พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Phocharoen

    Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    รับทราบครับ ขอบคุณผมเห็นด้วยเกี่ยวกับเวลา .. อีกอย่างท่านอาจารย์ นิล มาฉัลเพล แล้วอาหารล่ะครับจัดเตรียมกันอย่างไรบ้าง
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อาหารของคณะเราก็น่าจะเป็นอาหารที่ขายหน้าปากซอยบ้านท่านอาจารย์ประถมครับ ปกติจะมี หอยทอด , ผัดไท และอาหารตามสั่ง

    ในช่วงที่ถวายเพลแล้วก็คงไปซื้อเข้ามาทานที่บ้านท่านอาจารย์ประถมครับ

    .
     
  3. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    อีกไม่นาน พวกเราชาวรักษ์พระวังหน้าก็จะได้พบกันแล้วนะครับพี่น้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2009
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "พระพุทธบาทปิลันทน์" ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "สมเด็จพระพุฒาจารย์" มีพระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าทัด เสนีย์วงศ์" เป็นพระโอรสใน กรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ ( พระองค์เจ้าแดง ) ใน กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ( วังหลัง ) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ จำพรรษา ณ วัดระฆังฯ ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๑๓ ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ แทน สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี ) ซึ่งชราภาพแล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) มรณภาพปี พ.ศ.๒๔๔๓ การสร้างพระเครื่องสมเด็จพระปิลันทน์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ.๒๔๐๗ ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ "พระพุทธบาทปิลันทน์" ในช่วงปีดังกล่าว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ยังมีชีวิตอยู่ จึงสันนิษฐานว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ โต จะแผ่เมตตาประกอบพิธีปลุกเสกให้ด้วย

    Webboard
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร)

    วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ

    โดย ไตรภาคี​
    คัดลอกจาก <A href="http://www.soonphra.com/geji/poo/index.html" target=_blank>ș?¬?Ð?ͷ?́ : ?Ð?ط?ǔ?չ҂? ˅ǧ?٨?ح ??ڸ⪵Ԧlt;/a>


    ?ÐǑ?ԋŇ??٨? Ǒ?͔??Çԋ҃

    ประวัติ วัดอินทรวิหาร


    • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •​

    เดิมชื่อ วัดอินทาราม หรือ วัดบางขุนพรหมนอก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง แต่มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าอินทร์ หรือ อินทะวงศ์ มีศักดิ์เป็นน้าชายของเจ้าน้อยเขียวเมืองเวียงจันทร์ เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ธิดาของเจ้าอินทะ คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าทองสุก กับเจ้าน้อยเขียว ได้เป็นพระสนมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    ในสมัยนั้น เมืองเวียงจันทร์ยังเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระราชทานที่ดิน แถบที่ตั้งวัดอินทรฯ ในปัจจุบัน ให้เป็นที่อยู่ของชาวเวียงจันทร์ เจ้าอินทร์ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระอรัญญิก ซึ่งมีเชื้อสายชาวเวียงจันทร์ มาปกครองวัด
    มูลเหตุการเปลี่ยนชื่อ

    ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าอินทร์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถส่วนการเปลี่ยนชื่อเพราะเนื่องจากชื่อวัด ไปตรงกับวัดอินทาราม (ใต้) ฝั่งธนบุรี จึงได้เปลี่ยนเป็น วัดอินทราวิหาร เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๖
    พระพุทธรูปที่สำคัญ ของวัดอินทรวิหาร

    ๑. พระประธาน ในพระอุโบสถ
    ๒. พระศรีสุคต อังคีรสศากยมุนี
    ๓. พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือ หลวงพ่อโต
    ความสัมพันธ์ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ภู

    พระศรีอริยเมตไตรย์เป็นพระพุทธยืนอุ้มบาตร สูงใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และหลวงปู่ภู เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ
    ปกติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านมักจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่โต สมกับชื่อเพื่อเป็นพุทธบูชา (อุเทสิกเจดีย์) ไว้เป็นที่สักการะบูชา และปริศนาธรรมควบคู่ไปด้วยตามประวัติท่านสร้างไว้หลายแห่งเช่น
    ๑. ที่วัดสะตือ จังหวัดอยุธยา ได้สร้างพระนอน มีความหมายว่า ท่านได้เกิดที่นั่น ต้องนอนแบเบาะก่อน
    ๒. ที่วัดเกศไชโย สร้างพระพุทธรูปปางนั่งหมายถึงท่านหัดนั่ง ณ ที่นั้น
    ๓. ที่วัดอินทรวิหาร สร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ (พระยืนอุ้มบาตร) หมายถึงท่านหัดยืน ณ ที่นั้น
    ในขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโต ท่านก็ได้หลวงปู่ภู เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างพระโต ไปได้เพียงครึ่งองค์ก็สิ้นชีพตักษัยเสียก่อน ตามหลักฐานขณะนั้นหลวงปู่ภูอายุได้ ๔๓ ปี พรรษาที่ ๒๓ นับว่าชราภาพมากแล้ว

    ความสัมพันธ์ของเจ้าประคุณสมเด็จโตกับวัดอินทรวิหาร

    เมื่อเยาว์วัยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ (โต) ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในสมัยนั้นตามหลักฐาน ท่านเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) มีความใกล้ชิดกับเจ้าประคุณสมเด็จดี ได้เคยกล่าวกับพระยาทิพโกษาฯ ว่าถ้าอยากรู้ประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็ไปดูภาพฝาผนังโบสถ์ที่วัดอินทรฯ ได้
    นอกจากนี้ในสมัยที่หลวงปู่ภูยังมีชีวิตอยู่ท่านได้สั่งกำชับ และสอนลูกศิษย์ทุกคนห้ามมิให้ขึ้นไปบนพระโต เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จได้บรรจุของดีไว้ภายในฐาน ถ้าใครขึ้นไปจะเป็นอัปมงคลแก่ตัวเอง ส่วนของดีนั้นเข้าใจว่าอาจจะเป็นพระเครื่องสมเด็จก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าซักถามหลวงปู่ว่า ภายในบรรจุอะไรไว้ เพราะตลอดระยะเวลา ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโตและบรรจุของศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ได้รู้เห็นโดยตลอด ถ้าของที่บรรจุไว้ไม่ใช่ของสูงท่านคงไม่กำชับลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นแน่

    เอาละครับตอนนี้ข้าพเจ้าขอนำท่านผู้อ่านได้มารู้จักกับชีวประวัติของพระครูธรรมานุกูล

    พระครูธรรมานุกูล นามเดิมชื่อว่า ภู เกิดที่หมู่บ้านตำบลวังหิน อำเภอเมือง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ตรงกับปีขาลโดยบิดามีนามว่า นายคง โยมมารดามีนามว่า นางอยู่ พออายุได้ ๙ขวบ บิดามารดาได้พาไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าคอย ได้ศึกษาเล่าเรียกอักขระสมัย (ภาษาขอม) และหนังสือไทย กับท่านอาจารย์ วัดท่าแคจนกระทั่งอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ พัทธสีมา วัดท่าคอย โดยมี พระอาจารย์อ้น วัดท่าคอย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามทางพระว่า "จนฺทสโร"
    เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่ สำนักวัดท่าแคชั่วระยะหนึ่งก็ได้ออกเดินธุดงค์ จากจังหวัดตากมาพร้อมกับพระพี่ชาย คือ หลวงปู่ใหญ่
    สำหรับวัดท่าแค ในสมัยที่หลวงปู่ภูจำพรรษาอยู่ นั้นยังเป็นวัดเล็กๆ เข้าใจว่าโบสถ์ยังไม่ได้สร้างท่านจึงได้มาอุปสมบท ที่วัดท่าคอยแล้วกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอีก ปัจจุบันวัดท่าแคนี้ตั้งอยู่ตรงเชิงสะพานกิตติขจรฝั่งตัวจังหวัดตากตำบล เชียงเงิน อำเภอเมือง ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงคราม
    ในสมัยที่หลวงปู่ภูเดิมธุดงค์มากรุงเทพฯ ครั้งแรก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาปักกลดอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งวังบางขุนพรหม (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สมัยนั้นพื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าและเปลี่ยวมาก มีแต่ต้นรังต้นตาลที่ขึ้นระเกะระกะไปหมด นอกจากนี้ยังมีทางเกวียนทางเท้าเป็นช่องเล็กๆ พอเดินไปได้เท่านั้น ท่านได้มาปักกลดอยู่บริเวณชายแม่น้ำเจ้าพระยา พอตกกลางคืนได้นิมิตฝันไปว่า ได้มีคนนำเอาตราแผ่นดินมามอบถวายให้ท่าน ๓ ดวง เมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ได้พิจารณาถึงนิมิตนั้นพอจะทราบว่า ท่านเองจะมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๓ ปีเศษ

    การเดินธุดงค์ของหลวงปู่นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากวัดท่าแคเข้าจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ สันนิษฐานจากคำบอกเล่าของท่านที่ได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ ได้ช่วยชีวิตรักษาคนป่วย เป็นอหิวาตกโรคไว้ ๖ คนซึ่งยุคนั้นถือว่าอหิวาตกโรคร้ายแรงมาก ยังไม่มียาจะรักษาถ้าใครเป็นมีหวังตายลูกเดียว และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นปีที่อหิวาตกโรคระบาดหนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญเรียกกันจนติดปากว่า "ปีระกาห่าใหญ่"

    ต่อมาท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดจักรวรรดิ์ราชาวาสและได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ตามลำดับ

    กาลต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทาราม ซึ่งในสมัยนั้นยังใช้ชื่อวัดบางขุนพรหมนอก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ส่วนสมณศักดิ์ที่หลวงปู่ได้รับไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับตำแหน่งในปีใด เข้าใจว่าได้รับก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพราะตามหลักฐาน ศิลาจารึกเกี่ยวกับการสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
    ถึง พ.ศ. ๒๔๖๓ ท่านพระครูธรรมานุกูล (ภู) ผู้ชราภาพอายุ ๙๑ ปี พรรษาที่ ๗๐ ได้ยกเป็นกิตติมศักดิ์อยู่ในวัดอินทรวิหาร ท่านจึงได้มอบฉันทะ ให้พระครูสังฆบริบาล ปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ

    ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ ปีระกา เวลา ๐๑.๑๕ น. รวมสิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๘๓ พรรษา นับว่าท่านได้ยกเป็นพระครูกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงวันมรณภาพเป็นเวลา ๑๓ ปี

    จากบันทึก จริยาวัตร ของหลวงปู่ภู

    จริยาวัตรซึ่งลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน จนถึงบั้นปลายชีวิตได้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ภูไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางธุดงค์ และการสร้างอิทธิวัตถุมงคลต่างๆ ของท่านไว้สมบูรณ์ที่สุด ผมจะขอนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ท่าน ณ ที่นี้

    การถือธุดงค์เป็นกิจวัตร
    สมัยที่หลวงปู่ยังแข็งแรงดี ท่านจะถือธุดงค์วัตรมาโดยตลอด พอออกพรรษา ท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาดท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่า ได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นบางครั้งบางคราวบางทีท่านออกธุดงค์ก็มีพระภิกษุติดตามด้วยท่านได้เล่าให้ฟังว่า ถึงเรื่องแปลกๆที่ด้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นน่าอ่านมาก

    ผจญจระเข้
    ในสมัยที่เดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ" แต่ท่านมิได้สนใจ ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำเป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ็งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่านแต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกแต่ประการใดไม่ กลับยืนสงบตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนาจนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป มิได้ทำร้ายท่าน
    เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก เข้าไปกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น

