระเจ้าข้า.
    พระศาสดาตรัสว่า ​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑.[/FONT][/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]

    พระอานนทเถระทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป
    ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ.
    พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น
    จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
    สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น...​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    *** เจดีย์ แปลว่า ที่เคารพนับถือ, บุคคล – สถานที่ หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา
    *** ภิกษุสงฆ์รุ่นหลังให้ความหมายของอุทเทสิกเจดีย์ว่า
    เจดีย์ที่สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    แต่พระพุทธเจ้าให้ถือเจดีย์คือธรรม (คำสอนของพระองค์)​
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 21 หน้า 202​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    ครั้งนั้นแล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปแล้วไม่นาน
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้
    ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจาเคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จหลีกไป
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์นี้ไว้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
    ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    วัตถุทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าไม่ให้ท่านทั้งหลายเอาเป็นที่พึ่ง
    หรอกนะ ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 27 หน้า 90[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    บทว่า อตฺตทีปา ความว่า ท่านทั้งหลายจงทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่ต้านทาน
    เป็นที่เร้น เป็นคติที่ไปในเบื้องหน้าเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
    อนญฺญสรณา นี้ เป็นคำห้ามพึ่งผู้อื่น ด้วยว่าผู้อื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะคนหนึ่งจะ
    พยายามทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่
    สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    ถามว่า ก็ในที่นี้ อะไรชื่อว่าตน ?
    ตอบว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตตระ (ชื่อว่าตน).
    ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า​
    ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ
     
  2. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    เล่ม 30 หน้า 444​
    ...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่ล่วงไปแล้วก็ดี
    จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ
    มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่านี้นั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา
    จักเป็นผู้เลิศ.​
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    พระพุทธรูปที่ทำกันเกร่ออยู่ตอนนี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ – ไม่เคยกล่าว –
    ไม่เคยแสดง ว่าให้ชาวพุทธพากันทำขึ้นมาได้ แล้วชาวพุทธจะทำกันไปทำไม ?
    แล้วชาวพุทธจะกราบไหว้กันไปทำไม ?​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    แล้วชาวพุทธจะเคารพไปเพื่ออะไร? ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 32 หน้า 176[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่เป็นธรรม ว่า เป็นอธรรม....
    ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่มิใช่วินัย ว่า เป็นวินัย…
    ภิกษุพวกที่แสดง วินัย ว่า มิใช่วินัย…
    ภิกษุพวกที่แสดง คำพูดอันตถาคตมิได้ภาษิตไว้ - มิได้กล่าวไว้ ว่า
    เป็นคำพูดที่ตถาคตภาษิตไว้ – กล่าวไว้…
    ภิกษุพวกที่แสดง คำพูดอันตถาคตได้ภาษิตไว้ - กล่าวไว้ ว่า เป็นคำพูดที่ตถาคต
    มิได้ภาษิตไว้ – มิได้กล่าวไว้ …
    ภิกษุพวกที่แสดง กรรมอันตถาคตมิได้สั่งสม ว่า ตถาคตสั่งสม….
    ภิกษุพวกที่แสดง กรรมอันตถาคตได้สั่งสมไว้ ว่า ตถาคตมิได้สั่งสมไว้ ….
    ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งอันตถาคตบัญญัติไว้ ว่า ตถาคตมิได้บัญญัติไว้….
    ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็น
    อันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลชนเป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและ
    มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้
    อันตรธาน….​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    รูปร่างทั้งหลายพระพุทธเจ้าติเตียนนัก รวมทั้งพระพุทธรูปในปัจจุบัน
    นี้ด้วย ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 33 หน้า 468[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ
    ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ให้ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน
    ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วยธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว เกิดความเลื่อมใสในฐานะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความ
    เลื่อมใส ๑
    ไม่พิจารณาไตร่ตรองแล้ว เกิดความไม่เลื่อมใสในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
    เลื่อมใส ๑​
    [/FONT]
    [/FONT]
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัตบุรุษผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล
    ย่อมบริหารตนให้ถูกกำจัด ถูกทำลาย เขาย่อมเป็นไปกับด้วยโทษ ถูกผู้รู้ติเตียน
    ทั้งได้ประสบบาปเป็นอันมากอีกด้วย….​
    *** แล้วผู้ที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธแต่ไปเลื่อมใสพระพุทธรูปทั้งหลายนั่นล่ะจะว่าไงดี ?​
    ได้บุญหรือได้บาป ?
     
  3. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    สงสัยไม่ยอมกราบไหว้พระพุทธรูป ที่บ้านคุณคงไม่มีพระพุทธรูปบูชา มีแต่ตู้พระไตรปิฏกไว้กราบไหว้
    พระสงฆ์ยังต้องกราบไหว้พระพุทธรูป
    แม้แต่ตอนบวชก็ต้องอุปสมบทต่อหน้าพระประธาน

    การตำหนิ เรื่องการประพฤติตามประเพณี โดยเคารพกราบไหว้พระพุทธรูป
    เป็นเรื่องต้องพิจารณา นักปราชญ์ทางพุทธศาสนามิเคยตำหนิติเตียนเลย
    นอกจากจะเป็นการแสดงถึงความขลาดเขลาทางปัญญา
    ยังเป็นการมองอย่างขาดความแยบคาย
    มองอย่างไม่ครอบคลุมถึงประโยชน์อย่างแท้จริง

    แม้แต่องค์พระประมุขของชาติไทยและพระบรมศานุวงษ์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
    พระองค์เองเป็นตัวอย่างที่ดีในการเคารพกราบไหว้พระพุทธรูป
    ได้ทรงสร้างพระจิตรลดาเป็นพุทธบูชา ถวายพระพุทธรูปแก่วัดเป็นจำนวนมาก

