ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บุญญฤทธิ์ของผู้ที่ทำบุญมาดี พอมาเกิดในชาตินี้ บุญเก่าหนุนนำ จึงเกิดเป็นจิตตานุภาพอันยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ บทความนี้นำมาจากห้องวิทยาศาสตร์ทางจิต ของเวบพลังจิตนี้เองครับ ใครสนใจศาสตร์ทางด้านนี้ มีบทความให้อ่านเยอะดีครับ

    <center><!-- google_ad_section_start -->10 อันดับคนอัจฉริยะที่สุดของโลก<!-- google_ad_section_end -->

    </center> <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start --> <script type="text/javascript"><!-- google_ad_client = "pub-2576485761337625"; /* 300x250, created 21/07/09 */ google_ad_slot = "6922411748"; google_ad_width = 300; google_ad_height = 250; //--> </script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></script><script src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></script><script>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</script><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: inline-table; height: 250px; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: block; height: 250px; position: relative; visibility: visible; width: 300px;"><iframe allowtransparency="true" hspace="0" id="google_ads_frame1" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&dt=1249148882881&lmt=1249148882&output=html&slotname=6922411748&correlator=1249148882881&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff2%2F10-%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2581-197737.html&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff2%2F10-%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2581-197737-3.html&frm=0&ga_vid=1372505088.1241435066&ga_sid=1249148376&ga_hid=1798833130&ga_fc=true&flash=10.0.32&w=300&h=250&u_h=1024&u_w=1280&u_ah=990&u_aw=1280&u_cd=32&u_tz=60&u_his=12&u_java=true&u_nplug=13&u_nmime=60&dtd=72&xpc=EOqaVkiv8A&p=http%3A//palungjit.org" style="left: 0pt; position: absolute; top: 0pt;" vspace="0" frameborder="0" height="250" scrolling="no" width="300"></iframe></ins></ins>
    <table class="bordercolor" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td style="padding: 1px 1px 0px;"><table bgcolor="#f8f8f8" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="windowbg"><table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td height="100%" valign="top" width="85%"><table border="0" width="100%"><tbody><tr><td class="border_post" colspan="3">
    </td></tr></tbody></table>[​IMG]

    10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ

    สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับ ความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน

    ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"


    [​IMG]

    9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ

    William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม

    ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ

    ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool


    [​IMG]

    8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด

    Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี


    [​IMG]
    7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์

    หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17

    ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง

    Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ

    ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก


    [​IMG]

    6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล

    Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา

    Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด

    Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ </td></tr><tr><td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"><table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr><td class="smalltext" colspan="2" width="100%">
    </td></tr><tr><td class="smalltext" id="modified_14111515" valign="bottom">
    </td><td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr><tr class="topic_bar_update"><td colspan="3" align="left" height="5"><img scr="/forum/Themes/part3_sanookcampus/images/bg_separate_row.gif" height="5" width="3"></td></tr><tr><td colspan="3" align="left">
    </td></tr><tr class="topic_bar_update"><td colspan="3" align="left" height="5"><img scr="/forum/Themes/part3_sanookcampus/images/bg_separate_row.gif" height="5" width="3"></td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td style="padding: 1px 1px 0px;"><table bgcolor="#f8f8f8" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="windowbg2"><table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td style="overflow: hidden;" rowspan="2" valign="top" width="16%">





    </td><td height="100%" valign="top" width="85%"><table border="0" width="100%"><tbody><tr><td valign="center">
    </td><td valign="center">


    </td><td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" valign="bottom">
    </td></tr><tr><td class="border_post" colspan="3">
    </td></tr></tbody></table>[​IMG]

    5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ

    ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy

    Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป


    [​IMG]

    4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)

    Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3" และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมา เนีย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU"]YouTube - Cleopatra Stratan English (original version)[/ame]
    ( ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์ด้านบนเลยค่ะ ^^ )


    [​IMG]

    3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ

    Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน

    Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน


    [​IMG]

    2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี

    Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก

    Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย

    จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ...มีใบขับขี่เป็นของตัวเอง ได้ซะทีนั่นเอง


    [​IMG]




    1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก

    [​IMG] [​IMG]

    Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210

    คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี

    คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน


    [​IMG] [​IMG]







    [​IMG]



    หากมีโอกาส ในวันพรุ่งนี้ หรือวันอื่นๆ ใส่บาตรด้วยน๊ะครับ อธิษฐานให้ดี อยากได้บุญญฤทธิ์ทางด้านใด อธิษฐานไปก่อน ได้หรือไม่ได้ว่ากันอีกที หากเคยได้ยินคำว่า "แรงอธิษฐาน" มาก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ต้องอธิบายมากครับ



    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต้องขออนุโมทนาบุญด้วยเช่นกันครับ คุณลูกปลาใหญ่และอาซ้อที่แสนดี มาช่วยกันทุกเดือนทั้งคู่ที่ รพ.สงฆ์ เห็นพี่ใหญ่บอกอยากคุยด้วยทั้งคู่ยังไงคราวหน้าไว้เจอกันปลายเดือนครับ ขอบคุณอีกครั้ง


    [​IMG]








     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2009
  3. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    2/08/2009 10.30 น.โอนผ่าน TMB internet banking


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวาร,ผู้มีพระคุณ,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน,ผู้เช่าบ้านและร้านของชิน9

    ขอเชิญเพื่อนๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  4. sophon2009

    sophon2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ผมโสภณ ศิริดำรงค์ศักดิ์ และครอบครัว และบุคคลตามรายชื่อด้านล่างนี้
    น.ส.โสภา ทำทวี นางธิดารัตน์ ปัญญาพิทักษ์ชัย นายสุคนธ์ ศิริดำรงค์ศักดิ์
    ขอร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธครับ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center bgColor=#bdc9d5 border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD width="32%" bgColor=#ffffff>บัญชีผู้โอน</TD><TD width="34%">
    5381011891

    </TD><TD width="34%" bgColor=#ffffff>SOPHON

    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD>บัญชีผู้รับโอน</TD><TD>
    3481232459

    </TD><TD bgColor=#ffffff>PRATOM F.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=/krungsri_thai/pic_ib/bullet/dot_18.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="59%">จำนวนเงินที่ต้องการโอน
    </TD><TD width="41%">2,000.00 บาท
    </TD></TR><TR><TD>ค่าธรรมเนียมการโอนข้ามเขต
    </TD><TD>0.00 บาท
    </TD></TR><TR><TD>ค่าคู่สาย
    </TD><TD>0.00 บาท

    </TD></TR><TR><TD>บันทึกช่วยจำ</TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD>ค่าธรรมเนียม SMS
    </TD><TD>ฟรี
    </TD></TR><TR><TD>การแจ้งให้ทราบ
    </TD><TD>ต้องการ
    </TD></TR><TR><TD>แจ้งโดย
    </TD><TD>SMS
    </TD></TR><TR><TD>การแจ้งให้ผู้รับทราบ
    </TD><TD>ไม่ต้องการ
    </TD></TR><TR><TD>แจ้งโดย
    </TD><TD>-
    </TD></TR><TR><TD>หมายเลขอ้างอิง
    </TD><TD>bayi9803193
    </TD></TR><TR><TD>วัน / เวลา
    </TD><TD>03/08/2009 08:58:10 AM

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2009
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา 8.19น. ผมได้ฝากเงินจำนวน 500บาท เข้าบัญชี3481232459 เพื่อร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ ประจำเดือนสิงหาคม52
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
     
