พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    องค์ที่ไม่ได้นำออกจากถุงใกล้เคียงกัน ปล่าวครับ หุ หุ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หวัดไทยตาย 44 คน ที่ 4 ของโลก วอนอย่าตระหนก

    หวัดไทยตาย 44 คน ที่ 4 ของโลก วอนอย่าตระหนก


    [​IMG]


    หวัดไทยที่ 4 โลก ตาย44คน วอนอย่าตระหนก (ไทยรัฐ)

    นายกฯ อภิสิทธิ์ ยอมรับหวัด 09 ระบาดแตะหลักหมื่น เหนือ-ตะวันตกเสี่ยง ด้านกระทรวงสาธารณสุขเผยผู้เสียชีวิตล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 44 คน ผู้ติดเชื้อ 6,776 คน สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก

    ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้ (22 กรกฎาคม) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการรับมือการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ต้องยอมรับว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในหลายประเทศมีการขยายตัวค่อนข้างเร็ว ตามหลักของการระบาดจะพุ่งสูงขึ้น ในทางกลับกันหลักของการบริหารต้องพยายามชะลอและไม่ให้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหากับสถานพยาบาล ขณะนี้ ต้องบริหารว่า ถ้าการแพร่ระบาดพุ่งขึ้นรวดเร็วมากก็จะมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นในการชะลอการระบาด ทุกประเทศใช้แนวทางนี้อยู่ วันนี้กระทรวงสาธารณสุขจะแถลงความเปลี่ยนแปลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะป้องกันไม่ให้ตัวเลขการติดเชื้อพุ่งสูงไปถึงหลักแสนรายได้อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การระบาดหากดูจากที่ฝ่ายวิชาการจะดูสถิติระดับโลก คิดว่าในที่สุดประมาณร้อยละ 40 ของคนจะได้รับผลกระทบ ดังนั้นตัวเลขจึงค่อนข้างสูง แต่จะพยายามไม่ให้ไปถึงจุดนั้น ในส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อของประเทศไทยวันเดียวกันนี้กระทรวงสาธารณสุขจะมีการแถลงอีกครั้ง เช่นที่เคยกล่าวไว้ว่าตัวเลขที่มีการประ กาศออกมา เป็นตัวเลขที่ส่งไปยังห้องทดลอง ความจริงอาจไม่ตรงกัน จากการสอบถามฝ่ายวิชาการในส่วนของประเทศไทยที่มีผลกระทบต่อวันน่าจะอยู่ที่หลักหมื่น

    ขณะนี้สิ่งที่ต้องเร่งกระทรวงสาธารณสุข คือระบบการจ่ายยา เพราะการแพร่ระบาดจะออกไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันตกค่อนข้างมาก ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นสิ่งสำคัญต้องช่วยกัน คือหากเจ็บป่วยเล็กน้อยให้อยู่บ้าน ถ้า 2 วันอาการไม่ดีต้องไปพบแพทย์ ในส่วนระบบของการแพทย์ต้องไปดูว่ายาเข้าถึงผู้ป่วยได้เร็วหรือไม่

    นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อถึงปัญหาคลินิกไม่สามารถจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ได้ ว่า ต้องหาความพอดี เพราะยาตัวนี้หากปล่อยไปโดยไม่มีการควบคุมเลยจะเป็นปัญหา ถ้าไม่มีระบบที่ดี ขณะนี้ที่เป็นปัญหามากคือ ผู้ที่ไปคลินิก 1-3 ครั้งแล้วไม่ได้ยาได้ให้ไปทำระบบ และวันที่ 22 กรกฎาคม จะมีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อจัดทีมระดับจังหวัดให้มีระบบการจ่ายยาที่ดี เนื่องจากพื้นที่ต้องทำงานอย่างละเอียด โรงเรียนไหนที่เริ่มมีปัญหามากสามารถปิดได้ เข้าใจว่าขณะนี้มีการปิดโรงเรียนประมาณร้อยกว่าโรงเรียน การทำงานมีการปรับแผนตลอดเวลา เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายๆ ฝ่าย ต้องทำให้องค์ความรู้ตรงกัน ขอย้ำอีกครั้งว่าโรคดังกล่าวแม้จะติดง่าย แต่คนส่วนใหญ่ไม่เป็นไร เพียงแต่จะประมาทไม่ได้ เพราะมีลักษณะการทำลายการหายใจเร็ว เชื้อจึงกระจายลงปอดได้เร็ว

    ช่วงสายวันเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขแถลงสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งแรกในรอบสัปดาห์ มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 44 คน ผู้ติดเชื้อ 6,776 คน สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไขปริศนา..ฟอร์เวิร์ดเมล ไข่ปลอมระบาดเมืองจีน

    ������� 䢻��ȹ� ���������� 㹿������������


    [​IMG]
    ไข่ปลอม​


    [​IMG]
    ส่วนผสมในการทำไข่ขาว​


    [​IMG]
    ไข่แดงจะใช้สีผสมกับส่วนประกอบที่ยังไม่สามารถระบุได้ แล้วเทใส่แม่พิมพ์กลมๆ​


    [​IMG]
    ไข่แดงปลอม ที่ลอยอยู่ในไข่ขาวที่ทำขึ้น​


    [​IMG]
    เปลือกไข่ทำมาจาก paraffin wax ผสมกับน้ำขาวๆ​


    [​IMG]
    พอแห้งแล้วก็ราด paraffin wax ที่ทำเป็นเปลือกไข่ครับ ​


    [​IMG]
    ไข่ปลอมมีการแต่งสีให้เหมือนไข่จริง ​


    [​IMG]
    ไข่ปลอม​



    [​IMG]
    ภาพเปรียบเทียบไข่จริง - ไข่ปลอม​

    [​IMG]
    ไข่สดของจริง​


    [​IMG]
    ไข่สดของจริง​


    [​IMG]
    ไข่สดของจริง​


    [​IMG]
    ไข่สดของจริง​




    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Forword Mail

    กลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วในโลกไซเบอร์ เมื่อฟอร์เวิร์ดเมล "ไข่ไก่สดปลอม" ถูกส่งต่อ แน่นอนว่าเรื่องนี้พูดถึงอย่างกว้างขวาง ก็แหม...ปกติก็มีแต่ข้าวของเครื่องใช้เท่านั้นที่ปลอมกัน ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่นี่ปลอมไข่ไก่สด ซึ่งเป็นอาหารที่ทุกบ้านทุกครอบครัวในโลกนี้ต้องบริโภคกัน คราวนี้เลยทำเอาหลายคนหวั่น เกิดอาการกลัวๆ กล้าๆ จะบริโภคกันต่อดีไหมหนอ ก็ขนาดคนขายยังบอกเลยว่าแยกไม่ออกระหว่างไข่จริงกับไข่ปลอม!!!

    ทั้งนี้ "ไข่ปลอม" เกิดขึ้นที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างเมืองจีน โดยทางการจีนสามารถระงับการขายไข่ไก่ปลอมได้ที่ มณทลกวางโจว หลังพบวางขายกันอย่างแพร่หลายตามตลาด ซึ่งราคาขายส่งตกฟองละ 0.15 หยวนหรือ ประมาณ 0.75 บาท (โอ้โห..ถูกกว่าไข่จริงมากกว่าครึ่ง) เอ...แต่ที่ว่าปลอมนั้น ปลอมอย่างไรมาดูกันค่ะ

    ตามข้อมูลระบุว่า "ไข่ขาว" จะเป็นเจลาตินที่ใช้ทำเยลลี่ ผสมกับแป้ง, เบนโซอิก แอซิด (สารเคมีมีพิษ หากกลืนหรือกินเข้าไปจะก่อให้เกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน) และอะลัม (alum) หรืออะลูมิเนียม โพแทสเซียม ซัลเฟต ซึ่งโรงงานบางแห่ง ใช้สารนี้กัดสีของโลหะ หรือกัดสนิมในโรงงานอุตสาหกรรม (อุ๊แม่เจ้า!)