    ในพระไตรปิฏกยังแสดงถึงอานิสงฆ์ในการสร้างพระพุทธรูป
    หรือการปิดทองบูรณะพระพุทธรูป

    คุณเองต้องทบทวนพิจารณาให้มากๆ อย่ามองเพียงด้านเดียว
    อย่ากระทำในสิ่งที่นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาไม่ได้ติเตียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มกราคม 2010
  4. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    คำว่า สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง​
    ที่พึ่งที่สามารถทำความกลัว – ความสะดุ้ง – ความทุกข์ – ทุคติ – ความเศร้า
    หมองทุกด้าน ให้พินาศ – ย่อยยับ – สลายไป ด้วยการเข้าถึงสรณะนั้น
    คำว่า สรณะ นี้เป็นชื่อของพระรัตนตรัยนั่นเอง.
    ทีนี้พระพุทธรูปต้องไม่สามารถที่จะกำจัดความทุกข์ - ความสะดุ้ง - ความเศร้าหมอง
    ให้ใครได้อย่างถูกต้องแน่นอน พระพุทธรูปจึงไม่ใช่พระรัตนตรัยโดยประการทั้งปวง
    สิ่งที่จะกำจัดในสิ่งที่กล่าวมาได้มีอยู่อย่างเดียวคือ ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
    ธรรมของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่วัตถุทั้งหมดทั้งสิ้น แต่เป็นคำสอนเท่านั้น
    ตามเหตุผลที่อ่านมาตามลำดับแล้ว อธิบายแบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหม ท่านทั้งหลาย ?
    (ตอบในใจ)
    เพราะฉะนั้น ใครที่ก็ตามที่เคารพพระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปเป็นที่พึ่ง - เป็นที่ระลึก -
    เป็นที่พักพิง ของใจ จึงขาดกันกับพระรัตนตรัยแน่นอน เป็นคนที่สรณะขาด
    ต่อสัญญาณการระลึกกับพระรัตนตรัยไม่ติด เป็นคนที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
    จึงไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    ชาวพุทธที่สกปรก ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 36 หน้า 373[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ
    ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม 5 ประการเป็นไฉน ? คือ
    1. อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
    2 เป็นผู้ทุศีล
    3. เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม
    4. แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้
    5. ทำการสนับสนุนในศาสนานั้น
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกผู้เลวทราม
    เศร้าหมอง และน่าเกลียด.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    *** เป็นผู้ไม่มีศรัทธา คือ ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    ไม่เชื่อมั่นในพุทธ – ธรรม – สงฆ์ อย่างถูกต้องไม่
    เชื่อมั่นว่าพระรัตนตรัยมีอยู่จริงประกาศตนหรือปฏิญาณตนว่านับถือพุทธะตามธรรมเนียม
    ประเพณีเฉย ๆ ไม่รู้เรื่อง – ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจในคำสอนพุทธะ

    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    *** เชื่อมงคลตื่นข่าว คือ ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    ถือเอาตามความเห็นของคนส่วนมากที่ไม่รู้จริงว่าสิ่งนั้นดี
    – สิ่งนี้ดี เหรียญรุ่นนั้นดี – เหรียญรุ่นนี้ดี หรือ ถือเอาวัตถุใดๆว่าเป็นมงคล หรือ
    เชื่อหมอดูทั้งหลาย หรือ กราบไหว้บูชาเอาพระพุทธรูปเป็นที่พึ่ง - เอาพระพุทธรูปเป็น
    พระพุทธเจ้า เป็นต้น

    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    คำว่า มงคล ตามหลักพุทธศาสนามีอยู่ 38 ประการ พุทธประกาศเอาไว้แล้ว
    พระอรรถกถาจารย์ท่านก็ได้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้อย่างละเอียดมาก​
    อยู่ในเล่ม 39
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  5. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    เล่ม 31 หน้า 384​
    ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระตถาคต มีศีลอันงาม ที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว
    สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นตรง​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของเขาไม่เปล่าประโยชน์​
    [/FONT]
    [/FONT]
    เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญา ​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า[/FONT][/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]

    พึงประกอบตามซึ่งศรัทธา (ความเชื่อมั่น) ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรม.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    คุณสมบัติของพระรัตนตรัย ที่พระพุทธรูปไม่มี ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 33 หน้า 327[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ชื่อว่า ​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]พุทธ [/FONT][/FONT][/FONT]เพราะกำจัดภัยของเหล่าสัตว์ ด้วยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นไป
    ให้ออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรืออีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าชื่อว่าเป็นสรณะ
    เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลายด้วยการให้หันเข้าหาประโยชน์
    และให้หันเหออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ทรงเป็นที่ดำเนินไปในเบื้องหน้า
    ทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยว ทรงเป็นผู้ทำลายทุกข์
    ชื่อว่า
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]ธรรม [/FONT][/FONT][/FONT]เพราะยกสัตว์ให้ข้ามจากกันดารคือภพ และเพราะทำความเบาใจ
    แก่สัตว์โลก
    ชื่อว่า
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]สงฆ์ [/FONT][/FONT][/FONT]เพราะทำสักการะแม้มีประมาณน้อย กลับได้ผลไพบูลย์.
    ฉะนั้น พระรัตนตรัยจึงเป็นสรณะ โดยปริยายแม้นี้