    เสือเลียศีรษะ
    ท่านได้เล่าให้ฟัง คราวที่เดินธุดงค์รอนแรมไปในป่าใหญ่เพียงองค์เดียวในขณะที่เดินอยู่กลางป่า ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พร้อมกับร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมาก เพราะท่านออกเดินทางตั้งแต่เช้ายังมิได้หยุดพักเลย พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมทางเกวียนร่มรื่นดี จึงได้หยุดพักอยู่โคนต้นไม้นั้น บังเอิญเกิดเคลิ้มหลับไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปักกลดเพราะคิดว่าจะนั่งพักสักครู่พอหายเหนื่อยก็จะเดินทางต่อไปในขณะที่กำลังหลับเพลินอยู่นั้น ก็มาสดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาเลียอยู่บนศีรษะของท่าน ท่านจึงได้ผงกศีรษะขึ้นพร้อมกับหันหลังไปดู ก็เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่ยาวประมาณ ๘ ศอก ยืนผงาดอยู่แต่มิได้ทำร้ายประกานใด พอเจ้าเสือลายพาดกลอน มันรู้ว่าสิ่งที่มันเลียอยู่นั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้น มันกลับเดินเลยไปเสียมิได้ทำร้าย ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังพร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ว่า ตอนเสือมันเดินผ่านไป ได้ยินเสียงข้อเท้าของมันดังเผาะๆ ในเวลาเดิน

    ผจญงูยักษ์
    เนื่องจากการเดินธุดงค์ของท่าน ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยเลือกเวลา เพราะว่าส่วนมากพระภิกษุองค์อื่นๆ มักจะเดินกันตอนกลางวัน ก่อนตะวันตกดินถึงจะหาสถานที่ปักกลด ส่วนหลวงปู่ภู ท่านมิได้เดินเฉพาะกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนท่านก็ออกเดินด้วยเพราะท่านเชื่อมั่นในตัวเอง อีกทั้งวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา ท่านก็ถือว่า สามารถคุ้มกายท่านได้
    มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ออกเดินธุดงค์ในเวลากลางคืน โดยอาศัยแสงจันทร์ เป็นเครื่องส่องนำทาง แต่ก็ไม่สว่างมากนัก พอจะมองเห็นบ้างทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหน้าไปถึงหมู่บ้านตอนเช้า เพื่อรับบิณฑบาต การเดินทางกลางป่าดงดิบรกรุงรังไปด้วยแมกไม้นานาชนิด อีกทั้งเถาวัลย์ระแกะระกะเต็มไปหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อท่านนัก
    ในขณะที่ท่านกำลังเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ และเสียงใบไม้ดังกรอบแกลบคล้ายเสียงสัตว์เลื้อยคลานผ่านท่านก็หยุดเดิน เพื่อดูให้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร พอท่านหยุดเดินเจ้างูยักษ์ก็โผล่หัวออกมาจากดงไม้ ตัวโตเท่าโคนขาและตรงเข้ารัดลำตัวของท่านโดยรอบ ท่านตั้งสติยืนตรงพร้อมกับเอากลดยันไว้มิได้ล้มลง เจ้างูยักษ์ยันพยายามจะฉกกัดใบหน้าของท่าน แต่ท่านได้สติ ยืนนิ่งทำสมาธิจิตเจริญภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้างูใหญ่ตัวนั้นมันก็คลายจากการรัดร่างของท่านแล้วเลื้อยเข้าป่ารกไป มิได้ทำอันตรายแก่ท่าน

    อธิษฐานบาตรลอยทวนน้ำ
    สำเร็จสุดยอดต้องใช้เวลา ปฏิบัติวิชาละ ๑๐ ปี จะเสกน้ำมนต์ให้เดือดได้ ต้องเรียนถึง ๑๑ ปี เต็มฉะนั้นการศึกษาวิชาอาคมของท่าน กว่าจะสำเร็จจะต้องใช้เวลาถึง ๗๑ ปีเต็ม

    กิจวัตรประจำวัน
    ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ภูมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้ใช้เวลาให้ว่างเปล่า ทุกเวลาของท่านมีค่ามาก มุ่งหน้าปฏิบัติมีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมา ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่กำลังทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บนับว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงส่ง
    การที่ท่านมุ่งมั่นเรียนวิชา ดูเมฆ หรือเรียกกันว่า วิชาเมฆฉาย ในพจนานุกรม หมายความว่า "การอธิษฐาน" โดยบริกรรมด้วยมนต์คาถาจนเงาของคนเจ็บลอยขึ้นไปในอวกาศ แล้วพิจารณาดู คนเจ็บนั้นเป็นอะไร
    ส่วนวิชากสิณนั้นหมายถึง อารมณ์ที่กำหนดธาตุทั้งสี่ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย อัน มีวรรณ ๔ คือ นีล ปีต โลหิต โอกทาต อากาศแสงสว่าง ก็คือ อาโลกกสิณ
    ซึ่งวิชาทั้งสอง ที่ท่านได้เพียรพยายามศึกษาเมื่อมุ่งช่วยเหลือมวลมนุษย์ ที่ประสบเคราะห์กรรมเป็นต้น
    การบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากท่านได้ฉันจังหันแล้ว คือเวลา ๗.๐๐ น. ตรง ตลอดชีวิตท่านฉันเพียงมื้อเดียว(ถือเอกา)มาโดยตลอด ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ คือ กล้วยน้ำว้าท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย
    ท่านออกบิณฑบาตทุกวัน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ที่พึงปฏิบัติทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ ได้จัดอาหารมาถวายทุกวันแต่ท่านก็ได้บอกว่า การออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นกิจของสงฆ์

    เมื่อท่านฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดานประตู เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่าน จะเจริญพุทธมนต์ถึง ๑๔ ผูก วันละ ๗ เที่ยวแล้วจึงนุ่งวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนถึงเที่ยวทุกๆวัน ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ขณะที่นั่งกรรมฐานอยู่พอได้เวลาเที่ยง ทางการจะยิงปืนใหญ่ (เพื่อบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว)ในขณะที่ยิงปืนใหญ่ กูหงายหลังทุกทีพอท่านพักได้ชั่วครู่ก็จะบำเพ็ญเจริญภาวนาต่อไปจนถึงตีหนึ่ง จึงจะจำวัด
    ถึงแม้ตอนท่านชราภาพ ท่านก็มิได้ขาดจากการลงทำวัตร เว้นแต่ท่านอาพาธหนักจนลุกไม่ไหวท่านก็เจริญวิปัสสนา โดยการนอนภาวนา ซึ่งในพระธรรมวินัยได้กล่าวไว้ เรื่องวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติด้วยอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปฏิบัติได้ เป็นต้น
    ท่านเคยเปิดก้นให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับถามลักษณะก้นของกูเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าก้นหลวงปู่ด้านเหมือนกับก้นของลิง หรือเสน ท่านจึงได้บอกว่า "ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ดี แล้วจะดีเมื่อไหร่ คนที่เป็นอาจารย์เขา "จริง" อย่างเดียวไม่พอต้อง "จัง" ด้วยคือต้องทั้งจริงและจังควบคู่กันไป (ต้องรู้แจ้งแทงตลอด)

    หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

    ในคราวที่ทางการได้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ แล้วเสร็จทางการได้จัดงานเฉลิมฉลองได้มีข่าวลือกันหนาหูว่า จะมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบบประชาธิปไตยและจะมีการนองเลือด ข่าวนี้ได้ลือกันแพร่สะพัดมาเป็นเวลาแรมเดือน ก่อนที่จะกำหนดงานจนผู้คนแตกตื่นเกรงกลัวกันมาก พอมีงานเฉลิมฉลองสะพานบางคนก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปเที่ยง ทางการก็ได้สั่งเตรียมพร้อม เพื่อรับสถานการณ์
    ในขณะนั้นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ในใจก็อยากจะไปเที่ยวดูงาน เพราะมีมหรสพการแสดงหลายอย่างแต่ก็ไม่กล้าไป จนกระทั่งเวลา ๖ โมงเย็นจึงได้อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็คลานเข้าไปหาหลวงปู่ นั่งพัดให้ท่านจนหลวงปู่รู้สึกหนาว จึงได้ดุศิษย์ผู้นั้นว่า "หยุด กูไม่ร้อน ต่อไปพวกมึงซิจะร้อน" แต่ศิษย์ผู้นั้นหาได้ฟังไม่ กลับพัดอยู่ต่อไปท่านจึงได้หันมาดุเอาอีก "เอ๊ะอ้ายนี้แปลก วันนี้ทางการบ้านเมืองเขามีงานมีการที่สะพานพุทธฯ มีโขนมีลิเกกันทำไมมึงเป็นหนุ่มเป็นแน่นไม่ไปเที่ยวกันละวะ ดันทุรังนั่งพัดอยู่ได้ กูบอกไม่ร้อน แต่พวกมึงจะร้อนไปดูงานเถอะไป"

    ศิษย์ผู้นั้นก็ตอบว่า "ผมไม่ไปละครับผมกลัวเขาลือกันว่าจะมีเรื่อง" เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ไป ไป๊ ไปดูงานให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องห่วงกู มึงนับถือกูไหมล่ะ ถ้านับถือกู มึงต้องรีบไปได้แล้ว กูว่าเรื่องที่ว่าไม่มี" ศิษย์ผู้นั้นจึงได้กราบลาท่านออกไป เที่ยวงานฉลองสะพานพุทธฯ
    หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นได้ไปเที่ยวงานกลับตอนตีหนึ่งเศษ ท่านยังไม่จำวัดจึงได้เข้ากราบท่าน ท่านก็สอบถามว่า มีการยิงกันตามข่าวลือหรือไม่ ศิษย์ได้เรียนท่านว่า ไม่มีครับ ท่านจึงได้พูดต่อไปว่า "อ้ายคนเดี๋ยวนี้มันพูดกันไปจริง" แล้วท่านก็หยุดนิ่งสักครู่จึงได้พูดต่อไปอีกว่า "เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งเถอะมึงเอย ตูมเบ้อเร่อทีเดียว" ศิษย์คนนั้นก็สอบถามท่านอีกจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือหลวงปู่ ท่านก็เพียงบอกว่า "มึงคอยดูไป มึงคอยดูไป"
    คำกล่าวของหลวงปู่นั้น ต่อมาปรากฏว่า เป็นความจริงตามที่ท่านได้กล่าวไว้ คือได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการต่อสู้กันที่วังบางขุนพรหม ในเวลาย่ำรุ่งและยังมีการต่อสู้อีกหลายแห่ง ตรงกับที่ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่าเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำเวลาย่ำรุ่ง
    พอรุ่งเช้าลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ แต่งตัวเข้าไปรายงานตัว แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าไปทำงานได้ จึงกลับมาหาหลวงพ่อเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านกลับลุกขึ้นไปหยิบจีวรคลุมศีรษะโผล่หน้าออกมา ให้เห็นเพียงนิดเดียว แล้วพูดขึ้นว่า "กูว่าแล้วนะปะไร" พอพูดจบท่านก็หัวเราะ สักครู่หนึ่งน้ำตาท่านได้ไหลซึมออกมาจากเบ้าตา (เข้าใจว่าคงจะสงสารกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน ในพระที่นั่งอนันตสมาคม) ท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "เออกูได้ทางแล้ว กูได้ทางแล้ว"