    ส่วน "ไข่แดง" จะใช้สีผสมกับส่วนประกอบที่ยังไม่สามารถระบุได้ ก่อนเทใส่แม่พิมพ์กลมๆ ขณะที่เปลือกไข่ทำมาจากพาราฟิน แวกซ์ ผสมกับน้ำขาวๆ ที่ยังไม่สามารถระบุได้อีกเช่นกัน โดยวิธีการคือ ราดลงไปบนไข่ปลอม รอจนน้ำขาวๆ แห้ง และ แข็งตัว จะมีลักษณะเหมือนเปลือกไข่ ซึ่งไข่ปลอมที่ว่านี้ มีรสชาติเหมือนไข่ไก่สดจริงๆ เพียงแต่ไม่มีสารอาหารที่เทียบกันได้เลย ทั้งยังเพิ่มอันตรายต่างๆ เพียบ หากบริโภคเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลต่อสุขภาพได้

    สำหรับเรื่องไข่ไก่ปลอม เคยเป็นข่าวใหญ่ในประเทศจีนมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2548 โดยไข่เหล่านี้ผลิตจากทางภาคเหนือ และขนส่งมายังกวางตุ้ง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ มีต้นทุนถูกกว่าไข่ไก่จริง ราวฟองละ 0.2 หยวน และจำหน่ายในราคาที่ถูกว่า ราว 0.15 หยวน วางขายเกลื่อนในตลาดสดกวางโจว

    อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.อุไรพร จิตต์แจ้ง จากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ฟอร์เวิร์ดเมลดังกล่าว ไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะขั้นตอนในการทำเปลือกไข่ปลอมด้วยพาราฟิน แวกซ์ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะทำได้ยาก ส่วนขั้นตอนการทำไข่ขาวที่อ้างว่า ใช้เจลาตินที่ทำเยลลี่นั้นมีความเป็นไปได้ แต่เจลาตินดังกล่าวราคาแพง ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า จะคุ้มกับการทำไข่ปลอมหรือไม่

    ด้าน นายถวัลย์ รอดจิตต์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปราม (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) กรมศุลกากร กล่าวว่า ไข่ไก่ปลอมในประเทศจีนอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ เนื่องจากจีนมีประชากรเยอะ ไข่ไก่ที่ผลิตภายในประเทศจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ปริมาณไข่ไก่ที่ผลิตได้มีเพียงพอจนแทบไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้า

    "ในประเทศไทยไม่น่าจะมีการนำเข้าไข่ไก่ปลอม หรือหากมีก็เป็นการนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย อาจขนส่งมาทางตู้คอนเทนเนอร์มากกว่าทางสนามบิน ซึ่งที่ผ่านมาเคยจับกุมการลักลอบการนำเข้าไข่ไก่ได้บริเวณชายแดนสุไหง-โกลก จ.นราธิวาส ประมาณ 1,000 ฟอง แต่ก็เป็นการซื้อขายบริเวณชายแดนเท่านั้น" หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปราม กล่าว

    อืม... กรมศุลกากรออกมาคอนเฟิร์มชัดเจนว่า ยังไม่ทะลักเข้าไทยอย่างแน่นอน ....เอาว่าเป็นพี่น้องผองไทยก็สบายใจ บริโภคไข่ไก่กันต่อได้ ปลอดภัยชัวร์แน่นอนจ้า







    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]


    อ่า งั้นผมนำมาฝากคุณnongnooo มั่งครับ อิอิ

    [​IMG] [​IMG]
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สธ.ยัน “โอเซลทามิเวียร์” ยังเอาอยู่! หวัด 2009 ยังไม่ดื้อยา และไม่กลายพันธุ์
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>22 กรกฎาคม 2552 12:25 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> สธ.ยันยังไม่พบเชื้อไวรัสหวัด 2009 ดื้อยาต้าน “โอเซลทามิเวียร์” และยังไม่พบการกลายพันธุ์ของเชื้อแต่อย่างใด ยอมรับมีโอกาสกลายพันธุ์เพราะมีการใช้ยาต้านอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ และมีการเดินทางระหว่างประเทศของประชากรอย่างต่อเนื่อง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เฝ้าระวังติดตามปัญหาการดื้อยาและการกลายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น สธ.ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญร่วมกันเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สำหรับการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A (H1N1) ทางห้องปฏิบัติการได้มอบหมายให้ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดำเนินการ ซึ่งได้รับรายงานว่า ได้สุ่มเอาเชื้อไวรัสที่แยกได้จากกลุ่มผู้ป่วยในโรงเรียน สถาบันการศึกษา สถานบันเทิง ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรง ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งผู้ที่เสียชีวิตมาทำการตรวจโดยวิธีขั้นต้นทางพันธุกรรม (Genotypic testing) เพื่อหาการกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยา และวิธีตรวจยืนยันทางชีววิทยา (phenotypic testing) โดยการเติมยาต้านไวรัสในเซลล์ที่เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัส

    “พบว่าเชื้อที่ศึกษาทั้งหมดยังคงตอบสนองต่อยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงพันธุ์กรรมของไวรัสส่วนอื่นๆ ที่มีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง และไม่พบการกลายพันธุ์ใดๆ ที่ต่างจากเชื้อที่เริ่มระบาดในช่วงแรกๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเม็กชิโก อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เชื้อกลายพันธุ์และเชื้อดื้อยาจะระบาดเข้ามาในประเทศไทยก็มีได้มากเช่นกัน เนื่องจากมีการใช้ยาต้านไวรัสอย่างแพร่หลายในหลายประเทศและมีการเดินทาง ไปมาระหว่างประเทศของประชาชนอย่างต่อเนื่อง” รมว.สธ.กล่าว

    นายวิทยากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของตัวเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยทำการแยกเชื้อไวรัส วิเคราะห์หาสายพันธุ์และคุณสมบัติของตัวไวรัสด้วยวิธีทางชีววิทยาโมเลกุลและวิธีทางชีวภาพ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและส่งตัวอย่างเชื้อที่มีความผิดปกติหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กับห้องปฏิบัติการสมาชิกขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อใช้ประโยชน์ในการคัดเลือก สายพันธุ์ไวรัสสำหรับการผลิตวัคซีนในแต่ละปี รวมถึงการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    เอ...องค์นาคปรกนิท่าจะกรุเดียวกันกับของผมหรือเปล่าครับ งามแต้ก่ะ ...
     
  7. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ใกล้เคียงมั่กๆครับ :) คู่แฝด ... ปลื้มๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับพระพิมพ์ หรือ วัตถุมงคลต่างๆ ที่มอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    ในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้... และกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    ตามรายละเอียดดังนี้ครับ

    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

    หมายเหตุ 2 หากท่านที่มีประสงค์จะร่วมทำบุญ แต่ไม่มั่นใจว่า พระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชา เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่แท้หรือไม่เป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องไทย(การซื้อ-ขาย) ก็ไม่ต้องรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไปครับ



    ----------------------------------------------


    หมายเหตุ หากท่านที่มีประสงค์จะร่วมทำบุญ แต่ไม่มั่นใจว่า พระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่แท้หรือไม่เป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องไทย(การซื้อ-ขาย) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป และเป็นพระพิมพ์ที่ไม่สามารถที่จะนำไปซื้อ-ขายในวงการพระเครื่องของเมืองไทยได้

    หมายเหตุ 1 พระวังหน้า ที่ผมนำมามอบให้กับผู้ที่ทำบุญในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่ 1890-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ และผมได้บอกบุญในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เป็นพระพิมพ์ที่ไม่สามารถที่จะนำไปซื้อ-ขายในวงการพระเครื่องของเมืองไทยได้

    แต่หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

    ซึ่งเรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ

    อีกประการหนึ่ง ชมรมรักษ์พระวังหน้า ไม่มีการจัดการประกวดพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลของวังหน้าและวังหลวงทุกประการ เนื่องจากการประกวดพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคล เป็นการทำลายพระพิมพ์และวัตถุมงคล เพราะเทวดาที่ท่านอยู่ในพระพิมพ์หรือวัตถุมงคล ท่านได้ออกไปจากพระพิมพ์และวัตถุมงคลไปจนหมดสิ้น และพลังพุทธคุณและพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิตก็ไม่มีเช่นกันครับ

    มีได้ก็เสื่อมได้เป็นธรรมดา

    โมทนาสาธุครับ
     
  9. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768


    เรียนคุณหนุ่มครับผม กับพี่เบิ้มร่วมทำบุญด้วยครับ

    1. แหน่ง
    2. พี่เบิ้ม

    รวม 2 องค์ครับ

    เดี๋ยวผมกับพี่เบิ้มจะนำเงินไปร่วมทำบุญในวันที่ 29/8/2009 ครับ

    โมทนาสาธุ ครับ
     
  10. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    หวัดดีตอนเช้าทุกท่านครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รับทราบครับ

    เนื้อหาทรงพิมพ์ ผมว่า สะใจมาก เนื้อจัดมาก แถมพิมพ์ก็ไม่เหมือนกับรุ่นแรก

    รุ่นนี้ผมขอเรียกเป็นรุ่นสอง

    รุ่นแรก สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านบอกพี่ใหญ่ว่า ให้เก็บไว้น๊ะลูก

