การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 19 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอถามหน่อยนะครับ ว่า...

    เมื่อท่านได้อ่านข้อความข้างบนนี้แล้ว..
    ท่านนึกอะไรออกเกี่ยวกับภาพที่เห็นอยู่ข้างล่างนี้หรือเปล่าครับ..

    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    .......................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • relic-1.jpeg
      relic-1.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      10.4 KB
      เปิดดู:
      2,555
    • relic-2.jpeg
      relic-2.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      1,747
    • relic-3.jpeg
      relic-3.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      20.6 KB
      เปิดดู:
      1,741
    • relic-4.jpeg
      relic-4.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      17 KB
      เปิดดู:
      1,732
    • relic-5.jpeg
      relic-5.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      23.9 KB
      เปิดดู:
      1,744
    • relic-6.jpeg
      relic-6.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      18.7 KB
      เปิดดู:
      1,730
    • relic-7.jpeg
      relic-7.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      45.6 KB
      เปิดดู:
      2,551
    • relic-8.jpeg
      relic-8.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      6.4 KB
      เปิดดู:
      2,556
    • relic-9.jpeg
      relic-9.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      14.5 KB
      เปิดดู:
      2,539
    • coil-1.JPG
      coil-1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      146.1 KB
      เปิดดู:
      1,814
    • Laungpootep.JPG
      Laungpootep.JPG
      ขนาดไฟล์:
      153.2 KB
      เปิดดู:
      1,833
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความบางส่วนจากหนังสือชื่อ
    สาส์นถึงมนุษยชาติ (The Message to Mankind)<o></o>
    <o></o>
    โดย: BORUP'S SPIRITUAL SCHOOL (1-9)
    <o></o>

    จิตวิญญาณและฟิสิกซ์ (SPIRIT AND PHYSICS)<o></o>



    เราได้บอกพวกท่านไปแล้วว่า เราจะชำระโลก และชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งถูกมนุษย์โลกยัดเยียดมลภาวะและมลทินต่างๆใส่เข้าไป
    และเราก็ได้อธิบายไปแล้วว่า มันมีความจำเป็นต้องอพยพชาวโลกออกไปจากโลกก่อนในช่วงที่มีกระบวนการชำระโลกนั้น
    แต่เราจะไม่เพียงแค่ชำระเอากัมมันตภาพรังษีออกไปจากโลกเท่านั้น
    <o></o>
    เราได้อธิบายให้พวกท่านฟังแล้วว่าพลังแห่งความคิดนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก มันเป็นอะไรที่พวกท่านจะต้องพึงระมัดระวังให้ดี

    เราได้บอกพวกท่านไปแล้วว่า “คำพูด” และ “ความคิด” ทั้งหลายนั้นมันมีชีวิต เพราะมันจะมีกระแสพลังมากมาย
    ออกมาจากความคิดและคำพูดเหล่านั้น และจริงๆแล้ว มันเป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง<o></o>

    [​IMG]
    (petronela057)
    <o></o>
    จิตสำนึกของมนุษย์ที่แสดงออกมาทุกวันนี้ ในรูปของกระแสความคิดที่มนุษย์แผ่กระจายออกมารอบๆตัวเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    ได้ส่งผลกระทบต่อโลกจนเข้าขั้นอันตรายแล้ว โลกจะได้รับผลกระทบจากทุกๆสิ่งที่มนุษย์โลกแผ่กระจายออกมารอบๆตัวเอง

    เราได้อธิบายแล้วว่าสนามแรงขนาดจิ๋วทั้งหลายที่อยู่ภายในอะตอม มีความไวเป็นอย่างมาก และเราก็ได้บอกพวกท่านไปแล้วว่า
    สนามแรงเหล่านี้พวกมันสามารถรับและเก็บแรงกระตุ้นจากกระแสความคิดได้ เพราะว่ากระแสความคิดเองมันก็คือ
    “สนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า” ชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน
    <o></o>
    มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์อยู่ โดยที่ตัวมนุษย์เองไม่ได้ตระหนักรู้เลย และกระแสความคิดทั้งหมดที่มนุษย์
    แผ่ออกมารอบๆตัวเอง ได้ถูกดูดซับและเก็บบันทึกไว้โดยสิ่งต่างๆที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น รวมถึงสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวมนุษย์ด้วย
    <o></o>
    ดังนั้น เราจึงจะต้องทำให้โลกเอียง (Tilt the Earth) เพื่อที่จะกำจัดทุกๆสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยกระแสความคิดของมนุษย์ออกไป
    ให้หมดสิ้น และรวมถึงเพื่อกำจัดทุกๆสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากจิตสำนึกในด้านลบของมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว ออกไปให้หมดอีกด้วย

    มิเช่นนั้นแล้ว เวลาที่พวกท่านกลับลงมายังโลกอีกครั้งหนึ่ง หลังจากกระบวนการชำระโลกเสร็จสิ้นลงแล้ว
    พวกท่านอาจจะยังต้องกลับมาเจอกับอิทธิพลเดิมๆ ที่จะถ่ายทอดกลับไปสู่พวกท่านอีกครั้ง แล้วพวกท่านก็จะเก็บบันทึกมันไว้
    ในจิตสำนึกอีก แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
    <o></o>
    เพราะฉะนั้น กระบวนการชำระโลกโดยการทำให้โลกเอียงในครั้งนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่เพื่อชำระชั้นบรรยากาศเท่านั้น
    แต่มันจะเป็นการชำระพื้นผิวโลกใหม่ทั้งหมด
    <o></o>
    ตรงไหนที่ตอนนี้ยังเป็นแผ่นดินอยู่ มันจะกลายเป็นมหาสมุทร ตรงไหนที่เคยเป็นมหาสมุทร มันจะกลายเป็นแผ่นดิน หรืออะไรประมาณนั้น

    ยังไม่เคยมีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจึงมีความจำเป็น แต่เราขอบอกกับพวกท่านว่า มันจำเป็นต้องทำ
    และขอบอกอีกครั้งหนึ่งว่า มันคือกฎของพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเราต้องปฏิบัติตามทุกๆกระเบียดนิ้ว และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของ
    "การชำระกรรม”(Karmic cleansing) ด้วย

    มีอีกอย่างที่เราจำเป็นต้องบอก เพื่อให้พวกท่านเข้าใจเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและบทสรุปของมัน
    เราได้กล่าวไปแล้วว่ามันจะมีการคัดแยกเกรดของมนุษย์ตามความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ การคัดแยกเกรดนี้จะพิจารณาแต่เพียง
    ด้านจิตวิญญาณล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้และประสบการณ์ที่มนุษย์คนไหนๆมีแม้แต่น้อย ดังนั้น มันจะเป็นไปด้วยดี
    และจะเกิดขึ้นเป็นพันๆครั้ง
    <o></o>
    คนป่วย คนพิการ และผู้ที่เป็นโรคทางกรรมพันธุ์จะถูกนำขึ้นไปรักษาให้หายเป็นปกติอย่างสมบูรณ์แบบบนยานอวกาศ

    ซึ่งในระดับมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกท่าน อาจจะสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่เดี่ยวขอให้เราได้อธิบายให้ฟังก่อน
    <o></o>
    มนุษย์ที่พิการแขน-ขา หรือเกิดมาไม่สมประกอบจะถูกถูกรักษาให้มีอวัยวะครบทุกส่วนเป็นปกติ
    เราได้อธิบายไปแล้วว่า นี่เป็นผลต่อเนื่องของการ “ชำระกรรม”(Karmic Cleansing) ของโลก
    ดังนั้น มันจึงเป็นไปได้เพราะความกรุณาปราณี (ของพระผู้เป็นเจ้า? – Chayutt)


    (ยังมีต่อครับ)<o></o>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความบางส่วนจากหนังสือชื่อ
    สาส์นถึงมนุษยชาติ (The Message to Mankind)<o></o>
    <o></o>
    โดย: BORUP'S SPIRITUAL SCHOOL (1-9)
    <o></o>

    จิตวิญญาณและฟิสิกซ์ (SPIRIT AND PHYSICS)(ต่อ)<o></o>
    <o></o>


    เราขอให้พวกท่านคิดตามเราอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความสามารถของพวกเราแล้วไม่มีอะไรที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบหมด
    และความรู้ของพวกเราเกี่ยวกับสสารก็สมบูรณ์แบบด้วย
    <o></o>
    เมื่อตอนที่มนุษย์เริ่มเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา กระบวนทางเคมีและทางไฟฟ้าก็จะเกิดขึ้น และเราขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
    มันยังเป็นเพียงกระบวนการผลักดันทางเคมีและทางไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งกำลังเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างอยู่
    และเพราะด้วยอาศัยกระบวนการเหล่านี้ตัวอ่อนของมนุษย์ก็จะพัฒนาไปเป็นทารกที่สมบูรณ์
    <o></o>
    และเราได้บอกพวกท่านไปแล้วว่า ในช่วงนี้ตัวอ่อนนี้ยังจะไม่มี “วิญญาณ” เข้าไปถือครองร่างนั้น
    จนกว่าจะถึงเวลาคลอดแล้วเท่านั้น วิญญาณจึงจะเข้าไปได้
    <o></o>
    พวกท่านอาจจะถามต่อว่า แต่ทำไมทารกในครรภ์ถึงแสดงออกถึงความมีชีวิตได้หละ?

    ซึ่งเรื่องนี้เราก็ได้อธิบายไปแล้วว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น มันเกิดจากจิตสำนึกของผู้เป็นมารดาเอง ที่ควบคุมตัวอ่อนอยู่
    และทำให้ตัวอ่อนพัฒนาขึ้นได้
    <o></o>
    เราได้กล่าวแล้วว่า พวกท่านคิดและเข้าใจเกี่ยวกับ “ช่วงขณะแห่งการก่อกำเนิด” ไปแบบหนึ่ง
    แต่พวกเราคิดและเข้าใจแตกต่างออกไป
    <o></o>
    ในช่วงขณะที่สตรีเริ่มตั้งครรภ์ “วิญญาณ” ดวงหนึ่งหรือจิตสำนึกอันหนึ่ง ก็จะเข้าคิวรอเพื่อลงมาเกิด และเตรียมพร้อมที่จะเข้าร่าง
    เมื่อช่วงขณะแห่งการก่อกำเนิดมาถึง (ตอนคลอด) ซึ่งวิญญาณดวงนั้นก็จะรออยู่ในสภาวะเดิมที่มันเป็นอยู่ตอนนั้นนั่นแหละ
    <o></o>
    เมื่อพวกท่านเข้าใจอย่างนี้แล้ว พวกท่านก็คงจะเข้าใจความหมายของคำว่า “การตั้งครรภ์ศักดิ์สิทธิ์”
    (Conceived by the Holy Spirit) ด้วยว่า มันหมายความว่าอย่างไร ง่ายๆ นั่นก็คือตั้งครรภ์โดยจิตวิญญาณของเราเอง
    <o></o>
    และจากนั้น พวกท่านจะเข้าใจคำตอบของเราด้วยว่า การทำแท้งไม่ได้เป็นการทำความผิดเพราะฆ่าคนตายแต่อย่างใด
    เพราะไม่มีอะไรที่ถูกฆ่า เพียงแต่เป็นการไปขัดขวางการมาเกิดของวิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น
    ซึ่งนั่นแหละเป็นการฝ่าฝืนกฎของพระผู้เป็นเจ้า

    (ตรงนี้ถ้าใครจะเอาไปเผยแพร่ต่อ ก็พิจารณาดูให้ดีก่อนนะครับ
    และถ้าใครมีข้อมูลว่าทางพุทธเรา กล่าวถึงเรื่องการจุติของวิญญาณในครรภ์ ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน
    ก็ช่วยเอามาโพสต์ให้ท่านอื่นๆได้รู้ด้วยนะครับ เอาแบบเนื้อๆนะครับ ขออ้างอิงด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้านะครับ - chayutt)
    <o></o>
    พวกเรามีความรู้ที่ละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวกับทารกในครรภ์และการพัฒนาของมันเป็นอย่างดี
    และเพราะด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงสามารถฟื้นฟูมนุษย์คนหนึ่งให้กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ได้ พวกเราสามารถทำได้โดย
    ทำให้กระบวนการในการสร้างแขนหรือขาของมนุษย์ผู้นั้นเริ่มต้นขึ้นใหม่ได้ ซึ่งอาจใช้วิธีกระตุ้นด้วยกระบวนการทางเคมีและกระแสไฟฟ้า

    และเราสามารถเปิดเผยได้ว่าพวกเราก็มีเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อการนั้นด้วย แม้แต่พวกท่านเองก็ยังมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
    ในโรงพยาบาลของพวกท่านได้เลย พวกเราเองก็มีของพวกเราเองด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่ามันพัฒนาไปไกลกว่าของพวกท่าน
    มากเท่านั้นเอง และนักเคมีของพวกเราก็มีความรู้สูงมากกว่าด้วย
    <o></o>
    พวกเรารู้ว่าระหว่างเซลของมนุษย์ มันจะมีสนามแรงบางอย่างอยู่ ซึ่งสนามแรงนี้เป็นสนามแรงที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว
    สนามแรงนี้จะห่อหุ้มเซลทุกๆเซลในร่างกายเอาไว้ ซึ่งพวกเราสามารถกระตุ้นมัน ควบคุมมัน หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
    ดังนั้นพวกเราจึงสามารถสร้างเซลใหม่ขึ้นมาได้อย่างง่ายๆ

