แนวทางปฏิบัติธรรม ของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ( เรียบเรียงโดย : อุบาสกนิรนาม )

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 28 ตุลาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่อง พบจิตให้ทำลายจิต พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ เป็น คำสอนแบบเซ็น
    ซึ่ง ผมไม่อาจจะรับรองได้ว่า นั่นคือ คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ จริงแท้แค่ไหน

    แต่ ขอบอกว่า ไม่ผิดในทางปฏิบัติ แต่ อาจจะเป็นคำกล่าวที่หมิ่นเหม่ ต่อการแปล และ การตีความ

    จริงๆ แล้ว ตัวพระปราโมทย์ ก็สอนเองว่า เมื่อพบจิตแล้ว ให้ดูเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร
    เมื่อ พบผู้รู้ ก็ให้ดูเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ก็ปรากฎว่า สอนแย้่งกันเอง
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สับสนอะไร คุณก็บอกมาสิ พระอรหันต์ ทั้งหลาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันตอนธรรม สัมประยุต พระธรรมก็มีในตัวบุคคลนั้น พระสงฆ์ก็มีในตัวบุคคลนั้น พระพุทธก็มีในตัวบุคคลนั้น จะให้แยกได้อย่างไร คุณนิวรณ์
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คำพูด ที่ออกมาจาก พระสุปฏิปันโน เอาเป็นสรณะได้
    เป็น สัจจะ เป็นจริงเสมอ เป็น พระธรรม เพราะแตกออกจากใจที่เป็นธรรม
    เป็น อกาลิโก

    บ้านะสิ ให้แต่พระพุทธองค์พูด อกาลิโก แสดงว่า พระธรรม อยู่แต่พระพุทธองค์หรือ

    นิวรณ์ บัญญัติ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้าไม่รู้ที่มาที่ไป ก็ให้ทราบไว้ว่ามีที่มาที่ไป

    เมื่อทราบแล้วว่ามีที่มาที่ไป ก็จงไปๆมาๆ ในที่นั้น แทนนะ

    วัดนาป่าพง - watnapahpong.com

    ตรงนี้เป็นตัวอย่าง ส่วนคำเทศน์ของพระ ในประเด็นที่คุณคิดว่า พระสงฆ์ไม่สมามารถแสดงธรรมได้เป็นอกาลิโก ต้องไป เสวนากับพระท่านนั้นเอาเอง ว่าทำไมกล่าว
    อย่างนั้น ทำไมท่านถึงได้ชูธง ....อย่างนี้

    [​IMG]
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เวลา ผมบอกทาง ให้คน ผมบอกได้คำเดียว จากประสบการณ์ ที่ปฏิบัติธรรมมา

    ไม่มีเลย ที่จะไม่ฟัดกับกิเลส แต่ ทุกข์ จะค่อยๆ เบาไป ตามลำดับลำดา

    จะไปค้าง แต่เฉพาะตัวที่เรา ยังไม่เท่าทัน คำว่า เท่าทัน นี้ ไม่ใช่ เรื่องของการเท่าทันความโกรธ แต่ เท่าทันความค้างของมัน และ สภาวะทุกข์ ที่ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจอวิชชา ของเราเอง เช่น ค้างอยู่กับ โทสะ ค้างอยู่กับ มานะ ค้างอยู่กับอวิชชา สิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีกำลังสมาธิ และ สติ แล้วจะตั้งอยู่แบบนั้น กัดกินใจ และก่อตัวให้มากขึ้น ตามอำนาจอวิชชาที่เรามี

    ความเท่าทัน เหล่านี้ จิตจะฉลาดขึ้นไป จะไม่หลงไม่โง่ เดินออกจากกองทุกข์ นั้นได้

    การค้างอยู่ แม้รู้อยู่ตรงหน้า แต่ ไม่สามารถดับได้ แม้จะดับ ตัวโกรธไป ดับเรื่องราวไป แต่มันจะมี ตัวอวิชชาค้าง นี่แหละ เรียกว่า ก็รุ้อยู่ตรงหน้าแต่ดับไม่ได้ ยังมีอยู่
    สัมมาสมาธิ ที่ทำจนชินเท่านั้น จิตจะสงบตัวไม่หิวอารมณ์ ตั้งมั่นอยู่ แล้วใจจะสุข อยู่ตรงนั้น

