กระเทยไม่สามารถเข้าฌานได้จริงหรือครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dawsonsc222, 13 ธันวาคม 2009.

  1. chevasit

    chevasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +424
    ตามความหมายของคำว่ากะเทย หรือผู้มี 2เพศ นั้น ในสมัยก่อนหมายถึง ผู้มี อวัยวะ 2 เพศ ในตัว คนเดียวจริงๆ ไม่ใช่กะเทยในความเข้าใจปัจจุบันนี้ ที่หมายถึง การที่ผู้ชายแสดง การกระทำเป็นหญิง
     
  2. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    คนเพศเดียวแท้ๆ บางคนยังคิดได้ไม่เท่าคุณเลยครับ
     
  3. ปุญญานุภาพ

    ปุญญานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +916
    บุญรักษาท่านผู้เจริญ

    " เข้าถึงฌาณ กับ เข้าถึงพระรัตนะตรัย "

    ลองชั่งดูครับ ว่าข้อใดมีน้ำหนักมากกว่ากัน

    หัวใจของพระพุทธศาสนา เน้นปัญญาครับ ให้เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจิง เมื่อรู้แล้วก้อให้เพิกถอนความเห็นผิด ให้หน่ายในความเวียนว่ายตายเกิด

    เลือกเอานะครับ คุณชอบแบบไหน ?

    อนุโมทนาสาธุการครับ
     
  4. tony5599

    tony5599 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +86
    ทุกอย่างคือสมมติ
    การปฏิบัติเพื่อปล่อยวาง
    ไม่ใช่ยึดถือเน้นปัจจุบันขณะคือมีสติ
    และศีลเป็นตัวกำกับ แค่นี้นอกนั้นขึ้นอยู่กับ
    กำลังใจศัรทธาและความเพียร
     
  5. ภูดาว

    ภูดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +931
    เหอๆๆคนเขียนหนังสือ เขาไม่ได้เป็นกระเทยนี่ครับก็เลยฟันธงไปว่าทำไมได้


    แต่ก็สนับสนุนที่บอกว่า เขาถึงพระรัตนตรัย ดีกว่าเข้าถึงฌาณ เพราะก่อนพุทธกาลก็มีคนสำเร็จฌาณกันเยอแยะ แต่พระรัตนตรัยนี่สิครับ นานๆแสนนาน จะเกิดมาเจอที เป็นวาสนาแล้วละครับ



    สู้ ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ครับ
     
  6. tidabell

    tidabell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +888
    :cool: I agree ^^ satu ka
     
  7. Kawee_win

    Kawee_win เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +420
    บัณเฑาะว์ น่าจะหมายถึงผู้ที่เป็นกระเทยแท้ครับ คือผู้ที่มีอวัยวะทั้งของเพศชายและหญิงอยู่ในคนๆเดียว ส่วนผู้ที่มีอวัยวะถูกต้องตามเพศแต่เป็นเกย์ตุ๊ด ไม่เข้าข่ายนี้ครับ สามารถบวชและบรรลุธรรมได้

    สาเหตุเพราะอะไรลองอ่านในกระทู้ด้านล่างนะครับ
    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008834.htm
     
  8. dhamaskidjai

    dhamaskidjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,855
    ค่าพลัง:
    +5,727
    การนิพพาน นั่น นิพพานที่ จิต จ้า ถ้ายังยึดอยู่ก็ไปไม่ถึงจ้า ก็การที่ยึดอะไรมากมายนั่นแหละ!
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านจึงเปลืองคำพูดมากมายเป็น ล้านๆพระธรรมขันธ์ ก็เพราะเรายยึดกับสมมุติต่างๆทั่งรูปธรรม-นามธรรม นั่นแหละจ้า
    -----------------------
    เดินต่อไปเถิด.... เดี๋ยวก็ถึง

    ทนอีกหน่อยเถิด.... เดี๋ยวก็สบาย

    ตายเมื่อไร... เราก็ชนะแล้ว.
    _________________

    "เหลืออีกเพียงก้าวเดียวลูกเอ๋ย ก้าวเดียวชาติเดียว ก้าวสุดท้ายนี้พ่อจะทำทุกอย่างทุกวิธีให้ลูกถึงชัยชนะเหมือนพ่อ พ่อจะทั้งล่อทั้งชน พ่อจะใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ พ่อจะเอาหลังมือกำราบความดื้อในใจลูก แล้วเอาหน้ามือลูบหัวชื่นชมเมื่อลูกทำได้เหมือนพ่อ ตามพ่อมาเถิด พ่อคอยลูกทุกคนอยู่ที่ปลายทางแห่งความทุกข์นี้"
    -----------------

    ชีวิตคน ดุจดังผงธุลี ในจักรวาล
    ดิ้นรน วนว่าย วัฏสงสาร
    ผ่านเวลา มายืดเยื้อ ยาวนาน...
    เหน็ดเหนื่อย ล้าแรง โรยอ่อน
    มิรู้ เมื่อไร จะหลุดพ้น...
    ใครตอบได้ นอกเสียจาก...ตนเอง
    ---------------------
    เข้มแข็ง เชื่อมั่นในตนเอง ศีล สมาธิ ปัญญา น้อมนำมาฝึกปฏิบัติ ด้วยความตั้งใจจริง (หายแน่นอน)
    *คำสอนองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ไปหามาศึกษาเอาเอง*