    บอกใบ้ม้าแข่ง

    พูดถึงเรื่องม้าแข่ง ซึ่งผู้คนติดกันชนิดถอดตัวไม่ขึ้น ในสมัยนั้นมีศิษย์ของหลวงปู่ก็ติดม้ากันงอมแงม พอจะถึงวันแข่ง ก็ได้นัดหมายเพื่อนมานั่งปรนนิบัติหลวงปู่ ขณะนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน ซึ่งหลวงปู่กำลังอารมณ์ดีอยู่ ท่านได้พูดขึ้นลอยๆ ว่า "อ้ายคนสมัยนี้ก่อนเวลาตายเขาเอาใส่โกศทอง เขาไม่ได้ใช้หีบไม้ เขาไม่เสียดายเขาใส่โกศทองจริงๆ นะมึงนะ โกศทองจริงนะมึงนะ" ท่านได้พูดซ้ำซากอยู่หลายครั้งหลายหน ศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้ว่าท่านบอกใบ้ให้เพราะทุกคนรู้ว่าท่านมีญาณสูงสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้
    พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ทั้งสองจึงได้ชวนกันเข้าสนามม้า จ้องดูว่าม้าตัวไหนสีเหลือง ในขณะนั้นได้มีจ๊อกกี้ของคอกพระปฎิพัทธภูบาล ใส่เสื้อสีเหลือง อยู่เพียงคนเดียวจึงได้ทุ่มซื้อแต่ก็ผิดหวังเพราะไม่เข้าหลักชัย พอเที่ยวที่สองก็แทงอีก แต่ไม่เข้าสักตัวเล่นเอาทั้งสองต่างเหงื่อกาฬแตก เพราะหมดเงินและนึกในใจที่หลวงปู่บอกใบ้มาผิดหมด พอเที่ยวที่ ๗ ม้าคอกนี้ก็เข้าแข่งอีก เป็นม้าเทศ แต่ข่าวว่าม้าตัวนี้เจ็บป่วยอีกทั้งตามประวัติไม่เคยชนะเลย พอม้าตัวนี้ลงสนามจึงไม่มีใครสนใจ แม้แต่ศิษย์ทั้งสองก็ไม่สนใจเช่นกัน แม้แต่ชื่อของม้าตัวนั้นก็ไม่สนใจ จนเสร็จสิ้นการแข่งขันม้าตัวนั้นก็ชนะแบบขาดลอย แต่มีชาวจีน ๒ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทงไว้คนละใบ ถูกวิน ศิษย์ทั้งสองจึงได้ขอดูชื่อม้าตัวนั้น ก็ตกใจ เพราะมันชื่อ "โกลเด็นเอิร์น" ซึ่งแปลว่า "โกศทอง" ตรงกับที่หลวงปู่กล่าวไว้

    หลวงปู่ต้องย้ายไปอยู่หลายวัด หวย ก.ข. หวยจับยี่กี เป็นเหตุ
    ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้อนุญาตให้ประชาชนเล่นหวย กันโดยชอบด้วยกฎหมาย ชาวบ้านต่างมุ่งหน้าเข้าหาพระเกจิอาจารย์ เพื่อขอหวยหวังเสี่ยงโชคตอนนั้นใครๆ ต่างเล่าลือกันว่าหลวงปู่ภูให้หวยแม่น ใครๆ ก็มุ่งหน้ามาขอหวยจากท่าน จนท่านเกิดความรำคาญ ที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมท่านจึงได้หลบไปจำพรรษาที่วัดโมลีฯ วัดสระเกศฯ วัดม่วงแค วัดสามปลื้มฯ บ้าง
    ในคราวที่ท่านหลบมาจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกฯ (ท้ายตลาด) ได้มีชายคนหนึ่งมาขอหวยท่านได้ปฏิเสธชายคนนั้นว่า "ไม่มี" แล้วท่านก็นั่งเจริญภาวนาต่อไป มิได้สนใจชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็มิได้ละความพยายามนั่งเฝ้ารออยู่ตรงนั้น พอนานเข้าก็พูดขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขอไอ้ที่แน่ๆ สักตัวครับ"
    ถึงจะพูดอย่างไรท่านยังคงนิ่งเจริญภาวนาไปเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็พูดซ้ำซาก จนท่านรำคาญหรือเกิดขัดใจอะไรไม่ทราบได้ ท่านได้ลุกขึ้นพร้อมกับเตะชายคนนั้น ตกลงไปจากหอไตรพร้อมกับพูดว่า "นี่แนะ ไอ้ที่แน่" ถึงชายคนนั้นจะถูกเตะตกหอไตร แต่ก็มิได้รับอันตรายและคิดเอาเองว่าหลวงปู่ใบ้หวยให้ จึงได้ตีกิริยาอาการของท่านว่าหมายถึง ต.เรือจ้าง ชายคนนั้นรีบกลับไปแทง วันนั้นหวยออก "ต.เรือจ้าง" นับว่าอัศจรรย์มาก

    หยั่งรู้อนาคตและอดีต

    ในสมัยนั้นข้าราชการส่วนมากนิยมตั้งคอกม้า มีข้าราชการชั้นโท ผู้หนึ่งก็ตั้งคอกม้าขึ้นได้เดินทางมากับเพื่อนเพื่อมาหาหลวงปู่ คิดว่าจะสอบถามท่านถึงการดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ในขณะที่ทั้งสองเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันได้บอกอะไร หลวงปู่กับพูดขึ้นก่อนว่า "ฉิบหายจ๊ะไม่ได้การดอก" แล้วท่านก็นิ่งเงียบ ชายทั้งสองจึงขอให้ท่านลงกะหม่อมให้แล้วกราบลาท่านออกมา ต่อมาอีกไม่นานคอกม้าของชายคนนั้นทุกครั้งที่ลงแข่งจะแพ้ทุก จนต้องเลิกกิจการไป เป็นจริงตามคำทำนายของท่านทุกประการ

    มีเมตตาธรรมสูง
    ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านได้บันทึกคุณธรรมท่านไว้ ดังที่ข้าพเจ้าจะขอนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย
    "ก่อนข้าฯ เป็นศิษย์ได้ถวายตัวเป็นลูกรับใช้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ข้าฯ ได้เห็นองค์ท่านช่วยทุกข์แก่สัตว์มนุษย์ทุกรูปวัยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เสมอต้นหมดแม้จะเป็นเจ้า หรือขุนนางชั้นสายสะพายทองก็ตาม ตลอดจนยาจนเข็ญใจข้าฯ จึงปลาบปลื้มในองค์ท่านมิรู้หาย ตราบเท่าทุกวันนี้"
    เรื่องการรักษาโรค ท่านเชี่ยวชาญมาก แต่ละวันจะมีผู้คนที่เจ็บไข้ไปหาท่าน ให้ช่วยรักษาปัดเป่าจนหายเช่น การรักษาฝีท่านจะถามว่า "จะเอาแตกหรือจะเอายุบ" แล้วท่านจึงรักษาให้ตามประสงค์ แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์มากถ้าใครบอกว่าเอาแตกพอท่านรักษาเสร็จ คนไข้พอเดินยังไม่พ้นวัด ฝีจะแตกทันที
    มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านป่วยจนไข้ขึ้นสูง เพราะไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน หมอที่เป็นศิษย์บอกว่าจะต้องรักษาด้วยการสวนทวาร เพื่อให้ถ่ายจะได้ลดไข้ แต่ท่านก็ไม่ยอมให้สวน กลับบอกให้ลูกศิษย์ให้ไปหามะตูมมาหนึ่งลูก พร้อมกับผ่ามะตูม ท่านจึงตักมะตูมฉันไป ๓ ช้อน ส่วนที่เหลือให้ลูกศิษย์กิน พอเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านก็ลุกไปถ่ายอุจจาระไข้จึงลดลง พอลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็เกิดวิตกเพราะตนกินมะตูมผลนั้นไปมากกว่าหลวงปู่ แต่ปรากฏว่าศิษย์ผู้นั้นกับท้องผูกไปสามวัน ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกำหนดจังหวะและเวลา"

    ทดสอบหมอ
    มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะนั้นท่านอารมณ์ดี จึงได้พูดกับศิษย์ว่า "เขาว่ามึงเป็นหมอหรือ" ศิษย์คนนั้นเป็นนายแพทย์ได้ตอบท่านว่า "พอมีความรู้"ท่านก็ถามต่อไปว่า "มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ได้" ท่านจึงนอนลงพิงหมอนขวานแล้วบอกให้ศิษย์ตรวจลม หมอคนนั้นได้เอามือจับชีพจรด้ายซ้ายแต่ไม่พบ เพื่อจับเหนือสะดือก็ไม่พบจนเวลาล่วงไปประมาณ ๒๐ นาที ก็ยังตรวจไม่พบ ท่านจึงสะบัดมือพร้อมกับพูดว่า "ยังไง มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่าตรวจไม่พบ ท่านจึงบอกว่า
    "ยังงั้นมึงก็หมอลากข้าง นี่แหละเขาเรียกว่าลมกองละเอียด เขาทำให้เดินตามผิวหนังเท่านั้น มันยากหรือง่ายวะ"

    หลวงปู่ภูมีเมตตาสูง
    แม้แต่สัตว์ทุกชนิดยังไม่เกรงกลัว แต่ละตัวเชื่องมาก ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ จะมีอีกาบินมาเกาะต้นพิกุล ตอนเช้าพอท่านฉันจังหันเสร็จ มันก็จะบินมาเกาที่หน้าต่างกุฏิท่านจะปั้นข้าวสุกเสกแล้วยื่นให้มันกิน พอมันคาบข้าวสุกปั้นก้อนนั้น ท่านจะเอามือตบหัวมันเบาๆ แล้วมันก็จะบินออกไป เป็นเช่นนั้นอยู่ประจำ
    ที่กุฏิของท่านจะมีไก่วัดมาอยู่บริเวณหน้ากุฏิท่านจำนวนมาก วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินมาหน้ากุฏิ ยืนดูลูกไก่ที่เพิ่งออกจากไข่ใหม่ๆ ท่านให้ศิษย์เอาข้าวสารมา ๑ กำมือ พร้อมกับโปรยให้ลูกไก่กิน และยืนดูอยู่สักครู่แล้วจึงออกเดินพร้อมกับพูดว่า "กูไปละนะ กุ๊กๆ" ลูกไก่กลับวิ่งตามท่าน เมื่อท่านเห็นดังนั้นจึงพูดว่า "เจ้ามาตามกูทำไมไปอยู่กับแม่มึง" ลูกไก่ถึงได้วิ่งกลับไปอยู่กับแม่ไก่
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความสัมพันธ์ หลวงปู่ภู กับท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต)
    กล่าวว่าหลวงปู่ภู ในคราวที่ออกธุดงค์ ส่วนมากจะร่วมเดินธุดงค์รุกขมูลกับเจ้าประคุณสมเด็จโต และหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายเสมอ ถึงแม้ว่าท่านอยู่ที่วัดอินทรฯ พอมีเวลาว่างท่านก็จะข้ามไปหาประสมเด็จฯ เสมอจนเป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จโตตลอดมา
    เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จได้มาสร้างพระศรีอริยเมตตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ที่วัดอินทร์ฯ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จก็ได้มอบหมายให้หลวงปู่ดำเนินแทน มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนที่ก่อสร้างพระเจดีย์ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ(โต) ท่านไปตรวจดูขณะที่เดินนำหน้าหลวงปู่ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่พระเจดีย์ซึ่งโบกปูนเสร็จใหม่ๆ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่ฐานล่างของพระเจดีย์ พร้อมกับพูดว่า
    "คุณภู จัดการเสีย"
    หลวงปู่รับคำพร้อมกับเดินไปตามช่าง ให้มาเอาปูนออก พอช่างเอาปูนออกภายในเป็นโพรงเล็กๆ มีคางคกอาศัยอยู่ในนั้นสิบกว่าตัวถ้าปล่อยทิ้งไว้ มีหวังคางคกตายหมด