    ส่วนรุ่นสอง พี่ใหญ่บอกว่า ทั้งเนื้อหาและพลังอิทธิคุณ ใกล้เคียงกับรุ่นแรกมากๆ ความแตกต่างทั้งรุ่นแรก และรุ่นสอง จะอยู่ที่ฤกษ์ในการกดพระ แต่จะใกล้เคียงกันมากครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาเตือนกัน

    หากท่านใดที่จะไปโรงพยาบาล ผมแนะนำให้หาผ้าปิดปากไปด้วย เนื่องจากสภาวะของไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ 2009 ยังมีการระบาดอยู่มาก (จากข่าวที่ผมได้นำมาแจ้งให้เป็นระยะในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ และกระทู้มารู้จัก “ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1” หรือ “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู” ที่บอร์ดอกาลิโก ) ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ยังไม่สามารถที่จะควบคุมได้

    ที่จะแนะนำอีกเรื่อง ตอนนี้ให้ทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงมากๆ หรือน้ำมะนาว ให้ทานทุกๆวัน เนื่องจากวิตามินซี จะไปช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ในการต่อสู้กับไว้รัส จะลดอัตราเสี่ยงในการเป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธ์ใหม่ 2009 ลงได้พอสมควร

    ผมเองทานวิตามินซี (ที่ผมฝากน้องหมอซื้อ) หากวันไหนไม่ได้ทานวิตามินซี ก็จะทานน้ำมะนาว ที่ผบทบ.(ผู้บัญชาการที่บ้าน) คั้นให้อย่างน้อยวันละ 1 ลูกทุกวันครับ

    ด้วยรัก
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sithiphong
    เลขานุการชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ---------------------------------------------------------

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD>[​IMG]</TD><TD></TD><TD width="100%">Buddhism Audio > พระธรรม > ธรรมเทศนาทั่วไป > ชีวิตและจิตใจ </TD></TR><TR><TD class=navbar style="FONT-SIZE: 10pt; PADDING-TOP: 1px" colSpan=3>[​IMG] ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ - Buddhism Audio


    ---------------------------------------------------------

    อาโรคยปรมา ลาภา "ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง"
    ที่มา อาโรคยปรมา ลาภา "ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง" | เว็บไซต์หมอชาวบ้าน

    คำกล่าวนี้ทุกคนคงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นโรคทางกาย ใจ หรือจิตวิญญาณ โดยเฉพาะผู้อ่าน "หมอชาวบ้าน" และหลายคนก็คงทราบกันแล้วว่า เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ ๒ สาเหตุ
    ๑. เชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย เช่น บิด อหิวาตกโรค วัณโรค เป็นต้น
    ๒. การใช้ชีวิตไม่ถูกต้อง รวมทั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ ตราบใดที่ภูมิต้านทานของเรายังดีอยู่ ก็ยังไม่ปรากฏอาการอะไร แต่เมื่อภูมิต้านทานของเราตกต่ำเมื่อไร ร่างกายจะเสียสมดุล ระบบอวัยวะต่างๆ แปรปรวน เมื่อนั้นแหละโรคภัยไข้เจ็บก็จะถามหาทันที
    ในปีหน้าผู้เขียนอายุเกือบจะครบ ๕๐ ปีแล้ว จำได้ว่าสมัยเป็นเด็กโรคที่เป็นบ่อย คือ หวัด แล้วก็แพ้อากาศ ถ้าอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เช่น จากร้อนมาเย็น หรือเย็นมาร้อน น้ำมูกจะไหลทันที มากที่สุดก็จะมีไข้ เจ็บคอ ไอมีเสมหะ สมัยนั้นคุณแม่ซึ่งเป็นพยาบาลยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้หายามาให้กิน ถ้าเป็นมากต้องไปหาหมอ ก็จะหายภายใน ๑ สัปดาห์ พอโตเป็นสาวปรากฏว่าอาการหวัดเหมือนเดิมทุกอย่าง รักษาตัวก็เหมือนเดิม แต่กลับหายภายใน ๒ สัปดาห์ และเมื่อถึงวัยทำงานกลับยิ่งหนักขึ้นไปอีก เพราะนอกจากหวัดแล้วยังมีโรคเครียดเพิ่มขึ้นมาอีก ๑ โรค ซึ่งเพิ่งจะมาเป็นและค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ เมื่อประมาณ ๓-๔ ปีมานี้เอง
    ทำไม และเพราะอะไรใช่ไหมคะ...ผู้เขียนศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และเอาจริงเอาจังค่ะ ก่อนหน้านั้นก็สนใจอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอยู่บ้าง แต่อ่านหนังสือธรรมะเมื่อเวลาเป็นทุกข์เท่านั้น หลังจากได้ค้นพบว่าที่ตนเองเครียด ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่น มักจะบังคับให้สภาพการณ์และคนรอบข้างเป็นไปตามใจตนเอง โดยหารู้ไม่ว่าใจนี่แหละเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อสภาพจิตใจเครียดก็ย่อมส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยล้า เพลีย และตึงเครียดไปด้วย มากที่สุดจนส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อที่มดลูก เมื่อได้ทบทวนชีวิตตนเองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงได้ลงมือปฏิวัติตนเอง ดูแลกาย ใจ จิตวิญญาณของตนเองอย่างจริงจัง สม่ำเสมอมากขึ้น ด้วยข้อวัตรปฏิบัติดังนี้

    ๑. ตื่นนอนตี ๔ เปิดวิทยุฟังธรรมะ และเจริญสติ (สติปัฏฐาน ๔) เดินจงกรม นั่งสมาธิ ไปด้วยจนถึง ๖ โมงเช้า และก่อนเข้านอนก็จะเดินจงกรม นั่งสมาธิอีก ๑ ชั่วโมง พยายามนอนไม่เกิน ๔ ทุ่ม หรือกว่านิดหน่อย ถ้าเป็นไปได้
    ๒. เล่นโยคะ ประมาณ ๓๐-๔๐ นาที ถ้าวันไหนมีเวลาน้อยก็เลือกเล่นเป็นบางท่า
    ๓. สวดมนต์ทุกเช้า และก่อนนอน พร้อมทั้งแผ่เมตตาให้ตนเองและทุกคน โดยเฉพาะถ้ามีผู้ที่เราไม่ชอบ หรือเขาไม่ชอบเรา ให้แผ่ให้มากๆ ทุกวัน ความรู้สึกที่มีต่อผู้นั้นจะดีขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด
    ๔. เดินเล่น (เจริญสติไปด้วย) เวลาเช้า-เย็น บริเวณสนามหญ้าด้วยเท้าเปล่า เพื่อรับพลังชีวิต คือ อากาศบริสุทธิ์ ดิน และแสงอาทิตย์อ่อนๆ (ข้อนี้ถ้าวันไหนหรือช่วงไหนไม่ได้ปฏิบัติ พลังชีวิตจะตกต่ำ สังเกตเลยว่าสุขภาพจะไม่ค่อยแข็งแรง เช่น อาจเป็นหวัด แต่ก็จะหายเร็วกว่าผู้คนทั่วๆ ไป
    ๕. อ่านหนังสือธรรมะและหนังสือสุขภาพ หรือพ็อกเก็ตบุ๊กที่ให้สาระข้อคิดดีๆ ทุกวัน
    ๖. ดื่มน้ำปัสสาวะ (ของตนเอง) เวลาตื่นนอนเช้า ๑ แก้ว โดยไม่ดื่มช่วงต้นและช่วงปลาย
    ๗. กินอาหารมังสวิรัติ เพื่อปฏิบัติศีลข้อ ๑ อย่างละเอียด (ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ด้วยจึงจะดี) เพื่อสุขภาพด้วยเพราะในเนื้อสัตว์จะมีสารพิษตกค้างปริมาณมาก และจะส่งผลอย่างมากต่อสภาพจิตใจ คือ จิตใจจะอ่อนโยน มีเมตตามากขึ้น (ข้อนี้บางท่านที่มีโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อกินมังสวิรัติอย่างถูกต้อง คือ เน้นข้าวกล้อง ถั่ว งา ผัก ผลไม้ปลอดสารพิษ กอปรกับฝึกใจให้มองทุกอย่างในแง่บวกแล้ว ปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บทุเลาลงไปเยอะ)
    ๘. เห็นอะไร ได้ยินอะไร รู้อะไรไม่ถูกใจ ให้หยุดทำหยุดพูด หยุดคิด ให้หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
    ๙. ทำดีท็อกซ์ หรือล้างพิษด้วยการสวนกาแฟทางทวารประมาณสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง ถ้าช่วงไหนไม่สบาย หรือรู้ตัวว่ากินอาหารตามใจมากไปหน่อย เช่น ขนมหวาน อาหารรสจัด แป้งขัดขาว ก็จะทำดีท็อกซ์บ่อยขึ้น
    ๑๐. พยายามอ่านใจ อ่านกิเลสตนเองตลอดเวลา ถ้ารู้ว่าคิดเป็นอกุศลเมื่อไร ให้เลิกคิด เลิกพูด เลิกทำทันที (ถ้าหยุดไม่ได้ให้รู้เท่าทันก็ยังดีกว่าไม่รู้ตัวเลย)
    ๑๑. คบกัลยาณมิตร คือ ออกพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือหาความรู้ ที่เป็นไปในการพัฒนาตนเอง ลดละกิเลสอยู่เป็นประจำ (อาจจะเป็นบุคคล หรือหนังสือก็ได้)
    ๑๒. ช่วยงานอาสาสมัคร งานการกุศล โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นการฝึกการเป็น "ผู้ให้" อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดปีติ เกิดความสุขใจมากกว่าเป็น "ผู้รับ" หลายเท่า
    ๑๓. แบ่งพื้นที่ในบ้านสำหรับปลูกต้นไม้ที่ตนเองชอบ หรือปลูกผักสวนครัว ผักพื้นบ้าน เช่น ใบกะเพรา ชะอม ใบยอ ชะพลู อ่อมแป้น เป็นต้น หรืออัญชัน ซึ่งนำมาชุบแป้งทอดกินได้
    ที่สรุปมาทั้งหมด ผู้เขียนกำลังปฏิบัติอยู่ บางข้อบางวันก็ได้คะแนนเต็ม หรือเกือบเต็ม แต่บางข้อบางวันก็สอบตกเหมือนกัน ฉะนั้นจึงอยากให้กำลังใจผู้อ่านที่กำลังฝึกฝนอยู่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ถ้าไม่เริ่มก้าวที่ ๑ ก็จะไม่มีก้าวต่อๆ ไป และเป้าหมายก็จะยิ่งห่างไกลออกทุกที ปัจจุบันผู้เขียนมีครอบครัวแล้ว มีลูกชายวัย ๑๙ ปี และ ๑๔ ปี สามีทำงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ตัวผู้เขียนเองลาออกจากงานประจำตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๗ มาทำธุรกิจขายตรงอยู่จนถึงปี พ.ศ.๒๕๔๑ ปัจจุบันไม่ได้ทำงานเหล่านี้แล้ว ใช้ชีวิตปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ ทำงานอาสาสมัครให้ชมรมแห่งหนึ่ง ผลลัพธ์จากการใช้ชีวิตในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๒ ปัจจุบัน มีสุขภาพกาย ใจ และจิตวิญาณดีขึ้นมาก เพราะงานที่ผู้เขียนทำอยู่ คือการ "ให้" ที่ไม่หวังผลตอบแทน แต่เป็นการสะสมบุญกุศล และลดความเห็นแก่ตัวลง จึงมีความสุขมากกว่าสมัยก่อนๆ ที่ทำงานเพื่อหวังเงิน ลาภยศ สรรเสริญ ดังนั้น ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกนี้สามารถเป็น "ผู้ให้" แทนการเป็น "ผู้รับ" โลกเราก็จะมีแต่ความสุขและสันติภาพ