    พวกเราสามารถทำให้กระบวนการของการสร้างทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้งก็ได้ ด้วยวิธีนี้พวกเราจึงสามารถสร้างแขนขึ้นมาใหม่
    หรือสร้างดวงตาขึ้นมาใหม่ได้

    จากนั้นเราขอบอกอะไรกับพวกท่านอีกซักอย่างหนึ่ง ตามที่เราได้เคยบอกพวกท่านไปแล้วว่า
    สมองของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างชาญฉลาดมากๆ จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรในกาแล็กซี่ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้
    หากเซลสมองทุกๆเซลของมนุษย์ถูกทำให้ใช้งานได้ทั้งหมด แต่พวกท่านต้องเข้าใจคำพูดของเราให้ถูกต้องก่อนว่า
    <o></o>

    จริงๆแล้วสมองของมนุษย์เป็นศูนย์เก็บข้อมูล (Storage Central) ศูนย์หนึ่ง กระแสความคิดที่แผ่ออกมาจากมนุษย์
    หรือเข้าไปสู่มนุษย์ “ไม่ได้” ออกมาจากหรือเข้าไปสู่สมองแต่อย่างใด มันเกิดขึ้นตรงบริเวณใต้หัวใจ ซึ่งตรงนั้นมันจะมีศูนย์อยู่ศูนย์หนึ่ง
    นี่คือสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้ความจริง

    [​IMG]<o></o>
    (obr2589)
    <o></o>
    พวกเขาตระหนักว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นที่นั่น และแท้ที่จริงแล้ว นั่นเป็นส่วนของร่างกายมนุษย์ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังเกิดขึ้น
    <o></o>
    ความคิดไม่ได้มาจากสมองอย่างที่มนุษย์เชื่อกัน แต่มันเกิดขึ้นจากบริเวณลิ้นปี่ (จักระที่ 4 – Chayutt)
    ในที่ๆพวกท่านเรียกมันว่า “โซล่าร์ เพล็กซัส (Solar plexus)

    เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น จึงทำให้มีประจุไฟฟ้าเกิดขึ้นจากศูนย์นี้ และเซลสมองก็จะได้รับผลกระทบจากประจุไฟฟ้าเหล่านี้
    หน้าที่นี้สมบูรณ์แบบ เซลสมองจะทำหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้า และสามารถที่จะนำมันมาใช้หรือจะปล่อยให้มันไหลผ่านไปก็ได้

    สมองเป็นเครื่องมือที่มีความละเอียดมาก แต่ยังไงมันก็เป็นแค่เพียงเครื่องมือเท่านั้น มันไม่ได้เป็นที่ที่อยู่ของจิตวิญญาณ
    ของมนุษย์แต่อย่างใด จิตวิญญาณของมนุษย์จะอยู่ทั่วร่างกายแต่มีศูนย์กลางอยู่ที่ว่า “โซล่าร์ เพล็กซัส (Solar plexus)
    <o></o>
    เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อให้พวกท่านมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า ในระหว่างการเกิดเหตุการณ์ลูกโซ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
    ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือการควบคุม หรือปล่อยให้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ พวกเราควบคุมทุกๆอย่าง

    ไม่ใช่ควบคุมแต่เพียงด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านของจิตวิญญาณและความเข้าใจอีกด้วย

    เพราะเหตุนี้ เราถึงกล่าวว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”(All is well)

    <o></o>
    .........................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr2589.jpg
      obr2589.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.5 KB
      เปิดดู:
      1,614
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  4. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30

    ขอบคุณครับ แล้วสรุปว่าเป็นคนอ่านเองใช่ไหมครับที่ต้องชั่งใจเอาเองว่าอยากเชื่อตามแหล่งข้อมูลนั้นมากน้อยแค่ไหน ในเรื่องNew year message.
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นี่ไง วิถีอนุตรธรรม ถึงได้บอกว่าถ้าไปหลบภัยอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมถึงจะปลอดภัย

    และชาวพุทธหลายคนถึงบอกว่า วัดวาอาราม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่สำคัญทางศาสนาต่างๆ
    จึงเป็นที่ๆปลอดภัยกว่าที่อื่นๆ เพราะว่าที่เหล่านี้ เป็นที่ๆมีพลังทางด้านบวก จากจิตสำนึกอันดีงาม
    ของผู้คนที่หลั่งไหลกันไปทำบุญ ไปสวดมนต์ ไหว้พระ และนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมอยู่กันเป็นประจำ


    ...........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  6. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ยังไม่ได้ดูเลย ออกจากโรงไปนานแล้ว
    จะหาแผ่นชัดๆ ได้ที่ไหน
     
  7. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    คิดว่า มันหมายถึงเหตุการณ์ ที่เป็นวันปิดฉากการชำระโลก ไม่ได้เกิดขึ้น
    ในปี 2012 หรือ 2555 นั้น วันปิดถูกเลื่อนออกไป แต่ภัยพิบัติ ยังมีทยอย
    เกิดขึ้นเรื่อยๆ แผ่นดินไหวทุกวัน เครื่องบินตกทุกเดือน น้ำท่วมทั่วโลก
    มันกลายเป็นความปกติ ที่มนุษย์รู้สึกชินชา ไม่ตื่นตระหนกอะไร

    แต่เหตุการณ์รุนแรงมากๆ เช่น เกิดภูเขาระเบิดในที่ๆ มองไม่เห็นว่ามี
    ปล่องภูเขาอยู่ก่อน และแรงสุดๆ ตอนจบของกระบวนการ คือมีการพลิก
    ขั้วโลก โดยเอาอุกาบาตชน อันนี้แหละไม่เกิดในปี 2012 แน่ๆ

    ได้ข่าวมาว่า พระศรีอาริย์จะมาปรากฎ ปี 2035 หลังจากชำระโลกจบไป
    แล้ว 5-6 ปี (จาก อ.ปริญญา ไม่รู้รายละเอียดนะจ๊ะ)
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ถ้าใครมีข้อมูลว่าทางพุทธเรา กล่าวถึงเรื่องการจุติของวิญญาณในครรภ์ ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน ก็ช่วยเอามาโพสต์ให้ท่านอื่นๆได้รู้ด้วยนะครับ เอาแบบเนื้อๆนะครับ ขออ้างอิงด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้านะครับ - chayutt)

    ศรันย์ ไมตรีเวช (ดังตฤณ)

    ถาม -- ในเมื่อเด็กยังไม่เกิดมา ถ้าทำแท้งทำไมถึงบาปด้วยล่ะคะ? หากยืนยันว่าบาป ก็สงสัยว่าระหว่างฆ่าเด็กในท้องกับฆ่าคนที่เกิดมาแล้ว อย่างไหนจะบาปมากกว่ากัน?

    ตอบ - พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเป็นมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา อย่างสมมุติว่าถ้าพระทำให้เด็กในท้องมีอันเป็นไป เช่นเจตนาแกล้งให้หญิงท้องลื่นล้มเพื่อจะได้แท้ง อันนั้นถือว่าอาบัติปาราชิก คือถูกประหารให้ตายจากความเป็นภิกษุ และกลับมาบวชไม่ได้อีกเลยชั่วชีวิต นั่นหมายความว่าพระศาสดาใช้ญาณหยั่งรู้ของท่านเป็นเกณฑ์ตัดสิน ว่าชีวิตคนเริ่มจากในครรภ์มารดา ไม่ใช่เริ่มตอนเราเห็นออกมาลืมตาดูโลก กำเนิดมนุษย์ไม่ได้อาศัยแค่เชื้อจากพ่อและแม่ผสานกัน แต่ยังต้องมีวิญญาณหยั่งลงในครรภ์มารดาด้วย (หากใครค้นคว้าพระไตรปิฎกเป็นขอให้อ่านกถาว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทจากพระสุตตันตปิฎกเล่ม ๒ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงระบุชัดว่าวิญญาณที่หยั่งลงในครรภ์มารดาเป็นเหตุปัจจัยให้รูปและนามของทารกในครรภ์ตั้งอยู่ได้)

    ระหว่างฆ่าคนที่เกิดมาแล้วกับฆ่าเด็กที่อยู่ในท้อง อาจบาปมากน้อยกว่ากันได้ครับ ต้องดูเป็นรายๆ ก่อนอื่นต้องคำนึงว่าเด็กที่จะมาเข้าท้องคนได้นั้น แม้มีวิบากชั่วติดตัวมาแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมีบุญพอสมควร มิฉะนั้นจะไม่มีทางบังเอิญมาอยู่ในสถานภาพทารกมนุษย์เป็นอันขาด

    พลังบุญที่ยังดิบๆ ยังไม่กลั่นออกมาเป็นรูปมนุษย์นี่นะครับ จัดเป็นพลังบุญที่รุนแรง หากเด็กเกิดมาเป็นเด็กชั่วร้าย ทำเรื่องชั่วร้ายไปแล้ว พลังบุญจะลดลงระดับหนึ่ง แต่เมื่อเขายังอยู่ในท้อง พลังบุญแห่งความเป็นมนุษย์ยังไม่ถูกลดระดับ ถ้าคุณไปทำลายเขา ก็เท่ากับทำลายสิ่งที่มีศักยภาพสูงชิ้นหนึ่ง พลังสะท้อนกลับของสิ่งที่มีศักยภาพสูง ย่อมไม่ก่อให้เกิดเรื่องเล็กน้อยแน่นอน

    อาจเปรียบได้กับน้ำมันดิบ ตอนยังอยู่ในบ่อ ยังไม่ถูกกลั่นออกมาใช้ มันก็มีศักยภาพระดับหนึ่ง ถ้าคุณเผามันทิ้ง ก็เท่ากับเผาโอกาสที่จะนำมาใช้ทั้งในทางคุณและในทางโทษ คนดีๆที่จะเอาน้ำมันไปพัฒนาประเทศก็หมดสิทธิ์ แต่ถ้ามันถูกสูบขึ้นมากลั่นด้วยน้ำมือผู้ก่อการร้าย คุณพบเข้าแล้วทำลายมัน ก็ได้ชื่อว่าทำตัดกำลังผู้ร้าย ลดเหตุการณ์ร้ายๆที่อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมันส่วนนั้น ความผิดย่อมน้อยลงตามส่วนไปด้วย

    สรุปคือฆ่าเด็กในท้องนั้นบาป ฆ่าคนชั่วก็บาป แต่ถ้าเรียงลำดับบาปมากไปหาบาปน้อย ก็ต้องว่าฆ่าคนดีบาปที่สุด ฆ่าเด็กในท้องบาปรองลงมา และฆ่าคนชั่วนับว่าบาปน้อยที่สุด แต่ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจไว้ดีๆนะครับ ย้ำซ้ำอีกครั้ง ต่อให้เป็นคนชั่ว ธรรมชาติก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น การฆ่านั้นอย่างไรก็เป็นบาปวันยังค่ำ บาปน้อยที่สุดไม่ได้หมายความว่าไม่บาปเลย

    http://dungtrin.com/newsletter/prepare067.htm

    อ.ปริญญา ตันสกุล


    ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ และอาจารย์ก็มีหน้าที่มาเปิดเผย ที่จิตจักรวาลมอบหมายให้มาทำหน้าที่เผยแพร่ ร่างกายของเราเปรียบเสมือนรถยนต์ ซึ่งจะวิ่งได้ก็ต้องมีแบตเตอรี่ และตัวที่เป็นแบตเตอรี่ก็คือ จิตวิญญาณนี่ละ เวลาที่แม่ตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่มี จิตวิญญาณ มาปฏิสนธิอยู่ในครรภ์เป็นทารก ทารกซึ่งอยู่ในกายหยาบ ก็จะเป็นได้แค่ลูกกรอก จะเติบโตมีหน้ามีตา แสดงพฤติกรรมเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น ทารกในครรภ์ถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนรถเก๋ง ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นรถถัง หรือรถสิบล้อ หน้าที่ต่างกัน

    ผู้หญิงก็มีหน้าที่อย่าง ผู้ชายก็มีหน้าที่อย่าง แต่ทุกคนก็มีหน้าที่มาค้ำจุนโลก และผู้หญิงกับผู้ชายก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกันด้วย พระบิดาสร้างขึ้นมาให้รู้ว่า ทุกคนเป็นสัตว์สังคม ผู้หญิงจะอวดเก่งกว่าผู้ชายไม่ได้ จะท้องเองโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายไม่ได้ หรือผู้ชายจะท้องโดยไม่ต้องพึ่งผู้หญิงก็ไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พระบิดาสอนอย่างนี้ ทุกคนมีความสำคัญทัดเทียมกัน เวลารถวิ่ง จิตวิญญาณจะเป็นเหมือนกับคนที่นั่งอยู่หลังรถ เหมือนกับเจ้าของรถ พอมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตวิญญาณก็แบ่งภาคตัวเองออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้มาทำหน้าที่ขับรถแทนตนเอง เหมือนกับจ้างคนขับรถมาขับให้ มนุษย์เราเรียกว่า จิตหยาบ ซึ่งผมไม่ชอบใช้คำนี้ ผมใช้คำว่า จิตปัจจุบันแทน