    ไม่ใช่ ว่า โมโห แล้ว รู้ แล้วปล่อยไป มันก่อตัวลึกๆ ไม่เท่าทันมันหรอก
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไปเอาคนอื่น มาสนับสนุนตัวเองทำไม
    เอาธรรม เหตุและผลสนับสนุนตัวเองสิ

    ใครมาพูด ผมก็ไม่ฟังทั้งนั้นแหละ ไร้น้ำหนัก ถ้าไม่มีเหตุผล
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมอนุโมทนาให้เขาเองแหละครับ และก็อยากอนุโมทนาให้กับทุกคนนั้นแหละ แต่บางคนคงไม่ต้องการหรอกเพราะมันก็ไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเขา ลองหยุดดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปกันดูสิว่า มันจะเป็นยังไงเพราะทั้งสองระดับต่างก็คือสิ่งเดียวกัน บันไดทางเดียวกันนะ ว่าไหม หรือหากยังคิดว่า ฉันอยู่ตรงนี้ เธออยู่ตรงนั้น ของบันไดซึ่งเป็นทางเดียวกัน อีกทั้งบันไดนั้นก็เป็นของสาธารณที่พระศาสดา ชี้บอกไว้กว้างพอสำหรับทุกคนที่ยอมรับว่ามี ธรรมนั้นจริงๆ บันไดนั้นจริงๆ ไม่ว่าอยู่ตรงไหนๆ ก็เชื่อว่าเป็นทางเดียวกัน เพราะสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เป็นสุข ไม่ก่อทุกข์ให้กับผู้รับแล้วสิ่งนั้นถือเป็นธรรม พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องที่กำลังทะเลาะกันอยู่นี้ก็ตามที พระศาสดาก็ทรงเคยตรัสเอาไว้แล้ว เมื่อกาลก่อน แต่เป็นเรื่องระหว่างภิกษุ เรื่องของฝ่ายธรรมกทึก กับ ฝ่ายเคร่งวินัย ลองไปทำความเข้าใจดูสิครับ เผื่อว่าจะได้ประโยชน์ ผมจำพระคาถาไม่ได้ผมไม่เคยอ่านแค่เคยได้ยินครับ จนถึงขนาดพระพุทธเจ้าเอือมระอา ต้องหลีกไปอยู่กับช้างในป่าเลไลย์ เอามาโพสต์ก็ได้นะครับ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    น้องเก่ง ให้ศึกษาไปก่อน มันไม่ใช่เรื่องของกลางหรือไม่ แต่มันเรื่องของผิดและถูกในหลักคำสอน
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    พูดกันอยู่ตรงนี้ ไม่ลงให้ธรรม กระโดดไป อ้างอิงตรงนั้นที ตรงนี้ที

    เอากันที่เหตุและผล กันไปเลยสิ

    อย่าไปที่อื่น จ่ออยุ่กับ คำพูด และ ความจริงในปัจจุบันนี้เลย

    ไม่ต้องกระโดดไป เรื่องของ การเดินคนละสาย หรือ การประณีประนอม

    แต่ ให้ตรงๆ ในหลักการเฉพาะหน้านี้ แล้วจะเห็นความโง่ของตัวเอง
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จำเอาไว้ว่า คนตัณหามาก และ สมาธิ น้อย จะไม่สามารถฝึกได้

    เพราะว่า จิตนั้นคอยแต่ จะดิ้น ดังนั้นวิธีของเขาคือ ดูเฉยๆ จะดีที่สุด

    และ นั่นก็คือ การถูก กัก เอาไว้ เพราะอำนาจแห่งสมาธิ มีไม่ถึง และ ไม่พอที่จะเดินทวนกระแส แห่ง อวิชชาไปได้

    เมื่อ จิตเกิดตัณหา จิตเกิดทุกข์ ก็ไม่มีแรง เพราะอำนาจอวิชชามันมาก ก็ทำได้แต่ ดูเฉยๆ

    ตรงกันข้าม คนที่มี อินทรีย์ดี จะตั้งสติ ทบทวนไตร่ตรอง ในวิถีแห่งจิต แล้ว ค่อยๆ ใช้จิตนั้นแหละ ถามเหตุแห่งทุกข์ เมื่อยอมลงกันได้ จิตจะไม่ก่อตัวไปในทางโง่นั้นอีก เพราะใจกับธรรม ยอมรับกันเป็นทอดๆ