    คอลัมน์: บันทึกจากผู้อ่าน
    หมวดหมู่: สุขภาพพอเพียง, การพักผ่อน, การทำสมาธิ, อารมณ์
    ผู้เขียน: สุดาทิพย์ อิงวัฒนาพานิช

    ---------------------------------------------------------
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง
    ?ǒ???⃤໧?Œ?¨ҧ”觠˅ǧ?٨්?즬t;/a>


    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    คัดลอกจาก : วาระแห่งกรรม
    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 004616 จากคุณ : mayrin [ 15 มี.ค. 2545 ]
    เนื้อความ :
    คนเราเกิดมาก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว
    พระพุทธเจ้าสอนว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่งเพราะคนเราตั้งแต่เกิดมาก็มีโรคประจำอยู่แล้ว เซลล์ทุกตัวเกิดจาก ดินน้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุนั้นแลเป็นที่ตั้งเป็นบ่อเกิดของโรคนานาชนิด นอกจากโรคจากเซลล์แล้วโรคอันหนึ่งซึ่งหมอแผนปัจจุบันค้นไม่พบคือ โลภ โกรธ หลงมีหมอคือพระพุทธเจ้าองค์เดียวค้นพบและรักษาให้หายได้เด็ดขาด
    และวิชานั้นยังสอนกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ เอาไหมจะสอนให้ปฐมพยาบาลทีแรกต้องหัดนั่งกำหนดจิตให้รู้เรื่องของจิตก่อนเพราะจิตเป็นที่เกิดของโรคนานาชนิด ถ้าไม่รู้เรื่องของจิตโรคเกิดขึ้นก็ไม่รู้ และไม่ทราบจะรักษากันที่ไหนจงตั้งสติกำหนดให้รู้จักจิตของตนว่า คิดดี คิดร้ายหยาบและละเอียดอย่างไร ให้เห็นจิตของตนอยู่ทุกขณะ
    การรู้ตัวอยู่อย่างนี้เป็นความรู้ที่ดีมีประโยชน์ดีกว่าไปรู้เรื่องคนอื่นสิ่งอื่นนี่พระพุทธเจ้าสอนปฐมพยาบาลโรคมีอยู่แล้วทุกคนแต่ไม่รู้จักรักษาและไม่เข้าใจว่าตนเป็นโรคจนโรคกำเริบเต็มที่แล้วจึงรู้จักว่าตนมีโรคหมดหนทางที่จะรักษาให้หายแล้ว
    เราแสวงหาปัจจัยสี่ก็เพื่อ สงเคราะห์โรคทางกายทั้งนั้น
    แท้จริงตัวคนเราแต่ละคนได้ปลูกโรงพยาบาลสองเสาพากันสงเคราะห์อยู่ตลอดเวลาและเป็นผู้อำนวยการเองด้วย ความไม่สบายเรียกว่าไข้นับแต่ปวดหัวเป็นไข้ปวดท้อง เป็นหวัดเป็นไอ แม้ที่สุดหิวโหยอยากอาหารเจ็บหนักเจ็บเบา ก็เรียกว่าเป็นไข้ ผู้อำนวยการต้องตรวจต้องรู้ด้วยตนเองทั้งนั้นแล้วก็บำบัดเยียวยาบำรุงรักษาถ่ายเทด้วยตนเองเป็นนิตย์
    เครื่องนุ่งห่มปกปิดร่างกาย ที่อยู่ที่นอนที่อาศัยที่เราแสวงหามาก็เพื่อสงเคราะห์การไข้ทั้งนั้น และสงเคราะห์ทุกวันทุกเวลาเสียด้วยโรคชนิดนี้มีอยู่ประจำโลกก่อนแต่เรายังไม่เกิดบิดามารดาปู่ย่าตาทวดของเราก็เคยได้มานอนอยู่โรงพยาบาล (โลก)นี้ก่อนแล้ว ลูกหลานของพวกเราเกิดมาก็จะมานอนโรงพยาบาลนี้อีกไม่มีที่สิ้นสุดสักที
    วิชาแพทย์เรียนไปเถิด เรียนไปเท่าไรก็ไม่รู้จักจบคนไข้ก็รักษากันไปเถิด ไม่รู้จักหมดสักทีผู้สงเคราะห์ก็สงเคราะห์เรื่อยไป ตราบใดโรงพยาบาลและคนไข้ยังมีอยู่(โลกไม่ฉิบหาย) ผู้สงเคราะห์ก็สงเคราะห์กันเรื่อยไปเจ็บหัวปวดท้องเป็นไข้ไอหวัดเป็นต้น เป็นโรคเกิดจากกาย
    โรคทางใจเป็นโรคเรื้อรังรักษาหายได้ยาก
    ส่วนโรคอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นที่ใจเมื่อเกิดขึ้นในใจของใครแล้วจะต้องป่วยถึงแก่ความตายหรือเจียนตายไม่แพ้โรคที่เกิดขึ้นที่กาย โรคที่ว่านี้ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ หรือโลภ โกรธ หลง เป็นต้น เป็นโรคเรื้อรังรักษาหายได้ยากแม้แพทย์ชั้นเยี่ยมในโลกนี้ ก็อาจมีโรคพรรณว่านี้ประจำอยู่ในตัวทุก ๆคน ไม่มากก็น้อย
    โรคราคะ
    ราคะคือ ความใคร่ ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย กระหายในอารมณ์ที่ตนใคร่จึงไม่สบาย ชื่อว่าเป็นโรคราคะต้องสงเคราะห์เพื่อให้บรรเทาเบาบางด้วยการให้ตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกดมกลิ่น ลิ้นชิมรส กายสัมผัสแตะต้องของที่น่ารักใคร่พอใจที่เรียกว่า กามคุณ ๕ เป็นการสงเคราะห์โรคราคะ
    โรคโลภะ
    โลภะ ความอยากได้ไม่มีขอบเขตอันเป็นเหตุให้จิตเดือดร้อนในความไม่อิ่มไม่พอมีมากมีน้อยก็ยังพร่องอยู่เสมอ จึงชื่อว่าเป็นโรคโลภะต้องสงเคราะห์ให้บรรเทาเบาบางด้วยการให้วัตถุสิ่งของที่โรคต้องการมีเงินทองข้าวของ เป็นต้น
    โรคโกรธ
    โกรธ ความคิดประทุษร้ายบุคคลหรือวัตถุที่ตนไม่พึงพอใจเพื่อให้บุคคลหรือวัตถุนั้นฉิบหาย เมื่อทำลายตามประสงค์แล้วโกรธก็ค่อยบรรเทาเบาบางลงฉะนั้นการผ่อนปรนจึงเป็นการสงเคราะห์โรคโกรธ
    โรคโมหะ
    โมหะ ความไม่รู้จักผิดไม่รู้จักถูก ดีหรือชั่วสิ่งที่ควรหรือไม่ควร ต้องอาศัยดวงประทีปคือปัญญา ถ้ามีการพิเคาระห์หรือพิจารณา ก็จะเป็นเครื่องบรรเทาเบาบางลงไปได้ ฉะนั้นการตรึกตรองหาเหตุผลในสิ่งนั้น ๆ ก็ดี หรือผู้ฉลาดให้คำแนะนำตักเตือนก็ดี หรือผู้ฉลาดให้คำแนะนำตักเตือนก็ดีจึงเป็นวิธีสงเคราะห์โรคโมหะอย่างหนึ่ง
    โรคทางใจ ถ้าเป็นพอประมาณ ก็ยังประโยชน์ให้เกิดได้
    โรคราคะและโรคโลภะ ถ้าหากเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์คนเราแต่พอประมาณและสงเคราะห์สมควรแต่สภาวะของตน ๆ แล้วกลายเป็นโรคก่อตัวสร้างโลกอันนี้ให้เป็นปึกแผ่นแน่นหนายังโลกอันนี้ให้เจริญถาวรไปยืนนาน
    โรคโกรธ เป็นโรคร้อนและน่ากลัวมาก หากเกิดขึ้นในจิตใจของใครแล้วถ้าพอประมาณนำไปใช้ในกิจการที่พอเหมาะพอสมก็จะยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นอย่างรุนแรงแล้วก็จะนำความฉิบหายให้ทั้งแต่ตนและบุคคลอื่น หรือส่วนรวมอย่างมากมาย