    จิตวิญญาณได้รับอนุญาตให้แบ่งภาคตัวเอง ออกไปอีกส่วนหนึ่งมาเป็นพลังงาน เป็นรูปธรรมทางจิตเหมือนกัน เป็นกล่องพลังงานเหมือนกัน แต่ให้มาทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายหยาบ ขับเคลื่อนกลไกทั้งหมด จิตวิญญาณก็ประทับเป็นเหมือนแบตเตอรี่รถเฉย ๆ แต่ดูเหมือนไม่สำคัญได้มั้ย รถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ รถยนต์ก็เดี้ยง ไปไม่ได้ แต่จิตวิญญาณไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนโดยตรง แต่มอบหมายให้คนขับขับให้ คนที่ขับให้นี่ก็คือ จิตปัจจุบัน แต่ไอ้คนขับทุกวันนี้ ขับไปขับมา มันนึกว่าไอ้รถคันนี้เป็นของมัน มันลืมไปว่ามีจิตวิญญาณที่เป็นเจ้าของรถ เป็นนายมันน่ะ นั่งอยู่เบาะหลัง มันนึกจะขับซิ่งมันก็ซิ่ง ไม่ได้แคร์เลยว่าผู้โดยสารจะประสาทเสียหรือเปล่า

    ทุกวันนี้ที่พาไปตกนรกหมกไหม้ก็คือไอ้คนขับนี่แหละพาไป จิตวิญญาณน่าสงสารที่สุด" แล้วมนุษย์ที่เกิดมาพิการ ร่างกายไม่สมประกอบ หรือมีสมองไม่ปกติ ทำอะไรไม่ได้ จะอธิบายได้ไหมคะว่าเขาพวกนั้นเกิดมาทำหน้าที่อะไร "อย่าลืมว่า มนุษย์ทุกคนที่เราเห็นไม่ได้มาเกิดภพชาตินี้เป็นภพชาติเดียว ทุกคนเวลามาเกิดภพชาติแรก ทุกคนจะถือพันธะมาสองอย่าง อย่างหนึ่งเราเรียกว่า พันธะสัญญา เป็นพันธะที่รับปากกับพระบิดาว่า ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะปฏิบัติอย่างไร

    พันธะสัญญาข้อหนึ่งก็คือ มาเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก คือมาช่วยโลกทางกายภาพให้สมดุล เช่น หมุนรอบตัวเอง 22 ชั่วโมงต่อรอบ มีความเข้มของสนามแม่เหล็กเท่ากับ 14 เกาส์ มีแกนหมุนที่เอียงทำมุมกับแนวดิ่ง 23 องศา เพราะทุกวันนี้มันเพี้ยนไป โลกหมุนช้าลงเป็น 24 ชั่วโมง ยิ่งโลกหมุนช้าขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์จะยิ่งอายุสั้นลงมากเท่านั้น

    พระบิดาไม่ได้สร้างร่างกายของมนุษย์ให้เกิดมาแล้วต้องตาย มันจะตายได้ยังไง มันเจริญเติบโตได้ใช่มั้ย มันซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซ่อมแซมตัวเองได้ มีอำนาจอยู่ในตัวเอง ทำไมต้องตายด้วยล่ะ ?..." แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมล่ะคะ "...พระพุทธเจ้าสอนว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดานั่นคือ สอนในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วสอนให้คนรู้จักปลง รู้จักยอมอะไรซะบ้าง จะโลภโมโทสันไปทำไมนัก สุดท้ายก็ต้องตาย

    http://jitjakkravan.blogspot.com/2007/06/blog-post_1466.html

    จิตจักรวาลดวงใหญ่, พระบิดา, พระผู้สร้าง, พระเจ้า, อนุตตรธรรมมารดา ฯลฯ จะเป็นใครยังไม่ทราบได้แน่ชัด ฝากให้คุณชยุต ช่วยกันค้นหาความจริงต่อไปด้วยนะครับ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขออนุญาติ นำเสนอเรื่องของจิตวิญญาณ จากคำสอนของพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
    เพื่อประกอบการพิจารณาโดยแยบคาย

    จิตวิญญาณ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)

