การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ผู้รู้ก็คือจิตนั่นล่ะครับ
    เมื่อรู้จักผู้รู้แล้วก็คือรู้จักจิต

    จิตจะคิดจะปรุงออกมาแง่ไหน
    เมื่อรู้จักผู้รู้ สติเราก็ทันครับ

    เรื่องฌาณอะไรไม่ต้องสนใจหรอกครับ
    ถึงเวลาได้มันได้เอง
    ถ้าไปสนมากทำให้หลงเฉย ๆ
    เอาให้จิตสงบเท่านั้นพอ
     
  2. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ถ้าบารมีเต็มมันไม่สุขจนเคยตัวหรอกครับ

    เหมือนยสกุลบุตร
    ต่อให้อยู่ในวัง มีหญิงงามมากมาย
    มันก็รู้สึกว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวาย อยู่อย่างนั้นล่ะครับ

    บารมีเต็มแล้วต้องออกโดยถ่ายเดียว
    อยู่กับโลกไม่ได้แล้วครับ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่าว...งั้นที่เราดูจิตเห็นจิต ด้วยการดูใจเราเอง ดูผู้รู้ รู้ผู้รู้
    เราทำผิดหรือไง
     
  4. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    จะเป็นกลางได้
    จิตต้องสงบเป็นสมาธิ
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สรุปว่า คุณวางเก๊ๆ ไปเรื่อยๆ จนมีแต่ความสุขทุกข์ไม่มี
    แล้ววันหนึ่งก็เกิดปัญญาขึ้นมาเพราะบารมีมันเต็มเอง งั้นหรือ
     
  6. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ผิดตรงวิธีการที่เข้าไปรู้ ผู้รู้

    ผู้รู้ ที่กล่าวถึงจึงต่างกัน

    ผู้รู้อยู่ท่ามกลางอกครับ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณบังคับให้จิตมันเป็นกลางได้หรือ
    เราไม่บังคับ ถ้าจิตมันมีสติสัมปัชัญญะเกิด ปัญญามันเกิดเอง มันเป็นกลางเอง
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อ่าว.... ผู้รู้มีต่างกันอีก
    ทางเข้าถึงผู้รู้ ก็ต่างกันอีก
    ผู้รู้ของเราคือใจ ผู้รู้ของคุณอยู่ท่ามกลางอก

    อืมๆ ต่างกันจริงๆ
     
  9. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    วิธีปฏิบัติ ก็ต้องเป็นเช่นนั้น คือ เจริญอินทรีย์ 5 เป็นต้น
    ทาน ศีล ภาวนา ก็ต้องเพียรสร้างบารมีให้ถึง

    กุศลผลบุญต่าง ๆ ที่เราสร้างมาทุกภพทุกชาติ
    จะมารวมที่ การภาวนา สมาธิ
    เหมือนเป็นทำนบ บุญกุศลจะไหลมารวมกัน

    เมื่อเพียงพอแล้ว จะส่งถึงนิพพานได้

    แม้พระพุทธองค์เอง ก็เป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะการภาวนา
    เห็นมั้ยครับ ทรงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า
    หากไม่ทรงตรัสรู้ จะไม่ลุกจากที่นั่งเด็ดขาด
    ท่านนั่งเฉย ๆ เหรอครับ
    ่ท่านนั่งภาวนานะครับ

    นั่งสมาธินะครับ ไม่ได้ันั่งดูจิต เฉย ๆ ทั้งวัน
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เดาเล่นๆ ถ้ายสกุลบุตร ไม่พบพระพุทธเจ้า จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ไหม
     
  11. Mikas

    Mikas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +342
    1. หนังสือ ฮวงโป ผมไม่รู้จักครับ เรื่องการปฏิบัติ ผมก็ไม่เห็นหลวงพ่อปราโมทย์จะสอน เหมือนท่าน พุทธทาส หรือ คุณขันธ์ คิดว่า เหมือนกัน

    ถ้าคิดว่าเหมือนกัน ผมอยากให้ลองฟัง ลองศึกษา คำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ให้มากกว่านี้นะครับ มันเคลื่อนนิดเดียว แต่มันไปกันคนละทาง

    2. เรื่องการดูจิต ถ้าไม่ดูเฉยๆ แต่เพ่งดู แล้วขณะที่เพ่งดู สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นคืออะไร?? เพ่งอยู่ จิตไม่รู้ว่าเพ่ง ตรงนี้คือ จิตตื่นของท่านหรอครับ????