    โรคโมหะ เป็นโรคที่มืดมาก ถ่วงความเจริญก้าวหน้าทั้งแก่ตนและคนอื่น
    โรคทั้งหลายที่บรรยายมาแล้วนั้นถ้าเป็นมากจนผิดปกติธรรมดาเขาเรียกกันว่า "บ้า"ดังเราเคยได้ยินเขาพูดกันเสมอ ๆ ว่า คนนั้นบ้ากาม คนโน้นบ้าโลภคนนี้บ้าโกรธ บ้าหลง เป็นต้นตกลงว่าหากเป็นถึงขั้นเป็นบ้าแล้วหมดหวัง แก้ไขยาก
    โลกเป็นโรงพยาบาลของสัตว์ผู้ป่วยทางกายและทางใจ
    โลกทั้ง ๓ได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลของสัตว์ผู้ยังป่วยด้วยโรคทางกาย และใจสัตว์ผู้ยังป่วยอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ (โลก) หลังนี้ผู้เกิดอยู่ในครรภ์ได้ชื่อว่านอนอยู่ในห้องพิเศษ จำต้องให้หมอพิเศษ(คือมารดาบิดา) รักษาเป็นพิเศษ คลอดออกมาแล้วมานอนอยู่ในอ้อมในเปลหรืออยู่ในบ้านในเรือนได้ชื่อว่ามานอนอยู่ในห้องพักฟื้นหมอและยาก็ต้องใช้ให้พอเหมาะแก่คนไข้ที่พักฟื้น
    พระพุทธเจ้าทรงเป็นแพทย์ทางใจ
    กายเกิดจากวัตถุธาตุ มีดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้นเมื่อโรคเกิดขึ้นที่วัตถุธาตุ ซึ่งมันอาจขาดธาตุอะไรสักอย่างครั้นหมอพิสูจน์รู้สมุฎฐานความเป็นจริงแล้วก็ต้องรักษาด้วยการเพิ่มธาตุนั้น ๆ ส่วนจิตเป็นสภาวธรรมอันหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับพร้อมกับอารมณ์นั้น ๆ ซึ่งมีธาตุรู้เป็นผู้ยืนโรงจิตจะเกิดโรคชนิดใดต้องอาศัยอามรณ์เป็นเครื่องวัด
    ฉะนั้นหมอธรรมดาซึ่งไม่มีความรู้ ไม่ฉลาดในอารมณ์นั้น ๆแล้วไม่สามารถจะรักษาโรคทางใจได้พระพุทธเจ้าของเราพระองค์เป็นแพทย์ผู้วิเศษใช้ธรรมโอสถเป็นยารักษาโรคได้อย่างเด็ดขาด หายแล้วไม่กลับเกิดอีกถึงอมตะดับทุกข์ร้อนถอนอาลัยไม่กังวลเพราะพระองค์ทรงรู้แจ้งในตำแหน่งที่มาของโรคใจได้ทุกประการและวางยาวิเศษอันได้นามสมัญญาว่า "มรรค ๘หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา"ให้เหมาะกับโรคนั้น ๆ
    ยาวิเศษที่ใช้รักษาโรคทางใจ
    อนึ่ง เพื่อสะดวกแก่การรักษาโรคนั้น ๆ โดยเฉพาะท่านได้จัดยาไว้เป็นพิเศษเพื่อรักษาโรคนั้น ๆ โดยเฉพาะมีดังนี้คือ
    โรคราคะ ทำให้จิตใจน้อมเอนเอียงไปในความกำหนัดรักใคร่ไม่ว่าจะเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู เป็นต้นย่อมเห็นเป็นของน่ารักใคร่น่าพอใจทำให้เกิดความกำหนัดยินดีไปทั้งนั้น ท่านให้ใช้ยาคือ อสุภะเห็นเป็นของปฏิกูลน่าพึงเกลียดหรือเห็นเป็นเหตุก่อให้เกิดทุกข์เป็นต้น
    โรคโลภะ เมื่อความทะยานอยากได้ไม่รู้จักพอเพราะไม่เห็นคุณค่าแห่งการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่คนอื่นฉะนั้นท่านจึงสอนให้รักษาด้วย การให้ทาน เมื่อทำทานไปแล้วผู้ที่ได้รับทานจะแสดงความขอบใจและดีใจอาจทำการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตอบแทนจนเป็นที่พอใจแล้วจะเห็นคุณค่าของการทำทานอันล้ำค่า
    หรือเห็นสมบัติทั้งหลายในโลกนี้ มิใช่ของตนคนเดียวแต่เป็นของสาธารณะ เพียงเปลี่ยนมือกันใช้เท่านั้นตายแล้วทุกคนต้องทอดทิ้งไว้ในโลกนี้ด้วยกันทั้งนั้นไม่มีใครเอาติดตัวไปด้วย นอกจากบาปและบุญเท่านั้น ฯ
    โรคโกรธ คิดแต่แง่ทำลายหมายแต่โทษความผิดของผู้อื่นโดยมิได้ทบทวน คิดถึงความดีมีประโยชน์ของเขาบ้างความชั่วหรือความผิดมีนิดเดียว ก็สร้างให้มากทวีขึ้นหรือแม้ความชั่วความผิดของคนอื่นเขาไม่มีเสียเลยแต่เราไปสร้างขึ้นเองด้วยความไม่พอใจของเรา
    จึงเป็นโรคที่ร้ายแรงมากอาจสร้างนรกไว้บนสวรรค์ก็ได้เป็นการทำความเดือดร้อน ให้แก่คนอื่น โดยเฉพาะ ท่านจึงสอนให้วางยาเย็นคือ ความเมตตา ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุขจนเห็นโทษในการทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น
    ทุกคนเกิดมามีกิเลสประจำตัวอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อยและทุกคนก็เกลียดทุกข์ ปรารถนาสุขด้วยกันทั้งนั้นจึงประกอบแต่สิ่งที่เห็นว่าดี ถูกต้อง อันจะนำความสุขมาให้แต่เพราะกิเลสยังมีประจำใจอยู่ จึงอาจมีผิดบ้างบางกรณี
    ฉะนั้น หากจะโกรธใครคนอื่น จงคิดถึงเจตนาของเขาหรือประมวลความผิด ความชั่วของเขา เท่าที่เราจะประมวลได้แล้วเอามาลบความดีของเขา เท่าที่เราจะประมวลได้ เหมือนกันถ้าหากความดีของเขายังเหลือ เป็นอันใช้ได้ อย่าพึงโกรธเขาก่อนเลยแล้วก็อย่าลืม เอาความผิด หรือความชั่วของเรา มาลบความดีของเราอีกด้วยว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างไร
    โรคโมหะความคิดผิด เห็นผิด เป็นเหตุให้กระทำผิดพูดผิดจากความจริง โดยเห็นผิดเป็นถูก เห็นดีเป็นชั่ว เป็นต้นอันเป็นเหตุให้กิจการนั้น ๆ ไม่สำเร็จลุล่วงไปได้เท่าที่ควรเหมือนกับปลาติดอวนหรือนกติดข่ายมีแต่จะนำความฉิบหายมาให้แก่ตนส่วนเดียว ต้องรักษาด้วยยาคือ สุตตะหมั่นได้ยินได้ฟัง และไต่ถามตริตรองบ่อย ๆ
    นอกจากยาแต่ละขนานที่ท่านจัดไว้สำหรับบำบัดโรคแต่ละประเภทดังกล่าวมาแล้วท่านยังได้ให้ยาเพื่อบำบัดโรคนานาชนิดและโรคที่อาจแทรกแซงมากอย่างอันได้แก่ พระกัมมัฏฐาน ๔๐ (ดังมีพิสดารอยู่แล้วในที่นั้น ๆ )
    คนที่เป็นโรคใจที่รักษาไม่หาย เพราะเคยชินกับโรคนั้นแล้ว
    ใจเป็นนามธรรม โรคที่เกิดขึ้นก็เป็นนามธรรมฉะนั้นพระพุทธเจ้า ทรงฉลาดในนามธรรม อย่างเยี่ยม จึงรู้จักและจัดยาคือธรรมโอสถ อันเป็นนามธรรมไว้รักษาให้ถูกต้องและหายได้เด็ดขาดหายแล้วกลับไม่ได้มาเกิดอีกต่อไป พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านหายจากโรคทางใจ ด้วยยาวิเศษดังกล่าวมาแล้ว