    ---------------------
    "ด้วยบุญบารมีที่ได้สร้างสมมาทำให้ได้เข้ามาสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าต้องกลับไปมือเปล่า ช่างน่าเวทนานัก"
    ------------------
    "สรรพสัตว์ล้วนเวียนว่ายตายเกิดเป็นพี่น้องกันมานับไม่รู้กี่ร้อยพันชาติภพ การได้พบเจอกันย่อมมีบุญสัมพันธ์ต่อกัน"
    ------------------------
    ศีลถือได้ทุกเพศไม่มีข้อจำกัด
    ศีลหลวงพ่อฤาษีท่านจำกัดความ....แปลว่าปรกติ
    หากพิจารณาจากธรรมนี้ ทาน ศีล ภาวนาจะเห็นได้ว่าศีล มีอานิสงค์สูงกว่าทานและเป็นปัจจัยให้การภาวนา
    ----------------
     
  9. butterfly7777

    butterfly7777 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +81

    เห็นด้วยเช่นกัน เจ้าค่ะ
     
  10. monddarah

    monddarah สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    กระเทยในความหมายที่ว่าไม่ใช่เกย์ หรือกระเทยที่เข้าใจกันครับ แต่หมายถึงบุคคลที่เกิดมาผิดปรกติโดยมีอวัยวะเพศสองอย่างติดมาพร้อมกัน ซึ่งถือว่าเป็นคนพิการ ไปค้นคว้าดูเองนะครับ อย่างนี้แหละที่ที่บวชในพระศาสนาไม่ได้ สำเร็จฌานไม่ได้ นอกนั้นได้ครับ
     
  11. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    มีพระวินัยข้อนึง กล่าวว่าไม่ให้ภิกษุบวชให้บัณเฑาะก์
    ซึ่งก็ ไม่ได้บอกไว้นะครับ ว่าบัณเฑาะก์สำเร็จญาณไม่ได้ = ="

    เท่าที่ดู ผมว่า จขกท. ไม่น่าจะเข้าข่ายบัณเฑาะก์นะครับ

    แต่จะเป็นหรือไม่ ขอเพียงมีความเพียร ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ก็สามารถบรรลุได้ ตราบเท่าที่ความเพียรยังคงอยู่ ^^
    (ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจแล้วด้วย ว่า "เกย์" นี่มีแบ่งจากเป็นเพราะกรรมกับเพราะสภาพแวดล้อมหรือเปล่านะ เพราะรู้สึกตอนนี้เยอะมาก _ _")
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2009
  12. jeds22

    jeds22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +498
    ไม่จริงครับ เพื่อนผมเป็นกระเทย แต่ยังไม่ได้แปลงเพศ นับถือพระแม่อุมา เข้าฌาณไฟแล่บ ฝึกแป๊ปเดียวได้กสิณไฟและลม (น้ำกะดินยังไม่เคยฝึก) ถึงขั้นย่อขยายดวงกสิณได้ตามใจ นั่งได้ตลอดคืนจนเช้า (คงมีของเก่ามาด้วย)
     
  13. รักในหลวงครับ

    รักในหลวงครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +101
    ตาม ความคิด น่าจะเข้าได้ ครับ
     
  14. เกลี่ยง

    เกลี่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +428
    เป็นกำลังใจให้ ท่านเจ้าของกระทู้

    ปฎิบัติธรรมไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะรู้เอง
    ว่า ความชัง ชอบ ในชาย หรือ หญิง หรือสัตว์ บุคคลใดๆ
    เป็นเพียงการปรุงแต่งของกิเลสที่มีในตัวเราเท่านั้น

    หากขาดจากการปรุงแต่งข้างต้น ความเป็น เกย์ ก็หายไปเอง
    (แบบว่าเห็นแล้ว ก็งั้นๆ)