    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    และเล่ม 39 หน้า 19​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    บัดนี้ จะกล่าวอธิบายคำที่ว่าจะประกาศพระสรณตรัยนั้น ด้วยข้ออุปมา
    (ข้อเปรียบเทียบ) ทั้งหลาย ก็ในคำนั้น​
    [/FONT]
    [/FONT]
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน พระจันทร์เพ็ญ
    พระธรรมเปรียบเหมือนกลุ่ม รัศมีของพระจันทร์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน โลกที่เอิบอิ่มด้วยรัศมีของพระจันทร์เพ็ญที่ทำให้เกิดขึ้น
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ
    พระธรรมดังกล่าวเปรียบเหมือน ข่ายรัศมีของดวงอาทิตย์นั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน โลกที่ดวงอาทิตย์นั้นกำจัดมืดแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบ เหมือนคนเผาป่า
    พระธรรมเครื่องเผาป่าคือกิเลสเปรียบเหมือน ไฟเผาป่า
    พระสงฆ์ที่เป็นบุญเขต เพราะเผากิเลสได้แล้ว เปรียบเหมือนภูมิภาคที่เป็นเขตนา
    เพราะเผาป่าเสียแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน เมฆฝนใหญ่
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำฝน
    พระสงฆ์ผู้ระงับละอองกิเลสเปรียบเหมือน ชนบทที่ระงับละอองฝุ่นเพราะฝนตก.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน สารถีที่ดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายฝึกม้าอาชาไนย​
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ฝูงม้าอาชาไนยที่ฝึกมาดีแล้ว.
     
  6. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ศัลยแพทย์ [หมอผ่าตัด] เพราะทรงถอนลูกศร
    คือ ทิฏฐิได้หมด
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายที่ถอนลูกศรออกได้
    พระสงฆ์ผู้ถอนลูกศรคือทิฏฐิออกแล้ว เปรียบเหมือน ชนที่ถูกถอนลูกศรออกแล้ว.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    อีกนัยหนึ่ง
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน จักษุแพทย์ เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะ
    ออกได้แล้ว​
    [/FONT]
    [/FONT]
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายเครื่องลอกพื้น [ตา]
    พระสงฆ์ผู้มีพื้นชั้นตาอันลอกแล้ว ผู้มีดวงตาคือญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่
    ลอกพื้นตาแล้ว มีดวงตาสดใส.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    อีกนัยหนึ่ง
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแพทย์ผู้ฉลาด เพราะทรงสามารถกำจัดพยาธิ
    คือ กิเลสพร้อมทั้งอนุสัยออกได้​
    [/FONT]
    [/FONT]
    พระธรรมเปรียบเหมือน เภสัชยาที่ทรงปรุงถูกต้องแล้ว
    พระสงฆ์ผู้มีพยาธิคือ กิเลสและอนุสัยอันระงับแล้วเปรียบเหมือน
    หมู่ชนที่พยาธิ(ความเจ็บป่วย) ระงับแล้ว เพราะการประกอบยา.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    อีกนัยหนึ่ง
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ชี้ทาง​
    [/FONT]
    [/FONT]
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทางดี หรือ พื้นที่ที่ปลอดภัย
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ผู้เดินทางถึงที่ที่ปลอดภัย
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน นายเรือที่ดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน เรือ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้เดินทางถึงฝั่ง.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ป่าหิมพานต์
    พระธรรมเปรียบเหมือน โอสถยาที่เกิดแต่ป่าหิมพานต์นั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ไม่มีโรคเพราะใช้ยา.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ประทานทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย์
    พระสงฆ์ผู้ได้อริยทรัพย์มาโดยชอบเปรียบเหมือน ชนผู้ได้ทรัพย์ตามที่ประสงค์.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ชี้ขุมทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ขุมทรัพย์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ได้ขุมทรัพย์.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    อีกนัยหนึ่ง
    พระพุทธเจ้าผู้เป็นวีรบุรุษเปรียบเหมือน ผู้ประทานความไม่มีภัย​
    [/FONT]
    [/FONT]
    พระธรรมเปรียบเหมือน ไม่มีภัย​
    พระสงฆ์ผู้ล่วงภัยทุกอย่างเปรียบเหมือน ชนผู้ถึงความไม่มีภัย
     
  7. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ปลอบ
    พระธรรมเปรียบเหมือน การปลอบ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ถูกปลอบ
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน มิตรดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน คำสอนที่เป็นหิตประโยชน์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือนชน ผู้ประสบประโยชน์ตน เพราะประกอบหิตประโยชน์
    (ประโยชน์เกื้อกูล)
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน บ่อเกิดทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย์ที่เป็นสาระ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ใช้ทรัพย์ที่เป็นสาระ
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ทรงสรงสนานพระราชกุมาร
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำที่สนานตลอดพระเศียร
    พระสงฆ์ผู้สรงสนานดีแล้วด้วยน้ำคือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน หมู่พระราชกุมาร
    ที่สรงสนานดีแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ช่างผู้ทำเครื่องประดับ
    พระธรรมเปรียบเหมือน เครื่องประดับ
    พระสงฆ์ผู้ประดับด้วยพระสัทธรรมเปรียบเหมือน หมู่พระราชโอรสที่ทรงประดับแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ต้นจันทน์
    พระธรรมเปรียบเหมือน กลิ่นอันเกิดแต่ต้นจันทน์นั้น
    พระสงฆ์ผู้ระงับความเร่าร้อนได้สิ้นเชิงเพราะอุปโภคใช้พระสัทธรรมเปรียบ
    เหมือน ชนผู้ระงับความร้อนเพราะใช้จันทน์
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน บิดามอบมฤดกโดยธรรม
    พระธรรมเปรียบเหมือน มฤดก
    พระสงฆ์ผู้สืบมฤดกดือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน พวกบุตรผู้สืบมฤดก.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ดอกปทุมที่บาน
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำอ้อยที่เกิดจากดอกปทุมที่บานนั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน หมู่ภมรที่ดูดกินน้ำอ้อยนั้น.
    พึงประกาศพระสรณตรัยนั้น ด้วยข้ออุปมาทั้งหลายดังกล่าวมาฉะนี้.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    และเรียนรู้เรื่องพระรัตนตรัยต่ออีก
    วัตถุทั้งหมดไม่ว่ารูปอะไรก็เป็นอย่างนี้แหละ...ไม่มีข้อยกเว้น​
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 66 หน้า 153​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    พระสมณะครั้นรู้รูปอย่างนี้แล้วจึงพิจารณารูป คือ พิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง
    เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นของลำบาก เป็นอาพาธ เป็นอย่างอื่น
    เป็นของชำรุด เป็นเสนียดเป็นอุบาทว์ เป็นภัย เป็นอุปสรรค เป็นของหวั่นไหว
    เป็นของแตกพัง เป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของไม่มีที่ซ่อนเร้น เป็นของไม่มีที่พึ่ง
    เป็นของว่าง เป็นของเปล่า เป็นของสูญ เป็นอนัตตา เป็นโทษ​
    เป็นของมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
     