  6. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    พรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    เมื่อกลางปี 2515 คณะกรรมการวัดละหารไร่ มีนายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกร ประชุมกันเรื่องการสร้างพระเครื่องวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสมนาคุณแด่ชาวบ้านและสาธุชนทั่วไป ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินร่วมทำบุญกับวัดละหารไร่ ต่อไปในวันข้างหน้าโดยเฉพาะงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดละหารไร่ ในการนี้หลวงปู่ทิมได้กล่าวว่า หากได้ผงพรายกุมารมหาภูติผสมใส่ลงไปด้วย พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเพราะมีอานุภาพแห่งพรายกุมารมหาภูติแฝงอยู่คอยช่วยเหลือเอื้ออำนวยพร เมื่อหลวงปู่ทิมมีความต้องการจะทำผงพรายกุมารมหาภูติ เพื่อนำมาเป็นมวลสารที่สำคัญยิ่งในการสร้างปลุกเสกพระเครื่องครั้งนี้นั้น ในบรรดาลูกศิษย์ยุคแรกของหลวงปู่ทิมอิสริโกทั้งหมดไม่มีใครกล้าเสนอตัวอาสากระทำการ เพราะต่างคนต่างก็เกรงกลัวความอาถรรพ์ของผีตายทั้งกลม ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่ามีความดุร้ายและหวงลูกมาก ถึงขั้นตามเอาชีวิตกันเลยทีเดียว มีแต่เพียง “หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ “ ผู้เดียวที่มีวิชาคาถาอาคมและสมาธิกล้าแข็งเพียงพอ กล้าขอเสนอตัวรับอาสาสนองพระคุณหลวงปู่ทิม จะไปนำ ” กะโหลกพรายกุมาร “ วัตถุอาถรรพ์สำคัญยิ่ง จากหญิงตายทั้งกลม (หญิงชาวบ้านท้องแก่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสยดสยอง ทางญาติได้นำศพมาฝังไว้ที่ป่าช้าวัดละหารใหญ่ ปัจจุบันเป็นบริเวณที่ชาวบ้านทำไร่สับปะรด ) มาเพื่อให้ท่านสร้างปลุกเสกเป็น ”ผงพรายกุมารมหาภูติ “ ซึ่งหมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ต้องพบกับอิทธิฤทธิ์ของอาจารย์พรายนายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร แต่ด้วยมูลเหตุแห่งวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนา บารมีของหลวงปู่ทิม และคาถาอาคมที่หลวงปู่ทิมได้ประสิทธิให้นั้น ทำให้นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร ได้ยินยอมและเต็มใจ เกิดความปิติในกุศลผลบุญที่ตนเองจะได้รับ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ จึงกระทำการครั้งนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ “ วิญญาณของาจารย์นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร มีอยู่จริงเห็นตัวตนเป็นเงาใสๆ ลางๆ เหมือนกับภาพที่สะท้อนบนพื้น ในปัจจุบันวิญญาณเหล่านี้ก็ยังอยู่คุ้มครองที่วัดละหารไร่ “ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวย้ำ การสร้างผงพรายกุมารมหาภูตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อได้กระโหลกพรายกุมารมาแล้ว หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ใส่ห่อผ้าเก็บไว้หลังพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า เป็นระยะเวลาประมาณสามถึงสี่เดือน จนกระโหลกพรายกุมารแห้งสนิทหมดกลิ่นดีแล้ว จึงนำมาโขลกตำให้ละเอียดแล้วผสมกับผงวิเศษสำคัญต่างๆ ที่หลวงปู่ทิมมอบให้มาจนครบทั้งหมดผสมน้ำแช่เกสรบัวทั้งห้า ปั้นเป็นแท่งขนาดใหญ่ แล้วตากแดดไว้จนแห้งสนิท เมื่อได้ฤกษ์งาม ยามดีวันดี ตามที่หลวงปู่ทิมได้กำหนดไว้ จึงจะนำแท่งผงปั้นนี้มาเขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ บนกระดานชนวน กระทำในพระอุโบสถหลังเก่า ท่ามกลางการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ๙ รูป โดยหลวงปู่ทิมอิสริโก เป็นประธานสงฆ์ เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ ลงบนกระดานชนวนแล้วลบผงก่อนเป็นปฐมฤกษ์ แล้วจึงมอบให้หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ เป็นผู้ลงอักขระพระยันต์และลบผงต่อไป การปลุกเสกผงพรายกุมารมหาภูตินี้ หลวงปู่ทิมท่านได้ปลุกเสกพรายกุมารทั้งหลายให้เป็นกึ่งเทพกึ่งภูติเป็นมหาภูติขวาและซ้าย(พระพรายคู่ เป็นรูปเทวดานั่งคู่กัน แทนรูปมหาภูติซ้าย-ขวา) วิญญาณพรายกุมารไม่ใช่มีอยู่ตนเดียว แต่มีมากมายประมาณมิได้ หลวงปู่ทิมได้อธิฐานให้วิญญาณพรายกุมารทุกตนที่ผ่านไปมาในบริเวณพิธี หากจะช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้มาสถิตย์อยู่รวมกันในผงพรายกุมารมหาภูติที่ท่านปลุกเสกนี้ ให้มีอิทธิฤทธิ์คอยช่วยเหลือคุ้มครองอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาบูชาอยู่ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วได้ผงพรายกุมารมหาภูติบริสุทธิ์สีขาวหม่นอมเทาประมาณ 1 ถาดใหญ่ เมื่อแบ่งผสมผงว่านมหามงคลจะได้ผงพรายกุมารมหาภูติเนื้อละเอียดสีน้ำตาลเข้มประมาณ 1 กะละมังใหญ่ แล้วเก็บรวบรวมไว้ในกุฎิหลวงปู่ทิม เมื่อจะทำพระเครื่องจึงจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมไปตักแบ่งเอามาผสมผงที่จะกดพิมพ์พระอีกครั้งหนึ่ง.หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวยืนยันโดยเห็นกับตาตนเองว่า “ผงที่หลวงปู่ทิมอิสริโก เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ นั้น หลุดร่วงทะลุลอดกระดานชนวนลงมา และทะลุผ้าขาวที่ปูรองเอาไว้ถึงเจ็ดชั้นจนถึงพื้นพระอุโบสถวัดละหารไร่ “ที่กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินความจริงแต่อย่าง แต่กล่าวเปิดเผยเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ศรัทธาหลวงปู่ทิมอิสริโก จะได้เกิดความปิติ และซาบซึ้ง ในบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิมอิสริโก หากผู้ใดได้ครอบครองบูชา พระผงขุนแผนพรายกุมาร นับว่าท่านมีของวิเศษขั้นสูงอยู่กับ จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง นับว่าเป็นบุญกุศลของผู้นั้นที่เคยได้ร่วมสร้างกันมา หลวงปู่ท่านกล่าวว่าพระของท่านมีเจ้าของอยู่แล้ว ของของใครต้องมาอยู่กับผู้นั้น ผู้ใดมิใช่เจ้าของจักมีอันต้องเปลี่ยนมือไปไม่ช้าก็เร็ว

     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่กับผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม
    เมื่อประมาณปี ๒๕๒๐<!--colorc--><!--/colorc-->
    ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายเย็น
    หลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ได้ออกมานั่งคุยกับศิษย์ที่บริเวณระเบียงกุฏิของท่าน
    เมื่อนั่งคุยกันชั่วครู่ใหญ่
    หลวงปู่ดู่และศิษย์เห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัดแล้วจอด
    มีชาย ๔ คนลงจากรถ และเดินตรงมาที่กุฏิของท่าน


    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"เอ๊ะ..อ้ายพวกนี้มาแปลก..."<!--colorc--><!--/colorc--> หลวงปู่ดู่อุทาน
    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"มันเอาผีมาด้วย"<!--colorc--><!--/colorc-->

    บรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เมื่อได้ยินหลวงปู่พูดถึงผี
    ก็พากันชะเง้อดูคนทั้งสี่ "เอ...ผมมองไม่เห็นผี"
    ศิษย์คนหนึ่งบอกกับหลวงปู่
    "ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีอะไรหรือครับหลวงปู่..."

    หลวงปู่ดู่หัวเราะกับศิษย์ และพูดกับศิษย์ว่า..
    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ฉันเห็นผีมันล้อมรอบพวกสี่คนที่กำลังเดินมาเต็มไปหมด"<!--colorc--><!--/colorc-->

    คนทั้งสี่ เมื่อเดินมาถึงหน้าบันได้กุฏิ ก็พากันถอดรองเท้า
    แล้วพากันขึ้นบนกุฏิ คลานเข้ามากราบหลวงปู่ดู่..