    บางท่านบรรลุธรรม โดยไม่ได้กสิณ เลยก็มี
     
  15. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    <center> ๙. เรื่องพระโสไรยเถระ [๓๒] จากอรรถกถา
    ข้อความเบื้องต้น </center> พระศาสดายังพระธรรมเทศนานี้ว่า “น ตํ มาตา ปิตา กยิรา” เป็นต้น ซึ่งตั้งขึ้นใน<wbr>โสไรย<wbr>นคร ให้จบลงในพระนครสาวัตถี. <center>
    เศรษฐีบุตรกลับเพศเป็นหญิงแล้วหลบหนี </center> เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี, ลูกชายของ<wbr>โส<wbr>ไรย<wbr>เศรษฐี ในโสไรยนคร นั่งบนยานน้อยอันมีความสุขกับสหายผู้หนึ่งออกไปจากนคร เพื่อประโยชน์จะอาบน้ำด้วยบริวารเป็นอันมาก.
    ขณะนั้น พระมหากัจจายนเถระมีความประสงค์จะเข้าไปสู่<wbr>โส<wbr>ไรย<wbr>นคร เพื่อบิณฑบาต ห่มผ้าสังฆาฏิภายนอกพระนคร. ก็สรีระของพระเถระมีสีเหมือนทองคำ ลูกชายของโสไรยเศรษฐีเห็นท่านแล้ว จึงคิดว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือสีแห่งสรีระของภริยาของเรา พึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั้น.”
    ในขณะสักว่าเขาคิดแล้วเท่านั้น เพศชายของเศรษฐีบุตรนั้น ก็หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว. เขาละอายจึงลงจากยานน้อยหนีไป. ชนใกล้เคียงจำลูกชายเศรษฐีนั้นไม่ได้ จึงกล่าวว่า “อะไรนั่นๆ ?” แม้นางก็เดินไปสู่หนทางอันไปยังเมืองตักกสิลา. <center>
    พวกเพื่อนและพ่อแม่ออกติดตามแต่ไม่พบ </center> ฝ่ายสหายของนาง แม้เที่ยวค้นหาข้างโน้นและข้างนี้ ก็ไม่ได้พบ. ชนทั้งปวงอาบเสร็จแล้วได้กลับไปสู่เรือน, เมื่อชนทั้งหลายกล่าวกันว่า “เศรษฐีบุตรไปไหน?” ชนที่ไปด้วยจึงตอบว่า “พวกผมเข้าใจว่า เขาจักอาบน้ำกลับมาแล้ว.” ขณะนั้น มารดาและบิดาของเขาค้นดูในที่นั้นๆ เมื่อไม่เห็น จึงร้องไห้ รำพัน ได้ถวายภัตเพื่อผู้ตาย ด้วยความสำคัญว่า “ลูกชายของเรา จักตายแล้ว.” <center>
    นางเดินตามพวกเกวียนไปเมืองตักกสิลา </center> นางเห็นพวกเกวียนไปสู่เมืองตักกสิลาหมู่หนึ่ง จึงเดินติดตามยานน้อยไปข้างหลังๆ ขณะนั้น พวกมนุษย์เห็นนางแล้ว กล่าวว่า “หล่อนเดินตามข้างหลังๆ แห่งยานน้อยของพวกเรา (ทำไม?) พวกเราไม่รู้จักหล่อนว่า ‘นางนี่เป็นลูกสาวของใคร?’ นางกล่าวว่า “นาย พวกท่านจงขับยานน้อยของตนไปเถิด. ดิฉันจักเดินไป”, เมื่อเดินไปๆ (เมื่อยเข้า) ได้ถอดแหวนสำหรับสวมนิ้วมือให้แล้ว ให้ทำโอกาสในยานน้อยแห่งหนึ่ง (เพื่อตน). <center>
    ได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น </center> พวกมนุษย์คิดว่า “ภริยาของลูกชายเศรษฐีของพวกเรา ในกรุงตักกสิลา ยังไม่มี, เราทั้งหลายจักบอกแก่ท่าน, บรรณาการใหญ่ (รางวัลใหญ่) จักมีแก่พวกเรา.” พวกเขาไปแล้ว เรียนว่า “นายแก้วคือหญิง พวกผมได้นำมาแล้วเพื่อท่าน.” ลูกชายเศรษฐีนั้นได้ฟังแล้ว ให้เรียกนางมา เห็นนางเหมาะกับวัยของตน มีรูปงามน่าพึงใจ มีความรักเกิดขึ้น จึงได้กระทำไว้ (ให้เป็นภริยา) ในเรือนของตน. <center>
    ชายอาจกลับเป็นหญิงและหญิงอาจกลับเป็นชายได้ </center> จริงอยู่ พวกผู้ชาย ชื่อว่าไม่เคยกลับเป็นผู้หญิง หรือพวกผู้หญิงไม่เคยกลับเป็นผู้ชาย ย่อมไม่มี. เพราะว่า พวกผู้ชายประพฤติล่วงในภริยาทั้งหลายของชนอื่น ทำกาละแล้ว ไหม้ในนรกสิ้นแสนปีเป็นอันมาก เมื่อกลับมาสู่ชาติมนุษย์ ย่อมถึงภาวะเป็นหญิง สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ
    ถึงพระอานนทเถระ ผู้เป็นอริยสาวก มีบารมีบำเพ็ญมาแล้วตั้งแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ในอัตภาพหนึ่งได้บังเกิดในตระกูลช่างทอง ทำปรทารกรรม ไหม้ในนรกแล้ว, ด้วยผลกรรมที่ยังเหลือ ได้กลับมาเป็นหญิงบำเรอเท้าแห่งชายใน ๑๔ อัตภาพ, ถึงการถอนพืช (เป็นหมัน) ใน ๗ อัตภาพ.