  8. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    เป็นของไม่มีแก่นสาร เป็นมูลแห่งความลำบาก เป็นดังเพชฌฆาต
    เป็นของปราศจากความเจริญ เป็นของมีอาสวะ (เป็นของหมักดอง)
    เป็นของอันเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นของมีชาติเป็นธรรมดา
    เป็นของมีชราเป็นธรรมดา เป็นของมีพยาธิ (ความเจ็บป่วย) เป็นธรรมดา
    เป็นของมีมรณะเป็นธรรมดา เป็นของมีความโศก ความรำพัน ความเจ็บกาย ความ
    เจ็บใจและความแค้นใจ เป็นธรรมดา
    เป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ เป็นของดับไป
    เป็นของชวนให้หลงแช่มชื่น เป็นอาทีนพ (เป็นของมีโทษ)
    เป็นนิสสรณะ (เป็นของต้องพรากจากไป)​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    *** แต่ก็ไม่ได้บังคับใครทุกคนให้ต้องเชื่อ - ต้องถือตามหรอกนะ
    ให้พิจารณาเอาตามสติปัญญาของแต่ละคนที่จะเอื้ออำนวยให้
    ใครอยากจะถือพระพุทธรูปยึดติดอยู่ในรูปทั้งหลายว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    ก็เอาตามที่ใจต้องการก็แล้วกัน หรือใครจะเลิกถือพระพุทธรูปเลิกยึดติดรูป
    ทั้งหลายว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นที่ระลึก ก็เอาตามที่ใจต้องการก็แล้วกันนะ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 24 หน้า 401​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    รูปใด ๆ จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะอยู่ในอากาศ มีรัศมีรุ่งเรืองก็ตามที
    รูปทั้งหมดเหล่านั้น อันมารสรรเสริญแล้ว วางดักสัตว์ไว้แล้ว
    เหมือนเขาใส่เหยื่อล่อเพื่อฆ่าปลา ฉะนั้น.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    บ่วงแห่งมาร ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 28 หน้า 192[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
    น่ารัก อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่หากภิกษุเพลิดเพลิน สรรเสริญ
    หมกมุ่น พัวพันรูปนั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่าไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจของมาร
    ถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วงทำได้ตามปรารถนา
    ฯลฯ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่
    น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ชวนให้กำหนัด มีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน
    หมกมุ่น พัวพันธรรมารมณ์นั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่าไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจ
    ของมาร ถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วงทำได้ตาม
    ปรารถนา.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    รักสิ่งใด...ตายแล้วก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 43 หน้า 17 บรรทัดที่ 7[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ...ลำดับนั้น พี่สาวของท่านจัดแจงวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น
    เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุสามเณรผู้ทำจีวรของพระติสสะนั้น.
    ก็ในวันที่จีวรเสร็จ พี่สาวให้ทำสักการะมากมาย.
    ท่านแลดูจีวรแล้ว เกิดความเยื่อใยในจีวรนั้นคิดว่า "ในวันพรุ่งนี้ เราจักห่มจีวรนั้น"
    แล้วพับพาดไว้ที่สายระเดียง ในราตรีนั้น ไม่สามารถให้อาหารที่ฉันแล้วย่อยไปได้​
    มรณภาพ (ตาย) แล้ว เกิดเป็นเล็นที่จีวรนั้นนั่นเอง……
     