    วัดอโศการาม ๒๕๐๓
    จากหนังสือ “ท่านพ่อลี ธัมมธโร”
    ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ. พิมพ์เผยแพร่
    ในการประกอบกิจการงานต่างๆ วิริยะ ความเพียร และ ขันติ ความอดทน เป็นสิ่งที่พุทธบริษัททั้งหลายควรจะต้องปลูกฝังให้บังเกิดมีขึ้นในตนของตนอยู่เสมอ เพราะสิ่งนี้ในสมัยก่อนก็ดี สมัยนี้ก็ดี บางคนเป็นผู้อ่อนการศึกษา บางท่านถึงกับอ่านหนังสือไม่ออกสักตัวเดียวไม่ได้ศึกษาในทางปริยัติเลย เมื่อมามีความพากเพียรปฏิบัติ สามารถที่จะอ่านหนังสือไทยออกท่องหนังสือได้บางทีก็ถึงกับมีสิทธิเข้าสอบตามกฎเกณฑ์ของโรงเรียนเขาก็ได้ อย่างนี้ก็เคยปรากฏ ฉะนั้นจึงควรสำนึกในใจว่า สิ่งทั้งหลายหมดโลกนี้ย่อมสำเร็จมาได้จากความพากเพียร ให้สำนึกอย่างนี้ เราจะเป็นมนุษย์ประเภทไหนก็ตาม จะเป็นผู้ฉลาดมากหรือเป็นผู้โง่มาก อ่อนการศึกษาอ่อนการสังคมก็ตาม ถ้ามีธรรมะข้อนี้ประจำจิตใจของตนอยู่ตราบใด บุคคลนั้นมีหวัง ถ้าบุคคลใดฉลาดก็ตาม รู้มากตามตำรับ แก่สังคมก็ตาม แต่หากขาดความพากเพียรอย่างเดียว ไม่มีหวังที่จะให้สำเร็จลุล่วงไปในจุดหมายของตน ไม่ว่าแต่ในส่วนทางธรรม แม้ในทางโลกก็เหมือนกัน อันนี้พุทธบริษัททั้งหลายผู้มุ่งต่อความสุขอันเลิศ กล่าวคือพระนิพพาน อันนี้แหละเป็นแม่เหล็กสำคัญ ให้ถือเป็นตัวที่หนึ่ง ตัวที่สองนั้นไม่สำคัญเท่าใดนัก แต่เป็นคู่มือกำกับ ถ้าตัวแรกมันเกิดขึ้น ตัวที่สองมันก็พลอยเกิด คือ ได้แก่ขันติ ทั้งสองตัวนี้แหละ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ว่าถ้าเป็นผู้มีความพากเพียร ขันติมันก็มีในตัว เพราะเหตุใด? คนผู้มีความพากเพียรต้องมีอันตรายมากีดขวางเป็นธรรมดา แต่ถ้าเพียรจริงๆ สิ่งนั้นมันก็ดับ ทีนี้เพียรจริงๆ มันสำเร็จมาจากความอดทนเหมือนกัน ถ้าไม่มีความอดความทน เพียรมันก็ไปไม่รอด ถ้ามีความเพียรประจำจิต มันครอบไปถึงตัวขันติด้วย ฉะนั้น คุณธรรมสองตัวนี้ ให้ถือว่าความอดทนเป็นตัวที่สอง ความพากเพียรเป็นตัวที่หนึ่ง เมื่อมีความเพียรประจำตนอยู่อย่างนี้เป็นนิจ สิ่งที่เรามุ่งหวังนั้นจะอยู่ลึกอยู่ไกลสักเพียงใดก็ตาม พระพุทธเจ้าของเราก็ได้ทรงพยากรณ์ล่วงหน้า ว่าคนนั้นจะสมหวังของเขาได้ ฉะนั้น จึงได้เปล่งพุทธภาษิต รับรองให้พวกเรา เพื่อประกอบความเพียรอันนั้นว่า “วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ” บุคคลที่จะพ้นไปจากโลกบรรลุถึงพระนิพพาน ต้องอาศัยความเพียรเป็นรากเหง้า ความเพียรจัดเป็นเครื่องดึงดูด ผลักดันบุคคลผู้นั้น ให้ก้าวไปสู่พระนิพพาน นี่พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้ก่อน แต่มิจฉาทิฏฐิซึ่งเกิดขึ้นจากอำนาจกิเลส มันตอบโต้วาทะของพระพุทธองค์ คือ หมายความว่าไม่เชื่อ มันเชื่อตัวของมันเองเสียโดยมาก ไม่เชื่อคำรับรองของนักปราชญ์ ฉะนั้น มันจึงจะต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่ในโลกนี้ คือ อาศัยเชื่อแต่ตัวของตัวเอง ตัวของตัวเองมันก็เป็นตัวกิเลส ตัวกิเลสนี้แหละ มันเป็นเครื่องกีดกันห้ามศรัทธาเรามิให้เกิดความเชื่อในวาทะที่พระองค์ทรงทายไว้ มิให้เราเชื่อในวาทะของพระองค์ที่ทรงทายทักว่าบุคคลจะพ้นไปจากทุกข์ ต้องสำเร็จมาจากความพากเพียร เป็นแต่ได้ยิน แต่มันไม่รู้เรื่อง คือเชื่อตั้งแต่แค่หู ความรู้ไม่ได้เข้าไปถึงดวงจิต ฉะนั้น มันจึงแตกสามัคคีกัน ตัวของมันคนเดียวน่ะมันแตกความสามัคคีกัน คือ เมื่อเราได้ฟังแค่หู มันก็รู้ไปเสียอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมันตรึกตรองทางจิตใจ มันก็รู้ไปเสียอีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยจะตรงกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แหละ จึงเกิดความลังเลสงสัย ไม่แจ่มชัดในดวงจิต ข้อปฏิบัติของเราจึงมีอาการลุ่ม ๆ ดอนๆ ผิดๆ ถูก ๆ จึงกลายเป็นไปโดยอาการเช่นนั้น อันนี้ก็คือ อาศัยดวงจิตของบุคคลทั้งหลายนั้น ถ้าจะกล่าวโดยเฉพาะ มันก็มีใจอันเดียวสำหรับคน ๆ หนึ่ง แต่ทีนี้ เรื่องราวของใจ ทำไมมันถึงมากนัก อันนี้มันเป็นปัญหาซับซ้อนกันอยู่เพราะเหตุใด เพราะว่าถ้าเราดูเผิน ๆ ว่าตัวของคน ๆ หนึ่ง ก็มีจิตอันเดียว เราก็รู้กันแค่นี้ แต่อีกนัยหนึ่งท่านบอกว่า เรื่องของจิตวิญญาณนี้มันมากมายเหลือหลาย ไม่สามารถจะคณนานับว่ามันมีอาการมากน้อยเพียงไร บางแห่งท่านก็แสดงไว้อย่างนี้ เป็นเหตุให้คิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า มันเป็นไปได้อย่างไร แล้วก็มาหวนดูนอกแบบก็ได้ความว่า ร่างกายของคนหนึ่งๆ มันไม่ใช่วิญญาณตัวเดียว มันหลายวิญญาณ วิญญาณของตนจริงๆ นั้นน่ะ หาไม่ค่อยจะพบ วิญญาณซึ่งมีอยู่ในตัวเรานี้แหละมันอาจจะมีตั้ง ๓ วิญญาณ โดยย่อมี ๓ วิญญาณ
    หนึ่งวิญญาณของตัวเราจริงๆ ที่อุบัติมาบังเกิดในครั้งแรก ซึ่งไม่มีวิญญาณอื่นมาเจือปน ในครั้งปฏิสนธิวิญญาณดวงเดียวเท่านั้น มีมากเหมือนกัน แต่ว่ามันตายเสียในเวลาจะมาเกิดนั้น มันนับไม่ถ้วนเหมือนกันน่ะวิญญาณ แต่วาสนาบารมีบุญกรรมตกแต่ง แย่งกันเกิด เกิดไม่ทัน ตายกลางทางเสียมากมาย
    ทีนี้เมื่อวิญญาณจริง ๆ ของเรามาเกิดขึ้น เป็นบุญของเราที่ได้ตั้งตัวขึ้น เมื่อเรามาเกิดเป็นวิญญาณขึ้นอย่างนี้ มันก็แก่ขึ้น ๆ รูปร่างลักษณะก็แก่ มันก็เริ่มมีวิญญาณอื่นมาแทรก เข้ามาแทรกซึ่งเราไม่รู้สึกตัว มาดูกันให้มันชัดเจน เวลาเราเติบโตขึ้นมา ตัวอย่างเช่น บางทีมีตัวสัตว์ออกมาจากท้อง ตัวยาวตั้งศอก นี่มันอะไรกันนั่นน่ะ นั่นแหละมันตัววิญญาณนั่นเอง ไม่ใช่ตัวอื่นนี่เห็นชัดๆ หรือนอกจากนั้นที่เขาเรียกว่าเชื้อโรค อย่างโรคบางชนิด มันเป็นตัวทีเดียว เกิดเป็นกลุ่มเป็นก้อน อย่างหนอน เขาบอกว่ามีถึง ๘ ครอก มี ๑๒ จำพวก ซึ่งมีอยู่ในสรีระร่างกายของเรา นี่ลองคิดดูชิว่ามันเป็นตัวอะไร มันก็คือตัววิญญาณนั่นเองแหละ มันถึงเป็นได้อย่างนั้น เมื่อวิญญาณไม่มี มันจะมีตัวสัตว์ขึ้นมาได้อย่างไร ตัวสัตว์มันเกิดขึ้นจากตัววิญญาณ ต่อนั้นเราก็เห็นชัดเจน บางทีมันก็ไต่ออกมาตามบาดแผลเยอะแยะในสรีระร่างกายของเรา ออกมาตามตา ตามหู ตามจมูก ตามฟัน บางทีก็ออกมาจากลำไส้นั่นน่ะ บางทีก็ออกปาก บางคราวก็ออกทวารหนัก เป็นตัวยุ่งไปหมด นี่มันตัวอะไรกัน นี่แหละคือตัววิญญาณ
    วิญญาณอันนี้เห็นชัด แต่วิญญาณอีกอย่าง หนึ่งซึ่งเป็นของลึกลับ ยังไม่มีรูปปรากฏให้เห็นได้ชัด นอกจากผู้ปฏิบัติทำจิตใจของตนให้เกิดวิชา นั่นวิญญาณซึ่งมาแอบอาศัยอยู่ในสรีระร่างกายของเรา ยังมีอีกพวกหนึ่ง วิญญาณของเราจริง ๆ นั่นอีกชนิดหนึ่ง มีตัวเดียวเท่านั้น วิญญาณที่มาแอบอยู่ในร่างกายของเรา อันนี้ก็บอกไม่ถูกว่ามากน้อยเพียงไร บอกไม่ได้ วิญญาณที่มีรูปปรากฏเป็นตัวเป็นตนมันก็มาก วิญญาณที่ยังไม่มีรูปปรากฏ แต่มาอาศัยรูปของเรา ก็บอกไม่ถูกว่ามันมากน้อยเพียงไร นี่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รวมเรียกว่า จิตวิญญาณนั่นน่ะ มันมีอยู่ ๓ จำพวก
    เมื่อเรื่องราวมันมากอย่างนี้ ท่านจึงสอนว่า อย่าไปเข้ากับตัวมันล่ะ มันไม่ใช่ตัวของเรามันไม่ใช่เรื่องของเรา บางทีจิตของเรามันไม่มีอะไรเลย แต่มันจะเป็นไป ใจก็ไม่อยากเป็นแต่เรื่องมันจะเป็นไป นั่นแหละวิญญาณบ้าๆ บอ ๆ นั่นแหละ มันเข้ามาแทรกแชง มาซึมซาบถึงกับวิญญาณของเรา เราก็เป็นไปตามมัน สัตว์บางพวกมันมาแอบอยู่ในร่างกายของเรา มันยังไม่มีรูปปรากฏ สัตว์พวกนี้มันก็โกรธเป็นเหมือนกัน โลภเป็นเหมือนกัน หลงเป็นเหมือนกันเกลียดเป็นเหมือนกัน รักเป็นเหมือนกัน เมื่อมันเกิดขึ้นของมัน บางทีมันอยู่ใกล้เรา ตัววิญญาณของเราก็คล้ายเป็นไปกับมันด้วยโดยไม่รู้สึกตัว นี่เรื่องจิตมันถึงได้มากมาย มันเป็นได้ก็ลองคิดกันตื้นๆ ว่า สมมุติว่าลูกของเรากับลูกเองเรามันนั่งทะเลาะกันอยู่ต่อหน้า มันก็พลอยจะทำใจของเรานั้นให้ใจเราเสียไปด้วย ซึ่งเราไม่ได้ทะเลาะกับมันเลย มันก็เนื่องถึงกัน ในที่สุดก็พลอยบาดหมางไปกับเขาด้วย นี่ท่านจึงว่า “ยํ เว เสวติ ตาทิโส” เมื่อไปอยู่ใกล้กับบุคคลชนิดไหน เราย่อมเป็นไปด้วยบุคคลชนิดนั้น นี่ท่านก็ทรงตรัสไว้แล้ว ว่าเป็นจริงอย่างนั้น ฉะนั้น ท่านจึงให้พินิจพิเคราะห์ ว่า ใจของเรามันหลาย ๆ ใจน่ะ มันอาจเป็นใจของสัตว์ มันไม่ใช่ใจของเราเป็น เขาเป็น แต่เรามันอยู่ใกล้เขา ก็พลอยจะโอนเอียงไปกับเขาเหตุนี้ท่านจึงสอนว่ามันเป็น อนัตตา วิญญาณมันเป็นอนัตตา อย่าไปยุ่งกับมัน ต้องอาศัยความพากเพียร อดทนข่มมันไว้ ถ้ามันหายไปเมื่อไร ใจก็สบายเบิกบานขึ้น ก็มันไม่ใช่เรื่องของเรานี่มันเรื่องของเขาต่างหาก ถ้ามันเรื่องของเรา เวลามันเป็น เราก็ควรจะเบิกบานพอใจ หายแล้วก็ควรจะเบิกบานพอใจ บางสิ่งบางอย่าง เวลามันเกิดขึ้นในจิตนั้นน่ะ มันก็ยินดีไปด้วยบางคราวบางคราวเปล่าไม่ยินดี มันแย่งกันอยู่อย่างนี้แหละ บางทีวิญญาณอื่นมันหลายตัว มันหลายความคิด มันมากกว่าเรา เราก็พลอยเป็นไปกับมัน เมื่อเป็นไปกับมัน เราก็พลาด เมื่อพลาดกระทำผิดลงไป ทีนี้มันก็มาเกิดความเสียใจขึ้นทีหลัง นั่นเราทำไปตามเขานะ ไม่ใช่เราทำไปตามใจเรา นี่ให้สำเหนียกรู้อย่างนี้ จึงเรียกได้ว่าเรารู้เรื่องของวิญญาณ ท่านกล่าวสั้นๆ ตัดใจความไว้ อย่างที่เราฟังกันยาก วิญญาณมันไม่ใช่ตัวของเรานะ ท่านพูดแค่นี้ฟังไม่ออกเลย มันจะออกอย่างไรล่ะ ใจไม่ตั้งเป็นสมาธิ ก็ฟังคลุมกันไป ก็นึกได้แต่ว่า วิญญาณก็มีแต่ใจของเรา นึกได้แค่นี้แหละ ทีนี้มันก็เข้ากับตัวละซี อันนั้นมันก็เป็นเรา อันนี้มันก็เป็นเรา มันก็เข้ากับตัวละซีมันจึงไม่รู้เรื่องวิญญาณ นี่เมื่อเรารู้จักวิจารพิจารณาดูอย่างนี้ ว่าวิญญาณของเราจริง ๆ เป็นอย่างไรมันซื่อสัตย์สุจริตต่อเราจริงๆ น่ะมีไหม ถ้าหากว่าเราชอบอย่างนี้ มันถูกมันดี แล้วเราก็ทำตามความคิดเห็นจนสำเร็จ นั่นแหละเรียกว่าเชื่อตน ทีนี้เราทำอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ค่อยชอบใจ อยากจะทำบ้าง ไม่อยากจะทำบ้าง นี่มันแบ่งส่วนเช่นนี้ ก็พึงทราบว่า เราไปเสพคนพาลเข้าไปแล้วแหละ ไปเสพวิญญาณบางอย่างซึ่งมาชักชวนเอาเสียแล้ว ตอนนี้เราต้องอดทน ต้องอดกลั้น ต้องกักต้องขัง ความรู้อันนั้นให้อยู่คงที่ คือ ตั้งสติ กำหนดวิจารดูว่าวิญญาณตัวนี้แหละ มันเป็นตัวไหนแน่มันเป็นตัววิญญาณของเราจริงๆ หรือ หรือเป็นวิญญาณอื่นเข้ามาแทรก ทำให้วิญญาณของเราล้มไปตาม เมื่อล้มไปตาม ทำกรรมที่ผิดล่วงแล้วเสียใจ อันนี้เรียกว่า ถูกวิญญาณหลอก ที่ท่านบอกว่าวิญญาณมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นอนัตตา ท่านพูดอย่างนี้ แต่เราคงนึกไม่ออก นี่วิญญาณอันหนึ่งคือจำพวกวิญญาณของเราจริงๆ วิญญาณของเราจริง ๆ มันซื่อสัตย์ต่อเรา สมมุติอย่างนี้ว่า พรุ่งนี้เราจะไปวัดหรือไปฟังเทศน์ นี่ไปวัดไปฟังเทศน์ทำความดี มันเป็นความดีที่เราชอบใจ ให้ผลแก่เราจริง แน่ชัดในใจ แต่พรุ่งนี้มันแปรไปเสียแล้วละ คือมันแปรไป ก็พึงทราบเสียเถิดว่า วิญญาณของเรามันไปเจือกับวิญญาณอะไรเข้าเสียแล้ว ต้องสำเหนียกอย่างนี้ อย่าไปนึกว่าเป็นตัวเราจริงๆ ไอ้ความคิดใหม่จะมาเลิกความดีนี้ ไม่ใช่ตัวเราหรอก มันโกงต่อตัวของตัวเอง มันไม่ใช่เราละ ธรรมดาตัวของเราเองน่ะ มันไม่โกงตัวเองหรอก มันซื่อสัตย์ เมื่อมันตั้งจิตในจุดอะไรที่เป็นความดี มันต้องทำให้สำเร็จ ได้ผลความดีเกิดขึ้นเบิกบานใจ นั่นลักษณะอย่างนี้เป็นจิตวิญญาณของเราจริงๆ ซื่อสัตย์คือตัวของเราได้จริง ไม่โกง โดยมากคนเราน่ะมันโกงเสียโดยมาก ไม่ใช่ตัวโกงนะ ตัวมันดี แต่มันมีวิญญาณอื่นมาแทรกซึม มันเลยพาเราโกงไปด้วย นั่นท่านจึงบอกว่า “อเสวนา จ พาลานํ” ถ้าใครไปเสพกับวิญญาณนั้นบ่อย ๆคนนั้นเสีย “ปณฺฑิตานญฺจ” ให้ทำจิตของตนคงที่ อย่างเราคิดจะสร้างความดี ให้มันดีเรื่อย จนได้ทำความดีให้สำเร็จตามความมุ่งหมาย นั่นแหละเป็นตัวเรา วิญญาณอื่นไม่เข้ามาแตะต้อง ถ้าหากว่ามีความคิดล้มเลิกท้อถอย ปล่อยความพากเพียร นั่นพึงทราบเถิด เราไปเสพคนพาล ไปเสพวิญญาณอื่นนอกไปจากตนเสียแล้วและ ให้เข้าใจอย่างนี้ นี่จำพวกหนึ่ง