    ส่วนหญิงทั้งหลายทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น คลายความพอใจในความเป็นหญิง ก็ตั้งจิตว่า “บุญของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ ขอจงเป็นไปเพื่อกลับได้อัตภาพเป็นชาย” ทำกาละแล้ว ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย. พวกหญิงที่มีผัวดังเทวดา ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย แม้ด้วยอำนาจแห่งการปรนนิบัติดีในสามีเหมือนกัน. ส่วนลูกชายเศรษฐีนี้ยังจิตให้เกิดขึ้นในพระเถระโดยไม่แยบคาย จึงกลับได้ภาวะเป็นหญิงในอัตภาพนี้ทันที. <center>
    นางคลอดบุตร </center> ก็ครรภ์ได้ตั้งในท้องของนาง เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกับลูกชายเศรษฐีในตักกสิลา. โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางได้บุตร ในเวลาที่บุตรของนางเดินได้ ก็ได้บุตรแม้อีกคนหนึ่ง.
    โดยอาการอย่างนี้ บุตรของนางจึงมี ๔ คน, คือบุตรผู้อยู่ในท้อง ๒ คน, บุตรผู้เกิดเพราะอาศัยเธอ (ครั้งเป็นชายอยู่) ในโสไรยนคร ๒ คน. <center>
    นางได้พบกับเพื่อนเก่าแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง </center> ในกาลนั้น ลูกชายเศรษฐีผู้เป็นสหายของนาง (ออก) จากโสไรยนคร ไปสู่กรุงตักกสิลาด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม นั่งบนยานน้อยอันมีความสุขเข้าไปสู่พระนคร. ขณะนั้น นางเปิดหน้าต่างบนพื้นปราสาทชั้นบน ยืนดูระหว่างถนนอยู่ เห็นสหายนั้น จำเขาได้แม่นยำ จึงส่งสาวใช้ให้ไปเชิญเขามาแล้ว ให้นั่งบนพื้นมีค่ามาก ได้ทำสักการะและสัมมานะอย่างใหญ่โต.
    ขณะนั้น สหายนั้นกล่าวกะนางว่า “แม่มหาจำเริญ ในกาลก่อนแต่นี้ ฉันไม่เคยเห็นนาง, ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนนางจึงทำสักการะแก่ฉันใหญ่โต, นางรู้จักฉันหรือ?”
    นาง. จ้ะ นาย ฉันรู้จัก, ท่านเป็นชาวโสไรยนคร มิใช่หรือ?
    สหาย. ถูกละ แม่มหาจำเริญ.
    นางได้ถามถึงความสุขสบายของมารดาบิดา ของภริยา ทั้งของลูกชายทั้งสอง สหายนอกนี้ตอบว่า “จ้ะ แม่มหาจำเริญ ชนเหล่านั้นสบายดี” แล้วถามว่า “แม่มหาจำเริญ นางรู้จักชนเหล่านั้นหรือ?”
    นาง. จ้ะ นาย ฉันรู้จัก, ลูกชายของท่านเหล่านั้นมีคนหนึ่ง, เขาไปไหนเล่า?
    สหาย. แม่มหาจำเริญ อย่าได้พูดถึงเขาเลย, ฉันกับเขา วันหนึ่งได้นั่งในยานน้อยอันมีความสุขออกไปเพื่ออาบน้ำ ไม่ทราบที่ไปของเขาเลย. เที่ยวค้นดูข้างโน้นและข้างนี้ (ก็) ไม่พบเขา จึงได้บอกแก่มารดาและบิดา (ของเขา), แม้มารดาและบิดาทั้งสองนั้นของเขา ได้ร้องไห้ คร่ำครวญ ทำกิจอันควรทำแก่คนผู้ล่วงลับไปแล้ว.
    นาง. ฉัน คือเขานะ นาย.
    สหาย. แม่มหาจำเริญ จงหลีกไป, นางพูดอะไร? สหายของฉันย่อมงามเหมือนลูกเทวดา, (ทั้ง) เขาเป็นผู้ชาย (ด้วย).
    นาง. ช่างเถอะ นาย ฉัน คือเขา.
    ขณะนั้น สหายจึงถามนางว่า “อันเรื่องนี้เป็นอย่างไร?”
    นาง. วันนั้น เธอเห็นพระมหากัจจายนเถระผู้เป็นเจ้าไหม?
    สหาย. เห็นจ้ะ.
    นาง. ฉันเห็นพระมหากัจจายนะผู้เป็นเจ้าแล้ว ได้คิดว่า ‘สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้ควรเป็นภริยาของเรา, หรือว่าสีแห่งสรีระของภริยาของเราพึงเป็นเหมือนสีแห่งสรีระของพระเถระนั่น’, ในขณะที่ฉันคิดแล้วนั่นเอง เพศชายได้หายไป, เพศหญิงปรากฏขึ้น, เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันไม่อาจบอกแก่ใครได้ ด้วยความละอาย จึงหนีไปจากที่นั้นมา ณ ที่นี้ นาย.
    สหาย. ตายจริง เธอทำกรรมหนักแล้ว, เหตุไร เธอจึงไม่บอกแก่ฉันเล่า? เออ ก็เธอให้พระเถระอดโทษแล้วหรือ?