    ท่านมองดูพวกเรา ผู้กำลังมีโรคกำเริบอยู่ ด้วยความเมตตากรุณาจึงได้ประทานยา และตำรารักษาไว้ให้พวกเราเพื่อจะได้นำมาใช้ต่อไปแต่นั่นแหละคนเคยเป็นโรคเรื้อรังมาแต่เกิด จะตายก็ไม่ตายจะหายก็ไม่หาย ชีวิตของเขาเคยชินกับโรคชนิดนั้นเสียแล้ว
    พุทธภาษิตที่ว่า "อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ฯ เขาจะไม่รู้เสียเลยเพราะความไม่มีโรคเขาไม่เคยเห็นไม่เคยได้เขาเคยได้เคยเห็นแต่ ความมีโรคตลอดกาลฉะนั้นจึงยากที่จะให้เขาเหล่านั้นรักษาโรคดังกล่าวให้หายได้หรือถ้าโรคนั้นหายจากกายจากใจเขาแล้ว เขาอาจอยู่ไม่สุขก็ได้
    บุคคลผู้มีโรคราคะแสดงออกมาภายนอกด้วยการขับร้องเพลิดเพลินคนผู้มีโรคชนิดเดียวกันได้ฟังแล้วชอบใจบางคนเลยถือเอาการของโรคนั้นเป็นอาชีพไปก็มีแต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอาการร้องไห้ของผู้เป็นโรคราคะเมื่อมันแสดงพิษออกมาด้วยการฟ้อนรำ ยักคิ้ว ยักไหล่ ยกเท้า ยกมือทิ้งท้าย ทิ้งหัว ทำอย่างบุคคลผู้ผีเข้าเจ้าสิงพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอาการของคนบ้า
    แต่มีโรคชนิดเดียวกันผู้เห็นเข้าแล้วเป็นเรื่องน่าสนุกหัวเราะกันใหญ่ บางทีถึงกับยอมสละเงินทองจ้างดูการหัวเราะซึ่งเป็นอาการหนึ่งของการแสดงออกมาของโรคราคะพระพุทธเจ้าตรัสอาการนั้นว่า เหมือนกับอาการของทารก
    รักษาโรคใจได้จึงมีลาภอย่างยิ่งในความไม่มีโรค
    ตกลงว่ามนุษย์สัตว์ในโลกนี้ เกิดมาเป็นผู้ป่วยด้วยกันทุก ๆ คนเป็นไข้โรคเกิดแต่กายแต่ใจทั้งนั้น และทุก ๆ คนเกิดมาได้ชื่อว่าพากันมาพยาบาลรักษาไข้ของตนๆ ผู้รักษาโรคใจยังไม่หายตายไปเหมือนกลับบ้านเก่า แล้วเกิดมาใหม่เหมือนกลับมานอนโรงพยาบาลอีกเป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่ตลอดกัปตลอดกัลป์
    ท่านผู้ที่หายจากโรคอันเกิดจากใจได้แก่ ผู้สิ้นกิเลสแล้วถึงแม้โรคในกายของท่านจะยังปรากฏอยู่ ก็เป็นแต่อาการความรู้สึกหาได้ทำใจของท่านให้กำเริบไม่ เพราะโรคใจของท่านไม่มีแล้วสมุฏฐานคืออุปทานของท่านได้ถอนหมดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงมีความสุขและได้ลาภอย่างยิ่งในความไม่มีโรค
    ขันธ์ ๕ เป็นภาระอย่างยิ่ง
    สังขารมี ๒ คือ รูปสังขาร ได้ได้แก่กายอันกอร์ปด้วยธาตุสี่ ดินน้ำ ไฟ ลม ๑ สังขารนาม ได้แก่ ความคิดปรุงแต่งอาการของจิต ๑ สังขารทั้ง ๒ นี้เป็นที่ตั้งของโรคดังกล่าวแล้ว ถ้ากายไม่มีความเจ็บไข้ปวดหัวเจ็บท้องเป็นต้น ก็ไม่มีเย็นร้อน และสัมผัสต่าง ๆต้องมากระทบที่กายนี้ทั้งนั้น
    เมื่อกายนี้เกิดมาแล้วถ้ายังพยาบาลเลี้ยงตัวเองไม่ได้ต้องอาศัยผู้อื่นเมื่อเติบโตมาแล้วต้องเป็นผู้อำนวยการเองแล้วยังรับภาระเป็นผู้อำนวยการเลี้ยงดูสนองคนอื่นอีกต่อไปวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ จึงสมกับพุทธภาษิตว่า"ภารา หเว ปญฺจกุขนฺธา" ปัญจขันธ์เป็นภาระจริง ๆ
    สังขารเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ เมื่อระงับสังขารได้ย่อมอยู่เป็นสุข
    ส่วนสังขารนาม คือ ความคิดปรุงแต่งอันสืบเนื่องมาจากอายตนะทั้ง ๖มีตาเป็นต้น เมื่อสัมผัสกับรูปเข้าแล้วทำให้คิดปรุงแต่งไปในอารมณ์ทั้งที่ชอบและไม่ชอบถ้าอารมณ์ที่ชอบก็เกิดความเพลิดเพลิน เป็นโรคราคะถ้าปรุงแต่งไปในอารมณ์ที่ไม่ชอบก็เกิดความโทมนัส เป็นทุกข์กลุ้มใจให้เกิดโรคโทสะ สังขารทั้งสองนี้เป็นบ่อเกิดเป็นที่ตั้งของทุกข์ทั้งปวง
    สมกับพุทธภาษิตว่า "สงฺขารา ปรมา ทุกขา" สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่งทุกข์อื่นใดในโลกนี้จะทุกข์แสนทุกข์สักเท่าไร ก็ไม่พ้นไปจากสังขารต้องมารวมลงที่สังขารนี้แห่งเดียว จึงได้ชื่อว่าเป็นทุกข์ยิ่งถ้าหาสังขารไม่ได้แล้ว ทุกข์จะมีมาแต่ไหนฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เตสํ วูปสโม สุโข" เมื่อสังขารเหล่านั้นระงับหมดแล้วย่อมอยู่เป็นสุข ดังนี้
    ธรรมโอสถ คือการพิจารณาสังขาร ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านเป็นโรคทางจิตท่านก็มารักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ (คือโลกนี้) และเป็นผู้อำนวยการในโรงพยาบาล (คือตัวของท่าน) เองใช้พุทธตำราและยาธรรมโอสถด้วยการเพ่งพิจารณาสังขารทั้งสองนั้นให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา
    ดังพระสงฆ์ท่านบังสุกุล หรือชักอนิจจาศพว่า "อนิจฺจา วตฺตสงฺขารา อุปาทวย ธมฺมิโน" เป็นต้นซึ่งมีใจความว่าสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วเป็นธรรมอธิบายว่าสังขารรูปเกิดขึ้นมาก็เป็นธรรมสังขารนามเกิดขึ้นมาก็เป็นธรรม เพราะมันเกิดเองเป็นเองตามเหตุปัจจัยของมันต่างหากเราจะบังคับให้มันเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามชอบใจของเราไม่ได้เช่นให้เราเกิดมามีรูปสวย ๆ รวยทรัพย์มาก ๆ ดังนี้เป็นต้นไม่ได้
    เหตุปัจจัยมันได้ทำไว้อย่างไรมันก็เกิดเป็นขึ้นมาด้วยพลังของเหตุปัจจัยนั้น ๆ และเหตุปัจจัยนั้นก็ดี ความเกิดขึ้นของสังขารเหล่านั้นก็ดี มันก็เป็นธรรม ด้วยเหตุผลของมันเอง อยู่แล้ว