  9. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    อาลัยสิ่งใด...ตายแล้วไปเกิดอยู่กับสิ่งนั้น​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 51 หน้า 107 บรรทัดที่20​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    …พระศาสดาตรัสว่า
    ภัททชิ รัตนปราสาทที่เธอเคยอยู่ในเวลาที่เธอเป็นพระราชามีนามว่า มหาปนาทะอยู่
    ตรงไหน ?
    พระภัททชิเถระกราบทูลว่า จมอยู่ในที่นี้พระเจ้าข้า.
    พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ถ้าเช่นนั้น เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนสพรหมจารี
    ทั้งหลาย.
    ในขณะนั้น พระเถระ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปด้วยกำลังฤทธิ์
    ยกยอดปราสาทขึ้นด้วยหัวแม่เท้าแล้วชะลอปราสาท สูง ๒๕ โยชน์
    เหาะขึ้นบนอากาศ และเมื่อเหาะขึ้นได้ ๕๐ โยชน์ ก็ยกปราสาทขึ้นพ้นจากน้ำ
    ลำดับนั้นญาติทั้งหลายในภพก่อนของท่าน เกิดเป็นปลาเป็นเต่าและเป็นกบ
    ด้วยความโลภอันเนื่องอยู่ในปราสาท เมื่อปราสาทนั้น ถูกยกขึ้นก็หล่นตกลงไปในน้ำ
    พระศาสดาเห็นสัตว์เหล่านั้นตกลงไป จึงตรัสว่า ภัททชิ ญาติทั้งหลายของเธอจะ
    ลำบาก.
    พระเถระจึงปล่อยปราสาท ตามคำของพระศาสดา……….​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    *** หลวงพ่อเกษมบอกว่า​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    พวกคนที่มีเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษใดๆก็ตาม
    และพวกคนเหล่านี้มีความรัก – อาลัย – ยึดถือ
    ในเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษใดๆนั้นว่าเป็นที่พึ่ง
    เมื่อพวกคนเหล่านี้ตายไปแล้วก็เข้าไปสถิตอยู่ในเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษ
    เหล่านั้นก็มีมาก​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    ผู้พอใจในรูปร่างทั้งหลาย...ต้องรู้ ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 28 หน้า 357[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาทิตตปริยายและธรรมปริยายแก่เธอทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงฟัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาทิตตปริยายและธรรมปริยายเป็นไฉน.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ (หน่วยตา) ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติด
    ลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง
    จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต (เครื่องหมาย) หรือตะกรามด้วย
    ความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยา (ตาย)
    เสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ (การไปเกิด) ๒ อย่าง คือ
    นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้.....​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    ***อนุพยัญชนะ หมายถึง แยกถือเอาเป็นส่วนๆ เช่น มืองาม, เท้างาม ,
    คิ้วงาม ,หน้างาม , เป็นต้น
    รูปนี้หมายรวมทั้ง พระพุทธรูปด้วยนะ​
    [/FONT]
    [/FONT]
    แม้แต่รูปร่างของพระพุทธเจ้าตัวจริง ๆ เมื่อ 2500 กว่าปีก่อน
    ก็ยังอันตรายถ้าไปยึดเอาเป็นที่พึ่ง​
    เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพระพุทธรูปทั้งหลายหรือวัตถุทั้งหลายเลย
     
  10. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    ชะตากรรมในโลกหน้าของผู้ไม่มีพระรัตนตรัย...เป็นที่พึ่ง​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 18 หน้า 28​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    บทว่า โย สตฺถริ ปสาโท โส น สมฺมคฺคโต ความว่า
    ก็ศาสดา (ผู้สั่งสอน) ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ (ที่ไม่ใช่
    พระพุทธเจ้า) ทำกาละ (ตาย) แล้วเป็นสีหะ (สิงโต)บ้าง เสือโคร่งบ้าง เสือเหลืองบ้าง
    หมีบ้าง เสือดาวบ้าง. ส่วนสาวกทั้งหลายของศาสดานั้น เป็นเนื้อบ้าง สุกร(หมู) บ้าง
    กระต่ายบ้าง. มันไม่ทำความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูว่า สัตว์เหล่านี้
    เคยเป็นอุปัฏฐาก ผู้ให้ปัจจัย (เครื่องดำรงชีวิต) แก่เรา ฆ่าสัตว์เหล่านั้นแล้ว ดูดเลือด
    บ้าง กินเนื้อสันทั้งหลายบ้าง.
    ก็อีกประการหนึ่ง ศาสดาเกิดเป็นแมว. สาวกทั้งหลายเป็นไก่หรือหนู. ลำดับนั้น แมวก็
    จะไม่ทำความอนุเคราะห์ ย่อมกินไก่หรือหนูเหล่านั้นโดยนัยกล่าวแล้วนั้นเทียว.
    อนึ่ง ศาสดาเป็นนายนิรยบาล สาวกทั้งหลายเป็นสัตว์นรก. นายนิรยบาลนั้น จะไม่ทำ
    ความอนุเคราะห์ว่า สัตว์เหล่านี้ เคยให้ปัจจัยแก่เรา ย่อมทำกรรมกรณ์ (เครื่องลง
    อาชญา) ต่างๆ ใส่ในรถที่ร้อนจัดบ้างให้ขึ้นภูเขาไฟบ้าง ทิ้งศีรษะลงในหม้อโลหะบ้าง
    ประกอบด้วยทุกขธรรมหลายอย่างบ้าง.
    ก็หรือสาวกทั้งหลายตายไปเป็นสัตว์มีสีหะเป็นต้น. ศาสดาเป็นสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งมี
    เนื้อเป็นต้น. สัตว์เหล่านั้นไม่ทำความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูในสัตว์
    นั้นว่า เราเคยอุปัฏฐากสัตว์นี้ด้วยปัจจัยสี่ สัตว์นี้เคยเป็นศาสดาของพวกเรา ดังนี้
    ย่อมให้ถึงความพินาศ โดยนัยกล่าวแล้วนั้นเทียว.
    ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ด้วยประการฉะนี้ ความเลื่อมใสในศาสดา
    ใด ความเลื่อมใสนั้นไม่ไปแล้วโดยชอบ แม้ไปสู่กาละ (ตาย) อย่างไรแล้ว จะพินาศ
    ในภายหลังนั้นเทียว.
    บทว่า โย ธมฺเม ปสาโท ความว่า
    ก็ธรรมดาความเลื่อมใสในธรรม ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์
    เป็นความเลื่อมใสในตันติธรรม (ประเพณี) เพียงเรียน เล่าเรียน ทรงไว้และบอกแล้ว
    แต่ความพ้นจากวัฏฏะ (การเวียนว่ายตายเกิด) ไม่มีในความเลื่อมใสนั้น
    เพราะฉะนั้น ความเลื่อมใสในธรรมนั้นใด ความเลื่อมใสนั้นรังแต่จะทำวัฏฎะให้ลึก
    บ่อย ๆ เพราะฉะนั้นเรากล่าวว่าไม่ไปแล้วโดยชอบ คือ ไม่ไปแล้วโดยสภาวะ.​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    พึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ์ (อย่างถูกต้อง) ยอดเยี่ยมนัก​
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 42 หน้า 346​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ (ต้นไม้)
    ว่าเป็นที่พึ่งสรณะนั่นแลไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น
    ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.​
    ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ​
    ย่อมเห็นอริยสัจ 4
    (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ
    ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม​
    สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัย สรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
     