    มันจะมี ความโง่อยู่ตัวหนึ่ง คือ เวลามันเกิดสภาวะทุกข์ จะไปนั่งสมาธิก็ไม่ได้ ยิ่งนั่งยิ่งหนัก
    ทีนี้ อำนาจแห่ง ความโง่ มันก็บอกว่า นั่นคือ หนทางที่ไม่ถูกต้อง

    ตอบว่า แน่นอนมันไม่ถูกต้องในขณะนั้น แต่ ไม่ได้หมายความว่า สมาธิ นั้นไม่ถูกต้อง
    เพราะว่า อำนาจอวิชชา และ นิวรร์ มันแรงจะไปกดข่มมัน ก็ไม่ได้

    ทางที่ถูกคือ จะต้อง คอยประคองจิต และ ใช้สติปัญญา ไตร่ตรองให้เห็นเหตุ แล้วจะเห็นไปเรื่อยๆ ว่าตัวโง่ ตัวผัสสะ ที่เราหลงไปนั้นละเอียดเพียงใด
    ซึ่ง มันจะเห็นทางที่เดินออกจากกองไฟนั้น เพียงพริบตา เรียกว่า มรรคญาณ อันเกิดจากการมองเห็นภัย ในกองทุกข์นั้น ตั้งแต่ วงเล็กไปจนถึงวงใหญ่

    นี่จึงเรียกว่ พระบรมศาสดาคือ ครูผู้ฝึก
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ให้คอยดูต่อไป ว่าคำพูดของพระ เหตุผลของพระท่านนี้ ที่ผมเอามาเผยแผ่

    เอาปณิทานที่จะสะสาง ธรรมวินัยในสงฆ์ ของท่านมาเผยแผ่ มันจะมีน้ำหนักไหม

    หากมีน้ำหนัก ปณิทานของพระท่าน สงฆ์แท้ๆก็จะ ทำให้บริษัทของพระพุทธองค์
    กลับมาเจิดจรัสได้ แน่นอน

    ไม่ใช่สงฆ์แบบคุณ ที่ไปยินดี สนับสนุนสงฆ์ที่ไม่มี มหาศีล แล้วไปไล่ย่ำยีสงฆ์ที่มีมหา
    ศีล ไปยืนยันสงฆ์ที่ไม่มีหมาศีลว่าถูกต้องดีงามว่าใช่ ว่าเลิศ ทั้งๆที่สงฆ์ที่ขาด
    ธรรมวินัยเหล่านั้น ทำให้ศาสนาเสื่อม

    เป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อม

    เรื่องที่คุณอวดอ้างว่า มีปณิทานจะมารักษาพระพุทธศาสนา หลักการเรื่องพระที่
    ต้องมีมหาศีล ต้องชื่นชมคนดีให้ได้ปกครองก็ละเลย แล้วจะอ้างตนว่ามาทำปณิ
    ทานรักษาพระพุทธศาสนา เห็นจะไม่ใช่

    * * **

    เมื่อวานได้อ่านกระทู้เป่ายันต์ มีคนๆหนึ่ง ที่วิ่งไล่ทวงถามศีลจากชน แต่ตนวิ่งเข้า
    ไป อนุโมทนาฆารวาสที่อ้างการเป่ายันต์(หนักกว่าสงฆ์อ้างเป่ายันต์) ศีลไม่มี มี
    เพียงเล็กน้อย ก็กล่าวชมตนว่าเลิศ

    มาดูพุทธพจน์ที่ท่านกล่าวว่า คนที่ชื่นชมศีล ไม่ได้ชื่นชมมหาศีล เรียกว่า ยังตาต่ำนัก(เป็นตาของปุถุชนโดยแท้)

    ทำไมต้องมี มหาศีล ข้อนี้ก็เพื่อยังอายุของพระศาสนา เพราะหากปราศจาก
    มหาศีลเหล่านี้แล้ว ย่อมนำราชภัยมาสู่บวรพุทธศาสนา บริษัท4 คำว่าราช
    ภัยก็คือ ภัยทางการเมือง ภัยจากฝ่ายปกครอง ฝ่ายการเมืองแทรกแซงบริษัท4
    และทำให้แตกแยก