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"นี่...พวกเธอมาหาฉัน ทำไมจึงเอาผีมาด้วย"<!--colorc--><!--/colorc-->
    หลวงปู่ดู่ถามชายทั้งสี่ พร้อมกับหัวเราะด้วยอารมณ์ดี

    คนทั้งสี่มองหน้ากัน ตีหน้าเลิ่กลั่ก
    เมื่อได้ยินหลวงปู่ดู่บอกว่า พวกตนที่มาหา...พาผีมาด้วย

    "ผีที่ไหนครับหลวงปู่"
    นายเบิ้ม พบร่มเย็น <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->(ต้นฉบับเดิมเขียนไว้อย่างนี้แต่จริงๆแล้วคือท่านอ.สุวัฒน์ พบร่มเย็นครับ)<!--colorc--><!--/colorc--> หนึ่งในสี่คนที่มาหาหลวงปู่
    ถามขึ้นด้วยความสงสัย

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ยังไม่รู้อีกเรอะ"<!--colorc--><!--/colorc-->
    หลวงปู่ดู่หัวเราะด้วยอารมณ์ดี
    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ผีมันออกมาจากพระที่แขวนอยู่ที่คอน่ะสิ"<!--colorc--><!--/colorc-->

    ทั้งสี่คนที่มาหาหลวงปู่ถึงบาง "อ้อ"

    คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่
    เป็นศิษย์ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง

    และทุกคนมีพระเครื่องที่หลวงปู่ทิมสร้าง แขวนอยู่บนคอ
    เช่น พระพรายเพชร พรายบัว (พระสององค์ติดกัน)

    พระพิมพ์สี่เหลี่ยมหัวโต...หรือพระเล็กๆ แบบสามเหลี่ยมเรียกนางพญา
    และพระขุนแผนเล็กและใหญ่
    บรรดาพระเครื่องที่เอ่ยนามมานี้
    นอกจากจะมีผงพระพุทธคุณแล้ว
    ยังผสม "ผงผีพรายกุมาร" ที่ได้มาจากเด็กที่ตายทั้งกลม....

    คนทั้งสี่นำสร้อยคอที่แขวนพระที่มีส่วนผสมของผงพรายกุมาร
    ให้หลวงปู่ดู หลวงปู่นั่งหลับตาชั่วครู่ใหญ่บอกว่า
    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ของเขาแรงใช้ได้ดีทีเดียว แต่ดูเหมือนผู้สร้าง..ได้เสีย..เสียแล้ว"<!--colorc--><!--/colorc-->

    "ครับ...เป็นพระเครื่องของท่านหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ที่ได้สร้างขึ้น
    และหลวงปู่ทิมได้มรณภาพมากว่า ๒ ปีแล้ว..."
    นายเบิ้ม พบร่มเย็น บอกแก่หลวงปู่ดู่...

    คนทั้งสี่อัศจรรย์ใจที่หลวงปู่ดู่ท่านรู้ว่า
    ที่คอของพวกตน มีพระเครื่องที่ท่านหลวงปู่ทิม
    ใช้ผงพระพุทธคุณ และผงพรายกุมารผสมป่นลงไป
    แล้วปลุกเสกสร้างเป็นองค์พระขึ้น
    คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ จึงเคารพหลวงปู่ดู่ยิ่ง
    ทั้งสี่คนนั่งคุยกับหลวงปู่ดู่ครู่ใหญ่

    ชินพร ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถามหลวงปู่ดู่ว่า...
    "ท่านหลวงปู่ทิม อาจารย์ของผม
    เป็นพระเถระที่ยึดมั่นพระธรรม และพระวินัยของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด
    ไม่ยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และถือสันโดษ
    เป็นพระภิกษุที่มีศีลลาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส
    หลวงปู่ทิมได้สร้างพระเครื่องโดยมีผงพรายกุมาร
    ที่ท่านทำมาจากเด็กตายทั้งกลมจากท้องมารดา
    การกระทำของหลวงปู่ทิม จะเป็นบาปหรือไม่"

    หลวงปู่ดู่ <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า
    เด็กที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตน
    คือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณ
    และแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้ว
    ซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิม
    คือ เป็นผงธุลีไป"<!--colorc--><!--/colorc-->

    หลวงปู่หยุดเล็กน้อย
    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่
    ที่ตายทั้งกลมมาทำของ
    จะบาปไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน
    เด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้น
    อยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิด
    สภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลม
    จึงเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง
    และถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกด้วยอาคม
    และปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่า
    ภูติ หรือ มหาภูติ
    และถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคมและธาตุทั้งสี่มาทำของ
    ของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."<!--colorc--><!--/colorc-->

    คำอธิบายของหลวงปู่ดู่
    ทำให้คุณชินพรและพวกหายข้องใจ
    ในเรื่องที่นำเด็กในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสก
    แล้วป่นทำเป็นผงนำไปผสมกับผงพระพุทธคุณ
    แล้วนำไปสร้างพระ...หรืออุดผงนี้ลงที่ด้ามมีดหมอ
    หรือนำผงนี้อุดที่องค์พระที่สร้างขึ้น
    บรรดาคนทั่วไป มักจะเรียกผงนี้ว่า ผงพรายกุมาร

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2009
  8. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือน สค. 2552 ครับ
    ฝากเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    วันที่ 3 สค. 2552 เวลา 18:39 น. จำนวน 200 บาท ครับ

    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระที่มีส่วนผสมผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมในปัจจุบันราคาเป็นหมื่นเป็นแสนบาท แม้นแต่ผงพรายกุมารผสมกับผงอื่นๆของหลวงปู่ทิมแล้วนำมาปั้นเป็นลูกอมเล็กๆยังมีราคาหลักหลายพันบาท ทั้งหมดนี้เนื่องจากประสบการณ์ที่ผู้บูชาได้ประสบกับตนเองทั้งด้านแคล้วคลาด โชคลาภ เมตตา จนเป็นที่หวงแหนและเก็บไว้ไม่เปลี่ยนมือกันง่ายๆ แต่ยังมีของดีราคาถูกที่วงการหลงลืมกันไปนั้นคือ ลูกอมหลวงปู่ปัน วัดแม่ยะ จังหวัดตาก ท่านได้รับผงพรายกุมารจากคุณชินพร นำมาผสมผงอื่นๆปั้นเป็นลูกอมทาทอง แล้วตอกโค๊ตยันต์สามหรือยันต์ใบพัด สร้างเมื่อปี2527 ตอนนั้นผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมยังมีอยู่มากพอควรจึงผสมในลูกอมนี้อย่างมากกว่าพระรุ่นหลังๆแต่ราคาน่าใจหายครับ ท่านใดอยากมีไว้บูชาpmมาจองกับผมแต่ต้องไปรับที่โรงพยาบาลสงฆ์วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคมครับ มีไม่ถึงสิบลูก ไม่ส่งให้ทางไปรษณีย์เพราะราคาลูกอมแค่ 99บาท ผมไม่อยากบวกค่าส่ง
    [​IMG]

    โค๊ตยันต์สาม

    [​IMG]