    [​IMG]

    [​IMG]


    มีบางครั้งที่หลวงปู่ภู จะข้ามไปลงโบสถ์ทำวัตร ที่วัดระฆัง กับสมเด็จ(โต) เสมอ วันหนึ่งขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ทำวัตรเสร็จได้เดินออกมาจากพระอุโบสถ โดยมีหลวงปู่ภูเดินตามหลัง พอเดินมาถึงตรงเจดีย์หน้าโบสถ์ซึ่งสร้างใหม่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้หยุดตรงหน้าเจดีย์ พร้อมกับหันไปมองหน้าหลวงปู่ภู และหัวเราะ "ฮึๆ " ในลำคอ ด้วยญาณสมาบัติถึงกันหลวงปู่ตอบว่า "ครับ พระคุณท่าน อ้ายคางคกสองผัวเมีย มันกำลังจะหมดลม ใกล้จะสิ้นใจแล้วครับ"
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงพูดว่า "นั่นซิ" แล้วสั่งให้พระเณรนำจอบเสียมและชะแลง มาขุดเจาะช่องพระเจดีย์ ปรากฏว่าภายในช่องมีคางคกคู่หนึ่งจริงๆ นับว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และหลวงปู่ภูมีญาณวิเศษ คือการบำเพ็ญสมาธิ จนได้เกิดทิพย์จักษุญาณ "ตาทิพย์" สมกับคำพังเพยได้กล่าวไว้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ฉันใด อาจารย์ดี ลูกศิษย์ย่อมจะดี

    ชุบชีวิตคนที่ตายแล้ว
    ในสมัยที่โรคห่าระบาด (อหิวาตกโรค) ผู้คนป่วยเป็นโรคนี้ล้มตายกันเป็นเบือ เพราะในตอนนั้นยังไม่มียาที่จะรักษาได้ ในยุคนั้นคนกรุงเทพฯ ที่ป่วยเป็นโรคนี้พอเสียชีวิต จะนำศพไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าวัดสระเกศมากมาย จนสัปเหร่อต้องแล่เนื้อโยนให้นกแร้งกิน แล้วเอากระดูกมาเผาหรือฝัง เหตุที่ผู้คนตายกันเป็นจำนวนมากทุกศพที่นำมาโยนในป่าช้าจนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว นกแร้งต่างมาชุมนุมกันอยู่ที่วัดสระเกศ จนชาวบ้านขนานนามว่า แร้งวัดสระเกศฯ เปรตวัดสุทัศน์ฯ
    ขณะที่เกิดโรคห่าระบาด หลวงปู่ภูได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ พอตกกลางคืน ท่านจะออกมาเดินจงกรมพิจารณาซากศพเรียกว่าปฏิบัติ "อสุภกรรมฐาน" พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ อีกทั้งหลวงปู่ ได้เรียนวิชาทำไม้เท้าพ่อครูขณะที่เดินธุดงค์ท่านได้ตัดไม้จากกอไผ่ที่ช้างโขลงผ่านทั้งกอ นำมาเก็บไว้ เพื่อจะจิ้มศพคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ให้ครบ ๗ ศพ
    มีอยู่หนหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่จุดเทียนเดินเข้าป่าช้า มีกองศพอยู่มากมาย ท่านได้เอาเทียนส่องดูตามทวารของศพ เมื่อท่านเห็นศพใดทวารหนักยังเปิดก็ปล่อยไว้ตามเดิมปรากฏว่าคืนนั้นท่านคัดศพที่ทวารเปิด ได้ ๖ ศพท่านจึงประกอบ พิธีทำน้ำมนต์ ที่หน้าโกดังศพ แล้วเอาน้ำมนต์กรอกใส่ปากของคนตายทั้ง ๖ และนั่งดูอาการอยู่จนกระทั่งตีห้า ปรากฏว่าร่างทั้ง ๖ ค่อยๆ เคลื่อนไหวฟื้นขึ้นมา
    เมื่อท่านเห็นว่าร่างทั้ง ๖ คนฟื้นคืนสติแล้วท่านก็ให้เด็กวัดช่วยกันนำมาที่กุฏิ และให้เด็กนำข้าวสารมาเสก พร้อมกับให้เด็กนำไปหุงข้าวต้มมาหยอดคนป่วยกินจนหมดทั้งหกคน จนผู้ป่วยหายดีแล้ว จึงได้กราบนมัสการลาท่านกลับบ้าน นับว่าท่านมีบุญฤทธิ์ สามารถช่วยคนตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้

    เมตตาศิษย์ เสกสีผึ้งให้
    มีลูกศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่คนหนึ่งได้ไปหลงรักสตรีผู้หนึ่งมีรูปร่างงดงาม อีกทั้งฐานะก็ดี แต่สตรีคนนั้นมิได้สนใจใยดี เพราะมีหนุ่มฐานะดีมาติดพันกันมาก หลวงปู่ได้สังเกตเห็นศิษย์ของท่านหงอยเหงาผิดปกติ ท่านจึงสอบถามพอรู้สาเหตุ ท่านบอกว่าจะช่วยแต่มีข้อแม้ต้องสัญญาว่า เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว ต้องอุปการะเลี้ยงดูไม่นอกใจเขา ถ้าให้สัญญาได้จะช่วยเหลือ พอศิษย์ได้ฟังก็ดีใจ รับปากตามข้อสัญญาทุกประการ ท่านจึงให้ไปหาซื้อสีผึ้ง เมื่อศิษย์ผู้นั้นได้ฟังถึงกับงง เพราะไม่เห็นท่านเสกอะไรเลย แต่ก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อสีเสร็จแล้วท่านสั่งให้ไปที่บ้านหญิงคนรักในขณะนั้นเป็นเวลา ๓ ทุ่มเศษ ร้านค้าของหญิงคนรักยังไม่ปิด เมื่อเขาไปถึงได้เห็นหญิงที่ตนรักกำลังคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่ง นุ่งผ้าม่วงใส่เสื้อแพรซัวตัง (สมัยนี้นั้นนิยมกันมาก ผ้าแพรจีน) ติดกระดุมทองคำห้าเม็ด มีรถฟอร์ดตอนเดียวประทุนผ้าใบ จอดเทียบอยู่หน้าร้าน และเห็นที่คนรักกำลังพูดคุยกับชายหนุ่ม ด้วยความสนิทสนม ด้วยความเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่ที่ให้สีผึ้งทาปากมา ศิษย์ผู้นั้นจึงเดินเข้าไปหาใกล้ๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "คุณครับ ผมรักคุณ" แทนที่หญิงคนรักจะยิ้ม หรือพูดจาตามปกติ กลับหันมาด้วยความโกรธ พร้อมกับพูดว่า "บ้า" แล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไป
    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ศิษย์ผู้นั้นก็เสียอกเสียใจ รีบขึ้นรถลาก (รถเจ็ก) กลับวันอินทร์เข้าไปนั่งเศร้าอยู่ใกล้ๆ หลวงปู่ พอท่านเห็นศิษย์กลับมาหน้าเศร้า ท่านก็หัวเราะแล้วถามว่า "ว่ายังไง วะ เรียบร้อย สมหวังใช่ไหม" ด้วยความโมโห ศิษย์ผู้นั้นตอบไปว่า "ครับเรียบร้อยครับ เขาว่าผมบ้า" หลวงปู่ก็ได้ตอบสวนขึ้นทันควัน
    "อ้ายโง่ ก็มึงยังไม่ได้ใช้สีผึ้งที่ให้มานี้สีปาก มึงมันดื้นรั้น โง่ที่สุด เดี๋ยวกูไม่ช่วยเสียนี่ แต่เอาเถอะเมื่อชาติปางก่อนมึงทำบุญร่วมกันไว้กูจะช่วย เอาสีผึ้งมาสีใหม่ เอ้าสีจากซ้ายไปขวาอย่าข้ามศูนย์ปาก"
    เมื่อท่านเห็นศิษย์สีปากเสร็จ จึงได้สั่งว่าถ้าไปถึงบ้านหญิงคนรักให้พูดว่า "รักแต่ไม่มีเงินขอ มีแต่กระดูก" พร้อมกับกำชับให้พูดอย่างเดียว ห้ามพูดอย่างอื่นเป็นอันขาด เมื่อศิษย์ได้ฟังดังนั้น ก็รีบกราบลาหลวงปู่ ขึ้นรถลากมุ่งหน้าไปที่บ้านหญิงคนรักอีกครั้ง
    พอไปถึงเห็นหญิงคนรักกำลังเดินลงบันได จากชั้นบนลงมาชั้นล่างศิษย์ของท่านจึงเข้าบ้าน กรากเข้าไปจับมือเอาดื้อๆ พร้อมกับพูดตามที่ท่านสอนเอาไว้ว่า "รัก ไม่มีเงินขอ มีแต่กระดูก" เมื่อพูดจบ หญิงคนรักกลับหน้าแดงและเม้มริมฝีปาก พร้อมกับยิ้มและพูดว่า "คุณพูดจริงหรือเล่น" ศิษย์ก็พูดแบบเดิมซ้ำอีก โดยไม่คาดฝันหญิงผู้นั้นร้องสั่งเด็กรับใช้ว่า "นี่หนู ไปบอกคุณหลวงที่หน้าบ้านว่า ฉันไม่ไปดูละครแล้ว ปวดศีรษะอยากนอนพักผ่อนมากกว่า" ต่อมาไม่นานหญิงคนนั้นก็ได้แต่งงานกับศิษย์ของท่านสมหวัง

    ปราบผีเปรต
    ในคราวที่ท่านเดินทางมาอยู่ที่วัดอินทร์ ฯ ใหม่ๆ ท่านมิได้อยู่ที่กุฏิท่านพักที่ศาลาเก็บศพ ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านและพระภิกษุสามเณรต่างก็รู้กันทั่วว่า สถานที่นั้นผีดุ มักจะมาปรากฏกายหลอกหลอนผู้คน จนไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านตอนกลางคืน ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า ตอนที่มาพักอยู่ใหม่ๆ พอตอนกลางคืน ท่านจะนั่งเจริญกรรมฐาน จะมีผีสองตนมารบกวนต่างๆ นานาเป็นต้นว่า ทำให้เกิดเสียงดังโครมคราม บางทีก็ปรากฏกายน่าเกลียดน่ากลัว เจ้าหัวหน้าหัวมันแดง อีกตนหัวดำ จนท่านรำคาญไม่ไหว จึงได้เดินไปที่โลงศพหยิบเอากะโหลกศีรษะออกมา พร้อมใช้ขวานฟันจนกะโหลกแตก แล้วจึงนำกะโหลกลงคาถากำกับไว้ แล้วจึงประกบเข้าให้เหมือนเดิน หลังจากนั้นอ้ายผีทั้งสองก็ไม่ปรากฏกายมาหลอกหลอนผู้ใดเลย