  11. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    พึ่งพระพุทธ – ธรรม – สงฆ์ (อย่างถูกต้อง) ...นี้...ดีนัก​
    [FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold][FONT=Tahoma,Bold]
    เล่ม 29 หน้า 119​
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพกับเทวดา ๘๔,๐๐๐ องค์
    เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่
    ไหว้ท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ได้ไปประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้พูดกะท้าวสักกะจอมเทพว่า
    ดูก่อนจอมเทพ การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ดีนัก เพราะเหตุแห่งการถึง
    พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    การถึงพระธรรมเป็นสรณะดีนัก…..
    การถึงพระสงฆ์เป็นสรณะดีนัก เพราะเหตุแห่งการถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์​
    ท้าวสักกะจอมเทพตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ (ไม่มีทุกข์)
    การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะดีนัก เพราะเหตุแห่งการถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    การถึงพระธรรมเป็นสรณะดีนัก...
    การถึงพระสงฆ์เป็นสรณะดีนัก เพราะเหตุแห่งการถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์​
    ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพกับเทวดา ๕๐๐ องค์
    เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ไหว้ท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว
    ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้พูดกะท้าวสักกะจอมเทพว่า
    ดูก่อนจอมเทพ การประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า
    แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้แจ้ง) และจรณะ (ความประพฤติ) เสด็จไปดีแล้ว
    ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและ
    มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมดังนี้ ดีนัก
    เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    ดูก่อนจอมเทพ การประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า
    พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง
    ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา
    อันวิญญูชน (ผู้รู้แจ้ง) พึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ ดีนัก
    เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    ดูก่อนจอมเทพ การประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า
    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็น
    ธรรม ปฏิบัติชอบ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้
    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรของคำนับ ควรของต้อนรับ
    ควรของทำบุญ ควรทำอัญชลี (ประนมมือไหว้) เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่ง
    กว่า ดังนี้ ดีนัก เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวใน​
    พระสงฆ์ สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
     
  12. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129

    ดูก่อนจอมเทพ การประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว อันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง
    ไม่พร้อย เป็นไทย วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหา (ความทะยานอยาก)
    และทิฏฐิ (ความเห็น) ลูบคลำไม่ได้ เป็นไปเพื่อสมาธิ ดีนัก
    เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อ
    แตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์…..
    ……..ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้พูดกะท้าวสักกะจอมเทพว่า
    ดูก่อนจอมเทพ การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะดีนัก
    เพราะเหตุแห่งการถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    เขาเหล่านั้นย่อมครอบงำเทวดาพวกอื่นด้วยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ด้วยอายุ วรรณะ
    (ผิวพรรณ) สุข ยศ ความเป็นใหญ่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
    อันเป็นพิพย์
    ดูก่อนจอมเทพ การถึงพระธรรมเป็นสรณะดีนัก เพราะเหตุแห่งการถึงพระธรรมเป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    เขาเหล่านั้นย่อมครอบงำเทวดาพวกอื่นด้วยฐานะ ๑๐ ประการ
    คือ ด้วยอายุ วรรณะ สุข ยศ ความเป็นใหญ่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    อันเป็นทิพย์.
    การถึงพระสงฆ์เป็น สรณะ ดีนัก. เพราะเหตุแห่งการถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
    สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    เขาเหล่านั้นย่อมครอบงำเทวดาพวกอื่นด้วยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ด้วยอายุ​
    วรรณะ สุข ยศ ความเป็นใหญ่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นทิพย์……..
     
  13. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    งานเข้าแล้วพี่น้อง

    ลูกศิษย์หลวงพ่อเกษม วัดป่าช้าสามแยกเพชรบูรณ์

    ที่เอาเท้าเหยียบพระพุทธรูป
     
  14. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ก็ลองพิจารณาเอาเถอะครับ.. จะเลือกเชื่อพุทธองค์ ผู้ให้กำเนิดศาสนาพุทธหรือจะเชื่อผู้เรียนตามๆ กันมาที่หลัง..ก็แล้วแต่ท่าน ส่วนตัวผมเลือกเชื่อพุทธองค์แน่นอนกว่า..ไม่ผิดพลาดแน่นอน..ผมเรียนตามคำสอนของพุทธองค์แล้วก็เห็นจริงดังนั้น นำพาให้พ้นทุกข์ได้จริง พระสงฆ์ที่ท่านกราบพุทธรูปนะ จิตท่านน้อมไปถึงพุทธองค์ ไม่ได้ยึดในพุทธรูปตรงหน้าท่านเลย พระสงฆ์ที่ทำได้แบบนั้น ก็มีแต่พระโสดาขึ้นไป ส่วนพระปุถุชน หรือชาวบ้านแบบเราๆ ที่ยังเซ่อๆ ซ่าๆ เรียนก็ไม่เรียนให้รู้จริง ลองถามตัวเองสิว่าห้อยพระ หรือมีพระพุทธรูปไว้นะ..เอาไว้กราบขอเอารูปเหล่านั้นเป็นที่พึ่ง เพื่อขอให้ช่วย ขอให้สมหวัง..คลาดแคล้วจากสิ่งที่ไม่ต้องการอยู่หรือไม่.. แล้วตรงกับคำสอนของพุทธองค์หรือไม่...
     