    แต่สาวกแถวนี้ อ้างว่าครูไม่ห้ามเรื่องความเห็นทางการเมือง การทำนาย
    ทายทักทางการเมือง ก็แน่หละ ครูไม่ห้ามไม่แปลก แต่พระพุทธองค์บัญญัติชัดเจน
    อริยศีล เป็นเช่นไร แต่ไม่เคยสำเนียก อ้างว่า พูดธรรมได้ไม่ขัดพระไตรปิฏก .........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2009
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จริงๆ ถ้าใครยิ่งเดินไปตรงทาง มันจะยิ่งเจอปัญหา ตราบใดยังไม่ถึงพระอรหันต์
    ปัญหานี้ เราจะเห็นตัวโง่ ตัวสังโยชน์ นี้ละเอียด แล้วเราจะวางไม่ได้ เราจะเห็นภพในส่วนนั้นๆ
    ว่า ทำไมจิตนี้ออกจากภพ หรือ ความยึดตรงนั้นไม่ได้
    อายตนะ ความวนเวียน ทำไมยังคงอยุ่อย่างนั้น บ้างก็ดูเฉยๆ ไม่ได้เกิดปัญญา

    แต่ หากเห็นปัญญาแล้ว จะเห็นว่า มันมีความโง่อยู่นิดหนึ่งที่เป็นตัวเกี่ยวเอาไว้ ที่เราไม่มีทางมองเห็น ด้วยภูมิปัญญาธรรมดา แต่จะต้องมีทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา มหาสติ

    หลวงปู่มั่นท่านถึงบอกว่า บุตรตถาคต ไม่ยอมลดละการสู้กับกิเลสหรอก ต้องพิจารณาเรื่อยไป จนกว่าจะสิ้นกิเลส
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มันคนละเรื่อง กับที่เราสนทนากันอยู่ จิตคุณแส่ไปนอกเอง

    ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ก็ให้มันเป็นอีกเรื่องที่จะไม่เชื่อมโยงมาเรื่องนี้
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขอตัวไป สวาปาม
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มันอาจเป็นแค่ ณ จุด หนึ่งในอดีตก็ได้นะครับ ว่าดูเฉยๆ แล้วจะเข้าใจจะเห็นผลการกระทำ หรือ จะเห็น สังขาร ภพ ชาติ หรือ อภิธรรม หรือ ปฏิจจสมุทปบาท แต่ตอนนี้เขายังเห็นอย่างนั้นอยู่เหรอ อันนี้ผมไม่รู้นะครับ หากผมอยากจะมองแต่ก้อไม่ได้ว่านะครับลุงขันธ์ว่า ปัจจุบันนี้ เขาน่าจะเข้าใจได้แล้วว่า แค่เห็นเฉยๆ มันทำอะไรไม่ได้หรอก มันต้องหาวิธีกำจัด หรือ ดับ หรือ หยุดมัน ด้วยอุปกรณ์สมมุติที่มีในตัวเรานั่นแหละ ลุงขันธ์คงขยายความได้ หรืออาจจะขยายมาแล้วข้างบนโน้น ผมไม่รู้ว่าพระท่านนั้นเป็นไง แต่ผมเชื่อว่า ระดับของธรรมตามความเหมาะสมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำอันดับแรก ก็ไม่รู้นะหากพิจารณาดีๆก็อาจเป็นไปได้ที่ คนที่รับมาอาจทำให้เพี้ยนไปจริงๆ แต่คนที่สอนให้เขาก็รู้ว่าคนนี้ควรรู้อะไรก่อนอะไรหลัง ประมาณนี้มั้งครับลุง สรุปคือ ตอนนี้ลุงว่าเขายังเห็นว่าเป็นแบบนั้นไหมครับ เอาแค่เห็นเฉยๆก็พอ และพี่นิวรณ์ยังเห็นว่าแค่เห็นนี่พอจริงๆเหรอครับ ส่วนหลวงพ่อนั้นยังไม่รู้เพราะยังไม่เคยพบเจอท่าน ก็คงฟังธรรมท่านไปเรื่อยๆก่อนแล้วกันครับ จึงไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากกว่านี้ บางทีเขาอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นะครับ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ต้องรบกวนพี่เค้งลองหาธรรมะมาฟัง เป็นเทศนาของหลวงพ่อพุธ เพื่อความชัดเจน