    แต่ถ้าจะพรรณนาถึงเรื่องวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรา มันมาก วิญญาณที่อาศัยอยู่ มีอยู่สองลักษณะ บางวิญญาณมันตรงกับเรา บางวิญญาณมันไม่ตรงกับเรา อย่างเราอยากทำความดี เปรตผีบางจำพวกมันก็อยากสร้างความดี แต่มันสร้างไม่เป็น มันเลยมาอาศัยร่างกายของเราพาทำความดี อย่างนี้ก็มี วิญญาณบางอย่างมันมาก็เพื่อจะเป็นผู้มาสังหารล้างผลาญความดีของเรา นั่นคือ อาจจะเป็นศัตรูของเราแต่ชาติก่อน เราเคยเบียดเบียนเขา เราเคยสังหารเขา เราเคยกักกันเขา เราเคยตัดความดีของเขา เขาพยาบาทเรา มาพยายามคอยห้ามมรรคข้อปฏิบัติของเราไม่ให้เจริญก้าวหน้า มันจะมากระซิบกระซาบว่า หยุดเถอะๆ มันจะตาย หรือมันจะยาก มันจะจน ฝนมันจะตก แดดมันจะร้อน มันเช้าเกินไป มันสายเกินไป มันก็ว่าเรื่อยไปแหละ นี่วิญญาณบางพวกซึ่งเป็นศัตรูแก่เรา มันไม่ตรงกับเราก็มี บางวิญญาณก็เป็นญาติเป็นมิตรเป็นเพื่อนเป็นคนรักใคร่นับถือ จะมาทำบุญทำกุศลก็ทำไม่ได้ ก็มาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรา เพื่อจะได้ไหว้พระสวดมนต์บ่นคาถากับเขาบ้าง อย่างนี้ก็มี ฉะนั้น จิตของเราน่ะบางคราวก็เหมือนกับผียักษ์ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้ทั้งๆ ที่เราไม่ชอบ มันก็เป็นบางคราวก็เหมือนกับเทวบุตรเทวดาใจดี เขาด่าโคตรแม่ก็ไม่โกรธ บางคราวคำพูดไม่น่าโกรธ โกรธน่าเกลียดจนได้ เรื่องวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ สับสนปนเปกันอย่างมาก มันมีมาแทรกในร่างกายของเรา ให้พึงทราบโดยอาการอย่างนี้
    วิญญาณอีกจำพวกหนึ่ง มันก็เป็นเจ้ากรรมเจ้าเวร มันมากินเนื้อของเรา ให้แหว่งไปบ้าง กินจมูกขาดไปบ้าง ทำลายรูปโฉมให้เสียรูปร่าง กินหูขาดไปบ้าง บางทีกินริมฝีปากบ้างล่างเหลือไว้แค่ฟันให้อับอายขายหน้า บางทีก็กัดหูไปข้างหนึ่ง บางทีก็กัดจมูกโหว่ไปถึงหน้าผากบางทีก็กัดตา บางทีก็กัดมือ กัดตีน บางทีกัดไปทุกแห่งทุกหนนั่นแสละ ทำให้เปื่อยพัง เป็นเชื้อโรคนี่พวกเจ้ากรรมเจ้าเวรเหล่านี้แหละ แต่ก่อนเราก็คงจะทำกับเขาไว้ ในชาตินี้มันจึงตามมาเล่นงานเรา ซึ่งเป็นตัววิญญาณชัดๆ คือตัวหนอนเป็นต้น ตัวหนอนมันก็มาช่วยกินอาหารในไส้เรา แต่ก่อนเราก็คงจะไปแย่งกินเนื้อเขาบ้าง กินหนังเขาบ้างบัดนี้มันก็มากินเนื้อกินหนังเรากินกินหมด มึงมีอะไร กูกินให้หมด นี่เราจะรักษายังไง มันมากินข้างนอกให้แลเห็น ไล่ให้มันหนี ผ่าไปกินในกระเพาะ ผ่าไปกินในลำไส้ ผ่าไปอยู่ถึงข้างในตัวเรา เอาละซีทีนี้ มันแย่ มองไม่เห็น กำจัดได้ยาก นี่มันก็เล่นงานเราเรื่อยไป กิน ๆ เข้าไป กินไปตามลำไส้ กินไปตามกระเพาะ กินไต กินตับ กินปอด กินไปตามเลือด กินเส้นโลหิต กินขน กินไปจนหมดทุกอย่างทุกอัน กินข้างนอกกลายเป็นโรคผิวหนัง กินข้างใน ก็เป็นตัวหนอนเป็นตัวโรค ก็เล่นงานเราอยู่เรื่อยไป มันเองมันก็รบกัน มันหลายจำพวกนี่ หนอนมีตั้ง ๑๐๘ จำพวกอย่างพิสดาร เมื่อมันอยู่มากๆ มันก็ย่อมทะเลาะกันเป็นธรรมดา มันก็ยุ่งกันอยู่ในบ้านของเรานั้นแหละ เราจะทนไหวที่ไหนเล่า บางคราวก็เป็นไปกับมันไม่รู้ตัว เป็นไปได้เพราะอะไร พวกมันมากเหลือเกิน มันทนไม่ไหว พวกสัตว์ในร่างกาย บางทีมันก็โกรธกัน ตีกัน มันทะเลาะกัน เดินทางสวนกัน เจอะกันเข้า มันก็ตีกัน กัดกัน ทำให้เราคันหลัง คันหน้ายิบ ๆ แยบๆ นั่นแหละพวกหนอนมันตีกันละ เดินไปในตัวของเราเหมือนกับพื้นแผ่นดิน นี่แหละ เส้นโลหิตมันเป็นถนน สัตว์มันก็เดินไปตามเส้นโลหิต ตัวโน้นก็เดินมา ตัวนี้ก็เดินมา เจอะกันเข้า บางทีก็สนทนากัน มันพูดกันละซีทีนี้ บางทีพูดกันไม่รู้จักหยุดนอนค้างคืน ขี้ก็ตรงนั้นแหละ กินก็ตรงนั้นแหละ เอ้า ! เกิดเป็นตุ่มเป็นต่อมขึ้นมาแล้ว นั่นแหละมันเป็นกระต๊อบสำหรับอาศัยของพวกตัวสัตว์ ตัววิญญาณมันก็เป็นไปกันอยู่อย่างนี้เรื่อยไปแหละ ร่างกายเรามันก็เหมือนกับโลก อย่างในโลกเรามีทะเล มีต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ มีพื้นแผ่นปฐพี ร่างกายเราก็เหมือนกัน เส้นโลหิตทุกเส้น มันเป็นทางเดินของสัตว์ มันเดินตามเส้นโลหิตก็มี เดินตามเส้นลม เดินตามเส้นไฟ เส้นบางเส้นเป็นเส้นตัน ไม่มีโพรง นั่นเปรียบเหมือนถนนตัน เส้นที่มีโพรง ลมมันเดิน เลือดมันเดิน ก็เหมือนกับแม่น้ำ ห้วยหนองคลองบึง ทางเดินเรือ เรือมันเดิน ก็มีพวกที่ไปเรือ ทีนี้เรือมันชนกันเข้า มันเป็นอย่างนี้ เหตุนี้คนเราจึงเจ็บที่ถนนที่นี้ ปวดแข้งปวดขา เจ็บเส้น เจ็บเอ็น บีบไปเถิด นวดไปเถิด นี่เรื่องของวิญญาณ ที่มันอาศัยอยู่ในร่างกายของเรา บางพากมันก็อยู่ตามหลุมตา บางพวกก็อยู่ตามหลุมหู บางพวกก็อยู่ในรูจมูก บางพวกก็อยู่ในปาก อยู่ในลำคอก็มี อยู่ตามเหงือกก็มี พวกเหล่านี้มันก็เหมือนกับคนเรานั่นแหละ แต่เราฟังภาษากันไม่ออก มันทำมาหากิน มีอาชีพ มีลูกมีเมีย มีที่อยู่ที่อาศัย มีทางเดินสัญจรในร่างกายของเรายุ่งไปหมด นี่ตัววิญญาณซึ่งอยู่ในสังขารของเรา มันเกิดสงครามกันก็ได้เหมือนกัน เกิดรบอย่างมดคำมดแดง มันรบกันไปน่ะ เคยเห็น บางทีจิ้งจกกับเขียดรบกันก็มี ในร่างกายเราก็เหมือนกัน หนีไปพ้นที่ไหน สัตว์ที่อยู่ตา มันก็ถือว่าบ้านของมัน สัตว์ที่อยู่หู มันก็ถือว่าบ้านของมัน สัตว์ที่อยู่ตามเส้น มันก็ถือว่าบ้านของมัน บางทีก็ไปแทรกแซงแย่งที่อยู่กัน เกิดเรื่องเกิดราว นี่เวทนามันเกิดจากพวกวิญญาณก็มี นี่มันถึงได้เป็นไปโดยอาการต่าง ๆ บางชนิดมันเกิดโรคเกิดภัย บางชนิดมันคอยเกิด วิญญาณที่ยังไม่มีรูปมันก็คอยอาศัยเลือดของเราในร่างกายตั้งขึ้นเป็นต่อม เช่น ฝีบ้าง แผลบ้าง กลายเป็นตัวหนอนขึ้นมาในที่นั้น นี่มันได้รูปปรากฏก็เห็นตัว ถ้ายังไม่ปรากฏมันก็ไปเที่ยว เสียวๆ วิบๆ แวบๆ ยิบๆ แยบๆ คันหน้าคันตา นี่เป็นเรื่องของวิญญาณทั้งนั้น
    เหตุนั้นสรุปแล้ว ก็มีอยู่ ๓ พวก ๓ ฝูง ฝูงใหญ่ ๆ ทั้งนั้นแหละ ฝูงหนึ่งก็คือ พวกสัตว์ซึ่งมีรูปอาศัยในร่างกายของเราพวกหนึ่ง วิญญาณซึ่งยังไม่มีรูปอาศัย แต่อาศัยร่างกายของเราอย่างหนึ่ง อีกอันหนึ่ง คือจิตวิญญาณของเราจริง ๆ มันถึงมี ๓ พวก สามจำพวกนี้น่ะมันคลุกกันหมด อะไรมันเป็นวิญญาณของสัตว์ที่มีรูป ไม่รู้ อะไรมันเป็นวิญญาณของสัตว์ยังไม่ได้ตั้งรูปปรากฏ ไม่ทราบ อันใดที่เป็นตัวจิตวิญญาณของเราจริงๆ ก็ไม่รู้ นี่จะไปรู้ขันธ์ห้าได้อย่างไรกัน “วิญฺญาณกฺขนฺโธ” น่ะ จะไปรู้ได้อย่างไร ที่ว่าวิญญาณไม่ใช่ตัวตนไปรู้แต่วิญญาณ ๆ เท่านั้น มันรู้อย่างเชือกที่มันหย่อน ๆ ยาน ๆ มันลากดิน นี่คำที่ว่ารู้วิญญาณ ที่เรียกเป็นอนัตตาก็เหมือนกัน ผู้ตามเขาว่า นี่เมื่อเรามีปัญญา มีปัญญาญาณเกิดขึ้นในจิต จึงจะรูเรื่องของวิญญาณที่ท่านกล่าวว่า ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อย่างที่ท่านแสดงว่า จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ นี่ที่จะรู้ได้ถึงอาการ ๓ อย่างนี้ ต้องอาศัยความรู้อย่างว่านี้ อย่างที่รู้จักว่า จักขุธาตุ ตาของเรามันมีวิญญาณกี่ชนิด มันมีวิญญาณกี่ชนิด ตาเราเมื่อมันไปเห็นรูปปรากฏ รูปที่ปรากฏนั้น ที่มันมีความรู้ขึ้นน่ะ มันเป็นความรู้ของเราจริงๆ หรือ หรือเป็นความรู้ของวิญญาณที่มาแทรกซึ่งยังไม่มีรูปปรากฏ หรือเป็นวิญญาณที่มีรูปปรากฏมาแทรก มันจึงทำจิตของเราให้ลังเลเรรวน ไม่ค่อยจะแน่นอน นี่วิญญาณที่เกิดในตา ๓ จำพวก จำพวกที่มันไปเห็นรูป มันแสดงท่าทีกี่ชนิด นี่ที่แสดงท่าทีน่ะ มันเป็นวิญญาณของเราจริง ๆ หรือ หรือเป็นวิญญาณของสัตว์บางจำพวก หรือเป็นวิญญาณของสัตว์ไม่มีรูปปรากฏ ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ที่เรียกว่า “จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ” รู้ได้ที่ไหน ไม่ได้ ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ไม่มีญาณ “โสตธาตุ” หูของเราซึ่งเป็นบ่อเกิดของวิญญาณ วิญญาณตัวไหนมันมาเกิดก่อน รู้ไหม ไม่รู้ วิญญาณของเราจริงๆ หรือ ที่มันออกมา หูนั่นได้ยินเสียงนั่นน่ะ มันเป็นสัตว์มาแอบอิงอาศัยฟังหรือ หรือเป็นสัตว์ที่ไม่มีรูป หรือเป็นวิญญาณของเราจริงๆ ตรวจดูให้มีความรู้เสียก่อน ผลที่มันเกิดขึ้น พึงทราบเถิดว่า เมื่อเราได้ยินเสียง เราชอบใจ แต่เสียงนั้นไม่ดี แต่ชอบใจ นี่มันไม่ใช่วิญญาณของเรา มันไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา นี่เสียงบางอย่าง มันเป็นสิ่งที่ดีที่ชอบ แต่เราไม่พอใจนั่นก็พึงถือว่า มันไม่ใช่วิญญาณของเรา มันคงจะมีอะไรมาแอบแฝง ต้องสำรวจดู นี่มันมีหลายจำพวก บางทีเราไม่พอใจเสียง แต่มันเป็นเรื่องที่ถูกที่จริง แต่เราไม่พอใจ นี่เราก็เลยถือว่าเรื่องพอใจ หรือไม่พอใจเป็นเราไปเสียหมด ไม่เคยคิดว่า วิญญาณเป็นอนัตตา ไม่เคยคิด เมื่อเป็นอย่างนี้ ทีนี้หูมันก็หนวก ตัวไม่ได้ฟัง พวกเปรตมาแอบอาศัยฟัง ไม่รู้ มันจะจำได้ที่ไหน จิตมันไม่ได้ติดตัว มันไม่ได้ฟัง เปรตมันมาฟัง ผีมันมาฟัง อสุรกายมาแทรก ตัวเราเองก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจตัวเราจริงๆ ไม่ได้ฟัง ไม่ได้วิตก วิจาร ได้แต่พวกฝูงมาร ผีเปรต หรืออสุรกาย มาแอบแฝง เลยถือว่าเป็นตัวเราไปเสียหมด จึงเรียกว่าตามืดเป็นอวิชชา หูก็ตึงเป็นอวิชชา นี่คือไม่รู้จักเรื่องของวิญญาณ
    “จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ” นี่มีอยู่ ๓ อย่าง เมื่อตามันเห็นรูปปั๊บ วิญญาณอะไรมันออกไป เคยตรวจไหม เปล่า ไม่เคยตรวจเลย ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณของเราจริงหรือไม่จริง เป็นวิญญาณของพวกสัตว์มาอาศัยแอบจริงหรือไม่จริง วิญญาณของสัตว์ที่มีรูปหรือไม่มีรูป มีหรือเปล่า จริงหรือไม่จริง ไม่เคยรู้เลย ก็ไม่เคยรู้เลยอย่างนี้จะเป็นผู้รู้ได้อย่างไร
    “โสตธาตุ สัททธาตุ โสตวิญญาณธาตุ” ไม่รู้ นี่ไล่เรื่อยไปแหละ