    นาง. ยังไม่ให้ท่านอดโทษเลย นาย, ก็เธอรู้หรือ? พระเถระอยู่ ณ ที่ไหน?
    สหาย. ท่านอาศัยนครนี้แหละอยู่.
    นาง. หากว่า ท่านเที่ยวบิณฑบาต พึงมาในที่นี้ไซร้, ฉันพึงถวายภิกษาหารแก่พระผู้เป็นเจ้าของฉัน.
    สหาย. ถ้ากระนั้น ขอเธอจงรีบทำสักการะไว้, ฉันจักยังพระผู้เป็นเจ้าของเราให้อดโทษ. <center>
    นางขอขมาพระมหากัจจายนเถระ </center> เธอไปสู่ที่อยู่ของพระเถระ ไหว้แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว เรียนว่า “ท่านขอรับ พรุ่งนี้ นิมนต์ท่านรับภิกษาของกระผม.”
    พระเถระ. เศรษฐีบุตร ท่านเป็นแขกมิใช่หรือ?
    เศรษฐีบุตร. ท่านขอรับ ขอท่านอย่าได้ถามความที่กระผมเป็นแขกเลย, พรุ่งนี้ ขอนิมนต์ท่านรับภิกษาของกระผมเถิด.
    พระเถระรับนิมนต์แล้ว. สักการะเป็นอันมาก เขาได้ตระเตรียมไว้แม้ในเรือนเพื่อพระเถระ.
    วันรุ่งขึ้น พระเถระได้ไปสู่ประตูเรือน. ขณะนั้น เศรษฐีบุตรนิมนต์ท่านให้นั่งแล้ว อังคาส (เลี้ยงดู) ด้วยอาหารประณีต พาหญิงนั้นมาแล้ว ให้หมอบลงที่ใกล้เท้าของพระเถระ เรียนว่า “ท่านขอรับ ขอท่านจงอดโทษแก่หญิงผู้สหายของกระผม (ด้วย).”
    พระเถระ. อะไรกันนี่?
    เศรษฐีบุตร. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในกาลก่อน คนผู้นี้ได้เป็นสหายที่<wbr>รัก<wbr>ของ<wbr>กระ<wbr>ผม พบ<wbr>ท่าน<wbr>แล้ว ได้คิดชื่ออย่างนั้น; เมื่อเป็นเช่นนั้น เพศชายของเขาได้หายไป, เพศหญิงได้ปรากฏแล้ว, ขอท่านจงอดโทษเถิด ท่านผู้เจริญ.
    พระเถระ. ถ้ากระนั้น เธอจงลุกขึ้น, ฉันอดโทษให้แก่เธอ. <center>
    เขากลับเพศเป็นชายแล้วบวชได้บรรลุอรหัตผล </center> พอพระเถระเอ่ยปากว่า “ฉันอดโทษให้” เท่านั้น เพศหญิงได้หายไป, เพศชายได้ปรากฏ<wbr>แล้ว. เมื่อเพศชาย พอกลับปรากฏขึ้นเท่านั้น. เศรษฐีบุตรในกรุงตักกสิลาได้กล่าวกะเธอว่า “สหายผู้ร่วมทุกข์ เด็กชาย ๒ คนนี้เป็นลูกของเรา แม้ทั้งสองแท้ เพราะเป็นผู้อยู่ในท้องของเธอ (และ) เพราะเป็นผู้อาศัย ฉันเกิด, เราทั้งสองจักอยู่ในนครนี้แหละ, เธออย่าวุ่นวายไปเลย.”
    โสไรยเศรษฐีบุตรพูดว่า “ผู้ร่วมทุกข์ ฉันถึงอาการอันแปลก คือเดิม<wbr>เป็น<wbr>ผู้<wbr>ชาย แล้วถึงความเป็นผู้หญิงอีก แล้วยังกลับเป็นผู้ชายได้อีก โดยอัตภาพเดียว (เท่านั้น); ครั้งก่อน บุตร ๒ คนอาศัยฉันเกิดขึ้น, เดี๋ยวนี้ บุตร ๒ คนคลอดจากท้องฉัน; เธออย่าทำความสำคัญว่า ‘ฉันนั้นถึงอาการอันแปลกโดยอัตภาพเดียว จักอยู่ในเรือนต่อไปอีก, ฉันจักบวชในสำนักแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา เด็ก ๒ คนนี้จงเป็นภาระ<wbr>ของ<wbr>เธอ, เธออย่าเลินเล่อในเด็ก ๒ คนนี้” ดังนี้แล้ว จูบบุตรทั้ง ๒ ลูบ (หลัง) แล้ว มอบให้แก่บิดา ออกไปบวชในสำนักพระเถระ,
    ฝ่ายพระเถระให้เธอบรรพชาอุปสมบทเสร็จแล้ว พาเที่ยวจาริกไป ได้ไปถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ. นามของท่านได้มีว่า “โสไรยเถระ.”
    ชาวชนบทรู้เรื่องนั้นแล้ว พากันแตกตื่นอลหม่านเข้าไปถามว่า “ได้ยินว่า เรื่องเป็นจริงอย่างนั้นหรือ? พระผู้เป็นเจ้า.”
    พระโสไรยะ. เป็นจริง ผู้มีอายุ.
    ชาวชนบท. ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าเหตุแม้เช่นนี้มีได้ (เทียวหรือ?); เขาลือกันว่า “บุตร ๒ คนเกิดในท้องของท่าน, บุตร ๒ คนอาศัยท่านเกิด” บรรดาบุตร ๒ จำพวกนั้น ท่านมีความสิเนหามากในจำพวกไหน?
    พระโสไรยะ. ในจำพวกบุตรผู้อยู่ในท้อง ผู้มีอายุ.
    ชนผู้มาแล้วๆ ก็ถามอยู่อย่างนั้นนั่นแหละเสมอไป. พระเถระบอกแล้วบอกเล่าว่า “มีความสิเนหาในจำพวกบุตรผู้อยู่ในท้องนั้นแหละมาก.” เมื่อรำคาญใจจึงนั่งแต่คนเดียว ยืนแต่คนเดียว. ท่านเข้าถึงความเป็นคนเดียวอย่างนี้ เริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมในอัตภาพ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว.