    บทต่อไปว่า "อุปชิตฺวา นิรุชฺชนฺติ" เมื่อสังขารทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ฯ ก็เป็นธรรมอีกเพราะธรรมดามันต้องเป็นไปอย่างนั้นสังขารรูปเกิดมาไว้สำหรับรับรองสรรพโรคทั้งปวงอันจะพึงเกิดขึ้นที่รูปก็เป็นหน้าที่ของรูป สังขารนามผู้อยู่อาศัยในรูป มีหน้าที่จะต้องรับรู้ และอำนวยการให้เขาพยาบาลกันเอง ก็บัญชาไปตามหน้าที่ จะหายหรือตาย ก็เป็นการศึกษาไปในตัว
    เมื่อจิตไม่เข้าไปยึดถือเอาเป็นตนเป็นของ ๆ ตนแล้วจิตก็จะไม่เป็นทุกข์ กายจะเจ็บจะไข้ แม้จะแตกดับไปมันก็เป็นตามสภาพของกาย ซึ่งจำจะต้องเป็นไปอย่างนั้น
    รักษาโรคใจได้จึงไม่ต้องกลับมานอนโรงพยาบาลในโลกอีก
    ส่วนนามสังขารเมื่อมาอาศัยรูปนี้อยู่ก็ต้องทำงานตามหน้าที่ของผู้อาศัยคนอื่นเช่นรับรู้สัมผัสในอายตนะ ๖ สั่งการในหน้าที่นั้น ๆ เป็นต้นพร้อมกันนั้น เมื่อใจยังไม่บริสุทธิ์พอ โรคทั้งหลายมีราคะ โทสะ โมหะเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้น โรคเหล่านี้ จิตจะต้องเป็นผู้อำนวยการเอง รักษาเอง ด้วยธรรมโอสถ เท่านั้น ยาอื่นไม่มีหวังหาย นามสังขารเป็นของไม่มีรูปร่าง จึงต้องวางยาธรรมโอสถ อันเป็น นามธรรม เช่นเดียวกัน ด้วยการยกโรคเหล่านั้นมาพิจารณาให้เห็นมูลฐานที่เกิดเช่น ราคะเกิดจากรูป เพราะความเข้าไปยึดเอาว่าเป็นของสวยงาม น่ารักน่าใคร่ เป็นต้น แล้วตั้งอยู่บนความปรุงแต่งในรูปนั้นและสลายดับไปเพราะมาพิจารณาเห็นสภาพตามเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ ดังนี้เป็นต้นจึงจะหายได้เด็ดขาด และเมื่อหายแล้ว ไม่ต้องกลับมานอนโรงพยาบาลใด ๆอีกต่อไปในโลกนี้
    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง
    ฉะนั้น พวกเราทุกคน เมื่อมารู้สึกตัวว่าตัวของเรายังเป็นคนไข้เพราะโรคเกิดขึ้นที่กายและใจอยู่แล้วพึงเห็นโทษแห่งโรคนั้น ๆแล้วพากันเยียวยารักษาด้วยการรักษาดังแสดงมาแล้วก็จะเป็นผู้หายจากโรค เป็นลาภอย่างยิ่งในชีวิตนี้สมกับพุทธภาษิตว่า
    "อโรคยา ปรมา ลาภา"
    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ฯ ดังนี้
    การสงเคราะห์ดังแสดงมานี้ เป็นการสงเคราะห์ที่ถูกต้องแน่นอนและได้ผลสมดังเจตนาของทุก ๆ คนเมื่อพากันเข้าใจวิธีสงเคราะห์ดังนี้แล้ว จะอยู่บ้าน อยู่วัด อยู่ป่าก็พากันสงเคราะห์ได้ไม่เลือก เพื่อความหมายเสียจากโรคภัยพิบัติอุปัทวะทั้งปวง ล่วงถึงซึ่งความสุขเกษมศานต์
    [​IMG]
    มีผู้ถามหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีว่า : ผมมีโรคประจำตัวปรากฏอาการเป็นครั้งคราว เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา ปรากฏอาการในสมองคล้ายมีอะไรมาดัน เจ็บมากที่ศีรษะ ตรวจแล้วไม่ใช่เนื้องอก ไม่พบพยาธิสภาพในสมอง ผมไปรักษาตัวที่ลอนดอน แพทย์ฉีดยาให้ อาการของโรคหายไปถึงห้าปีหลังจากนั้นปรากฏอาการเป็นครั้งคราว เป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตอนนี้หายมา ๔ วันแล้ว อีกหน่อยคงเป็นอีกไม่อยากไปผ่าตัด ไม่อยากฉีดยาด้วย พยายามที่จะหัดภาวนาอยากทราบว่าจะมีวิธีแก้หรือเปล่าครับ
    หลวงปู่เทสก์ : มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าหากใจของเราสงบ มีพลังเพียงพอ สามารถที่จะปล่อยวาง ไม่ยอมเข้าไปยึดในเรื่องความเจ็บปวดนั้นได้ คือ ยอมสละคล้ายว่าทิ้งเลย เป็นของน่าเบื่อหน่าย เป็นทุกข์มานาน ทิ้งเลย ยอมสละในปัจจุบัน เมื่อจิตมีพลังเต็มที่หายได้เด็ดขาด
    ผู้ถาม : แนวของการปฏิบัติที่จะปล่อยวางมีอะไรบ้างครับ
    หลวงปู่ : วิธีที่จะปล่อยวางมีสองอย่างโดยเฉพาะเรื่องการต่อสู้เวทนา มันปวดตรงไหน มันเจ็บตรงไหนเวทนาเกิดขึ้นตรงไหน กำหนดเอาใจไปไว้ตรงนั้น จดจ้องเฉพาะตรงนั้น รู้อยู่สิ่งเดียว ไม่ต้องให้มันแส่ส่ายไปที่อื่น พอจิตแน่วแน่ จ้องมองเฉพาะความเจ็บอยู่อย่างนั้น เพ่งพิจารณาถึงเรื่องความเจ็บอันนั้น บางครั้งบางคราว เมื่อจิตรวมสงบได้ อาจจะแตกกระจายหายวับไปได้ก็มี บางทีเมื่อเราเอาจิตเข้าไปถึงตรงนั้น ไปจ้องอยู่ตรงนั้น รวมวูบลงไปหายเลยก็มี หรือมิฉะนั้นเราทอดธุระอย่างที่อธิบายมาให้ฟังแล้ว อันนี้เป็นก้อนทุกข์ทรมานมานานแล้ว คราวนี้อะไรก็ทิ้งเลยเราจะกำหนดเอาใจผู้เดียว ใจผู้ที่ไปเห็นมันทุกข์ รู้สึกว่ามันทุกข์จับเอาเฉพาะความรู้สึก ไม่ต้องไปทำความรู้สึกกับผู้ทุกข์จับความรู้สึกผู้ที่ไปจ้องอยู่อันเดียวพอจิตอันนี้มีพลังหายได้เหมือนกัน
    ผู้ถาม : เมื่อเรารู้สึกเจ็บความเจ็บมันอยู่ที่สมองหรืออยู่ในใจหลวงปู่: มันพูดยาก ต่อเมื่อสงบใจจนกระทั่งมันวางหมดเสียก่อนแล้วมีใจเหลืออยู่อันหนึ่ง จึงจะรู้ว่าใจกับสมองนั้นคนละเรื่องกันเดี๋ยวนี้มันยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่ มันยังแยกกันไม่ทันออกจะพูดอันนี้มันก็ไปถูกอันนั้น จะพูดอันนั้นมันก็มาถูกอันนี้พูดถึงใจไปถูกเซลล์ จะพูดถึงเซลล์ไปถูกใจ พูดเจ็บก็ไปถูกใจพูดใจก็ไปถูกเจ็บ เมื่อใจมันวางหมดความเจ็บก็ไม่มีมันเหลืออันหนึ่งของมันต่างหาก มันไม่ปรากฏจึงค่อยไปรู้ว่าใจกับสมองมันแยกคนละอันแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่มันทำงานร่วมกัน
    ?ǒ???⃤໧?Œ?¨ҧ”觠˅ǧ?٨්?즬t;/a>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  14. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    อืม...เห็นด้วยครับ เห็นเนื้อหาแล้วจัดมากๆครับ ตกตะลึงพึงเพิดแทบกลั้นอาการไม่อยู่ ... ทราบมาว่ามี 2 หน้าด้วย ไม่รู้เท็จจริงแค่ไหน เพราะเห็นมีมอบให้ผู้ร่วมบริจาคทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯด้วย ..