    “ฆานธาตุ” ก็เหมือนกัน“ฆานธาตุ” คือจมูกเป็นบ่อเกิดของกลิ่น เป็นบ่อเกิดของจิตวิญญาณ วิญญาณของเราน่ะ บางทีมันชอบกลิ่นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามทางธรรม มันก็แสวงหากลิ่นนั้น ให้สำเร็จเป็นบุญเป็นกุศลขึ้น บางคราวก็ล้ม เป็นแต่ชอบ แต่มันล้มความคิด ไม่ทำตามความคิดของตัว บางคราวมันก็ไม่ชอบ ตัวอย่างเช่น กลิ่นบางอย่างมันไม่รอบแต่มันก็ทำเอา กลิ่นบางอย่างมันชอบแต่มันไม่เอา บางสิ่งบางอย่างกลิ่นมันชอบ จิตของเราก็ชอบ ถูกต้อง เรื่องของกลิ่นมันก็มีอยู่กลิ่นมันเกิดจากจมูก วิญญาณมันก็เกิดจากจมูกเหมือนกัน มันอาศัยจมูกของเรา ไม่รู้กี่ร้อยวิญญาณ บางทีมันรู้ก่อนเราอีก มันส่งข่าวให้เราหลงไปเลยก็มี กระซิบกระซาบ ปลุกปลอบดวงจิตของเราให้หลงไปตาม เราก็หลับตาไปตามมัน เหมือนหมีกินผึ้ง หลับตาแล้วก็กินไปเถิด ดูดกินแต่น้ำผึ้ง ลืมตาก็ไม่ได้ ผึ้งมันจะต่อยเอากระบอกตา เราก็เหมือนกัน เมื่อวิญญาณมันมากระซิบกระซาบว่า ไปเถิด ไปกับมัน ว่าแต่ตัวเราเป็น ว่าแต่ตัวเราไป มันเอาตัวอะไรมาเข้าแทรกแล้วก็ดึงไปเหมือนกับคนทรงเจ้าทางผีนั่นแหละ มันก็ว่าไปตามเรื่องของมัน มันเป็นอย่างนี้แหละ
    “ชิวหาธาตุ” ลิ้นเป็นบ่อเกิดของรส รสมันมาสัมผัสในลิ้น เกิดความรู้สึกขึ้น เรียกว่าวิญญาณ วิญญาณที่มันเกิดขึ้นน่ะ วิญญาณอะไรมันเกิดก่อน วิญญาณของสัตว์มันอยู่ตามเกสรของลิ้นเราก็มี มันอาจจะรู้ดีกว่าเราก็ได้ ตัวอย่างเช่น อย่างนี้กินไม่ได้ แต่มันอยากกิน ไอ้ที่มันอยากกินนั้นน่ะเพราะอะไร บางทีเราไม่อยาก แต่วิญญาณของสัตว์มันอยาก ขืนกินเข้าไปเกิดโรค ทั้งๆ ที่เรารู้อยู่ แต่มันก็อยากกิน นี่เรียกว่าหลงรส หลงวิญญาณ
    วิญญาณมันมีอยู่ ๓ ชนิด ดังกล่าวแล้ว มันเป็นวิญญาณของเราหรือเปล่า ไม่เคยสำรวจ หรือมันเป็นวิญญาณของพวกที่ยังไม่มีรูป หรือเป็นวิญญาณที่มีรูปตั้งอยู่ ปรากฏขึ้นที่ในปากของเรา ไม่ทราบ เมื่อไม่ทราบอย่างนี้ คนเรามันถึงพูดกันป่นๆ ปี้ๆ พวกผีเหล่านี้มันพาพูด พูดกันให้เราซัด ให้เราแส่ ตัวเจ้าของจริงๆ มันไม่อยากพูด แต่มันก็พูด นั่นแน่ะ เราไปเสพคนพาลวิญญาณอสูรกาย ไม่ทราบ จนเรานั้นเสียไปแล้วถึงทราบภายหลัง อย่างนี้มันถึงเสียท่า จึงเรียกว่าไม่รู้จักวิญญาณในขันธ์ห้า แล้วก็สวด “วิญฺญาณํ อนัตตาๆ ตาๆ” กันเรื่อยไป แต่ไม่รู้อะไรเลย นี่เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจึงเรียกว่า อวิชชา ทีนี้ในส่วนกายของเราก็เหมือนกัน กายเราเป็นบ่อเกิดของผัสสะ ผัสสะมากระทบกายเข้า มันรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ทราบ ความทราบในผัสสะทั้งหมดนั้นท่านเรียกวิญญาณ มันเป็นวิญญาณของใครก็ไม่เคยสำรวจ เลยถือว่า เราหนาวจริงๆ บางทีก็เลยถือว่า เราร้อนจริง ๆ นี่บางทีมันไม่ใช่เราสักนิด เหมือนกับคนถูกผีสิงน่ะ คนถูกผีสิงเป็นยังไงเหมือนคนไม่เคยกินเหล้า พอผีเข้าสิงปั๊บ มันดื่มเหล้าสองสามแก้ว กินอย่างสนุกสนาน ถ้าออกไปล่ะ คนที่ไม่เคยกินเหล้าเมาแย่ เพราะอะไร เพราะมันมีวิญญาณอื่นเข้ามาสิง ตัวจริงๆ มันไม่เคยกินเหล้า แต่มันกินเวลาวิญญาณอื่นเข้ามาสิง ดวงจิตของเราก็เหมือนกันนั่นแหละ เมื่อมีวิญญาณพวกนี้มันกำเริบขึ้น ถึงแม้เราไม่ต้องการ มันก็ทำ วิญญาณบางพวกมันชอบหนาว วิญญาณบางพวกมันชอบร้อน คือสัตว์บางพวกอยู่ในโลกเหมือนกัน บางพวกชอบอากาศร้อน บางพวกชอบอากาศหนาว บางพวกชอบกินของแข็ง บางพวกชอบกินของอ่อน อย่างตัวด้วง ตัวบุ้ง มันกินของแข็ง สัตว์ในตัวเราก็เหมือนกัน บางตัวกินกระดูก กินของแข็ง กัดเนื้อขาดเป็นชิ้นๆ ไปเลย บางพวกกินน้ำ บางพวกชอบร้อน บางพวกชอบหนาว ทีนี้พอมันหนาวขึ้นมา เราก็ว่าหนาวจริง ๆ ไม่เคยนึกว่าอะไรพาหนาว ถ้ามันรอนจริง ๆ อะไรพาร้อนก็ไม่ทราบ เราก็ว่าแต่เราเป็น ว่าเราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เรากลายไปเป็นผีกับเขาเมื่อไรไม่ทราบ
    นี่ท่านเรียกว่า ไม่มีปัญญาความรู้ไปรู้ไปหลงวิญญาณ ไม่ถูกกับพุทธบรรหารกล่าวว่า วิญญาณมันไม่ใช่ตัวของเรา ไม่ถูกเลย ตัวเราจริง ๆ มันมีตัวหนึ่ง มันไม่ยุ่งยากวุ่นวายอย่างนี้ นี่ส่วนในใจของเราน่ะ ก็เช่นเดียวกัน ถูกผีอะไรสิงมันก็เป็นไปได้ต่างๆ ธรรมารมณ์ อารมณ์ที่นึกคิดในดวงจิต อารมณ์ที่เป็นเหตุให้คิดให้นึก มันเกิดจากเหตุ มันอาจจะมีพวกวิญญาณอื่นเข้ามากระแทกกระเทือน ความคิดของสัตว์ที่มีรูป คิดมาถึงตัวเรา วิญญาณของสัตว์ที่ไม่มีรูปบางอย่างมีข้อผูกพันกับเรา แล้วก็ทำให้จิตของเราเป็นไปด้วยนี่อันนี้ก็พึงทราบเถิดว่าอ้อ มันมีเรื่องแทรก เรื่องที่มาแทรกนั้นมันเป็นเรื่องอารมณ์ของคนอื่น เป็นอารมณ์ของสัตว์ เป็นอารมณ์ของเทวดา เป็นอารมณ์ของพวกวิญญาณที่เป็นอสุรกาย เราก็ต้องอ่านให้มันทราบ เมื่อทราบได้เช่นนั้นดวงจิตของเรามันก็ไม่มีเรื่องมาก จิตมันมีดวงเดียว วิญญาณก็มีตัวเดียว ไม่มาก เมื่อหนึ่ง มันก็ต้องหนึ่ง ทีนี้ หนึ่งมันกลายเป็นสอง เป็นสามไปเรื่อย ถ่ายทอดกันไม่รู้จักจบ นี่จึงเรียกว่า ปิดทวาร อวิชชาปิดตา ไม่รู้จักวิญญาณที่สร้างบ้านอยู่ในลูกตา อวิชชาปิดหู พวกวิญญาณสัตว์มาสร้างบ้านอยู่เต็มหูหมด อวิชชาปิดจมูก พวกวิญญาณของสัตว์มาสร้างบ้านอยู่ในจมูก ปิดลิ้น วิญญาณของสัตว์มาสร้างบ้านสร้างเมืองอยู่ในลิ้น ปิดกาย วิญญาณของสัตว์ทั้งหลายสร้างบ้านอยู่ทั่วไปทุกขุมขน ส่วนวิญญาณของตนตัวเดียวเท่านั้น สู้เขาไม่ไหว เหตุนั้นความพากเพียรของเราจึงย่อหย่อน เพราะไม่รู้เรื่องราวของเขาเหล่านี้ นี่คือว่า มันมาปิดหู ตา จมูก ลิ้น กาย จิต มองไม่เห็นทิศเห็นแนว คุณธรรมจึงไม่มาเกิดขึ้น เมื่อเรามาทำลายล้างผลาญบ้านช่องของอวิชชาเสียได้ ที่นี่รู้เรื่อง ไม่ต้องทำอะไรหรอก “อเนกชาติ สํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ” เมื่อเรามาพิจารณาดูซึ่งเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ให้รู้แจ้งชัดเห็นจริง “อเนกชาติ สํสารํ” เรื่องราวของสัตว์ที่มาเกิดในบ้านของเรา ไม่มีที่สิ้นสุด มันมาทะเลาะวิวาทกันวุ่นวายไปหมด มันเรื่องมาก มันชอบมาจูงจิตของเราให้เสียหายไปด้วยประการต่างๆ
    เมื่อเรามาพิจารณาให้เห็นโดยอาการอย่างนี้ ก็เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย “จกฺขุสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ” เบื่อตา เป็นนิพพิทาญาณเกิดขึ้น “รูเปสุปิ นิพพินฺทติ” เบื่อรูป “จกฺขุวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ เบื่อวิญญาณ มันรำคาญจริง ๆ มันเป็นสิ่งรบกวนหัวใจของเราจริงๆ เบื่อหน่าย “นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ วิราคา วิมุจฺจติ” คายทิ้ง ตาคายรูป ตาคายวิญญาณ คายทิ้งเหลือกิน “โสตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ” เบื่อหู “สทฺเทสุปิ นิพฺพินฺทติ” เบื่อเสียง ทีนี้ “โสตวิญญาเณปิ นิพฺพินฺทติ” เบื่อวิญญาณ “วิราคา วิมุจจติ” คายทิ้ง ตาคายรูป รูปไม่ติดตา ตาทะลุ มองเห็นด้วยตาหลายสิบโยชน์ คายเสียง หูทะลุ ฟังเทวดาคุยกันได้ จมูกคายกลิ่น หอมฟุ้งทั่วโลก ความดี เมื่อมันคายแล้ว ก็หอมฟุ้ง ลิ้นคายรส ไม่กลืนกินซึ่งรส คายวิญญาณ กายคายสัมผัส ความร้อนไม่ติคดวงจิต ความเย็นไม่ติดดวงจิต อ่อน แข็ง ต่างๆ ในร่างกาย ไม่ติด ไม่เซิบ คายเรื่อยไปจนถึงมโนวิญญาณ ดวงจิตคายความดี ไม่ยึดถือทิฏฐิ ว่าเป็นของ ๆ ตน ดวงจิตคายอกุศลคือความชั่ว ไม่ให้รั่วไหลไปอาบดวงจิต คายความรู้ต่างๆ ว่านั่นเป็นวิญญาณของสัตว์ที่มีรูป นั่นเป็นวิญญาณของสัตว์ที่ไม่มีรูป นั่นเป็นวิญญาณของเรา จริง ๆ คายทิ้งทั้งหมด นั่นแหละเรียกว่า “วิญฺญาณสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ” เบื่อหน่ายในวิญญาณ เบื่อหน่ายในอารมณ์ “วิราคา วิมุจฺจติ” คายทิ้ง ไม่กลืนเสลด ไม่ให้มาติดคอ ตาไม่กลืนรูป หูไม่กลืนเสียง จมูกไม่กลืนกลิ่น ลิ้นไม่กลืนรส กายไม่กลืนสัมผัส ดวงจิตไม่กลืนกินอารมณ์ “วิมุจฺจติ” พ้น ไม่เกี่ยวข้องกังวลวุ่นวาย นี่แหละเรียกว่า เป็นผู้ที่จะใกล้ต่อพระนิพพาน “วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ” เมื่อเราปฏิบัติได้เช่นนี้ เราก็ทราบชัดว่าสิ่งนั้นเป็นวิญญาณของสัตว์ สิ่งนั้นเป็นวิญญาณของเรา ปล่อยวางไม่ยืดถือ แล้วก็รู้ได้ว่าเราพ้นไปจากวิญญาณทั้งหมด ๓ จำพวก วิญญาณของสัตว์มีรูป ไม่ใช่วิญญาณของเรา วิญญาณของสัตว์ไม่มีรูป ไม่ใช่วิญญาณของเรา วิญญาณของเราที่มีความรู้ ไม่ใช่ตัวของเรา ปล่อยวางไปตามสภาพ นั่นแหละจึงเรียกว่า เป็นผู้รู้จักขันธ์ห้า อายตนะทั้งหก นี่จึงจะพ้นไปจากโลก เปิดตา ตามองเห็นไปได้ไกล เหมือนเป็นกำแพงหรือฝาบ้าน เราสามารถที่จะมองไปได้ไกลหลายสิบวา เมื่อตาเราไม่ติดรูป เราก็สามารถที่จะเกิดตาทิพย์ มองเห็นไกล หูไม่ติดเสียง ฟังเสียงได้ไกล จมูกไม่ติดกลิ่น ดมกลิ่นเทวดา ไม่ต้องไปดมกลิ่นมนุษย์ให้มันรำคาญจมูก รสไม่ติดลิ้น กินยาทิพย์ กินอาหารทิพย์ ใจไม่ติดสัมผัส เราก็อยู่ด้วยความสบายกายสบายจิต นั่งที่ไหนก็สบาย หนาวก็สบาย ร้อนก็สบาย นั่งที่อ่อนก็สบาย นั่งที่แข็งก็สบาย ร่างกายจะแตกก็สบาย ถูกแดดเผาก็สบาย หายจากผัสสะ ดวงใจก็คายจากอารมณ์ นี่จิตนั้นก็พ้น ดวงจิตก็จะพ้นไปจากขันธ์ทั้งห้า วิญญาณ ๓ จำพวก ก็จะไม่ได้มาหลอกลวง ดวงใจของบุคคลผู้นั้น ก็จะพ้นทุกข์ จะถึงซึ่งบรมสุขอันเลิศ กล่าวคือ พระนิพพาน
    นี่แสดงมาในเรื่องวิญญาณ จงพากันสำเหนียกศึกษาให้เกิดวิชาความรู้ขึ้นในตนของตนได้ นี่จึงเรียกว่ารู้โลก วิญญาณที่เป็นรูปปรากฏเป็นกามโลก นับแต่นรกถึงสวรรค์ วิญญาณที่ไม่มีรูปปรากฏเป็นอรูปพรหม วิญญาณของตนเองนั่นแหละคือถึงพระนิพพาน เมื่อรู้วิญญาณ ๓ ประการนี้ก็ชื่อว่า “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต” ไปดี มาดี อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสบาย สัตว์ทั้งหลายมันก็เบาใจละซีทีนี้ เบายังไง เราให้มัน สัตว์ไหนที่มันต้องการกิน กินเข้าไป ไม่ต้องหวงแหน มันจะกิน จะชอบอะไร กินเข้าไป เอามันจะกินแบบไหน ช่างหัวมัน ว่าอย่างงั้น ไม่ยึด มันชอบกินไส้ กินเข้าไป มันชอบกินขี้ กินเข้าไป มันชอบกินเลือด กินเข้าไปไม่หวงไม่แหน วิญญาณพวกไหนจะเอายังไปตามชอบใจ มันก็เป็นเสรีภาพ มันก็ปกครองพวกมันเอง ไม่ต้องแย่งกัน มันก็พลอยจะได้รับความดีไปจากเรา วิญญาณล้วนๆ ที่อยู่ในร่างกายเราเหมือนกัน มันก็อยู่เป็นอิสระ เราก็อยู่เป็นอิสระ ต่างคนต่างอยู่ บ้านใครๆ อยู่ ข้าวใครๆ กิน อู่ใครๆ นอน ก็ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างสบายเท่านั้นเองแหละ นี่เรียกว่า “ภควา”
    แยกรูปออกจากตา แยกตัวออกจากรูป แยกวิญญาณออกจากตน
    แยกหูออกจากเสียง แยกเสียงออกจากหู แยกวิญญาณออกจากตน
    แยกกลิ่นออกจากจมูก แยกจมูกออกจากกลิ่น แยกวิญญาณออกจากตน
    แยกลิ้นออกจากรส แยกรสออกจากลิ้น แยกวิญญาณออกจากตน
    แยกกายออกจากผัสสะหรือสัมผัส แยกสัมผัสออกจากกาย แยกวิญญาณออกจากกาย แยกอารมณ์ออกจากจิต แยกจิตออกจากอารมณ์ แยกวิญญาณออกจากจิต ไม่ยึดถือว่านั้นเป็นตน นี้เป็นตน นั่นชื่อว่า “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” ไม่ยึดสิทธิ์ในสิ่งทั้งหลายทั้งหมด คนนั้นก็จะพ้นไปจากโลกจากสงสาร เป็น อาสวักขยญาณ เกิดขึ้นในดวงจิต ฉะนั้น เมื่อพวกเราทั้งหลาย ได้ฟังนี้ ก็ควรจะนำไปพินิจพิจารณา โยนิโสมนสิการใคร่ครวญ ให้เข้าใจแจ่มแจ้งเกิดขึ้นในตน ก็จะเป็นหนทางพ้นไปจากทุกข์ อาศัยความพากเพียร ความหมั่น ความขยันหมั่นเพียรอยู่เป็นนิจ สำหรับที่จะต้องฟอกดวงจิตวิญญาณของตนให้ทราบชัด จึงจะเป็นไปเพื่อความผ่องใสสะอาด ฉะนั้นในวันนี้ ซึ่งได้แสดงเรื่องวิญญาณมา ก็จะยุติลงเสมอเพียงเท่านี้