    ต่อมา พวกชนผู้มาแล้วๆ ถามท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า เหตุชื่ออย่างนี้ได้มีแล้ว จริงหรือ?”
    พระโสไรยะ. จริง ผู้มีอายุ.
    พวกชน. ท่านมีความสิเนหามากในบุตรจำพวกไหน?
    พระโสไรยะ. ขึ้นชื่อว่าความสิเนหาในบุตรคนไหนๆ ของเรา ย่อมไม่มี.
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลพระศาสดาว่า “ภิกษุรูปนี้พูดไม่จริง ในวันก่อนๆ พูดว่า ‘มีความสิเนหาในบุตรผู้อยู่ในท้องมาก’ เดี่ยวนี้พูดว่า ‘ความสิเนหาในบุตรคนไหนๆ ของเราไม่มี,’ ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล พระเจ้าข้า.” <center>
    จิตที่ตั้งไว้ชอบดียิ่งกว่าเหตุใดๆ </center> พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราพยากรณ์อรหัตผลหามิได้, (เพราะว่า) ตั้งแต่เวลาที่บุตรของเรา เห็นมรรคทัสนะ<sup>๑-</sup> ด้วยจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ความสิเนหาในบุตรไหนๆ ไม่เกิดเลย, จิตเท่านั้น ซึ่งเป็นไปในภายในของสัตว์เหล่านี้ ย่อมให้สมบัติที่มารดาบิดาไม่อาจทำให้ได้” ดังนี้แล้ว
    จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
    <table class="D" border="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr valign="top"> <td> ๙. </td><td>น ตํ มาตา ปิตา กริยา </td><td>อญฺเญ วาปิ จ ญาตกา </td></tr><tr valign="top"> <td> </td><td>สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ </td><td>เสยฺยโส นํ ตโต กเร. </td></tr><tr valign="top"> <td> </td><td colspan="2">มารดาบิดา ก็หรือว่าญาติเหล่าอื่น ไม่พึงทำเหตุนั้น (ให้ได้), </td></tr><tr valign="top"> <td> </td><td colspan="2">(แต่) จิตอันตั้งไว้ชอบแล้ว พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่าเหตุนั้น.</td></tr></tbody></table>____________________________
    <sup>๑-</sup> บาลีบางแห่งว่า มตฺตสฺส ทิฏฺฐกาลโต แต่กาลเห็นมรรค. <center>
    แก้อรรถ </center> บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ความว่า มารดาบิดา (และ) ญาติเหล่าอื่น ไม่ทำเหตุนั้นได้เลย.
    บทว่า สมฺมาปณิหิตํ คือ ชื่อว่าตั้งไว้ชอบแล้ว เพราะความเป็นธรรมชาติตั้งไว้<wbr>ชอบ<wbr>ใน<wbr>กุศล<wbr>กรรม<wbr>บถ ๑๐.
    บาทพระคาถาว่า เสยฺยโส นํ ตโต กเร. ความว่า พึงทำคือย่อมทำเขาให้ประเสริฐกว่า คือเลิศกว่า ได้แก่ให้ยิ่งกว่าเหตุนั้น.
    จริงอยู่ มารดาบิดา เมื่อจะให้ทรัพย์แก่บุตรทั้งหลาย ย่อมอาจให้ทรัพย์สำหรับไม่ต้องทำการงานแล้วเลี้ยงชีพโดยสบาย ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ถึงมารดาบิดาของนางวิสาขา ผู้มีทรัพย์มากมายถึงขนาด มีโภคะมากมาย ได้ให้ทรัพย์สำหรับเลี้ยงชีพโดยสบายแก่นาง ในอัตภาพเดียวเท่านั้น, ก็อันธรรมดามารดาบิดาที่จะสามารถให้สิริ คือความเป็นพระเจ้า<wbr>จักร<wbr>พรรดิ<wbr>ในทวีปทั้งสี่ ย่อมไม่มีแก่บุตรทั้งหลาย. จะป่วยกล่าวไปไย (ถึงมารดาบิดาผู้ที่สามารถให้) ทิพยสมบัติหรือสมบัติมีปฐมฌานเป็นต้น (จักมีเล่า), ในการให้โลกุตรสมบัติ ไม่ต้องกล่าวถึงเลย. แต่ว่าจิตที่ตั้งไว้ชอบแล้ว ย่อมอาจให้สมบัตินี้ แม้ทั้งหมดได้, เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “เสยฺยโส นํ ตโต กเร.”
    ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
    เทศนาได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
    ------------------------------------------------------------------------
     