    โดยสังเขป ผมพอจำความได้อย่างนี้

    พระอาจารย์เสาร์ ผู้เป็นอาจารย์ ผู้ที่ผู้คนทั้งหลายยอมรับในสมณะธรรมของท่านแล้ว
    ว่าบริบูรณ์ วันหนึ่งออกมาปรารภว่า "เณร จิตของเราฝุ้งซ่าน"

    หลวงพ่อพุธก็ขยายความว่า มีลูกศิษญหลายคนที่ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็ถึงกลับเก็บข้าว
    ของย้ายออกจากวัด เลิกนับถือฟังคำสอนไปเลย

    หลวงพ่อพุธก็ถามว่า ทำไมจึงพูดเช่นนั้น พระอาจารย์เสาร์ก็อธิบายสั้นๆว่า หากเอา
    แต่สงบนิ่งมันก็ไม่ก้าวหน้า

    หลวงพ่อพุธก็น้อมเอามาปฏิบัติ จนพบว่า คนที่สำคัญว่าฌาณเกิดได้เฉพาะแต่ที่จิตไม่มี
    ความคิดนั้น เป็นความโง่ของคนๆนั้น ที่ไม่รู้แล้วอยากตั้งตนเป็นครูสอนธรรมะ โดย
    ไม่รู้เลยว่า กำลังยึดศาสนาอื่นมาสอน ไม่ใช่หลักธรรมของศาสนาพุทธ

    ตรงนี้ ก็เข้ามาที่เรื่องการดูจิต ที่เทศน์โดยหลวงพ่อพุธ ว่าให้ทำความสงบจนจิต
    มันเริ่มก่อตัวเป็นความคิด ก็อย่าไปตกใจคิดว่าฝุ้งซ่าน ฌาณสมาธิมันอยู่ที่จิตระลึก
    สภาวะคิดเหล่านั้น แลอยู่ เข้าใจในสภาวะธรรมที่เรียกว่าจิตคิด หากรู้เห็นสภาวะจิต
    คิดได้ มีความเข้าใจในสภาวะของเหตุที่จิตมันคิดด้วย เรียกว่า วิปัสสนามีอยู่ ก็เรียกว่า
    ดูทั้งจิตทำสภาวะคิด และสภาวะคิดนั้นก็หาคำตอบให้กับปัญหาได้ด้วย(ท่านใช้บางกรณี
    ก็เป็นปัญหาธุรกิจ จนบอกว่า นักธุรกิจคิดๆ ก็เป็นฌาณสมาธิวิปัสสนาได้)

    ก็ตรงนี้แหละ ที่เป็นที่มาของคำว่า ดูเฉยๆ คำที่นิยมพูดก็คือ กำหนดรู้ที่จิต ดังนั้น สอง
    คำนี้หลวงพ่อพุธก็จะใช้สลับไปสลับมา และคำสอนนี้พระอีกท่านก็ได้ไปจากหลวงพ่อพุธ
    เพราะ เวลายกตัวอย่าง ก็ยกมาที่เรื่องของ พระอาจารย์เสาร์เหมือนกัน ก็เรียกว่า ถ่าย
    ทอดธรรมะกันไปเป็นทอดๆ แต่ทว่า.....คนไม่รู้ ก็ไปแปลความในความหมายของตน แล้ว
    ก็ยกคำของตนเสียตะพึด ไม่สนใจที่มาที่ไป เหตุผลอะไรอีกเลย เพราะพลั้งปากไปแล้ว