    คำว่าอย่าเพียร ตรงนี้มันกำกวม ทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อน และทำให้คนบางคนเข้าใจผิดได้ หลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยสอนว่า ไม่ให้เพียรในการเจริญสติ ท่านสอนแต่ให้ขยันรู้ ขยันสร้างเหตุของสติ เมื่อสติ เกิดแล้ว ก็ให้เจริญขึ้นต่อให้เป็นสติปัฏฐาน

    หลวงพ่อท่านใช้คำว่า "ไม่พัก ไม่เพียร" ซึ่งตรงนี้มาจากพระสูตร ที่พระพุทธเจ้าเทศสอน เทวดาว่า "ไม่พัก ไม่เพียร ถึงข้ามโอฆะได้" คำว่าไม่เพียรตรงนี้ คือไม่พยายามเอาดี หรือพยายามคอยบังคับกาย บังคับใจ ซึ่งตรงนี้ก็คนละเรื่องกับการเพียร เจริญสติ ครับ

    3 เรื่องอ้างครูบาอาจารย์ผิดๆ ผิดยังไงครับ ช่วยแจงด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  12. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ใช่มันถึงมีคนไปนิพพานได้
    กับไปนิพพานไม่ได้ยังไง

    มีทั้งมิจฉาทิฏฐิ และ สัมมาทิฏฐิยังไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  13. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ไม่ได้ เพราะไม่ได้สร้างบารมีมาเพื่อตรัสรู้เอง
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เขาภาวนารู้ทุกข์ ด้วยใจเป็นกลางๆ มัชฌิมาปฏิปทา
    เอาแต่สมาธิทำความสงบ แล้วหวังจะให้เกิดปัญญาบารมี งั้นหรือ
    ก็ตามแต่ท่านจะเลือกเดินละกัน ขอให้โชคดีนะ
    เราเลือกที่จะภาวนา รู้ทุกข์ นะ เราไม่วางทุกข์เอง เราจะให้ปัญญาเกิด
    แล้วทุกข์มันกระเด็นไปเอง
     
  15. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    มันไม่ได้เกิดเองหรอก
    มันเหมือนร่องแผ่นเสียงนั่นแหละ
    ของคุณนี่มันมาจากการเคยปฏิบัติมาก่อน

    ผมบอกตรง ๆมันมีของเก่า

    เวลาคุณบอกบางคนเค้าถึงไม่เข้าใจยังไง
    เพราะคนเราแต่ละ่คนก็สะสมการปฏิบัติมาต่างกัน
    สะสมกันมาหลายภพหลายชาติ
     
  16. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา<o></o>
    มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ<o></o>
    สมาธิที่เจริญไว้ด้วยสีล ย่อมมีกำลังมากและมีผลานิสงส์มาก ปัญญาที่ได้เจริญไว้ด้วยสมาธินั้น ย่อมมีกำลังมาก มีอานิสงส์มาก จิตใจที่ได้เจริญไว้ด้วยปัญญานั้น ย่อมหลุดพ้นจาก อาสวะ ทั้ง ๔ ได้โดยตนเอง

    มันก็ต้องมีเป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ล่ะ
    ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาจะมีกำลังมีอานิสงส์ได้อย่างไร

    ปัญญาแต่ละขั้น ก็เหมาะกับสมาธิ ในแต่ละขั้นเช่นเดียวกัน
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แปลว่า ถ้าพระพุทธเจ้า ไม่แนะนำวิธีปฏิบัติ ย่อมไม่พ้นทุกข์ ใช่ไหม
    พระพุทธองค์ ท่านสอนธรรมจากใจสู่ใจ ไม่มีเพี้ยน
    แต่เราอ่านธรรมที่เป็นตัวหนังสือ มันเพี้ยนไปตามทิฏฐิของเราได้
    มันตรงทิฏฐิเรา แต่อาจคลาดเคลื่อนในแก่นธรรม
    จึงสมควร น้อมกาลามาสูตร ก่อนจะเชื่อความคิด ทิฏฐิ ของตน
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็ไปตามขั้นไง ท่านไม่เชื่อหรือ ว่าเรามีสมาธิ ระดับขณิกสมาธิ ก็ภาวนาได้แล้ว

    ดูใจตัวเอง ดูผู้รู้ ได้ทั้งสมาธิและปัญญา ควบคู่ ได้ 2 เด้งเลยนา
    แล้วมีเวลาจะไปทำสมาธิเพิ่ม ก็ได้ ถ้าไม่เร่งร้อน ก็ไปมัน ชิวๆ เรื่อยๆ
    บารมีมันเพิ่มตามชั่วโมงบินการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
     
  19. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    เคยจิตเป็นสงบรวมลงเป็นอัปปนาสมาธิจากการฟังเทศน์พระอรหันต์มั้ย
    เคยจิตเป็นปัญญา ถอดถอนกิเลส จากการฟังเทศน์พระอรหันต์มั้ย
    ต้องเคยก่อนครับ จะรู้ว่าอัศจรรย์
    คำถามตรงนี้จะหายสงสัย

    อ่านตำราไม่พอครับ
    ต้องพึ่งครูอาจารย์

    แม้แต่หลวงปู่มั่น พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล
    ท่านยังมาแสดงธรรมในสมาธินิมิตเลย

    หลวงปู่ดูลย์ เป็นใครครับ
    ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น
     
  20. guest_1

    guest_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +41
    ชิว ๆ นี่กิเลสหลอก คนครับ

    คุณแน่ใจเหรอว่าชาติหน้าจะได้พบพระพุทธศาสนา
    จะได้พบพระพุทธเจ้า
    ถ้าไม่เร่งรีบขวนขวายตั้งแต่บัดนี้
    ความตายจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    จะชิว ๆ อยู่เหรอ

    จะให้กิเลสมันหลอกอยู่เหรอ
    ทำไมไม่เร่งรีบ
    ยังจะมามัว ชิว ๆ
    ฟังเพลง เปิดเพลงไปวัน ๆ อยู่เหรอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...