  16. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740

    8 บุคคลผู้มีสองเพศ และเป็นกระเทย

    หมายถึง ผู้ที่เกิดมา มีสองเพศ

    มีอวัยวะเพศทั้งสอง เพศ

    แรกเกิด เป็นหญิง แล้วพอโตมา มีอวัยวะเพศชายเกิดขึ้มาเอง

    แบบนี้

    ที่ท่านเข้าใจนั้นผิด


     
  17. กิตติ_เจน

    กิตติ_เจน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,657
    ค่าพลัง:
    +1,281
    ทำเหตุให้ดี ผลก็ย่อมจะดีแน่นอน
    ทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้นครับ
     
  18. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    กระทู้นี้มีผู้สนใจเยอะนะ...ว่าด้วยเรื่องบัณเฑาะก์...
    บัณเฑาะก์มี ๕จำพวก
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑. อาสิตฺตกปณฺฑกได้แก่บัณเฑาะก์ที่ดูดกินซึ่งอสุจิบุคคลใดมีความกำหนัดกระวนกระวายแล้วเอาปากคาบองคชาตของบุรุษอื่นดูดกินซึ่งน้ำอสุจิแล้วจึงระงับดับความกระวนกระวายหรือบุคคลบางพวกที่ตอนแรกยังไม่เกิดความกำหนัดครั้นเมื่อได้ดูดกินซึ่งน้ำอสุจิแล้วเกิดความกำหนัดยินดี บุคคลทั้งสองพวกนี้ชื่อว่าอาสิตตกบัณเฑาะก์
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๒. อุสฺสูยปณฺฑกพวกบัณเฑาะก์ที่แอบดูการร่วมเพศ บุคคลผู้ใดได้โอกาสแอบดูบุรุษและสตรีร่วมเพศกันอยู่ ก็บังเกิดความริษยาในขณะเดียวกันความกำหนัดยินดีที่ตนมีอยู่ก็ระงับดับลง คล้ายกับว่าตนได้เสพด้วยฉะนั้นบุคคลพวกนี้ชื่อว่า อุสสูยบัณเฑาะก์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ๓. โอปกฺกมิกปณฺฑกบัณเฑาะก์พวกที่ถูกตอน บุคคลบางพวกที่ต้องถูกตอนไม่ให้มีความกำหนัดยินดีเกิดขึ้นเช่น พวกขันที ที่ต้องมีหน้าที่อยู่ใกล้ชิดกับนางสนมกำนัลของพระเจ้าแผ่นดินเป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่า โอปักกมิกบัณเฑาะก์พวกบัณเฑาะก์ประเภทนี้มิได้เป็นมาโดยกำเนิด จึงถือว่าปฏิสนธิด้วยอเหตุกปฏิสนธิมิได้อาจเป็นอเหตุกปฏิสนธิ , ทวิเหตุกปฏิสนธิหรือติเหตุกปฏิสนธิก็ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ๔. ปกฺขปณฺฑกบัณเฑาะก์ที่เกิดกำหนัดแห่งปักษ์ บุคคลบางพวกมีความกำหนัดในกาฬปักษ์ คือ กาลข้างแรมครั้นถึงชุณหปักษ์ คือ ข้างขึ้น ความกำหนัดกระวนกระวายก็หายไปหรือมีความกำหนัดในชุณหปักษ์ ครั้นถึงกาฬปักษ์ความกำหนัดกระวนกระวายก็หายไปบุคคลพวกนี้ชื่อว่า ปักขบัณเฑาะก์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ๕. นปํสกปณฺฑกบัณเฑาะก์ผู้ไม่ปรากฏเพศ บุคคลผู้ใดที่เกิดในกามภูมิอวัยวะเพศหญิงและเพศชายไม่ปรากฏทั้งสองเพศ มีแต่ช่องสำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้นบุคคลชนิดนี้ชื่อว่า นปุงสกบัณเฑาะก์

    <O:p</O:pบัณเฑาะก์ทั้ง ๕ จำพวกนี้เมื่อแสดงโดยตรงแล้วมุ่งหมายเอา นปุงสกบัณเฑาะก์ ดังวจนัตถะว่า ปฑติลิงฺคเวกลฺลภาวํคจฺฉตีติ ปณฺฑโก ผู้ที่มีเครื่องหมายแห่งบุรุษ และสตรีเพศขาดตกบกพร่องผู้นั้นชื่อว่า บัณเฑาะก์
    <O:p</O:pส่วนบัณเฑาะก์อีก ๔ จำพวกเป็นการแสดงโดยปริยาย