    การร่วมทำบุญ .. คุณแหน่งบอกจะนำเงินไปร่วมทำบุญที่งานเลย ผมก็ว่าเข้าท่าดีครับ เพราะจะได้ร่วมกล่าวคำถวายปัจจัยร่วมกัน เป็นว่าหากผมสะดวกที่จะเข้าไปร่วมงานทอดผ้าป่า ผมขอไปถวายหน้างาน โดยผ่านท่านเลขาฯ+เหรัญญิก เลยจะเห็นชอบหรือไม่ ขอบคุณครับ...
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระสมเด็จ กลักไม้ขีด รุ่นที่มีสองหน้า ไม่ใช่รุ่นที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านเมตตาบอกพี่ใหญ่ว่า "เก็บไว้น๊ะลูก" ซึ่งเป็นรุ่นแรก ครับ

    ส่วนรุ่นสอง เป็นรุ่นที่พี่ใหญ่บอกผมว่า ทั้งเนื้อหา และพลังอิทธิคุณ ใกล้เคียงกับรุ่นแรกมาก

    และพระสมเด็จ กลักไม้ขีด ทั้งรุ่นแรก และรุ่นสอง ส่วนใหญ่อยู่กับคณะพระวังหน้าครับ

    ส่วนเงินร่วมทำบุญ หากไปในงานผ้าป่าได้ ผมอยากให้นำเงินใส่ซองและถวายเองครับ

    สำคัญที่สุด ผมต้องการให้ท่านผู้ร่วมทำบุญทุกๆท่าน ได้ทำสองเรื่องคือ

    1.อยากให้ทำบุญการทอดผ้าป่านี้ทุกวัน โดยหากล่องมา 1 กล่อง นำเงินทำบุญใส่กล่องนี้ทุกวัน(วันละเท่าไหร่ก็ได้) เมื่อทำบุญแล้วให้สวดคาถาเสริมทรัพย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และเมื่อทำบุญแล้วให้ขอเชิญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหรือ พระอรหันต์ และหรือพระโพธิสัตว์ และหรือเทพเทวาองค์ไหนก็ได้ที่เราเคารพนับถือ ให้มาโมทนาในบุญที่เราได้ทำ แล้วเราก็กรวดน้ำ

    2.ให้นำเงินที่เราทำบุญ(ทุกวัน) ถวายในกองผ้าป่าเอง

    ส่วนบทกรวดน้ำที่ผมใช้ ตามนี้

    การกรวดน้ำ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วันนี้ข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ ...................................<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขออาราธนาพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,คุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้ คุณบิดา มารดา และทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระบารมีพระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ ,พระบารมีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช,พระบารมีสมเด็จพระเอกาทศรถ,พระบารมีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบารมีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบารมีกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,พระบารมีกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,พระบารมีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระบารมีพระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ ,เจ้าของ,ผู้สร้างและกายทิพย์ที่ดูแลพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ทุกท่าน, เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่มนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ

    อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ ...............<O:p</O:p

    ขอน้อมถวายบุญกุศลแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,คุณพระศรีรัตนตรัย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ขอถวายบุญกุศลแด่คุณบิดา มารดา ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ ,เจ้าของ,ผู้สร้างและกายทิพย์ที่ดูแลพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช
    <O:p</O:p

    ขอถวายบุญกุศลแด่พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำ และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา
    <O:p</O:p

    ขออุทิศส่วนบุญกุศล ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป <O:p</O:p

    ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย ,ถวายและอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ

    ด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย ,ถวายและอุทิศนี้ น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,ถวายทุกๆองค์ ,อุทิศให้ทุกๆท่าน ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ....(แล้วแต่เราจะอธิษฐาน)........
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ<O:p</O:p

    หากท่านใดจะนำไปใช้ หรือนำไปดัดแปลง ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาเล่าให้ฟัง เรื่องแปลก

    มีท่านที่นับถือท่านอาจารย์ประถม ได้ไปต่างจังหวัด(ขอสงวนสิทธิ์ที่จะแจ้งจังหวัดบนบอร์ด แต่ผมจะเล่าให้ฟังในวันประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้าหรือวันงานทอดผ้าป่า) ไปเจอฤาษี ได้พูดคุยกันหลายๆเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่ง ฤาษีตนนี้ได้บอกกับท่านนี้ว่า รู้จักท่านอาจารย์ประถม รู้จักพี่ใหญ่ รู้จักผม รู้จักคณะพระวังหน้า รู้ว่าตอนนี้ทำอะไร อย่างไร ทั้งๆที่ท่านอาจารย์ประถม ,พี่ใหญ่ ,ผม และคณะพระวังหน้า ไม่เคยรู้จักฤาษีตนนี้มาก่อนเลย

    ผมเองเคยเล่าแล้วในกระทู้พระว้งหน้านี้ รายละเอียดลองไปหาอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯนี้นะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    พระสมเด็จ กลักไม้ขีด รุ่นที่มีสองหน้า ไม่ใช่รุ่นที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านเมตตาบอกพี่ใหญ่ว่า "เก็บไว้น๊ะลูก" ซึ่งเป็นรุ่นแรก ครับ

    ส่วนรุ่นสอง เป็นรุ่นที่พี่ใหญ่บอกผมว่า ทั้งเนื้อหา และพลังอิทธิคุณ ใกล้เคียงกับรุ่นแรกมาก

    และพระสมเด็จ กลักไม้ขีด ทั้งรุ่นแรก และรุ่นสอง ส่วนใหญ่อยู่กับคณะพระวังหน้าครับ



    แล้วดีมั้ยแรงมั้ยครับรุ่นใดดีกว่า หรือเหมือนกันครับ แล้วตำหนิพิมพ์ทรงเนื้อหาต่างกันมั้ยครับ แล้วไม่มีตำหนินี่ ม่ายช่ายเลยรึปล่าวครับ หุ หุ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้าว คุณnongnooo บอกผมเองไม่ใช่หรือว่า ดีหว่ะคุณหนุ่ม พลังอิทธิคุณแรงดี

    ส่วนตำหนิ ไว้ค่อยมาศึกษากันสำหรับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า เนื่องจากว่า ผมจะขอยืมพระสมเด็จ กลักไม้ขีด จากคุณเพชรและคุณnongnooo มาให้ศึกษากัน อิอิ

    เรียนคุณเพชร และคุณnongnooo ครับ ผมขอยืมพระสมเด็จ กลักไม้ขีด มาเพื่อเป็นกรณีศึกษาด้วยนะครับ

    กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
    sithiphong

    .
     
  19. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    รอฟังผู้รู้ช่วยอธิบายให้ฟังเป็นวิทยาทาน เหมือนกันครับ

    แล้ววันที่ชมรมรักษ์พระวังหน้าประชุมล่าสุดนั้น

    พระที่คุณหนุ่มมาให้ศึกษา เป็นรุ่นหนึ่งหรือรุ่นสองครับ


    ขอบคุณมากครับ
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากมีเม็ดแร่อยู่ เข้าใจว่าน่าจะเป็นพระนาคปรกของนาดูนนะองค์นี้...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC03016.JPG
      DSC03016.JPG
      ขนาดไฟล์:
      47.4 KB
      เปิดดู:
      31

แชร์หน้านี้

Loading...