  15. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    งานไม่เข้าหรอกครับ..ทุกคนมีศิษย์เลือกจะเชื่อ ผมนั้นลูกศิษย์พุทธเจ้าแน่นอน ถ้าท่านที่เรียกตัวเองว่าลูกศิษย์พุทธเจ้า..แต่มีอคติจิตบอด ไม่เรียนคำพุทธองค์ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธนะ ควรพิจารณาตัวเองเช่นกัน..
     
  16. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    นึกว่า ฟังเทศน์ของผู้บริสุทธิ์ไร้อาสวะหมดกิเลส

    ผมเองกิเลสหนา แบบกว้่างวาหนาศอก ร่างกายเน่าเหม็นมีแต่ของสกปรก

    ผมยังหลงบ้าหอบตำรา เป็นหนอนแทะคัมภีร์ใบลานพระธรรม

    ขอน้อมสดับฟัง สาธุ สาธุ สาธุ
     
  17. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ดูก่อนจอมเทพ การที่วิญญูชนสรรเสริญบุคคลนั้น

    หาได้เกิดจากการตำหนิติเตียนการกราบไหว้พระพุทธรูปก็หาไม่

    สิ่งนั้นเรียกว่า ตัณหา (ความทะยานอยาก)

    ย่อมครอบงำมวลหมู่สัตว์พาให้หลงเป็นมิจฉาทิฐิ
     
  18. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    อย่ามั่วแต่แทะเลยครับ หามาอ่านเถอะพระไตรปิฎกคำสอนของพุทธองค์ นะอ่านแล้วพิจารณาด้วยปัญญา ก็เห็นตามได้ว่าอันใด เป็นเหตุเป็นผล นำมาใช้กับตัวเองได้ประโยชน์ ไอ้คำกระทบกระเทียบ ใช้วาจาแดกดันนะ..เป็นมโน วจีทุจริต.. ถ้าเริ่มต้นผิด มันก็จะพาผิดทางตลอดสาย หลงภพ หลงชาติ..
    ผมนะเป็นศิษย์ของพระที่รักษาธรรมวินัยมิขาดตกบกพร่องทุกรูป หากรักษาวินัยได้ครบถ้วน ก็กราบไหว้ทำบุญด้วยได้ ศึกษาเยอะๆ นะครับ จะได้รู้ตามคำสอนพุทธองค์ ไม่หลงไปเชื่ออะไรผิดๆ จากคำสอนท่านซะ
     
  19. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    แม้แต่รูปพระองค์ท่านเอง ท่านยังติเตียน มิให้ผู้ใดมายึดเอาเป็นที่พึ่งที่ระลึก... ท่านกลับให้ยึดพระธรรม ซึ่งมีมาก่อนพระพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์เป็นสัจธรรมที่มีอยู่ตลอดมาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแต่พระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์มารู้ธรรมชาติอันมีอยู่นี้แล้ว จำแนกออกมาสั่งสอนสัตว์โลก...
    รูปของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..พระองค์แล้ว พระองค์เล่า มีเพียงพระธรรมอันเป็นสัจธรรม ที่พาเราท่าน ที่เรียนตามพุทธองค์แล้ว นำมาปฏิบัติ ให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วเท่านั้น ย่อมรู้ซึ้งในรสพระธรรม ตามพระพุทธองค์ได้ มิใช่หรือ
    มิใช่ว่าเราท่านจะมายึดรูปพระพุทธเจ้า หรือรูปพระอริยะสงฆ์ แล้วจะได้รู้ตามก็หาไม่ หากเราเรียนตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่เที่ยงตรง..อย่างนั้น จึงพาเราไปถึงทางอันดับทุกข์ อย่างแท้จริงได้ มิใช่หรือ.. ผู้เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ
     
  20. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    ที่คุณกล่าวมาทั้งหมด


    รวม ครูบาอาจารย์ที่สร้างพระ หมดทั้งประเทศด้วย ใช่หรือไม่


    รวม องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสร้างพระพุทธรูปพระราชทานแก่จังหวัดต่างๆ และ ทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดป่ากรรมฐาน ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดสวนโมกข์ ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดท่าซุง ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดญาณเวศกวัน ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดอัมพวัน ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดสะแก ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดบวรนิเวศฯ ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    รวม วัดหนองป่าพง และ วัดสาขา ที่มี พระพุทธรูป ให้กราบไหว้บูชาด้วย ใช่หรือไม่


    และ อีกมากมายทั่วประเทศ



    ตัวผมเอง ไม่เป็นไรหรอก รู้ตัวเองดี มีครูบาอาจารย์คอยอบรมสั่งสอนอยู่



    ตกลง คุณจะดำเนินรอยตามพระเทวทัต ใช่หรือไม่ งั้นก็ตามสะดวกเลยนะครับ อยากไปลงอเวจีก่อน แล้วค่อยขึ้นมาสำเร็จเป็นพระปัจเจกฯ ก็ตามใจ ขอให้สมปรารถนาเถิด ส่วนตัวผม ขอไปแต่สุคติภูมิ และ ขอสำเร็จในยุคพระศรีอารย์ ทำบุญสร้างกุศลทุกอย่าง เพื่อสำเร็จในยุคพระศรีอารย์เท่านั้น และ ในพระไตรปิฎกก็มีตัวอย่างมากมาย เกี่ยวกับอดีตชาติของพระอรหันตสาวกในสมัยพุทธกาลที่เคยทำบุญแล้วอธิษฐานบารมีเพื่อที่จะสำเร็จในอนาคต แม้อดีตชาติของพระพุทธองค์ก็มีการอธิษฐานบารมีเช่นเดียวกัน