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อุภโตพยญฺชนก บุคคล ๒เพศ
    <O:p</O:pบุคคลใดอาศัยกรรมทำให้อวัยวะเพศทั้ง๒ เกิดขึ้นได้ บุคคลนั้นชื่อว่า อุภโตพยัญชนกะ ดังวจนัตถะว่า อุภโต ปวตฺตํ พยญฺชนํอตฺตีติ = อุภโตพยญชนโก อวัยวะเพศทั้ง ๒ ชนิดเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยกรรมมีแก่บุคคลใด ฉะนั้นบุคคลนั้นชื่อว่า อุภโตพยัญชนกะ หมายความว่าด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรมอันเกี่ยวกับกาเมสุมิจฉาจารเข้าเบียดเบียนกุศลกรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์และทำให้อำนาจแห่งกุศลกรรมนั้นลดกำลังลง จึงปรากฏมีอวัยวะเพศได้ ๒เพศในบุคคลเดียวกัน แต่อวัยวะเพศทั้งสอง ๒ นั้นหาได้ปรากฏในเวลาเดียวพร้อมกันไม่เวลาใดปุริสภาวรูปปรากฏขึ้น เวลานั้นอิตถีภาวรูปย่อมไม่ปรากฏและถ้าเวลาใดอิตถีภาวรูปปรากฏขึ้น เวลานั้นปุริสภาวรูปก็ไม่ปรากฏขึ้นดังพระบาลีในอินทริยมาแสดงว่า ยสฺส อิตฺถินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชติ ตสฺสปุริสินฺทฺริยํอุปฺปชฺชตีติ แปลว่า อิตถินทรีย์กำลังเกิดขึ้นแก่บุคคลใดปุริสินทรีย์ก็กำลังปรากฏขึ้นแก่บุคคลนั้นใช่ไหม โนแก้ว่า ไม่ใช่เป็นการยืนยันว่ามิใช่เกิดขึ้นพร้อมกัน

    <O:p</O:pอุภโตพยัญชนกบุคคล มี ๒จำพวก
    <O:p</O:p๑. อิตถีอุภโตพยัญชนกบุคคล ได้แก่บุคคลที่มีทรวดทรงสัณฐานลักษณะอาการตลอดจนอวัยวะเพศเป็นหญิงอย่างธรรมดาแต่ต่อมาเมื่อเวลาใดบังเกิดความกำหนัดพอใจในหญิงอื่นจิตใจที่เคยเป็นหญิงอยู่ก่อนก็จะหายไปผันแปรสภาพจิตใจเป็นชายขึ้นมาแทนที่และในเวลาเดียวกันอวัยวะเพศชายก็ปรากฏขึ้นแทนอวัยวะเพศหญิงสามารถร่วมสมสู่กับหญิงอื่นได้
    ๒.ปุริสอุภโตพยัญชนกบุคคล ได้แก่บุคคลที่มีรูปร่างสัณฐานลักษณะอาการเป็นชายทั้งอวัยวะเพศก็เป็นชายแต่เมื่อเวลาใดเกิดความกำหนัดพอใจในชายอื่น เวลานั้นจิตใจและอวัยวะเพศที่เคยเป็นชายอยู่ก่อนก็หายไปผันแปรสภาพจิตใจและอวัยวะเพศเป็นหญิงขึ้นมาแทนที่มีความสามารถร่วมสมสู่กับชายอื่นได้
    ความแตกต่างกันระหว่างอุภโตพยัญชนกบุคคลทั้ง ๒ นี้ก็คือ
    อิตถีอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้นตนเองมีครรภ์กับบุรุษอื่นได้ทั้งทำให้หญิงอื่นมีครรภ์กับตนก็ได้<O:p</O:p

    เพิ่มเติมเพื่อทราบ....พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔<O:p</O:p
    มหาวรรค ภาค<O:p</O:p
     
  19. IBEGINs

    IBEGINs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +111
    ทำดีได้ดีค่ะ สำเร็จไม่สำเร็จไม่ใช่ประเด็น ค่อยๆทำ ค่อยๆเดิน เดี๋ยวก็ถึง ไม่ถึงวันนี้ วันหน้าก็ต้องถึง.. . ต้องมีศรัทธา : )
     
  20. Fluffy (New)

    Fluffy (New) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +1,228
    เมื่อตั้งใจจริง ๆแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ไม่ควรให้มาเป็นอุปสรรค แต่ละคนที่เกิดมานั้นก็แล้วแต่บารมีที่สะสมมา บางท่านที่แม้แต่เป็นชายจริงหญิงแท้ แต่เมื่อบารมีที่สั่งสมมาทั้งชาติที่ก่อน ๆและชาตินี้ยังไม่ถึง ก็ยังไม่สามารถเห็นได้เช่นกัน ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่เกิดมาแตกต่างหรอกมังคะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ศรัทธาและยึดมั่นในพระรัตนตรัย และตั้งมั่นปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแล้ว แม้บางท่านที่บารมียังไม่ถึงในชาตินี้ก็จะเป็นเชื้อสะสม ไว้ไปต่อในชาติหน้าต่อ ๆไป ดังพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ทุก ๆท่านเพียรสั่งสมเชื้อนั้นไว้หลาย ๆๆๆๆๆๆๆ ชาติ ท่านจึงได้เห็นได้รู้ เมื่อบารมีถึงแล้ว หวังว่าคงไม่ถอยและท้อไปนะคะ แม้แต่ผู้เขียนเองนี้แม้จะเป็นหญิงแท้ ๆ ก็ยังไม่เคยมีเคยได้อะไรเลย แม้จะทำมานานนักแล้ว และไม่ทราบว่าจะต้องทำอีกนานเท่าไหร่หรืออีกกี่ชาติ เห็นมั๊ยคะ ว่าอยู่ที่บารมีที่เราสะสมมานั่นเอง ตั้งมั่นนะคะ เอาใจช่วยค่ะ คิดว่าผู้โพสท์นี้ คงสู้ จขกท ไม่ได้ ด้วยซ้ำไป จริง ๆน๊ะ เปล่ายอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...