    ขยายให้เห็นมวลสารชัดๆ พี่ใหญ่สัมผัสแล้วบอกว่ามีผงพรายผสมอยู่โดยผมไม่ได้บอกประวัติลูกอม ผมจึงถามว่าพรายนี่เป็นอย่างไร พี่ก็ตอบว่าเป็นเทพแล้วด้วยบารมีของหลวงปู่ทิม จึงถามต่อว่าดีทางไหน คำตอบที่บอกคือ ก็ดีทางที่รู้กันอยู่แล้ว.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2009
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานก็งง เช่นกัน ยังไม่ทันบอกถึงความเป็นมา จับปุ๊บก็รู้เลยว่าผงพรายกุมาร เสร็จแล้ว ผมยื่นเหรียญใส่มือพี่ใหญ่ๆ บอกว่า เหรียญใครว๊ะ อู้ฮูขึ้น ปืดๆ ทุกองค์เลย ผมก็หัวเราะแหะๆ เหรียญกลมๆ นี่ อุปัชฌาย์ของพี่ไง หลวงพ่อเหมือนวัดกำแพง นี่หลวงปู่ดูลย์ นั่นหลวงพ่อโชติ วัดวชิราลงกรณ์ นี่หลวงปู่ขาวรุ่นทรัพย์สิน (เล็ก) และก็หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูน ลูบๆ คลำ ตามแผงองค์ละ 50 องค์ละร้อย ขึ้นมือเป็นหยิบ เพลินดี สุดท้ายด้วยความเสียดาย เลยเอาผงพราย ข้างบนมาอีก 1 ลูก บ๊ะ ใช้ได้จริง เอ้า ใครอยากได้พรายกุมารหลวงปู่ทิม ราคาเด็กแรกเกิด บอกคุณโสระด่วน ดีจริง ๆ นา...แถมได้บุญด้วยเพราะเข้าทุนนิธิฯ ด้วย ใครไปคราวหน้า ผมแจกรูป ท่าน อ.อุทัย ว่าเขาใหญ่เจริญธรรมฯ ด้วย เอามาเยอะ รับรองพลังท่านปึ๊ก ไม่เป็นรองใครเหมือนกัน เชื่อขนมกินได้
     
  11. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เรียน ท่านพันวฤทธิ์
    คราวหน้า ถ้าไม่ติดธุระ ผมขอร่วมบุญนำพระผงจักรพรรดิไปร่วมแจก 100 องค์ ครับ
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขออนุโมทนาบุญทีเดียวทั้ง 3 ท่านด้วยครับ ทั้งหมด เหนียวแน่นในทานบารมีที่ทำ คณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอขอบคุณทั้ง 3 ท่านอีกครั้งด้วยใจจริง อย่างที่เคยบอกไว้ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับบริจาคมา จะใช้ไปในงานบุญกุศลที่เกี่ยวเนื่องกับบวรพุทธศาสนา มิให้ขาดแม้แต่สตางค์แดงเดียวจริงๆ




    [​IMG]


     
  13. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    เมื่อวานนี้ ประมาณ 9 โมงเช้า คุณแม่โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิฯ ประจำเดือนนี้ 500 บาท ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ และเพื่อเป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อย ผมก็จะมอบเหรียญท่านบรมโพธิสัตว์พระแม่กวนอิม เหมือนรูปข้างต้น แต่ไม่สวยเท่านี้ (องค์โชว์เป็นรูปถ่ายจากคุณโสระ) ให้เป็นที่ระลึก 1 เหรียญครับ เพราะผมเองไม่เคยเจอด้วยตนเองว่ามีของที่ท่านเสด็จลงมาทำให้เหมือนกัน พี่ใหญ่บอกว่าแทบจะไม่เจอเลยก็ว่าได้ พอมาเจอเหรียญของพระแม่ท่านมากองอยู่ที่ รพ.สงฆ์ แถมให้หยิบกันเองฟรีๆ แบบไร้คุณค่า และคนสนใจ เลยแปลกใจเช่นกันครับ ก็ดีครับ พวกที่ีไปทำบุญกับทุนนิธิฯ ที่ รพ.สงฆ์ ในคราวนั้น เลยได้กันครบทุกคน บางคนยังนำไปฝากญาติด้วยซ้ำไป พอแอบกระซิบ เจ้าหน้าที่ๆ รับบริจาค บางคนก็เก็บไว้นิดหน่อย เดือนที่แล้ว ตอนไปบริจาค ถามเจ้าหน้าที่คนเดิมว่าเหรียญพระแม่ฯ หมดแล้วรึ เจ้าหน้าที่คนเดิมบอก มีคนมาถามหาเยอะ แต่ก็ยังอุตสาห์ให้ผมมาอีก 8 เหรียญ แจกไปแจกมา เหลืออีก 3 เหรียญ ครับ ใครอยากได้อีก 3 เหรียญที่เหลือ (ไม่รวมของคุณ) ก็ไปเอาที่ผมในเดือนนี้ได้ที่ รพ.สงฆ์ในวันกิจกรรมวันที่ 23/8 คนเคยได้แล้วไม่ให้ครับ ให้คนที่ไม่เคยได้เท่านั้น คติผมมีก็แจก ๆ แล้วก็แจกให้หมด เท่านั้นเอง...


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2009
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    “คำ พระช่วย” นี้ หมอขออนุญาตนำมาเผยแพร่เพื่อประชาชนจะได้มี สุขภาพใจ สุขภาพสังคม และสุขภาพทางจิตวิญญาณที่ดีขึ้น สุขภาพใน 3 มิตินี้ อาจสำคัญกว่า สุขภาพกายเสียด้วยซ้ำ ขอให้ทุกท่านอ่านแล้วโปรดพิจารณาให้ดี และนำหลักคำสอนไปประพฤติปฏิบัติตาม จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งครับ

    นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ
    15 พฤษภาคม 2551​
    -------------------------------------------------------------------------------
    "คำพระช่วย"
    <table width="850" border="1" bordercolor="#016d5d"><tbody><tr> <td valign="top" width="214">
    [​IMG]
    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต​
    </td> <td valign="top" width="620">สิ่ง ที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งของที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะนำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปมิได้
    ผู้ ทำความสำคัญมั่นหมายนั้น เป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตก็ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งไม่ควรยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นที่จะสำเร็จเป็นประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย

    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="214">
    [​IMG]
    พระราชนิโรธรังสีคัมภีร์ปัญญาวิศิษฏ์
    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี ​
    </td> <td valign="top">ถ้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ เงินทองมากมายก็ไม่มีความหมาย ความอิ่ม ความพอ เป็นของสำคัญที่สุด
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="214">
    [​IMG]
    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช
    สกลมหาสังฆปรินายก​
    </td> <td valign="top">“ความ รักผู้อื่นเสมอด้วยตนไม่มี” นี้เป็นพุทธภาษิตมีความหมายว่า ทุกคนล้วนมีตนเป็นที่รักที่สุดด้วยกันทั้งนั้น เรารักตัวเราที่สุด ผู้อื่นก็รักตัวเขาที่สุด เราไม่อยากให้ใครทำอะไรตัวเรา คนอื่นทุกคนก็ไม่อยากให้เราทำเช่นนั้นแก่ตัวเขาเหมือนกัน เราอยากให้ใครทำดีกับเราอย่างไร ทุกคนก็อยากให้เราทำดีกับตัวเขาอย่างนั้น

    เมื่อคิดจะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเมื่อใด ขอให้นึกถึงตนเอง นึกว่าตอนเองเป็นที่รัก ไม่ควรทำลายตนเหมือนตนเป็นที่รังเกียจเกลียดชังอย่างยิ่ง จนถึงควรต้องทำลายเสีย การคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว คือการทำลายตนอย่างแน่แท้

    วิธีที่จะแก้ไขจิตใจให้มีความโกรธน้อย ให้มีความโกรธยาก จนถึงไม่ให้มีความโกรธเลย จำเป็นต้องสร้าง “ความเมตตา” ให้เกิดขึ้นในจิตใจให้มากพอที่จะยอมเข้าใจในเหตุผลของบุคคลอื่นที่ทำผิดพลาด หรือบกพร่อง

    ทุกคนมีความทุกข์ ทุกคนพยายามแก้ไขเพื่อจะให้พ้นทุกข์ แต่น้อยคนที่เริ่มการแก้ไขให้ถูกวิธี คือเริ่มด้วยการทำตนให้เชื่อเสียก่อนว่า ความทุกข์นั้นเกิดจาก “ความคิด” ของตนเอง พยายามเตือนตนเองให้เชื่อเช่นนี้ไว้ให้เสมอ
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ​
    </td> <td valign="top">ถ้า ใครไม่จริงจังกับพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็ไม่จริงจังกับผู้นั้น และผู้นั้นก็จะรู้จักกับพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้... เหตุนั้น ท่านจึงสอนให้ทำสิ่งใดด้วยการทำจริง ทานก็ทานให้จริง ศีลก็ศีลให้จริง ภาวนาก็ภาวนาให้จริง อย่าทำเล่นๆ แล้วผลแห่งความจริงก็ย่อมจะต้องเกิดจากการการะทำเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัย

    ถ้าใจของเราเป็นโทษเสียแล้ว จะไปทำบุญทำทานอะไรก็ไม่ได้ผล เหมือนกับเราขนปุ๋ยไปใส่ต้นไม้ที่ตายแล้ว ร่างกายนั้น เขาวางเราและหนีเราไปทุกวันๆ แต่เราสิไม่เคยหนีเขา ไม่ยอมวางเขาเลยสักที เราติดเขาทุกๆ อย่าง

    รู้จริงหรือรู้ไม่จริง เป็นเรื่องของผู้รู้ เรายังไม่รู้ เรารับฟังเอาไว้ก่อน อย่าไปรับรอง แล้วอย่าไปปฏิเสธ จนกว่าจะได้รู้จริงและเห็นจริง สรุปแล้ว ความไม่ประมาทคือ ความไม่ตายใจ ไม่นอนใจ ไม่ไว้ใจในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนใดที่เป็นความดี ควรได้ ควรถึง ให้มีความพยายามสร้างสรรค์ขึ้นให้มีในตน บุคคลนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่ประมาท จงทำตัวของเราให้ดีที่สุด แล้วอย่างอื่นก็จะต้องดีไปตามเรา
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    ธมฺมวิตกฺโกภฺขุ ​
    </td> <td valign="top">ความ ผิดนี้แหล่ะ เป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเอง ที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือ ความผิด จะได้ตรงกับคำว่า “เจ็บแล้วต้องจำ” ตัวทำเอง ผิดเอง นี้แหล่ะเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ เป็น “Good Example – ตัวอย่างที่ดี” เพื่อจะได้จดจำไว้สังวร ระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อ เผลอประมาท อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านล่วงเลยไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่คอยกระซิบ เตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า “ระวัง! อย่าประมาท อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีก!”

    อย่าเลี้ยงความไม่สบายใจ คำว่า “ไม่สบายใจ” อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจอีกต่อไป “Let it go and get it out!” ก่อนมันจะเกิด ต้อง “Let it out!” ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไป มันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้ พอมีสติ รู้สึกตัวว่า ความไม่สบายใจแอบเข้ามาอยู่ในใจ ต้อง “Get it out!” ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงความไม่สบายใจไว้ในใจ มันจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอ ออดแอด ทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายใจ เคยตัวเพราะความไม่สบายใจนี้แหละ เป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบ ประสาทสมองไม่ปกติ เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายไปด้วย ทำให้สมองทึบไม่ลอดโปร่งแจ่มใส เป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจแช่มชื่นรื่นเริง เกิดปีติปราโมทย์ เป็นสุขสบายอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ “Enjoy living” มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจง่าย
    ”Do no wrong is do nothing”
    ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย! ​
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="214">
    [​IMG]
    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
    จันทร์ สีริจนฺโท ​
    </td> <td valign="top">ใจเขาใจเรา-สิ่งใดซึ่งมีผู้นำมาให้เรา เราไม่ชอบใจ สิ่งนั้นเราอย่าไปทำให้แก่เขา
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="214">
    [​IMG]
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ​
    </td> <td valign="top">เรา ไม่ต้องคำนึงถึงอดีต อนาคต... อดีตล่วงไปแล้ว ดีก็ดีมาแล้ว ชั่วก็ชั่วมาแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ต้องดี
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="214">
    [​IMG]
    พระญาณสิทธิจารย์
    หลวงปู่สิม พุทฺธจาโร ​
    </td> <td valign="top">เวลา ที่หมดสิ้นไป โดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้าง ในชีวิตที่เกิดมาในโลกและได้พบพระพุทธศาสนานี้ ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก

    เวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาล ก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว

    เป็นธรรมดาที่สังขารร่างกายของเราจะต้องเดินไปสู่ความเสื่อมความสลาย แม้จะป้องกันแก้ไขอย่างไร ก็เป็นแต่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น ที่จะห้ามไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายเลยนั้นไม่ได้ ฉะนั้น จึงให้มุ่งเอาจิตเป็นสำคัญ คือบำรุงรักษาร่างกายพอประมาณ แต่บำรุงรักษาจิตให้มากๆ เป็นการหาสาระจากสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสารนั้นๆ ให้มากที่สุดที่จะทำได้ คือให้เร่งรัดบำเพ็ญกุศลเต็มสติกำลัง ทั้งทาน ศีล ภาวนา แม้ร่างกายจะแก่ จะแตก จะตาย ก็ไม่วิตกกังวล เพราะสมบัติดีๆ มีไว้เตรียมไว้แล้ว ดังนี้ จะไปไหนก็ไม่ต้องกลัว
    เมื่อ สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้นจะต้องรู้เท่าทัน อย่าไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งใด ถือสิ่งใด สิ่งนั้นไม่เป็นไปตามใจหวังก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ยึดเอาถือเอา เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความไม่เที่ยงอย่างนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เกิดขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ ก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่า คน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระครูญาณวิศิษฎ์
    ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก​
    </td> <td valign="top">ก่อน ที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่า ที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เราจะควบคุมใจได้อย่างไร
    สัก วันหนึ่งความตายจะมาถึงเรา มาบีบบังคับให้เราปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้น เราต้องหัดปล่อยวางล่วงหน้าให้มันเคย ไม่อย่างนั้น พอถึงเวลาไปจะลำบาก
    คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป แต่เราไปเก็บมาคิด เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแล้ว เราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่
    ของจริงขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราทำจริง เราจะได้ของจริง ถ้าเราทำไม่จริง เราจะได้แต่ของปลอม
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระโพธิญาณเถร
    หลวงพ่อชา สุภทฺโท​
    </td> <td valign="top">การ ทำความเพียรให้ทำอย่าหยุด อย่าปล่อยไปตามอารมณ์ ให้ฝืนทำไป ถึงจะคร้านก็ให้ทำ จะขยันก็ให้ทำ จะนั่งก็ทำ จะเดินก็ทำ เมื่อจะนอนก็ให้กำหนดลมหายใจว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เอาความสุขในการนอน” สอนจิตไว้อย่างนี้ พอรู้สึกตัวตื่นก็ให้ลุกขึนมาทำความเพียรต่อไป
    เวลา ในชีวิตของเรามีไม่มาก ให้สอนตัวเอง ไม่ต้องไปพยายามสอนคนอื่น เดินไปเดินมา ก็ให้สอนตัวเอง เอาชนะตัวเอง ไม่ต้องเอาชนะคนอื่น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะไป จะมา ทุกอย่าง จิตกำหนดอยู่เสมอ...
    ดู ไม้ท่อนนี้สิ สั้นหรือยาว? สมมติว่า เราอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น แต่ถ้าเราอยากได้ไม้ที่สั้นกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว หมายความว่า ตัณหาของเราต่างหากที่ทำให้มีสั้น มียาว มีดี มีชั่ว มีสุข มีทุกข์ขึ้นมา ละตัณหาเสียได้เท่านั้นทุกอย่างก็จบ หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราดำเนินชีวิตโดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้วทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา
    คน ทั้งโลก จะให้เขามาพูดถูกใจเรามีไหม จะมาทำถูกใจเราทุกคนมีไหม ไม่มี เมื่อไม่มีเราก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาถ้าเราไม่มีการปล่อยวาง เราเกิดมาในชีวิตหนึ่ง เราจะหาความสงบว่า คุณต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉันจึงจะสงบ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่สงบ คนคนนี้เกิดมาไม่รู้กี่ชาติก็ไม่มีความสงบเพราะหลายคน ใครจะมาพูดให้ถูกใจเราทุกคน ใครจะมาทำให้ดีทุกคน มันไม่มีหรอกอย่างนี้
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ​
    </td> <td valign="top">มอง ตัวเองให้มากจึงจะกลายเป็นคนดีได้ มัวแต่มองท่านผู้อื่นแล้วไซร้ ก็กลายเป็นคนพาลไปไม่รู้ตัว เพราะนิสัยคนพาล ย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร
    โบราณท่านกล่าวว่า อุจจาระของตน นั่งดมอยู่ก็พอดม อุจจาระท่านผู้อื่นเล่า มากระทบจมูกเข้าก็เกิดเป็นพิษเป็นภัยขึ้น
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    หลวงปู่ชามา อจุตโต ​
    </td> <td valign="top">ความสำเร็จจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความลำบากยากเย็นและอุปสรรคที่เราได้รับ
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ​
    </td> <td valign="top">คน เราก่อนที่จะแผ่เมตตาให้คนอื่นนั้น ตัวเราต้องมีเมตตาก่อน ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่มีเมตตาแต่จะเอาไปให้คนอื่น ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง ต้องแผ่ให้ตัวเรามีเมตตาก่อนแล้วจึงแผ่ให้คนอื่น จึงจะได้ผล
    จงรักทุกคน แต่ให้ไว้ใจบางคน และจงอย่าทำผิดต่อทุกคน
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระครูจันทสมานคุณ
    หลวงปู่หล้า จันโท ​
    </td> <td valign="top">ก่อนที่จะชนะคนอื่น... จะต้องเอาชนะตัวเองให้ได้เสียก่อน
    ก่อนที่จะว่าคนอื่น... ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน
    ก่อนหน้าที่จะรู้จักคนอื่น... ควรรู้จักตนเองเสียก่อน
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระธรรมโกศาจารย์
    ท่านพุทธทาสภิกขุ ​
    </td> <td valign="top">จงทำกับเพื่อนมนุษย์ โดยคิดว่าเขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา
    เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารด้วยกันกะเรา
    เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบางคราวเหมือนเรา
    เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไรเหมือนเรา ไม่รู้นิพพานเหมือนเรา
    เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่ เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่างเหมือนที่เราเคยกระทำ
    เขาก็อยากดีเหมือนเรา ที่อยากดี-เด่น-ดัง เขาก็มักจะกอบโกยและเอาเปรียบเมื่อมีโอกาสเหมือนเรา
    เขามีสิทธิที่จะบ้าดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา
    เขาเป็นคนธรรมดาที่ยึดมั่น ถือมั่นอะไรต่างๆ เหมือนเรา
    เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์หรือตายแทนเรา
    เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติร่วมศาสนากะเรา
    เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่นและผลุนผลันเหมือนเรา
    เขามีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
    เขามีสิทธิที่จะมีรสนิยมตามพอใจของเขา
    เขามีสิทธิที่จะเลือก (แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา
    เขามีสิทธิที่จะใช้สมบัติสาธารณะเท่ากันกับเรา
    เขามีสิทธิที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้าเท่ากับเรา
    เขามีสิทธิที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา
    เขามีสิทธิที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามควรแก่กรณี
    เขามีสิทธิที่จะเป็นสังคมนิยม หรือเสรีนิยม ตามใจเขา
    เขามีสิทธิที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
    เขามีสิทธิมนุษยชนเท่ากันกับเรา, สำหรับจะอยู่ในโลก
    ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้น
    อย่าอยู่ด้วยความหวัง แต่อยู่ด้วยสติปัญญา สติปัญญารู้ว่าควรทำอะไรก็ทำ อย่าไปหวัง ทำให้มันถูกต้อง ผลมันมาเอง
    ไม่ต้องหวังให้มันกัดกินหัวใจ หวังเมื่อไหร่ มันกัดหัวใจเมื่อนั้น
    มี ความทุกข์ทีไร ก็จะต้องถือเอากำไรให้ได้ จากความทุกข์นั้น ถ้ามันทุกข์มาก จะถือเอาความรู้ให้ได้มาก คือให้มีกำไรมาก แล้วแต่ว่าความทุกข์นั้นมันจะมีมาในลักษณะไหน หรือขนาดไหน ยิ่งทุกข์มากก็ยิ่งดี จะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับข้อนี้มาก... อะไรที่ยิ่งทำให้มีความทุกข์มาก อันนั้นจะต้องใช้ให้มันเป็นเครื่องที่นำความฉลาดมาให้มาก
    มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น
    อยู่ โดยไม่ต้องมีความรู้สึกว่า เราดี เด่น ดัง อะไรเลย เพียงแต่รู้สึกว่า เราเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่ง นั่นแหละถูกต้องและเป็นสุขแท้
    คน ไม่โกรธ ก็คือผู้ที่ไม่รู้จักแพ้ ไม่มีใครมาทำให้แพ้ได้ เพราะเมื่อไม่โกรธไปตามอารมณ์ที่ผู้อื่นส่งมาหรือที่เกิดขึ้นเอง เรื่องนั้นหรือส่วนนั้นก็เท่ากับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    “ความสุขที่แท้จริง” ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่กลับทำให้เงินเหลือ “ความสุขที่หลอกลวง” ยิ่งต้องใช้เงินจนเงินไม่พอใช้
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระโพธิธรรมาจารย์เถร
    หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ​
    </td> <td valign="top">ถ้าเราฉลาด เราจะได้ความสงบท่ามกลางความวุ่นวายนี่แหละ
    ปัจจุบัน นั้น เป็นสิ่งที่เป็นของจริงของแท้ เพราะเราเห็น เพราะเรารู้ ในปัจจุบันที่มันเกิดเฉพาะหน้า ทุกข์ในปัจจุบันก็เป็นทุกข์แท้ สุขในปัจจุบันก็เป็นสุขแท้ ส่วนสุขในอนาคตข้างหน้าเป็นเพียงแต่ความฝัน ความคิด ความหมายเฉยๆ เพราะยังไม่ถึง ส่วนความสุขที่ผ่านมาแล้ว มันก็หมดไป เป็นแต่ความจำเฉยๆ ยังไม่ใช่ของแท้... ของแท้จึงคือปัจจุบัน
    ความสุขอย่างอื่น
    มีความหิว ความดิ้นรนอยากครอบงำ ดิ้นรนแสวงหากว่าจะได้ ได้แล้วก็สุขชั่วครู่ ก็หมดไป หาใหม่อีก ต้องอาศัยเกี่ยวเนื่องกับผู้อื่น อยู่กับของคนอื่น ใครๆ ก็หวงแหน กว่าจะได้มาเป็นของเรา ก็ต้องต่อสู้กับคนอื่นกว่าจะได้ความสุข แต่ความสุขในทางจิตใจ ไม่ต้องต่อสู้กับใคร เราคนเดียวสร้างขึ้นมาเอง
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระพรหมมังคลาจารย์
    หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ​
    </td> <td valign="top">เกิด ความทุกข์ เพราะเราคิดไปว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา... ของกูน่ะ เกิดตัวกู ของกูขึ้นมา ก็เลยเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ขึ้นมา เดิมมันก็เป็นทุกข์อยู่ตามสภาพอย่างหนึ่งแล้ว ไปยึดถือเข้าอีก เป็นสองทุกข์ สามทุกข์ สี่ทุกข์... ทุกข์เรื่อยไปไม่จบสิ้น
    อะไรๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราจะไปบังคับมันก็ไม่ได้ จะไปฝืนมันก็ไม่ได้ มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา เราจึงควรจะคิดว่า “เออ! ธรรมดามันเป็นอย่างนี้” เรานึกอย่างนี้ก็พอปลง พอวาง สภาพจิตก็พอจะรู้เท่ารู้ทันในสิ่งนั้นๆ ความทุกข์ก็จะเบาไป คือไม่หนักอึ้ง เพราะเรารู้จักวาง รู้จักพักผ่อนทางใจ ใจก็สบาย
    การ พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เรามีวัสดุมีสิ่งของอะไร เราก็พออกพอใจในสิ่งนั้น เวลาสิ่งนั้นสูญหายไป เราก็มีความทุกข์ไม่สบาย มองไปที่ที่มันเคยมี มันไม่มีเราก็ไม่สบายใจ
    ความจริง “ความไม่มี” มันเป็นของเดิม
    “ความมี” น่ะ มันมาทีหลัง
    เราไม่ได้นึกว่า “ความไม่มี” มันของเดิม
    แต่ไปนึกถึง “ความมี” อยู่ตลอดเวลา
    เรา ควรจะอยู่ด้วยความไม่เป็นทุกข์ในอะไรๆ ที่เกิดขึ้น ให้ทำใจให้เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา เราก็จะไม่เป็นทุกข์ในเรื่องนั้น เราจะใช้สติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา แล้วรู้จักปลง รู้จักวางในสิ่งนั้นๆ ไม่เข้าไปยึดถือด้วยความโง่ ความเขลา
    ความสุขนั้นไม่มี มีแต่ความทุกข์ แต่เราเรียกว่า มีความสุข ที่เรียกว่ามีความสุขก็เพราะว่า ทุกข์มันลดน้อยลงไป
    เรา จะทำอะไรก็ตาม อย่าไปหวังให้มันมากเกินไป คืออย่าหวังเอาร้อยเปอร์เซ็นต์ สุดแล้วแต่มันจะได้ดีกว่า ถ้าเราไปหวังมากเกินไป แล้วก็รุนแรง เป็นความคิดที่มีความหวังรุนแรง เมื่อสิ่งนั้นไม่สมหวัง เราก็เสียดาย เราก็มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ บางทีก็เป็นทุกข์เอามากทีเดียว... ไม่ว่าเรื่องอะไรๆ เราอย่าไปตั้งความหวังในเรื่องที่จะได้ไว้มากเกินไป เรามีความคิดแต่เพียงประการเดียวว่า เราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทำไปตามหน้าที่ที่เราจะต้องทำ
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระพรหมคุณาภรณ์
    ป.อ.ปยุตฺโต​
    </td> <td valign="top">ความ รักที่อยากให้เขามีความสุข หรืออยากเห็นเขามีความสุข อย่างที่เรียกว่า เป็นความปรารถนาดี เรารักใคร เราก็อยากให้คนนั้นมีความสุข แอยากทำอะไรๆ เพือให้เขามีความสุข เวลารักใครลองถามตัวเองว่า เราต้องการความสุขเพื่อตัวเรา หรือเราอยากให้ เขามีความสุข การที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขนั้น การกระทำที่สำคัญก็คือ “การให้” การให้เป็นปฏิบัติการที่ชัดเจนและต้องใช้มากที่สุด ในการทำให้ผู้อื่นมีความสุข ดังนั้น ผู้ที่มีความรักแบบนี้จึงมีความสุขในการให้ และให้ด้วยความสุข ถ้าเรารักเขาโดยอยากให้เขามีความสุขแล้ว มันก็มีความยั่งยืนมั่นคง เมื่อเขามีความทุกข์ความเดือดร้อน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสนองความต้องการของเราได้ เราก็ยังรักเขา
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    ท่านติช นัท ฮันท์ ​
    </td> <td valign="top">การ เรียนรู้ที่จะทำให้คนๆ หนึ่งมีความสุข ถ้าเราทำได้ ก็เท่ากับเราได้เรียนรู้ที่จะแสดงความรักของเราที่มีต่อมวลมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย...
    เราทุกคนล้วนมีเมล็ด พันธ์ของความรักอยู่ในตัว เราสามารถพัฒนาพลังอันน่าอัศจรรย์นี้ได้ บ่มเพาะความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ ขนาดที่ไม่ต้องคาดหวังสิ่งตอบแทน หากเราเข้าใจใครสักคนดีพอแล้ว... ถึงคนๆ นั้นจะทำร้ายเรา เราก็ยังคงรักเขาอยู่
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระราชธรรมนิเทศ
    พระพยอม กัลยาโณ ​
    </td> <td valign="top">ใน ชีวิตของคนเรา จะมีได้กับเสียมาเกี่ยวข้อง เราจะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจว่า ทุกๆ สิ่ง ไม่มีสิ่งใดแน่นอนสักสิ่งเดียว ได้มาเราอาจเสียไป เสียไปเราอาจได้มา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เป็นธรรมดาของมัน ขอเพียงเราไม่หวั่นไหว ฟูๆ แฟบๆ ไปกับมัน เราก็จะไม่มีความทุกข์
    สัญญาณ บอกอันตราย-อ่านตัวเองไม่ออก บอกตัวเองไม่ได้ เห็นตัวเองไม่ชัด อันตรายที่สุด คนเราถ้าไม่รู้จักตัวเอง แล้วจะวางบทบาทของตัวได้อย่างไร
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระเทพสิงหบุราจารย์
    หลวงพ่อแพ เขมังกโร ​
    </td> <td valign="top">คนอื่นแนะได้ ให้กำลังใจได้ แต่ตัวเองต้องทำด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องรอปาฏิหารย์จากใคร อะไร ที่ไหน ไม่ต้องรอใคร
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระธรรมกิตติวงศ์
    ทองดี สุรเตโช ​
    </td> <td valign="top">เมื่อ มีคนอื่นมาเป็นกระจกให้ มองเห็นตัวเองได้ชัดเจน ก็นับว่าโชคดีไม่น้อยแล้ว ทำไมจึงจะไปโกรธกระจก และคิดหนีกระจกเสียเล่า โกรธกระจกหรือหนีกระจกไปพ้นแล้ว ความผิดพลาดและความบกพร่อยของตัวจะหมดไปได้หรือ
    คนฉลาดนั้น ย่อมเรียนรู้อะไรได้ง่าย เข้าใจอะไรได้ง่าย เข้าใจอะไรง่าย แต่ส่วนมากไม่ทำตามที่รู้
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระจุลนายก
    สุชาติ อภิชาโต ​
    </td> <td valign="top">ให้ มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เราไม่ต้องไปกังวลกับเขา เขาจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เขาเป็นไป ถ้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ก็ปฏิบัติกับเขาให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ตามหน้าที่ของเรา ถ้าไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นไปตามความต้องการของเรา ก็ไม่ต้องไปกังวลกับเขา ปล่อยให้เขาเป็นไปตามเรื่องของเขา ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้
    ความ สุขที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ใจสงบ อยู่ที่ใจที่ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างต่างหาก เพราะถ้าใจได้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็จะไม่มีอะไรมาสร้างความทุกข์ให้กับใจ มาสร้างความวุ่นวายให้กับใจ
    ถ้า ไปยุ่งกับเขา ไปเกี่ยวข้องกับเขาแล้วจะต้องมีความกังวลใจตามมาไม่ช้าก็เร็ว ถ้าไม่ไปเกี่ยวข้องก็จะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความกังวลใจ
    ลอง สังเกตดู เรามีความทุกข์กับอะไร ส่วนใหญ่ก็มีความทุกข์กับของของเรานั่นล่ะ อะไรที่เป็นของของเรา ก็จะมีความทุกข์กับสิ่งนั้น ถ้าสิ่งไหนไม่ใช่เป็นของของเรา ก็จะไม่มีความทุกข์กับของสิ่งนั้น จึงต้องใข้ปัญญาให้เห็นว่าไม่มีอะไรเป็นของของเรา เพื่อจะได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่ต้องทุกข์กับอะไรอีกต่อไป
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระอาจารย์ปสันโนภิกขุ ​
    </td> <td valign="top">ถ้า เราไม่ให้อภัยคือเรายังยึดทุกข์ไว้ เราก็จะสร้างตัวตนขี้นบนความทุกข์เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเกิดมีตัวตนขึ้นเมื่อไร ทุกข์ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น
    สิ่ง ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น มันได้ดับไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงความทรงจำของเราเองในปัจจุบัน เป็นคนละคนกับในอดีต จะต้องปล่อยวางเหตุการณ์ในอดีต รวมทั้งคนที่เคยประกอบกรรมในอดีตนั้นเสียด้วย
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ​
    </td> <td valign="top">อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล
    ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล
    ไม่ ต้องทำอะไรพิเศษไปกว่าที่เรากำลังอยู่ทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม เราเพียงแต่เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง เราเพียงแต่เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริงตามกฎธรรมชาติด้วยจิตใจที่เป็นธรรม แล้วยินดีพอใจในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่หามาได้ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักคิดดี คิดถูก เท่านั้นแหละ
    อดีตที่ล่วง ไปแล้วไม่ต้องคำนึงถึง อนาคตที่ยังไม่มาก็ไม่ต้องห่วง พยายามปล่อยวางอดีต อนาคต เอาปัจจุบันเป็นสำคัญ ทำปัจจุบันให้ดี พยายามทำปัจจุบันเดี๋ยวนี้ให้ดี อดีต อนาคตปล่อยวาง คิดอดีต คิดอนาคตเท่าไหร่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ คิดเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งคิดยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้น
    สิ่งที่เราทำได้ คือ คิดแก้ปัญหาที่ตัวเราก่อน แก้ที่ใจเรา คือ