    อาการพลั้งปากไปแล้ว ก็เรียกว่า อาการที่พูดออกมาไม่เป็นอกาลิโก

    ก็เหมือนกรณีเมื่อเช้า ด้วยที่ตัวเองไม่มีสมาธิจิตพอ พอมาเห็นคำพูดของผม ก็สำคัญว่า
    ผมคิดขึ้นมาเอง แล้วก็ยึดทิฏฐิที่ก่อตัวนั้นไว้ ว่าเป็นประเด็น แต่พอเราแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้
    คิดเอาเอง แต่อราถนาปณิทานมาจากพระอีกท่าน ก็เอิดตัวยึดมั่นทิฏฐิตนเป็นประเด็น โดย
    ลืมไปว่า นี่แหละตัวอย่างของการพูดที่ปราศจากอกาลิโก หากสงฆ์ใดจะพูดธรรมะได้เป็น
    อกาลิโก แปลว่าจะต้องมีสมาธิอย่างมาก เล็งไปข้างหน้าแลข้างหลังเรียบร้อยหมดแล้วใน
    ที่มาที่ไปของเหตุทั้งหมด ก่อนที่จะพูด เพื่อที่ว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ธรรมะจะไม่ผลิกเป็นผิด

    ก็ลองตรองดู ในเรื่อง การพูดที่เป็นอกาลิโก อันนี้ก็อย่าคิดว่าผมพูดเองอีก ผมก็เอามาจาก
    พระที่ผมทำลิงค์ให้ไปอ่านนั่นแหละ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ รู้ไหม คุณนิวรณ์ ว่าทำไมผมจึงตำหนิ นิกายของคุณ
    เพราะว่า เมื่อเวลาที่คุณ เถียงไม่ได้ คุณไปหยิบยืม พระอริยสงฆ์ มาเป็นพวกตนทุกครั้งไป
    อ้างว่า ธรรมนั้นเหมือนหลวงปู่ดูลย์บ้าง เหมือนหลวงพ่อพุธบ้าง

    แยกกันให้ออกหน่อย ก็๋ในเมื่อ อย่างน้อย ผมหนึ่งคน ที่อ่านแล้วเข้าใจว่ามันคนละเรื่อง
    และจะมีคนที่อ่านแล้วเข้าใจไปคนละเรื่องกี่คน ในโลกนี้

    ทีนี้ เมื่อ แนวทางปฏิบัติ มันคนละเรื่อง คุณจะดันทุรังให้มันถูก มันก็ต้องหยิบยืม ธรรมคนอื่นแล้ว พยายามยัดเยียดให้คนอื่นเข้าใจเจตนาคุณ ไปในทางที่ถูก มันเป็นไปไม่ได้ เขาเรียกว่า คนเลี่ยงธรรม เลี่ยงบาลี

    พอไล่ไปจนมุม บอก หลวงพ่อมีดับเบิ้ลแสตนดาร์ด สอนให้คนเข้าใจอย่างหนึ่งสำหรับคนแบบหนึ่ง อีกคนหนึ่งสอนอีกแบบหนึ่ง ก็ถามว่า ธรรมดามันก็อาจจะต้องเป็นแบบนั้น แต่ ทั้งสองคนนั้นต้องได้รับ ธรรม ไม่ใช่ รับความดับเบิลแสตนดาร์ด

    ธรรมนั้นแตกต่างได้ แต่ ก็เรียกว่า ธรรม เพราะว่ามันเป็ อกาลิโก จะพูดกับใคร มันก็เป็นจริงเสมอไป
    แต่ ถ้าเป็นดับเบิลแสตนดาร์ดแล้ว คนหนึ่งต้องทำแบบนี้ แต่อีกคนหนึ่งมีสภาวะแวดล้อมเหมือนกัน กับให้ทำอีกอย่าง

    ขอโทษนะครับ ซีดีหลวงพ่อที่ให้คนฟังทั่วบ้านเมืองนั้น หลวงพ่อจำแนกหรือยังว่าจะให้ใครฟัง และ คนที่ไม่เหมาะก็อย่าไปฟังเชียวนะ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผม เรียกให้ คุณมาพิสูจน์ ผมกี่ปีมาแล้ว คุณนิวรณ์
    ถ้าคุณมีสติดี คุณจะระลึกได้ว่า คุณโต้แย้งกับผมได้แต่ เลี่ยงไป เลี่ยงมา
    ไม่มีความมั่นคงในหลักการ และ ทัสนะ

    ตรงกันข้าม ธรรมของผม ไม่เคยมี ดับเบิ้ลแสตนดาร์ด พร้อมให้พิสุจน์ด้วยเหตุผลทุกเมื่อไม่ใช่หรือ

    และ ไม่เคยอ้างว่า หลวงตามหาบัว หรือ ใคร พูดตรงกับผม ผมใช้ ธรรมพิสูจน์และหักล้างกิเลส ด้วยตัวธรรม เอง จริงหรือไม่