    อย่าได้เข้าใจว่า ตัวผมเองเป็นเดือดเป็นแค้นเลย หากแต่ชี้ขุมทรัพย์ ชี้ทางที่ถูกต้องให้คุณ อย่าได้ศึกษาเกินขอบเขตแห่งสัมมาทิฏฐิไปเลย



    พระพุทธรูป พระเครื่อง เป็นเพียงกุศโลบาย เป็นเพียงเปลือก แห่งพระพุทธศาสนา เท่านั้น ผู้ที่มีปัญญา ย่อมไม่ยึดติด แต่ก็ไม่ควรมาจาบจ้วงด้วยประการใดๆ เนื่องจากเป็นที่มาแห่ง พุทธานุสติ และ สังฆานุสติ อันจะช่วยให้ผู้ที่เลื่อมใส เข้าถึงบุญ และ สุคติ ได้


    คุณรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ที่นับถือในพระพุทธรูป พระเครื่องนั้น คนไหนเขารักษาศีล หรือ ไม่รักษาศีล อย่าเอาการนับถือพระพุทธรูป มาปนกับ การปฏิบัติธรรม เพราะความศรัทธาของแต่ละคน ย่อมไม่เท่ากัน แค่เขาศรัทธาในพระรัตนตรัยก็ดีแล้ว สักวัน ความศรัทธานั้นและบุญที่เขาทำ ย่อมส่งผลให้เขาฝึกจิต และ พัฒนาจิตขึ้นเอง เมื่อถึงเวลา


    เรื่องคนทำผิดศีล ผิดกฎหมาย ย่อมเป็นธรรมดาของโลก มีดี ย่อมมีชั่ว พระเทวทัต อวดดื้อ ถือดี คิดเป็นใหญ่ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก ลอบปลงพระชนม์ สุดท้ายถวายคางเป็นพุทธบูชา ด้วยความสำนึกผิด แต่ก็สายเกินไป แทนที่จะได้ถึงพระนิพพานในชาตินั้น ก็ลงอเวจีแทน เพราะความเห็นผิดนี่แหละ เสียดายยิ่งนักที่อุตส่าห์ได้เกิดมาทันพบพระพุทธองค์



    คุณต้องรอให้พระพุทธเจ้ามาบอกเองหรืออย่างไร ว่า การนับถือพระพุทธรูป ไม่ผิด เป็นเหตุให้เกิดบุญกุศล และ เข้าถึงสุคติได้ ถ้าเคารพศรัทธาแท้จริง



    ผมยังไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์องค์ใด มากล่าวตำหนิติเตียนในเรื่องนี้ไม่ เนื่องจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ ท่านเข้าใจในระดับพื้นฐานของภูมิจิต ภูมิธรรม ของแต่ละคน



    คุณอ้างแต่พระไตรปิฎก เหมือนคิดว่าตนเองอ่านพระไตรปิฎกอยู่คนเดียว ฉลาดอยู่คนเดียว ดูถูกสติปัญญา ดูถูกความเชื่อความเลื่อมใสของบุคคลอื่น หาใช่นักปราชญ์ไม่ ครูบาอาจารย์ทุกองค์ แม้ท่านอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) ที่ถือได้ว่า เป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ได้รับการยกย่องจากทั่วโลก แม้องค์สมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ปัจจุบัน ยังสรรเสริญว่า เป็นเพชรน้ำหนึ่งในพระพุทธศาสนา ก็ยังเคารพในพระพุทธรูป ไม่เคยกล่าวตำหนิติเตียนในพระพุทธรูป และ ผู้ที่นับถือในพระพุทธรูปเลย



    คุณคิดว่า ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ท่านไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกหรือ ขนาดตัวผมเองอ่านพระไตรปิฎก ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ยังไม่คิดว่า ตนเองจะดี หรือ จะเก่ง เลย มีแต่ต้องเร่งสร้างบารมี หมั่นสวดมนต์ภาวนา ด้วยความไม่ประมาท



    ชาวพุทธทุกคน ย่อมรู้อยู่แล้วว่า พระพุทธรูปทำจากวัสดุต่างๆ ในโลกมนุษย์ เป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นมา ด้วยจิตที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์ ที่ทำปลอมก็ถือว่าเป็นกรรมส่วนบุคคล ที่นำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล หากไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม


    กรุณาแยกแยะให้ออก คุณจะไม่นับถือของคุณก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่อย่านำความคิดเห็นผิดๆ มาเผยแพร่ เพราะจะเป็นกรรมอันหนัก ผมเองหากไม่มีความเมตตาต่อคุณ คงปล่อยให้เป็นไปตามกรรม



    ไม่ทราบว่า คุณศึกษาธรรมะ โดยมีครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนหรือไม่ หรือ คิดเอง ศึกษาเอง ระวังจะวิปลาสนะครับ เอาแต่ปรมัตถธรรมมาอ้าง โดยขาดพิ้นฐานแห่งความศรัทธา อันเป็นหนึ่งใน พละธรรม 5 หรือ อินทรีย์ 5 (คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา) ระวังจะบิดเบือนพระธรรม นะครับ กรุณาอย่าศึกษาข้ามขั้น และ คิดเอาเอง หรือ อ้างหลักธรรมแบบเข้าข้างตัวเอง เอาหลักของมงคลสูตร 38 ประการ มาศึกษาและปฏิบัติก่อน จะดีกว่าไหม



    กรุณาไปขอขมาคุณพระรัตนตรัย ต่อหน้า องค์พระแก้วมรกต เสียเถิด กรรมจะได้ทุเลาเบาบางลง



    ด้วยความปรารถนาดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...