    1. ยอมรับความจริงดังกล่าว
    2. ปล่อยวางอดีตให้เหมือนกับไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
    3. ให้อภัย ไม่ถือโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาทเขา
    4. ทำใจเราให้สงบ
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระมหาปสัณห์ ปิยธมฺโม ​
    </td> <td valign="top">ขอ อย่าเป็นคนที่ “คิดมาก” คิดไปมีแต่เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ รู้จักปลงบ้าง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ชีวิตจะได้พบแต่คำว่า “สบายใจ”
    จงงดการ “จับผิดคนอื่น” หันมา “จับผิดที่ตัวเรา” เราก็อาจเป็นคนผิดได้ ปัญหาวุ่นวายจะได้ไม่เกิดขึ้น
    ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากความโกรธ ความเกลียด พยาบาท จองเวรผู้อื่น นอกจากผลร้ายที่มันย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจเราเอง
    ถ้าเราคิดให้คนอื่นสบาย เราก็สบาย ถ้าเราคิดให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็มีความทุกข์ความเดือดร้อน
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ ​
    </td> <td valign="top">บางทีการเคลื่อนไหวและการกระทำการงานต่างๆ เป็นสิ่งที่สมควร แต่บางคราวการอยู่นิ่งและการงดเว้นจากการกระทำก็เหมาะสมกว่า
    อย่า เป็นอะไรเลย สบาย ความสบายอยู่ตรงที่เราไม่ต้องเป็นอะไร ไม่ต้องเอาอะไร ภาวนาจนไม่มีความรู้สึกว่าได้กำไรหรือขาดทุนจากการปฏิบัติ มีความรู้สึกราบรื่น สิ่งภายนอกขึ้นๆ ลงๆ แต่เราไม่ขึ้นๆ ลงๆ ตาม เราอยู่ด้วยความวางเฉยของผู้รู้เท่าทัน อาการแห่งความสุขก็มีอยู่ แต่มันอยู่ข้างนอก มันไม่ได้เข้าไปถึงใจของเรา
    ผู้ ที่มีสติกำหนดรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นผู้ที่รู้สึกสดใสและเป็นผู้ที่ไม่กระสับกระส่าย กระวนกระวายที่จะแสวงหาความสุขและมั่นคงจากสิ่งภายนอก ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือจะเป็นความรักความเคารพจากคนอื่น ทีนี้ เราไม่มีความรู้สึกว่าเราขาดอะไร ไม่ต้องการอะไรจากใครในโลก เราไม่มีความรู้สึกว่าเรามีอะไรเกินจะมีแต่ความรู้สึกว่ามันพอดี
    </td> </tr> <tr> <td valign="top">
    [​IMG]
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล​
    </td> <td valign="top">คิดๆ เท่าไร ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึ

    งรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้
    </td></tr></tbody></table>
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขออนุโมทนา และสาธุบุญกับคุณธิติย้อนหลังด้วยครับ สบายดีน๊ะครับ ช่วยฝากความคิดถึงไปยังคนไกลด้วย (กลับหรือยังก็ไม่รู้) ขอบคุณอีกครั้ง ที่ได้ร่วมบุญกันมาโดยตลอดทุกเดือน...

    [​IMG]


     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    “กัลยาณมิตร” เกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
    (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

    [​IMG]

    คง เคยได้พบ ได้เห็น หรือได้ยินได้ฟัง กันมาแล้วบ่อยๆ ที่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งคิดพูดทำที่ผิดพลาด ที่ไม่สมควรแก่ภาวะฐานะ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้นว่าเป็นผู้ไม่มี “กัลยาณมิตร” จึงไม่มีผู้ยับยั้งผู้ให้พ้นความผิดความเสียหาย ที่จะเกิด เพราะคิดพูดทำที่ผิด ที่ไม่สมควร ที่ไม่น่าทำให้เกิดขึ้น ที่จะต้องไม่เกิดขึ้น แม้มี “กัลยาณมิตร” บอกกล่าวให้รู้ความควรไม่ควร

    ที่จริง “กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
    “กัลยาณมิตร” ต้องเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพียงยอมรับทั้งสองฝ่าย
    “กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้


    แม้คนดีมีปัญญาสักคนหนึ่งจะมีความหวังดี
    ปรารถนาจะช่วยคนดีคนใดคนหนึ่งให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการ
    ก็ย่อมไม่อาจทำได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเข้าใจคำว่า “กัลยาณมิตร”


    : แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา ๒๕๔๙
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    You are my friend forever

    เพื่อนทั่วไปไม่เคยเห็นคุณร้องไห้
    เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาคุณ

    เพื่อนทั่วไปจะไม่รู้ชื่อพ่อแม่ของคุณ
    เพื่อนแท้จะมีเบอร์ของท่านไว้ในสมุดจดโทรศัพท์ของเขา

    เพื่อนทั่วไปจะถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
    เพื่อนแท้จะมาแต่วันเพื่อช่วยเตรียมงาน

    เพื่อนทั่วไปอยากคุยกับคุณถึงปัญหาของเขา
    เพื่อนแท้อยากช่วยปัดเป่าปัญหาของคุณออกไป

    เพื่อนทั่วไปจะพิศวงในเรื่องโรแมนติกเก่าๆ
    เพื่อนแท้สามารถเอาเรื่องนี้มาอำคุณได้

    เพื่อนทั่วไปเวลามาเยี่ยมคุณจะทำตัวเยี่ยงแขก
    เพื่อนแท้จะตรงรี่ไปเปิดตู้เย็นและบริการตนเอง

    เพื่อนทั่วไปคิดว่ามิตรภาพจบลงเมื่อเกิดการทะเลาะถกเถียง
    เพื่อนแท้รู้ดีว่านั่นจะมิใช่มิตรภาพ จนกว่าคุณได้เคยวิวาทกัน

    เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุณอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
    เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงคุณตลอดไป

    เพื่อนทั่วไปจะอ่านข้อความนี้แล้วโยนลงถังขยะ
    เพื่อนแท้จะเฝ้าส่งต่อๆไป จนกว่าจะมั่นใจว่ามันได้ถึงมือผู้รับ
    ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย หากคุณได้รับมันกลับมา นั่นหมายว่าคุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว


     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]






    [​IMG]

    อีกหนึ่งความหมายดีๆ สำหรับแขกผู้มาเยือนกระทู้นี้



    ขอขอบคุณทั้งบทความและภาพจากเวบชนเผ่าชาวดอย


     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เฮ้อ...ชีวิต

    โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
    ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
    อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
    คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
    ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
    ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
    ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
    คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
    ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
    เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
    ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
    หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
    ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
    จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
    อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง

    เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
    อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
    จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
    เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
    ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
    ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

    หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
    หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
    ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
    มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
    เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
    อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
    เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...