    ก่อนหน้านี้ ผมอาจจะพูดว่า ผมผ่านธรรมใดมาบ้าง แต่ ต่อไปผมก็ไม่พูด เพราะว่ามันผ่านจุดนั้นมาแล้ว ที่เหลือข้างหน้าคือ กิเลส และ ธรรมเท่านั้น เป็นเป้่าหมาย
    ดังนั้น ทัสนะ เรื่องพระอริยบุคคล สำหรับผมแล้ว สลายไปแล้ว

    พร้อมจะพิสูจน์ ด้วย คำถามต่อไหม
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    5 4 3 2 1 000000 ดูแล้วรู้สึกเครียดนิดหน่อยครับ นี่ก้เป็นธรรมนะครับ อย่าเครียดนะครับ มีแต่ท่านๆทั้งนั้นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2009
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คนอย่างคุณ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพิสูจน์

    เพราะคนอย่างคุณ พิจารณายังไม่ได้เลยว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

    ยกตัวอย่างเช่น

    อยู่ดีๆ ก็กล่าวหาคนๆหนึ่งว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ โดยอาศัยประสบการณ์ส่วนตัว
    ในการอ่านเขียนหนังสือ มาเป็นเครื่องมือพิสูจน์ หากเป็นแบบวงใน ก็คงอ้างว่า
    สามารถนั่งทางในไปถามพระท่านนั้นๆท่านนี้ มีความเห็นต่อคุณธรรมของพระอีก
    ท่านว่ามี หรือไม่มี

    แล้วก็เที่ยวออกมาชักชวนให้ บัณฑิต ที่เขาใช้ปัญญานำชีวิต รับฟังตามความของ
    ตน แล้วสำคัญไปว่า บัณฑิตที่เขาใช้ปัญญานำชีวิต จะพึงยอมรับความเห็นนั้นๆ ใคร
    ไม่ยอมรับก็ไปโทษว่าเขาไม่มีศีล เป็นมาร เป็นพาล ตะพึด ไม่สามารถรับธรรมได้

    แท้จริงแล้ว เป็นอาการของคนสอนธรรมไม่เป็น เป็นความหลงในคุณธรรมของ
    ตน ยึดมั่นคุณธรรมของตนเป็นที่ตั้ง สำคัญว่ามี ยึดว่ามี

    หากเป็นคนที่พิจารณาได้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มีมหาศีลดั่งที่พระพุทธองค์
    ชี้ มีความรู้ รู้จักใช้ข้อมหาศีลมาพิจารณาการสอนบัณฑิต ย่อมอาศัยการไปหา การ
    ไปถามต่อหน้า แล้วจึงค่อยมาแสดง

    เอาแค่หลักการสอนง่ายๆ ก็คิดไม่ได้ ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ ก็อย่าทำทีเป็นสอนได้ สอน
    เป็น พูดเป็นอกาลิโกเลย ให้มองเสียว่า เป็นความไม่ฉลาดในการแสดงธรรม จะเหมาะกว่า

    ให้มองว่า เป็นการแสดงธรรมที่บั่นทอนอายุของศาสนา บั่นทอนศรัทธาของสาธุชนจะดีกว่า

    เพราะไม่มีทางที่คนทั่วไป ที่ใช้ปัญญานำหน้าชีวิต จะไปหลงเชื่อ คำพูดของคนที่ไม่มีที่มาที่ไป
    จะไปจะมาก็ปฏิเสธการไป พิสูจน์ธรรมในแบบที่ปุถุชนพึงเห็นได้ง่าย ก็ไม่รู้จัก ทั้งนี้เพราะเอา
    แต่คำสำคัญคุณธรรมที่ตนมีแต่ถ่ายเดียว

    * * * * *

    ประเด็นของผมชัดเจนเสมอ คือ คุณขันธ์ไม่เหมาะที่สอนธรรม ไม่เหมาะจะชี้ทางใครเข้าสู่
    ธรรม เพราะพิจารณาอะไรควรทำ-อะไรไม่ควรทำ ไม่เป็น เป็นได้อย่างมากก็เนื้อนาบุญ

    เมื่ออะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ก็ไม่รู้ .... ก็ป่วยการที่จะถามตอบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...