    ทดสอบพลังจิตยกครก
    ตอนที่สร้างพระผง ขณะนั้นท่านชราภาพมาก จะลุกจะเดินไม่ค่อยไหว ท่านก็อาศัยลูกศิษย์ช่วยกันตำผงพระ ขณะนั้นได้มีลูกศิษย์ ๔-๕ คนกำลังช่วยกันโขลกผงอยู่หน้ากุฏิ ครกที่โขลกใหญ่มากเป็นหินขุด เวลาจะยกต้องใช้กำลังคนถึง ๔-๕ คนในขณะที่ลูกศิษย์กำลังโขลกอยู่ท่านอยากจะดูว่าผงจะใช้ได้หรือยัง ท่านจึงบอกกับศิษย์ว่า "พวกมึงแข็งแรง ช่วยกันยกครกนั่นมาเทียบกับเตียงกูซิ อยากดูเนื้อว่าจะใช้ได้หรือยัง"
    พวกบรรดาศิษย์ต่างก็ช่วยกันยกครกมาที่ข้างเตียงท่าน พร้อมเหนื่อยหอบท่านก็หัวเราะชอบใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
    "อ้ายพวกนี้ แข็งแรงหนุ่มๆ แน่นๆ เสียเปล่าไม่เห็นได้ความ เรี่ยวแรงไปไหนกันหมดกูอายุตั้งร้อยยังดีกว่าพวกมึงเป็นไหน---ไหน"
    ว่าแล้วท่านก็เอามือจับปากครกยกชูขึ้นขนาบศีรษะท่านอยู่ครู่หนึ่ง จึงวางครกลงแล้วหัวเราะชอบใจ พร้อมกับบ่นอุบอิบว่า "เสียข้าวสุก พวกมึงสู้คนแก่ไม่ได้" ลูกศิษย์ที่อยู่ในที่นั้นต่างตกตะลึงกันทั่ว ที่เห็นหลวงปู่ทำไมถึงมีพละกำลังน่าอัศจรรย์เช่นนั้น จึงได้สอบถามท่านทำไมถึงไม่หนัก ท่านก็พูดว่า "เมื่อของมันหนัก ก็ทำให้เบาเหมือนลมเสีย มันก็หายหนัก"

    แขกทดสอบวิชา
    ตามปกติ ทุกๆ วันเมื่อหลวงปู่พอมีเวลาว่างจะต้องลงไปกวาดลานวัดหน้ากุฏิ วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่จู่ๆ ก็บังเกิดเสียงดัง "เพี๊ยะ" ท่านจึงยกไม้กวาดรับแต่คราวนี้ท่านต้องสะบัดรับแรงหน่อย เพราะของที่ท่านใช้ไม้กวาดตวัดรับ มันกระเด็นไปตกที่ตรงกลางบริเวณนอกชานกุฏิ ท่านจึงเดินขึ้นกุฏิพร้อมกับเรียกเด็กวัด ให้เอาไม้ไผ่มาคีบของที่ตกลงมานั้นเป็นเนื้อวัวตรงสะโพกก้อนใหญ่ นำไปใส่ในอ่างย้อมผ้าพร้อมกันนั้นท่านก็ได้นำน้ำมนต์ราดไปบนก้อนเนื้อสดนั้น และบอกเด็กๆ ว่า "เอ้า ลาภปากของพวกมึงเอาไปย่างกินเสีย ต่อไปนี้พวกเอ็งได้ยินเสียงอะไรผิดสังเกต อย่าได้ทักเป็นอันขาดเดี๋ยวจะพากันลำบาก กูขี้เกียจแก้"
    และเป็นที่น่าอัศจรรย์ พอวันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ ก่อนที่ท่านจะฉันจังหัน ได้มีชายแปลกหน้า ๓ คนนุ่งโสร่งใส่หมวกแบบผู้นับถือศาสนาอิสลาม ได้แบกสำรับกับข้าวพร้อมด้วยขนมหวานมาถวายท่าน พร้อมกับก้มลงกราบและพูดขึ้นว่า
    "ขออภัยในการที่พวกกระผมได้ล่วงเกินนะครับหลวงตา หลวงตานี่เก่งจริงๆ พวกผมนับถือ"
    ท่านได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบแต่ประการใดเพียงแต่นั่งอมยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูไม่เดือดร้อนอะไร นี่เป็นแขกเหรื่อ กราบไหว้พระ เอาของมาถวายพระ ไม่สู้ดีนะยะ ไม่สู้ดีนะยะ แขกเขาถือไม่ใช่หรือ"

    หายตัวเข้าโบสถ์ทางรูดาน
    มีเรื่องเล่าจากศิษย์ใกล้ชิดของท่านว่า ทุกวันถ้าเขาหยุดงาน จะต้องเดินทางไปปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ประจำ วันนั้นเป็นวันเสาร์ เขาก็ไปหาท่านแต่เช้า เมื่อท่านฉันจังหันเช้าเสร็จก็ห่มจีวรรัดอก(ห่มดอง) จึงได้สอบถามท่านว่า "หลวงปู่เดินไม่ค่อยไหว วันนี้มีงานอะไรทางวัดหรือครับ จึงครองผ้าอย่างนี้" ท่านก็ตอบว่า
    "อ้าย---กูรักมึง กูจะไปโบสถ์ ไปทำของสำคัญให้มึง กูรู้ว่าก็ตายมึงจะไม่ได้อะไร ใครก็ทำไม่ได้เหมือนกู เจ้ามาประคองกูคนละข้างกับอ้ายยิ่ง (หมอนวดประจำ) กูจะไปโบสถ์"
    ในขณะที่ศิษย์ทั้งสองประคองหลวงปู่ไปที่โบสถ์พอใกล้จะถึงประมาณ ๔-๕ วาท่านหยุดเดินและพูดขึ้นว่า
    "มึงปล่อยกูได้แล้ว กูยืนได้ มึงไม่ต้องจับรอบๆ โบสถ์หญ้าขึ้นรกทั้งนั้น คนเรานี่บัดซบจริงๆ ขี้เกียจก็เท่านั้น อ้ายพวกเด็กวัด มึงสองคนนี่แหละดีแล้ว ไปช่วยกันถอนหญ้า"
    ศิษย์ทั้งสองจึงปล่อยมือจากการประคองท่านแล้วรีบไปถอนหญ้าอยู่สักครู่ จึงหันกลับมาก็ไม่เห็นหลวงปู่แล้ว ด้วยความเป็นห่วง ที่ท่านชราภาพมากเดินไม่ค่อยไหว ทั้งสองจึงเดินหาท่านทั่วบริเวณโบสถ์ แต่ก็ไม่พบ เมื่อมองไปที่โบสถ์ก็เห็นประตูหน้าต่างปิดหมดทุกบาน อีกทั้งประตูหน้าก็ใส่กุญแจคล้องอยู่ เมื่อหาไม่พบทั้งสองคนจึงได้หยุดนั่งที่หน้าโบสถ์ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงดังที่ประตูโบสถ์ คล้ายมีคนกำลังผลักประตูทั้งสองจึงหันไปดูแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ จึงได้ตะโกนเรียกหลวงปู่ กลับได้ยินเสียงหัวเราะของหลวงปู่พร้อมกับได้ยินเสียงท่านพูดว่า
    "กูอยู่นี่ไงล่ะอ้ายโง่"
    ทั้งคู่จึงรีบไขกุญแจโบสถ์เข้าไป ก็พบว่าหลวงปู่นั่งอยู่ภายในโบสถ์ จึงได้สอบถามท่านว่า ลูกกุญแจโบสถ์อยู่กับผม หลวงปู่เข้ามาได้อย่างไร ท่านกลับหัวเราะพร้อมกับชี้มือไปที่รูดานโบสถ์ ซึ่งมีความกว้างขนาดเท่าหัวนิ้วมือ และบอกว่า
    "อ้ายโง่ มึงมันโง่ กูเข้าทางนี้ อ้ายโง่"
    พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เดินออกมานอกชานหน้าโบสถ์ และหยิบแผ่นเงิน ออกมาวางบนกลักบุหรี่ทองเหลืองแล้วท่านก็เพ่งจ้องไปบนท้องฟ้าอยู่นาน พอเมฆลอยมาบรรจบกันครั้งหนึ่งท่านก็ลงอักขระลงไปบนแผ่นเงิน ตัวหนึ่งท่านได้ทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง จนครบตามสูตร
    แล้วท่านก็เอาเหล็กจาก (ตะปู) วางกดลงบนแผ่นยันต์นั่งบริกรรมปลุกเสก แล้วจึงม้วนแผ่นเงินเป็นตะกรุด พร้อมกับหันหน้าไปที่พระประธาน และยกมือที่ถือดอกตะกรุดยกขึ้นยกลง ถึง ๓ ครั้ง จึงได้หันหน้าไปที่ลูกศิษย์พร้อมกับพูดว่า "เอ้า มาเอา พุทธสิทธิ ธัมมสิทธิ สังฆสิทธิเม" เอาติดตัวไว้ให้ดี ทำลำบากของสูง ของสำคัญกูไม่รักมึง ไม่สงสารมึงกูไม่ถ่อร่างมาทำให้มึง ให้ป่วยการ แล้วอย่าไปติดเก้งจนเมียมึงด่ากูถึงวัดก็แล้วกัน อ้ายสัตว์ตากำ" ปกติหลวงปู่มักจะติดคำพูดว่า "อ้ายสัตว์ตากำ กับคำว่า อ้ายโง่"

    ล่วงรู้ว่าผู้ใดถึงกาลมรณะ
    คืนวันหนึ่ง ขณะที่ลูกศิษย์อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ ในบรรดาลูกศิษย์ที่มาทุกคืน มีศิษย์อยู่คนหนึ่ง ชื่อนายเชยบ้านอยู่ใกล้วัด ปกตินายเชยจะมาที่กุฏิหลวงปู่ทุกคืน และทุกคืนที่มาก็จะนั่งเอาหลังพิงเสาอยู่หลับเป็นประจำพอหลวงปู่เข้าจำวัดแล้ว แกก็จะกลับบ้าน
    ในคืนวันนั้น นายเชยไม่มานั่งที่กุฏิ หลวงปู่จึงสอบถามลูกศิษย์ ทำไมเจ้าเชยถึงไม่มา ก็ไม่มีใครตอบคำถามท่านได้ ต่างนั่งนิ่งเงียบกันเฉยอยู่ ท่านจึงได้พูดว่า "กูไม่เห็นหัวของอ้ายเชย" พอพูดจบท่านก็คุยเรื่องอื่น พอสักระยะท่านก็พูดอีก "กูไม่เห็นหัวของอ้ายเชย" ท่านได้พูดอยู่แต่คำนี้หลายครั้งหลายหน พอตกดึกทุกคนที่นั่งอยู่ในกุฏิหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ พร้อมกับเดินมาบนกุฏิหลวงปู่ จึงได้รู้ว่าเป็นภรรยาของนายเชย ได้มาบอกกับท่านว่า "นายเชย ตายเสียแล้วโดยยืนตายขณะรดน้ำกล้วยไม้"