    http://palungjit.org/threads/จิตวิญญาณ-พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์-พระอาจารย์ลี-ธมฺมธโร.197683/<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. panseak

    panseak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณมากครับกระจ่างขึ้นเยอะเลย
     
  11. วิมลรัตน์

    วิมลรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +302
    อนุโมทนาค่ะ มีวิญญานถึง 3 จำพวกนี่เอง ที่ทำให้คนเราต้องเป็นทุกข์ เพราะหาได้รู้เท่าทันมันไม่

    ฉะนั้น เราๆ ท่านๆ เมื่อได้ทำความเข้าใจแล้ว ต้องมีสติ ตลอดเวลา อย่าได้หลงกล
    ไปกับวิญญานเหล่านั้น เพราะมันไม่ใช่เรา วิญญานทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่
    ตัว ไม่ใช่ตน ให้ใช้สติกำกับอย่างนี้อยู่เนืองๆเถิด
     
  12. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    เคยฟังดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากเทปซักที่ ท่านเล่าให้ฟังว่ามีดร.คนหนึ่งทำการสะกดจิตชายคนหนึ่งย้อนไปๆๆ จนถึงตอนอยู่ในครรภ์ ชายคนนั้นก็จำได้เล่าให้ฟังตลอดว่าตอนอยู่ครรภ์แม่กินอะไร แม่พูดอะไร จริงๆๆเค้าสะกดจิตย้อนไปหลายชาติด้วย ชายคนนี้ก็จำได้ แต่ดร.คนนี้ก็ไม่ได้ย้อนไปไกล เพราะแกให้เหตุผลว่าถ้าย้อนไปไกลแกกลัวไม่มีข้อมูลพิสูจน์ จากการสะกดจิตตามหลักวิทยาศาสตร์ก็แสดงว่าวิญญาณได้เข้ามาตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์
    อ้าว แล้วถ้าเป็นการโคลนนิ่งล่ะ เนี่ยยังสงสัยอยู่ว่าวิญญาณมันมาตอนไหน แล้วก็ยังสงสัยพระพุทธเจ้าอยู่ เพราะว่าเหมือนเคยอ่านเจอว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการเกิดของมนุษย์ว่าทารกที่เกิดมาต้องเกิดจากพ่อและแม่ประมาณนั้น แต่พอมาเจอการโคลนนิ่งนี่ คิดไม่ออกเหมือนกัน
     
  13. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    ขอต่ออีกสักหน่อยพอดีไปเจอข้อมูลที่มันเกี่ยวกัน

    (และก็มีแผนภูมิภาพอันหนึ่ง ที่ผมได้มาจากอินเตอร์เน็ต ที่อธิบายเกี่ยวกับ "Photon Zone"
    ที่มีกล่าวว่าระบบสุริยะจักรวาลของเรา จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ "Photone Belt หรือ Photon Zone"
    ของกลุ่มดาวลูกไก่ในปี 2012 นี้ (แต่ของกระทู้นี้เขาบอกว่าเข้าไปนานแล้ว ตั้งแต่ปีไหนนะ
    1998 หรือเปล่านะ..ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)

    13.13.13 Solar New Earth Reality Timeline ได้ถูกเชื่อมติดและเข้าที่เรียบร้อยแล้ว อนาคตของดาวเคราะห์โลกปลอดภัยแล้ว
    และวงจร (ของยุค Aquarius - chayutt) ในรอบ 26,000 ปีจากนี้ไป ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว)...Chayutt


    ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่งข้อเท็จจริง
    เรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส)
    หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius)
    ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางกาแลกซี่ในวันที่
    21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!!

    ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตราย
    ร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง...( บทความ มารู้จักกับความลับของPlanetX กัน (ดาวปริศนาNibiru)และมันเกี่ยวอะไรกับปี2012... )


    ทั้งสองที่มามีคำว่าดาวลูกไก่ กับ 26,000 ปีเหมือนกันเลย อ่านแล้วก็พอเดาๆๆทางได้แต่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน หลายๆๆคนคงได้เคยอ่านเรื่องบเกี่ยวกับดาวนิบิรุมาแล้ว ก็อ่านมาจากเวบพลังจิตนี่แหละ แต่พอดีไปเจอลิ้งค์นั่นก่อน แล้วมันต่อกันยาว ไม่ต้องคลิกหน้าต่อไป
     
  14. เฌ

    เฌ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +415
    ไม่มีทาง ที่มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้จะสามารถอพยพมนุษย์โลกได้

    จะดูถูกกันเกินไปแล้ว ... และที่สำคัญก็คือ มนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้

    คือบรรพบุรุษของพวกเอ็งยังไงหล่ะ .. เจ้าเอเลี่ยน ... จงจำไว้ซะ!!


    ฮ่าๆๆๆๆๆ ... ฮ่า . ฮ่า.. ฮ่าๆๆๆ .... กร๊ากกกกก .. .ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ที่มา: http://www.star-esseenia.org/


    11:11 คืออะไร?