    เทวดาให้รางวัลพระพุทธรูป
    ขณะนั้นหลวงปู่ชราภาพมาก แต่ทุกคืนท่านจะสวดมนต์ทำวัตรไม่เคยขาด คืนวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังทำวัตรสวดมนต์อยู่ภายในกุฏิทุกครั้งที่ท่านสวดมนต์จะต้องส่งเสียงสวดดังๆ เป็นประจำ ในขณะที่ท่านกำลังสวดมนต์อยู่ตอนนั้นประมาณเวลา ๑ นาฬิกา ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ในกุฏิก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงคล้ายมีวัตถุหนักๆ ตกลงมากระทบพื้นดินดัง "โครม" ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองตามเสียง ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ตะโกนออกมาจากในห้องว่า
    "อ้าย---มึงไม่หยิบของนอกชานซิ กูสวดมนต์ดังดัง เทวดาเขาให้รางวัลกู"
    เมื่อลูกศิษย์ได้ยินดังนั้น ก็เดินออกไปนอกชาน ได้เห็นพระพุทธรูปบูชาหินสีเขียว มีสีน้ำตาลผ่านเป็นบางแห่ง เรียกว่า หินน้ำค้าง จึงได้หยิบเข้าไปมอบให้หลวงปู่พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นแบบเชียงแสนลังกาวงศ์ มีขนาดกว้าง ๗.๔ ซ.ม. สูง ๙.๑ ซ.ม. นับว่าอัศจรรย์มาก ที่พระพุทธลอยมาเอง แม้แต่เพียงหล่นลงมาก็ดังมากแต่ไม่ยักกะแตกหรือร้าวแต่ประการใด

    กำหนดวันมรณภาพ
    โดยปกติทุกวันหลวงปู่จะถ่ายปัสสาวะลงในกระโถนเคลือบเล็กๆ แล้วส่งให้ลูกศิษย์ไปเทลงในกระโถนใหญ่ วันหนึ่งท่านได้ปฏิบัติดังนี้อีก พอลูกศิษย์นำไปเทแล้ว ท่านได้ถามว่า "มีฟองไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ไม่มีฟอง" ท่านจึงพูดต่อไปว่า
    "นั่นแหละมึงจำเอาไว้ คนแก่เมื่อเยี่ยวหมดฟอง แล้วละก็ ไม่ช้าดอกมึง มรณสัญญาณมันมาแล้ว จะต้องลามึงไป"
    หลังจากที่ท่านได้พูดกับลูกศิษย์อยู่ไม่นาน ก่อนที่ท่านจะอาพาธหนักจนถึงมรณภาพ ซึ่งลูกศิษย์ได้บันทึกไว้ว่าในเดือน ๓ เป็นฤดูหนาว ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านได้นั่งอยู่บนเตียงนับนิ้ว ๓ นิ้วแล้วพูดพึมพำ คล้ายกับพูดอยู่กับตัวเองว่า
    "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ ทุ่มล่วงแล้ว"
    ท่านได้พูดอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายหนจนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้สอบถามเป็นเชิงล้อเลียนท่านว่า
    "หลวงปู่จะทำอะไร จะทำบุญอายุครบ ๑๐๐ ปี อีกหนหนึ่งหรือครับ กระผมจะได้ไปเรียนขุนนางที่เขาเป็นศิษย์ให้ทราบ"
    พอพูดจบท่านก็ตอบสวนทันควันว่า "ไอ้โง่ ไอ้โง่" แล้วท่านก็นั่งนับนิ้วต่อไป พร้อมกับพูดซ้ำๆซากๆ อยู่อย่างนี้หลายครั้ง ศิษย์ที่นั่งอยู่ก็พูดล้อเลียนอีก ท่านก็ตอบอีกว่า
    "ไอ้โง่ ไอ้โง่ มรณสัญญาณ ของข้าฯ มาแล้ว จะต้องลามึงไป มึงอย่าเสียใจนะ"
    ไม่มีผู้ใดคาดหมายมาก่อนเลยว่าหลวงปู่จะมรณภาพ ถึงแม้ท่านจะไม่ค่อยแข็งแรง คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน แต่ท่านก็มิได้มีอาการเจ็บป่วย อะไรมาก่อน
    จนถึงเดือน ๕ เวลาเช้า ในขณะที่ท่านกำลังฉันจังหันเช้าอยู่ ขณะที่หยิบช้อนขึ้นตักแกงพอยกขึ้นซดช้อนก็หลุดจากมือท่าน พร้อมกับนั้นท่านก็หงายหลังพิงหมอนอิง ปากท่านเบี้ยว นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มเจ็บป่วยโดยโรคอัมพาต หลังจากท่านล้มป่วยมาจนถึงเดือน ๖ ตรงกับวันเสาร์ข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ๑๐ นาที ท่านก็มีอาการหอบและหูตึง
    ในขณะนั้นมีศิษย์ซึ่งเฝ้าพยาบาลอยู่หลายคน ต่างวิตกกันไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นทุกคนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบนหลังคาสังกะสีของกุฏิที่ท่านนอนอยู่ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับลูกระเบิดจนกุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง จากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที หลวงปู่ก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ มิได้มีเวทนาอันเป็นวิบากกรรมให้ปรากฏ
    นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่วันมรณภาพของท่านตรงกับคำพูดของท่านได้บอกไว้ล่วงหน้าคือ "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ นาฬิกาล่วงแล้ว" ซึ่งตรงกับจันทร์คติ เมื่อปีระกา วันเสาร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ เวลา ๑ นาฬิกา ๑๕ นาที ตรงกับ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖ นับทางสุริยคติรวมอายุได้ ๑๐๓ ปีเศษ หรือ ๑๐๔ ปีซึ่งตรงกับที่ท่านได้พูดไว้คราวที่นิมิตเห็นผู้มาถวายตราแผ่นดิน ๓ อัน ท่านบอกว่า จะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีเศษ

    การสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลต่างๆ
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้จัดสร้างพระเครื่อง เนื้อผง ขึ้นหลายแบบพิมพ์ด้วยกัน ส่วนเหรียญก็มีเฉพาะแจกวันเกิด ส่วนตะกรุดผ้ายันต์อีกทั้งไม้เท้าพ่อครูก็ได้สร้างขึ้นแต่มีจำนวนไม่มากนัก
    กล่าวกันว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องตอนมาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ในระยะหลังเท่านั้น ตอนสมัยหลวงปู่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาขอของขลังท่านจะไล่ให้ไปขอกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่าน ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ใหญ่ได้สร้างไว้ เป็นแบบใดไม่ปรากฏหลักฐาน เข้าใจว่าคงมีไม่มากนัก
    จากหลักฐานการสร้างพระเครื่อง ของหลวงปู่ภู ได้จัดสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง และหลวงปู่ใหญ่ได้มรณภาพลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เนื่องจากท่านมีความสำนึกในจิตใจ จะไม่ทำอะไรแข่งกับผู้ที่ท่านเคารพนับถือ คือไม่แข่งกับครูบาอาจารย์นั่นเอง
    มูลเหตุที่ท่านสร้างพระเครื่อง เกี่ยวเนื่องจากท่านต้องรับภาระต่อจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ดำเนินงานก่อสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างพระผงขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธา สละเงินช่วยก่อสร้างพระโต โดยท่านมิได้กำหนดราคาค่างวดใดๆ ทั้งสิ้นสุดแท้แต่จะศรัทธาของสาธุชนที่มาทำบุญด้วย ท่านได้ปรารภกับศิษย์ "กูไม่มีทางอื่นจะเลือก"
    เมื่อหลวงปู่สร้างพระออกแจกจ่ายเพื่อการกุศล ต่อมาได้มีพระภิกษุบางรูปที่อยู่ในวัด ได้สร้างพระเครื่องซึ่งให้ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความละม้ายคล้ายกันกับหลวงปู่ นำออกแจกจ่ายบ้าง เมื่อท่านได้ทราบเรื่องนี้เข้า ท่านก็ได้ระงับการแจกพระของท่านเสีย โดยท่านนำพระทั้งหมดมาบรรจุใส่ในกระถางมังกร ท่านได้นำมาวางไว้ที่เหนือศีรษะที่ท่านจำวัตร พอเวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนท่านก็เอามือจับปากกระถางมังกรปลุกเสกอยู่ทุกคืน ตอนที่มีพระภิกษุทำพระล้อแบบพิมพ์ของท่านออกแจกหาเงินเข้ากระเป๋าท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "กูต้องเลิกทำละ ไม่ได้การ มันจะตกนรกกันเปล่าๆ ของไม่ได้เสก ไม่ได้ประสิทธิ์ กูไม่เล่นด้วย" นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ยอมสร้างอีกเลย
    มีอยู่วันหนึ่งลูกศิษย์ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพระเครื่องที่เหลืออยู่ในกระถางมังกร ทำไมถึงไม่ยอมนำออกไปช่วยการกุศล จะเก็บไว้ทำไมท่านก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูเอาไว้หาเงินทำศพกูเอง ไอ้โง่" ตอนที่ลูกศิษย์สอบถามท่านขณะนั้นหลวงปู่อายุประมาณ ๑๐๒ ปีแล้ว

    กะโหลกหลวงปู่ใหญ่เผาไม่ไหม้
    ในงานฌาปนกิจศพหลวงปู่ใหญ่ ได้มีลูกศิษย์ลูกหามาร่วมงานกับคับคั่ง ในสมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาแบบปัจจุบันจะต้องทำเป็นเมรุจำลอง ประดับประดาด้วยต้นกล้วยฉลุลวดลายสวยงามมาก เมื่อถึงเวลาเผาศพประมาณ ๒ ยามเศษในขณะที่สัปเหร่อเริ่มเผากระดูกหลวงปู่ใหญ่ เป็นเวลา ๒ ชั่วโมง กระดูกทุกชิ้นเผาไหม้ไปหมดสิ้น เว้นแต่กะโหลกศีรษะยังคงสภาพเดิม ถึงไฟจะลุกโชนอยู่แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ จนสัปเหร่อต้องเอาสามง่ามและอีโต้ช่วยกันฟันแทงไปที่กะโหลกเพื่อให้แตก จะได้เผาไหม้ง่ายขึ้น จนสัปเหร่อต้องนั่งเหงื่อตก ต่างยกมือท่วมหัวของขมาลาโทษ เพราะในชีวิตที่เป็นสัปเหร่อมายังไม่เคยประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
    ดังนั้นหัวหน้าสัปเหร่อจึงได้เดินไปหาหลวงปู่ภูที่กุฏิ พร้อมกับรายงานให้ท่านทราบ พอหลวงปู่ได้ฟังเท่านั้นท่านรีบครองผ้ามาที่เมรุทันทีพร้อมกับสั่งว่า
    "เอ็งไปเอาก้านกล้วยมาให้กูสักศอกเถิด เขาคอยข้า เขาคอยข้า ข้าลืมไปมัวสวดมนต์เพลิน"
    เมื่อได้ก้านกล้วยมาแล้ว ท่านก็เดินไปที่บริเวณเชิงตะกอนเผาศพ พร้อมกับมือที่ถือก้านกล้วยทิ้งลงไปบนกะโหลก ปากก็ภาวนาว่า
    "จุติ จุตตัง พระอรหังจุตติ เป็นสุขเป็นสุขเถิด"
    เท่านั้นเองกะโหลกหลวงปู่ใหญ่ก็แตกละเอียดไหม้เป็นจุณ นับว่าอัศจรรย์มาก

    กรรมวิธีสร้างไม้เท้าพ่อครู
    ในกระบวนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้สร้างขึ้น เป็นของที่หายากมาก เพราะท่านสร้างน้อยมากส่วนมากจะแจก เฉพาะศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น เพราะกรรมวิธีการสร้างยากมาก จนท่านเคยพูดว่า "ไม่มีใครทำได้อย่างกู" วิชานี้คนที่มีบุญวาสนาเท่านั้นถึงจะเรียนสำเร็จ
    ไม้เท้าพ่อครูเป็นวัตถุอาถรรพณ์ ก่อนที่จะทำจะต้องหา ไม่ไผ่สีสุกกอที่ฟ้าผ่า และทอดยาวไปทางทิศตะวันออกทั้งกอ เมื่อกอไผ่ถูกฟ้าผ่าต้องนั่งเฝ้าดูภายในเจ็ดวัน ถ้ามีช้างโขลงมาพบกอไผ่สีสุก แล้วกระโดดข้ามก่อไผ่ไปทั้งโขลงจึงจะใช้ได้ ก่อนจะตัดต้องประกอบพิธีพลีกรรม โดยขอตัดไม้ไผ่ลำที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันออก และตัดเอาท่อนปลายเพียง ๓ ปล้องเท่านั้น
    ในตำราระบุไว้ว่า ไม้ไผ่ลำนี้เปรียบประดุจไม้ยันพระวรกายของท้าวเวสสุวรรณ เมื่อได้ไม้ไผ่มาแล้ว ท่านก็นำมาจิ้มบนศพที่กล้าแข็ง คือศพคนตาย วันเสาร์เผาวันอังคาร ให้ครบ ๗ ศพ จึงเป็นเสร็จพิธีแล้วนำไม้ท่อนนี้เก็บเอาไว้ เพื่อตัดมาบรรจุอีกทั้งยังมีกระดูกแร้งส่วนมากไม้ที่จะทำไม้เท้าพ่อครูมีไม้รักซ้อน ไม้พยุง บางคนก็นำไม้ชนิดอื่นมาให้ท่านทำก็มี
    กล่าวกันว่าถ้าใครอยากได้ไม้เท้าพ่อครูจะต้องขอท่านก่อนวันเสาร์ล่วงหน้าหนึ่งวัน ถ้าท่านรับปากในวันเสาร์ตอนเช้าผู้ที่มาขอจะต้องจัดเตรียมหัวหมู บายศรีปากชาม มะพร้าวอ่อน กล้วย ขนมต้มแดง ต้มขาว ใส่ถาดไปทำพิธี แล้วเอาไม้ตะพดเจาะรูหัวท้าย หรือหัวเดียวก็ได้ไปถวายท่าน ท่านก็จะประกอบพิธีบรรจุไม้เท้าพ่อครู พร้อมกับอุดด้วยชันนะโรง ใต้ดินและจัดตอกนำมาลงอักขระบรรจุเข้าไปที่เจาะรูไว้ ศิษย์ใกล้ชิดได้กล่าวว่า บางเสาร์จะมีหัวหมูเครื่องบายศรีถึง ๙ หัวด้วยกัน แสดงว่าวันนั้นท่านทำถึง ๙อัน การบรรจุไม้เท้า ถ้าข้างเดียว หรือสองข้างก็เรียกว่าไม้เท้าพ่อครู แต่มีบางท่านเรียก นิ้วชี้พระอิศวรหรือต้นตายปลายเป็น
    เมื่อท่านกระทำให้ผู้ใดก็ตาม ท่านจะกำชับหนักหนา ห้ามเอาไปตีใครเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผู้ที่ถูกตีถึงกับเสียจริต (บ้า) รักษาไม่หาย นอกจากจะโดนกลั่นแกล้งถึงกับน้ำตาเป็นสายเลือด หมายถึงสุดที่จะอดกลั้นได้ อิทธิฤทธิ์ของไม้เท้าพ่อครูใช้ป้องกันตัวเมื่อยามคับขัน ป้องกันโจรผู้ร้ายคุณไสย และภูตผีปีศาจไม่กล้ากล้ำกลายมารบกวน ซึ่งมีผู้ประสบมามากมาย

    ?ÐǑ?ԋŇ??٨? Ǒ?͔??Çԋ҃ (?荩
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าไม่ลืม(อีกแล้วครับท่าน) ผมจะนำพระพิมพ์ที่หลวงปู่ภู ท่านอธิษฐานจิตกับสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หลวงปู่พระพุทธบาทปิลันทน์ ท่านอธิษฐานจิตกับสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ไปให้ชมกันด้วยครับ

    ถ้าลืมก็ไว้ครั้งหน้า อย่าลืมโทร.มาเตือนผมด้วยครับ อิอิ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเรื่อง กำลังรอลุ้นอยู่ว่า พระกริ่งที่ผมมี (จะนำไปให้พี่ใหญ่ช่วยดูให้) นั้น เป็นพระกริ่งที่หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่(หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ) ท่านอธิษฐานจิตให้หรือไม่ ถ้าใช่จะนำไปให้ชมกันอีกครับ

    ถ้าไม่ใช่หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่(หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ) อธิษฐานจิต แต่เป็นหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่(องค์อื่นๆ เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน และหรือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ฯลฯ) อธิษฐานจิต จะชมกันด้วยหรือไม่ครับ

    ตอนนี้ เท่าที่จำได้ น่าจะต้องขนไปเยอะอยู่เหมือนกันครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปกติเวลาที่กลับจากบ้านท่านอาจารย์ประถม ส่วนใหญ่ก็จะหลัง 4 โมงเย็นไปแล้ว แต่จะมีผม ,พี่สมสิทธิ์ และน้องฝน ที่จะกลับหลังจาก 5 โมงกว่าๆ ทุกครั้ง

    ระยะเวลาประชุม ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากนั้นจะเป็นการแจกพระพิมพ์ และนั่งศึกษาพระพิมพ์กัน หากมีข้อข้องใจเรื่องพระวังหน้า เตรียมคำถามกันไว้นะครับ จะได้สอบถามกับท่านอาจารย์ประถมได้

    ส่วนท่านใดจะนำขนมไปแจกพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ก็ยินดีนะครับ อิอิ

    เกือบลืม อย่าลืมนำพวงมาลัย (ห้ามไม่ให้มีดอกดาวเรือง) ไปไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ,หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณ-อุตร) และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กัน หรืออาจจะซื้อผลไม้ไปถวายหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณ-อุตร)ก็ได้ ผมเองซื้อเป็นปกติครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สายด่วนหวัด 2009 ร้อน ปชช.แห่โทรวันเดียวทะลุแล้ว 2 พัน
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 กรกฎาคม 2552 16:20 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สธ.เผยประชาชนแห่โทรสายด่วนไข้หวัดใหญ่2009 วันเดียวกว่า 2,000 สาย ยันสถานการณ์ในไทย ไม่ได้เลวร้ายที่สุดในโลก ระบุเหตุที่จำนวนคนป่วยยืนยันมาก เป็นผลมาจากการทุ่มเททำงานของเจ้าหน้าที่ เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการมาก

    นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าการควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 ว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขเปิดสายด่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ทางหมายเลข 0-2590-3333 และ 1422 บริการตลอด 24 ชั่วโมง พบว่าได้รับความสนใจจากประชาชน โทรสอบถามจำนวนมาก ตลอดวานนี้มีทั้งหมด 2,112 สาย เฉลี่ยนาทีละ 1 สาย ส่วนใหญ่มีความสงสัยเรื่องอาการป่วยและการรักษา

    นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 จะมีอาการคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90 มีอาการเล็กน้อย อาการจะทุเลาลงตามลำดับ คือ ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น และหายป่วยได้เองภายใน 3-5 วัน โดยให้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่หากมีอาการซึมหรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน ไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หรือเหนื่อย ต้องรีบไปพบแพทย์ หรือเมื่อครบ 48 ชั่วโมงแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ให้ไปพบแพทย์เช่นกัน

    "ขอให้ผู้ที่ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ ที่พักรักษาตัวที่บ้าน อย่าออกนอกบ้านหรือไปทำงาน ยกเว้นไปพบแพทย์เมื่ออาการไม่ดีขึ้น ส่วนการดูแลตนเองที่บ้านจะเหมือนกับโรคไข้หวัดทั่วไป คือนอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน และรับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ตามคำแนะนำของเภสัชก"นพ.ไพจิตร์ กล่าว

    ด้านนพ.คำนวน อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ระดับ 10 กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ของไทย ในขณะนี้ไม่ได้เลวร้ายที่สุดในโลก เหมือนที่หลายฝ่ายวิตก สาเหตุที่ไทยมีรายงานจำนวนผู้ยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และผู้เสียชีวิตมากขึ้นทุกวัน เป็นผลมาจากการทำงานเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็งของเจ้าหน้าที่ เพื่อเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งผู้ป่วยรายที่สงสัยส่งตรวจ โดยในการเปรียบเทียบสถานการณ์กับประเทศอื่นๆ ตามหลักสากลและทางวิชาการ จะดูจากจำนวนผู้เสียชีวิตต่อประชากรล้านคน ซึ่งขณะนี้ไทยมีผู้เสียชีวิต 24 ราย คิดเป็นผู้เสียชีวิต 0.4 ต่อล้านประชากร ซึ่งน้อยกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผู้เสียชีวิต 0.7 ต่อล้านประชากร ส่วนที่แคนาดามีผู้เสียชีวิต 1.2 ต่อล้านประชากรและอีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้

    สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2552-15 กรกฎาคม 2552 มีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 4,469 ราย เสียชีวิตเท่าเดิม 24 ราย เฉพาะวันนี้ได้รับผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการเพิ่ม 412 ราย ส่วนสถานการณ์โลก องค์การอนามัยโลกรายงานถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 มีผู้ป่วยใน 136 ประเทศ รวม 94,512 ราย เสียชีวิต 429 ราย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ถ้ายังไงโทรเรียกผมไปช่วยขนก็ได้นะครับทั่น
    ถ้ามีเยอะขอจะแบ่งให้น้องบ้างก้อคงดีครับ อิอิ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อภิรักต์ แซ่ฮ้อ หนุ่มกตัญญู เก็บ 20 บาท ทุกวัน 16 ปี

    <A href="http://hilight.kapook.com/view/39223" target=_blank>?ՊԺ ̀ԃѡ?젡?莩͠˹ب??ѭ?٦lt;/a>



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pantip.com, [ame="http://www.youtube.com/watch?v=GUOQ7VLTHvg"]youtube.com[/ame],รายการตีสิบ

    "คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่หมิ่นเงินน้อย ... ไม่คอยวาสนา" นี่คือสโลแกนที่เหมาะกับหนุ่มกตัญญูอย่าง "อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" เป็นอย่างยิ่ง และหากใครที่ได้ชมรายการตีสิบ เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา (14 ก.ค.) คงต้องอมยิ้มตามไปกับความน่ารัก ซื่อๆ ของเขาไปด้วยแน่ๆ เพราะฉะนั้นวันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวของเขามาฝากกันค่ะ

    "อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" ชายหนุ่มวัย 33 ปี เขาไม่ใช่คนรวย หรือมีชื่อเสียงมาจากไหน เขาเป็นเพียงคนจนๆ แต่งตัวมอซอๆ คนหนึ่ง ที่ดูลักษณะภายนอกอาจไม่ปกติเหมือนคนทั่วไปเท่าไรนัก "อภิรักต์" อาศัยอยู่ในแฟลต 8 ชั้นกับแม่ และประกอบอาชีพด้วยการเก็บเศษขยะตามสถานที่ต่างๆ แต่ละวันเขาจะตระเวนเก็บขยะ และนำมาคัดแยก ก่อนจะนำขยะที่ได้ไปขาย ซึ่งก็จะได้เงินมาวันละประมาณ 50-100 บาท

    แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้จะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้เงินมา "อภิรักต์" จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้แม่ได้ใช้ และเก็บไว้อีก 20 บาท และนำไปฝากธนาคาร เพื่อสะสมทีละเล็กทีละน้อย นำมาเป็นค่าผ่าตัดหัวใจให้กับแม่ ที่ป่วยเป็นโรคหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน เก๊า และโรคหัวใจ