    โดย: August Stahr, ต้นฉบับเผยแพร่โดยเวปไซท์ www.star-esseenia.org ในปี 1996<o></o>
    นำมาเผยแพร่และ Update ใหม่ในเวปไซท์ www.star-esseenia.org ในปี 2003
    <o></o>


    Solara ผู้เขียนหนังสือชื่อ “Stahrborne and 11:11” คือผู้ที่นำต้นฉบับของข้อมูลเกี่ยวกับรหัส 11:11 นี้ออกเผยแพร่สู่ชาวโลก
    เธอเคยเข้าร่วมในเหตุการณ์สำคัญระดับโลกที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 มกราคม 1992 มาแล้ว
    <o></o>
    แม้ว่าฉันจะเพิ่งเข้าร่วมในการให้ความช่วยเหลือในเหตุการณ์ 11:11 ระดับท้องถิ่นในเมือง <st1:city w:st=" border=" 0="" alt="">Santa Monica</st1:city>, รัฐ <st1:state w:st="on"><st1>California </st1></st1:state>มาแล้ว
    แต่ฉันก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ฉันยังคงนำทีมของฉันทำพิธีกรรมต่างๆของ Solara ต่อไป และมิหนำซ้ำฉันยังได้รับการชี้นำทาง
    ที่เหมาะสมให้อีกด้วย
    <o></o>
    หลังจากที่ “ประตูสู่เป้าหมาย” (The Doorway) เปิดออกแล้ว ทางเดินของฉันมันก็ไม่เหมือนกับของ Solara อีกต่อไปแล้ว
    และความแตกต่างนี้มันก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นกลุ่มของเธอและกลุ่มของฉันจึงแยกจากกัน
    <o></o>
    ฉันจึงต้องกลายมาเป็นผู้นำทางให้กับตัวฉันเองในการทำงานต่างๆ และมุ่งไปบนเส้นทางแห่งรหัส 11:11 เพื่อเปิดประตูต่างๆให้เสร็จสิ้น
    ก่อนที่จะถึงกำหนดเวลาที่ Solara เคยเอ่ยถึง และเพื่อวางรากฐานเอาไว้ให้คนอื่นๆที่จะตามฉันไป เพื่อมุ่งหน้าไปสู่
    “โลกแห่งดวงอาทิตย์ใหม่แห่งรหัส 13.13.13” (13.13.13.Solar New Earth Reality)
    <o></o>
    ส่วน Solara ก็กำลังพากลุ่มของเธอมุ่งหน้าทำตามคำพูดของเธอที่ว่า “ไกลยิ่งกว่าไกล” (Beyond the Beyond)
    ซึ่งหมายถึงไกลออกนอกโลกไปสู่ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ มันเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องตัดสินใจเอาเองว่า
    จะเข้าร่วมกับคนกลุ่มไหนถึงจะเหมาะกับตัวเองที่สุด และต้องเลือกเอาเองว่าตนเองอยากจะ “ขึ้น” ไปสู่ระดับใด<o></o>

    สัญลักษณ์ 11:11 คือ “กลไกที่ถูกใส่รหัสเอาไว้แล้ว” (Pre-encoded trigger) ที่อยู่ภายในตัวพวกเราทุกคน
    มันบอกพวกเราว่าเวลาแห่งอิสรภาพใกล้จะมาถึงแล้ว
    <o></o>
    รหัสแห่งการยกระดับของดาวเคราะห์โลก 11:11 นี้ เป็นจุดที่สูงที่สุดของคำพยากรณ์ของทุกศาสนาในโลก
    สำหรับการจบสิ้นของประวัติศาสตร์โลกและการสำเร็จการศึกษาของโลก เพื่อเลื่อนชั้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอีก
    <o></o>
    ในวันที่ 11 มกราคม 1992 ประตูแห่งจิตวิญญาณ (Spiritual doorway) ได้เปิดขึ้น และยังคงเปิดอยู่จวบจนกระทั่งเดี๋ยวนี้


    [​IMG]
    <o></o>
    ดาวเคราะห์โลกได้ส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะถูกยกระดับขึ้นไปสู่ “ระดับจิตสำนึกของพระคริสต์” แล้ว
    และจะนำพาชาวโลกผู้ที่เลือกที่จะยกระดับจิตสำนึกของตัวเองขึ้นไปด้วย
    <o></o>
    การยกระดับเป็นกระบวนการธรรมชาติของการวิวัฒนาการ ด้วยเหตุนี้ กายภาพของโลกจะถูกชำระ และวิญญาณและจิตเหนือสำนึก?
    (Higher self) ก็จะถูกรวมกลับเข้าด้วยกัน ทำให้โลกเลื่อนระดับไปสู่ระดับที่มีความถี่ของการสั่นสะเทือนใหม่
    <o></o>
    การยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์เป็นรายบุคคล ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เกิดขึ้นน้อยมากๆ แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
    เมื่อถึงวันแห่งการยกระดับ และถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพของท่านสนันดา ผู้ซึ่งเคยเกิดเป็นพระเยซูคริสต์
    และได้ทิ้งแบบอย่างเอาไว้ให้เราเดินตาม
    <o></o>
    การยกระดับดาวเคราะห์โลก จะเกิดขึ้นเมื่อทั้งโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก พร้อมที่จะผ่านขึ้นไปสู่ระดับของวิวัฒนาการ
    ที่สูงขึ้นพร้อมกันแล้ว ดาวเคราะห์โลกใบนี้ ได้โหยหาการยกระดับจิตสำนึกร่วมกัน แบบที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ มานานแสนนานแล้ว
    <o></o>
    มันจะเป็น “การกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์” ตามที่พระองค์ได้ให้สัญญากับพวกเราไว้ ในระหว่างที่พระองค์ทรงเป็นพระเยซูคริสต์อยู่
    พระองค์จะกลับมาเป็นครูของโลกและผู้นำพาพวกเราไปสู่การบรรลุเป้าหมายของ “แผนการศักดิ์สิทธิ์” ของพระผู้เป็นเจ้า
    เพื่อนำดาวเคราะห์โลกใบนี้กลับไปสู่ระดับของการสั่นสะเทือนแห่งพระคริสต์
    <o></o>
    ในช่วงเวลาของการดำเนินไปสู่ประตูสู่เป้าหมายนี้ จะต้องใช้เวลายาวนานถึง 20 ปี คือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1992
    จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2011 เมื่อถึงวันนั้น โลกที่เรารู้จักในวันนี้ ก็จะเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้เลยทีเดียว<o></o>

    ความหมายของรหัส 11:11
    <o></o>
    เลข 11 ตัวแรก หมายถึง สภาวะเดิมของพวกเราที่มีทั้ง 2 ขั้วอยู่ในคนๆเดียวกัน นั่นคือมีทั้งจิตแห่งแสงสว่างและจิตแห่งความมืด
    <o></o>
    เครื่องหมาย colon ( : ) หมายถึง “ประตูสู่เป้าหมาย” (The Doorway) ที่พวกเราต้องเดินไป
    <o></o>
    เลข 11 ตัวหลัง หมายถึง สภาวะใหม่ของโลกที่จะถูกยกระดับขึ้นไปสู่สภาวะแห่ง “โลกแห่งดวงอาทิตย์ใหม่แห่งรหัส 13.13.13”
    (The 13.13.13 Solar New Earth Reality)
    <o></o>
    วันที่ 11 มกราคม 1992 ประตูสู่เป้าหมายรหัส 11:11 ได้ถูกเปิดขึ้นด้วยความร่วมมือกันของผู้ที่ทำงานให้กับแสงสว่างทั้งหลาย
    (Light workers) จากจุดต่างๆทั่วโลก พวกเราได้ร่วมมือกันเปิดประตูรหัส 11:11 เพื่อที่จะให้พวกเรา
    สามารถเดินทางด้านจิตวิญญาณได้อย่างเสรี
    <o></o>
    การเดินทางผ่านประตูสู่เป้าหมายนี้ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอยู่ ซึ่งพวกเราจะต้องเดินทางผ่านประตูทั้ง 11 ประตู
    และระดับจิตสำนึกทั้ง 11 ระดับ ก่อนที่ประตูนี้จะปิดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2011
    <o></o>
    เมื่อถึงเวลานั้นดาวเคราะห์โลกจะถูกเปลี่ยนรูป (Transform) ไปสู่ความเป็นดาวเคราะห์แห่งพระคริสต์
    ซึ่งมีประชากรของพระคริสต์อาศัยอยู่ (Christed Planet populated by Christed Humanity)
    <o></o>
    (ปล.ในบทความนี้มีคำว่า Christ หรือ Christed อยู่หลายแห่ง ซึ่งผมคิดว่าคำว่า Christ ของเขานี่อาจจะหมายถึงอะไรที่ประเสริฐ
    และสูงส่ง อะไรแบบนั้นมากกว่า คงไม่ได้แปลว่า “พระเยซูคริสต์”ตรงๆอย่างที่ผมแปลอยู่นี่หรอกนะครับ
    แต่ผมไม่รู้จะเอาศัพท์คำไหนมาใช้ดี

    ก็หวังว่าท่านคงจะไม่เข้าใจไปว่า โลกใหม่นี้จะเหลือแต่ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์หรอกนะครับ – Chayutt)
    <o></o>
    ชาวโลกผู้ที่ไม่มีจิตแห่งพระคริสต์อยู่ทุกๆคน จะต้องถูกชำระออกจากโลกไป (ตายไป) แล้วถูกส่งไปสู่ไฟแห่ง
    “การเริ่มต้นและการสิ้นสุด”(The Fire of Alpha and Omega – ไฟแห่งพระผู้เป็นเจ้า - chayutt)
    จากนั้นก็จะถูกส่งไปสู่ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆเพื่อให้เริ่มต้นกระบวนการวิวัฒนาการใหม่อีกครั้ง


    ...........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr1517.jpg
      obr1517.jpg
      ขนาดไฟล์:
      198.1 KB
      เปิดดู:
      1,083
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เดี๋ยวช่วง 3 - 4 วันนี้ต่อจากนี้ไป ผมอาจจะไม่ค่อยมีเวลามา update ข้อมูลให้นะครับ

    ถ้าใครมีอะไรน่าสนใจ ก็เอามาโพสต์แบ่งกันอ่านไปพลางๆก่อนนะครับ

    และถ้าข้อมูลไหนค่อนข้างยาว ก็ตัดซอยแบ่งเป็นหลายๆโพสต์หน่อยนะครับ

    เพราะจะได้ไม่ต้องใช้เวลาเปิดแต่ละหน้านานเกินไปหนะครับ


    ....................................
     
  17. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เรื่องจิตวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิในทารก เมือเคยผ่านตามาจาก หนังสือจิตจักรวาลแต่ความว่าอย่างไรจำไม่ได้แล้วววววววววว
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ในมิติของจิตวิญญาณนั้นมีความลึกล้ำสลับซับซ้อนมากนะครับ แต่ก็มีแบบแผนที่ชัดเจนอยู่เหมือนกัน เรื่องการ"โคลนนิ่ง"นี่เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าจิตวิญญาณมาจากไหน? ถ้าคิดแบบจิตมนุษย์คงยากที่จะเข้าใจครับ เท่าที่ทราบก็คือ..พลังงานน่ะมีของมันอยู่แล้วในทุกๆเซลล์ ผสมผสานอยู่ในทุกๆส่วนเหมือนก้อนหินหรือดวงดาวต่างๆที่ดูเหมือนไร้ชีวิต แต่มันก็มีรหัสหรือจิตวิญญาณในรูปแบบเฉพาะของมันครับ การโคลนนิ่งก็คล้ายๆกับการดึงเอาส่วนขยายของจิตวิญญาณเดิมออกมาหรือแบ่งคลื่นความถี่ออกมาใหม่โดยมีคุณสมบัติเทียบเท่าจิตวิญญาณเดิม หรือนำเซลล์ของตัวตนในขณะนั้นมาใช้ทำส่วนขยายของร่างกายใหม่ แต่จะเห็นได้ว่าการโคลนนิ่งในสัตว์ที่มนุษย์ทำกันอยู่นั้นมักจะอายุสั้นและไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เพราะขาดความสมบูรณ์ในหลายปัจจัย..ขอนำเรื่องนี้มาแชร์หน่อยครับ

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังมีการแปลงสภาพสองส่วนด้วยกัน โดยแปลงสภาพเป็นร่างกายเนื้อหนังส่วนหนึ่ง (อันได้แก่ Gene และ Chromosome) และแปลงสภาพเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอีกส่วนหนึ่ง

    จิตวิญญาณปราศจากหน่วยนับ จิตวิญญาณไม่ได้อพยพออกจากร่างหนึ่งร่าง ไปสู่ร่างใหม่เพื่อจะดำเนินชิีวิตต่อไป หากแต่จิตวิญญาณสามารถแตกตัวออกไปได้ และถ่ายทอดไปสู่รูปกายได้เสมอ และเป็นไปอยู่ตลอดวันเวลาเสมือนอากาศที่เราหายใจร่วมกัน ปราศจากขอบเขต ปราศจากเจ้าของ การถ่ายทอดของจิตวิญญาณ คือ การถ่ายทอดข้อมูล-ความรู้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    หากเราเข้าใจความหมายของคำว่าจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง เราจะตระหนักว่า รูปกายในวันนี้ หรือรูปกายที่เกิดจากการ cloning ไม่ใช่หีบห่อสำหรับจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกอนูของสรรพสิ่ง จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกอะตอม จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกนิวเคลียส จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกทุกเซลล์ จิตวิญญาณมีอยู่ในทุกโมเลกุล

    (อ่านเพิ่มเติมได้ที่หน้า 183 กระทู้โนวา อนาลัยครับ)


    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เตรียมแพคกระเป๋ากลับเมืองไทยแล้ว ขอให้เดินทางราบรื่นครับ

    hello8
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ขอให้เดินทางกลับมาเมืองไทยโดยสวัสดิภาพครับคุณชยุต แต่อย่าไปเผลอไข่ทิ้งเอาไว้แบบพ่อของน้องเคอีโง๊ะนะครับ เห็นคุณชยุตชอบเรียกคนมาตั้งวงก๊งเหล้าแบบนี้ผมละเสียวแทนจริงๆ.... ล้อเล่นกันอีกแล้วอย่าโกรธกันนะครับ อิอิ

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...