    "อภิรักต์" เล่าว่า สมัยที่เป็นเด็กชายเรียนชั้น ป.1 ครูของเขาเป็นคนแนะนำให้ "อภิรักต์" เก็บออมวันละบาท พอปลายเดือนเก็บเงินได้มากแล้ว ครูจะพาไปฝากเงินที่ธนาคาร ซึ่งคำแนะนำของครูนั้น อภิรักต์ก็ได้ปฏิบัติมาเรื่อยๆ ทุกๆ วัน เขาจะนำเงิน 20 บาท ไปฝากธนาคาร จนปัจจุบันเป็นเวลา 16 ปีแล้ว "อภิรักต์" มีเงินเก็บมากกว่า 4 หมื่นบาท

    ความซื่อและความกตัญญูของ "อภิรักต์" ทำให้ผู้คนที่อยู่ในเส้นทางที่ "อภิรักต์" ตระเวนเก็บขยะ ต่างเอ็นดู พร้อมกับเรียกให้เขาและรถเข็นคู่ใจ เข้ามารับสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล่องกระดาษ ขวดน้ำ เพื่อนำไปขาย โดย "อภิรักต์" จะนำสิ่งของเหล่านี้ เข้ามากองคัดแยกในห้องพัก จนห้องดูรกรุงรังไปหมด และมีส่วนให้เขาเป็นโรคหืดหอบ แต่ "อภิรักต์" ก็มีความสุขในแบบของเขา โดยมีแม่อยู่เคียงข้าง

    อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ "อภิรักต์" ไม่ต้องอยู่ในห้องที่รกรุงรังอีกต่อไปแล้ว เพราะทางรายการตีสิบได้จัดการปรับโฉมห้องให้ "อภิรักต์" ใหม่ จนดูสวยงาม และมีสุขอนามัยที่ดี เรียกได้ว่า แทบจำเค้าโครงห้องเดิมไม่ได้เลย ซึ่งก็ทำให้ "อภิรักต์" และแม่ดีใจมาก

    เห็นเรื่องราวของ "อภิรักต์ แซ่ฮ้อ" หนุ่มเก็บขยะคนซื่อคนนี้แล้ว คงอดอมยิ้มและประทับใจตามไปด้วยไม่ได้ นี่แหละคือคนจนผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่ และยึดความกตัญญูเป็นทางเดินของชีวิต คนธรรมดาๆ ปกติบางคน เห็นแล้วอาจต้องอายตาม "อภิรักต์" เลยล่ะ



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/GUOQ7VLTHvg&hl=en&fs=1& width=320 height=240 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>​

    คลิป อภิรักต์ แซ่ฮ้อ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ออกรายการตีสิบ (1)

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/kVepxlJryjo&hl=en&fs=1& width=320 height=240 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>​

    คลิป อภิรักต์ แซ่ฮ้อ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ออกรายการตีสิบ (2)

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/IOgKtsPp9SA&hl=en&fs=1& width=320 height=240 type=application/x-shockwave-flash></EMBED>​

    คลิป อภิรักต์ แซ่ฮ้อ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ออกรายการตีสิบ (3)


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/lfFdWqpC55Y&hl=en&fs=1& width=320 height=240 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>​

    คลิป อภิรักต์ แซ่ฮ้อ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ออกรายการตีสิบ (4)



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pantip
    [​IMG] [​IMG]
     
  13. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ไม่ทราบว่าต้องเตรียมผอบหรือเจดีย์บรรจุพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุไปด้วยมั๊ยครับ...
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตรียมไปด้วยทั้งสองอย่าง(ทั้งเจดีย์และผอบ)ครับ

    ผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ไปมอบให้(เพิ่มเติม)ด้วยครับ

    อยากได้พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยหรือเปล่าครับ ผมจะได้เตรียมไปให้อีกครับ

    .
     
  15. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ยินดียิ่งครับผม ผมจะเตรียมไปซัก 4 โมทนาสาธุเน้อ - งานเข้าด่วนอีกแล้วคุณหนุ่ม ตอนนี้พึ่งเดินทางมาถึง sub office แม่สะเรียง จะกลับแม่สอดก็คงศุกร์เย็น ราว 3 ทุ่มเข้า กท. ต่อ ..น่าจะเหนื่อย แต่รู้สึกว่าใจผมตอนนี้ไปรออยู่ที่บ้าน อาจารย์ปู่ฯโดยเรียบร้อยแล้วครับ .. อ่อ .. แล้วจะให้คนเตรียมของฝากไปให้นะครับ (แม่สอดมีแต่อัญมณีจากพม่าเสียส่วนใหญ่ครับ) ขอบคุณครับ :)
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินผัก-ผลไม้ต้านหวัด 2009

    http://health.kapook.com/view648.html


    [​IMG]


    กินผัก-ผลไม้ต้านหวัด 2009 (ไอเอ็นเอ็น)

    กรมอนามัยแนะทานผักสดและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง มะละกอ ส้ม เงาะ มะม่วง ลิ้นจี่ ตำลึง คะน้า กะหล่ำปลี ช่วยต้านหวัด 2009

    นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ในช่วงระยะของการเกิดโรคระบาดในขณะนี้ นอกจากจะเน้นการกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ โดยกินอาหารทันทีหลังจากปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนแล้ว ควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งและทุกมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่จะติดต่อระหว่างคนสู่คนผ่านทางระบบทางเดินหายใจและเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย

    การล้างมือก่อนการบริโภคอาหารและหลังการขับถ่าย จะช่วยลดอัตราการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่อาจแพร่เข้าสู่ร่างกาย ทั้งที่เกิดจากการสัมผัสทางผิวหรือทางปาก โดยผ่านการหยิบจับอาหารด้วยมือเปล่า และสวมหน้ากากอนามัยปิดปาก จมูก ทุกครั้งที่ไอ จาม รวมทั้งมีการทิ้งขยะประเภททิชชูที่ใช้เช็ดน้ำมูกลงในขยะแบบปิด

    นอกจากนี้ การกินอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และหลากหลาย โดยเน้นผักสดและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง มะละกอ ส้ม เงาะ มะม่วง ลิ้นจี่ ตำลึง คะน้า กะหล่ำปลี ก็จะเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย ทั้งนี้ควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน และออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละ 30 นาที นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969

    สาธุ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    15 เทคนิคก่อนจะซื้อของเซลล์
    :: INN online .- ʴ�ѹ�շ���բ��� ::


    สาวๆที่ตาโตทุกทีเมื่อเห็นป้ายลดราคา ลองมาดูเคล็ดลับว่าก่อนออกไปช็อปควรทำอย่างไรเพื่อให้คุ้มค่าที่สุด



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>


    <!-- Show Image -->
    [​IMG]



    <!-- End Show Image -->


    </TBODY></TABLE>


    1. ตั้งเป้าหมายกันหน่อยว่า จะซื้อของขวัญให้ใครบ้าง เขียนรายการเลย นึกไว้ก่อนยิ่งดีว่าจะซื้ออะไรให้ใคร ​

    2. ไม่จำเป็นต้องซื้อของขวัญให้แต่ละคนเฉพาะตัว ขอแนะนำให้ซื้อแบบยกโหลออกแนวของชำร่วย ไปดูแผนกลดราคาที่แต่ละชิ้นไม่แพงมาก จะคุมงบได้ดีกว่า หรือให้แบบชิ้นใหญ่ให้ไปแบ่งกันเอง อย่างขนมต่างๆ ​

    3. ตั้งงบในการซื้อ เวลาไปจริงจะได้ซื้อตามงบ ข้อดีอีกอย่างก็คือช่วยให้ไม่ต้องเผลอซื้อของที่ราคาลดกระหน่ำจริง แต่พอรวมๆ แล้วบานเกินงบไปเยอะ ​

    4. ช่วงเซลล์นี้พยายามไปหาซื้อของคราวเดียวให้จบ หรือไปให้น้อยครั้งที่สุด ยิ่งไปบ่อยยิ่งเผลอซื้อของลดราคาอย่างอื่นพ่วงมามาก แล้วอย่าลืมบวกค่ารถด้วยล่ะ ​

    5. กระบะเซลล์ถูกสุดๆ ใช่ว่าจะมีของคุ้มค่าเสมอไป เพราะคุณมักจะเผลอจ่ายเงินไปกับของที่ไม่ต้องการแต่ราคาถูกยั่วใจมากมายหลายชิ้นโดยไม่รู้ตัว ​

    6. ของที่ติดป้ายให้ซื้อหลายๆ ชิ้น อย่างเช่น ราคาปกติชิ้นละ 30 บาท ป้ายลดราคาเขียนว่า ซื้อ 2 ชิ้น 50 คุณไม่ได้ซื้อของถูกกลับบ้าน แต่กำลังจ่ายเงินเกินกว่าตั้งใจไป 20 บาทต่างหาก ​

    7. ของที่มักจะถูกจริงๆ คือของที่จำกัดให้ซื้อคนละไม่เกินที่ทางห้างร้านกำหนด ​

    8. ของน่าซื้อคือพวกลดล้างสต็อก หรือเสื้อผ้าประเภทหมดฤดูกาล พวกนี้มักจะราคาถูกมากกว่าปกติ ​

    9. ถึงของลดจะยั่วตายั่วใจขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช่ของใช้ประจำวันที่ซื้อมาแล้วใช้จริงๆ ก็ไม่คุ้ม ถ้าเผลอใจซื้อของลดกระหน่ำ ให้ซื้อพวกของกินของใช้ที่ต้องซื้ออยู่แล้วอย่างนี้ถึงคุ้มจริง ​

    10. ดูที่จำนวนเงินที่คุณต้องจ่าย ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ที่ลดราคาลงมา ถึงแม้จะลด 50% แต่ถ้าราคายังแพงอยู่ ควรไปมองหาอย่างอื่นดีกว่า เพราะคุณต้องจ่ายเกินที่ตั้งใจไปมากแน่ๆ ​

    11. อย่าลืมว่าป้ายลดราคาแต่ของไม่ลดจริงยังมีอยู่เสมอๆ ​

    12. ทั้งของใช้ เสื้อผ้า อาหาร ลองมองยี่ห้อโนเนมราคาถูกกว่า แพ็กเกจไม่ค่อยอลังการดูบ้าง อาจจะได้ของคุณภาพดีกว่า เพราะไม่ได้มีค่าโฆษณาหรือค่าแพ็กเกจแพงๆ นำมาห่อเอง ​

    13. เลิกติดอยู่กับยี่ห้อเดิมๆ ลองยี่ห้อใหม่ดู ช่วงปีใหม่จะมีสินค้าใหม่ๆ มาให้เลือกลอง และจะลดราคาถูกจริงเพื่อเรียกลูกค้า ​

    14. เปลี่ยนรสนิยมการซื้อของฟุ่มเฟือย หรือพวกกระเช้าของขวัญแพงๆ มาเป็นของกินของใช้จำเป็นให้เป็นของขวัญบ้าง ราคาถูกกว่าได้ประโยชน์กว่าด้วย ​

    15. อย่าซื้อตอนเหนื่อย เพราะจะซื้อแบบไม่มีจุดหมายแล้วยังลืมเรื่องงบประมาณ ​

    ก่อนออกจากบ้านท่องไว้เลยว่าคุณจะเข้มแข็งเข้าไว้ ไม่ยอมเข่าอ่อนไปกับป้ายลดราคาเด็ดขาด​
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...