พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 19 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, nongnooo+, dragonlord+</TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับพี่:::เพชร:::

    สวัสดีครับเพื่อนรัก คุณnongnooo

    สวัสดีครับน้องรัก น้องอุ้มdragonlord

    อิอิ
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    หวาดดี ที่รักทุกท่านครับ หุ หุ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สนุกกับการทำกินเอง

    รายงานโดย :เรื่อง / ภาพ สุธน สุขพิศิษฐ์

    ��ʵ� ������ - �Թ-����-��ͻ - ʹء�Ѻ��÷ӡԹ�ͧ

    ที่มา posttoday

    เมื่อวันศุกร์ที่แล้วทำตัวเป็นพญาน้อย ใจใหญ่ ชมตลาด ก็ตลาดคลองเตยเจ้าปัญหาที่เก่านี่เอง เห็นว่าเต็นท์ของคนประท้วงที่ตั้งขวางถนนไม่มีแล้ว

    คงไม่มีลูกหลง ผมห่างตลาดนี้ไปหลายเดือน วันนั้นไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหรือมีแผนอะไรเป็นพิเศษ แค่เดินดูตามที่เคยรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ส่วนแรกที่เดินเป็นส่วนที่ขายผลไม้ ซึ่งช่วงนี้เป็นต้นหน้าฝน มีผลไม้หลายอย่างออกประดังกันออกมา แก้วมังกร กิโลละไม่กี่บาท ส้มเช้งก็จะออกมาเหมือนกัน แต่ราคาค่อนข้างจะแพงอยู่ กระท้อนและน้อยหน่าตอนนี้เยอะ เจอมะม่วงพันธุ์จีนหงษ์ ลูกหนึ่งเกือบกิโล อร่อยอย่างไรก็ไม่กิน เพราะนึกถึงเวลาปอกเปลือก พอปอกเปลือกหมดลูกแขนหักพอดี

    [​IMG]

    อะไรๆ ในสมัยนี้มันใหญ่ไปหมด พริกชี้ฟ้าสีแดงก็เหมือนกันเม็ดเกือบเท่าพริกหยวก แต่ก็น่ากินครับ แล้วอดซื้อไม่ได้ เดี๋ยวก็มีเรื่องใช้จนได้ ชุดต้มยำซึ่งมี ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า มัดรวมกันมาครบชุด พอต้มยำได้หนึ่งหม้อ แค่ 5 บาท ใบผักชีฝรั่ง ผักชีกำหนึ่งก็เยอะแยะ มะนาวเดี๋ยวนี้ถูก กองละ 10 บาทได้ตั้งหลายลูก
    ผมเดินวนอยู่แถวขายหอม กระเทียม ก็ต้องซื้อ ซึ่งปกติชอบแบบมัดเป็นจุก (ใช้ต้นมัดรวมกันเป็นจุก) ซึ่งจะดูออกว่าหอมใหม่กระเทียมใหม่หรือไม่ ถ้าจุกเหี่ยวแห้งแสดงว่าเป็นหอมกระเทียมเก่า แต่ซื้อแบบนี้จะเสียอย่างว่าจะกินไม่ทัน เวลากินไม่ทันมันจะฝ่อและหมดยางกลายเป็นหอมกระเทียมไม่มีรส

    เมื่อเดินออกมาทางตลาดลาว ก็มาเสียศูนย์เอาที่นี่ จากที่จะไม่ซื้ออะไรเป็นพิเศษ ก็เป็นซื้อดะไม่คิดนาน เห็นอะไรแล้วอยากกินไปหมด ซื้อมาก่อน จะกินวันไหนค่อยว่ากันอีกที เริ่มต้นที่แผงขายปลาช่อนนา ที่ขายเป็นตัวๆ กับแยกส่วน มีทั้งเนื้อล้วน หัวปลา และตรงพุงปลา ที่พุงปลานี้จะมีเนื้อส่วนท้องและพุงด้วย แล้วส่วนนี้ต้องต้มยำอย่างเดียว ซึ่งเวลากินที่ร้านก็ไม่ค่อยจุใจ แล้วแพงอีกต่างหาก ชามหนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อย แต่ที่วางขายนี้เนื้อส่วนท้องกับพุงนั้นกิโลละ 70 บาท ซื้อมา 2 พุง แค่ 35 บาท ซื้อเครื่องต้มยำ มะนาว พริกขี้หนู รวมกันแล้วแค่ 50 บาท ตกลงว่ามีต้มยำพุงปลาช่อนมาครบชุด

    เดินผ่านที่ขายไก่ ขายเป็ด มีทั้งอยู่ในกรงรอเชือด กับทำสำเร็จเป็นตัวๆ ใหญ่ เล็ก ตามราคา แล้วยังมีแผงที่ขายแยกพวกเครื่องใน มีไส้ มีกึ๋น และมีชุดไข่อ่อนที่พร้อมกับรังไข่ ชุดนี้ถุงละ 25 บาท นี่ต้องผัดกะเพรา และต้องให้เผ็ดหน่อย ใส่พริกขี้หนู ใบกะเพราะเยอะๆ ใส่ใบยี่หร่าปน

    [​IMG]

    เดินไปส่วนที่ขายผัก ขายส่ง เจอผักบุ้งไทยลำปล้องใหญ่น่ากินและส่วนยอดนั้นงามมาก กำละ 5 บาท นี่เหมาะสำหรับแกงส้ม แล้วต้องแกงกับปลาช่อนน้ำข้นๆ แต่ยังไม่ซื้อ เพราะเริ่มจะหลายเมนูเข้าไปแล้ว บอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว

    เดินต่อไปเจอมะกอก ลูกใหญ่มาก นี่ก็เหมือนกัน นึกถึงยำปลากรอบแบบเขมรที่ใส่มะกอก ที่เขมรเรียกว่า ยำมะกะ แล้วที่บ้านผมก็มีปลากรอบนอนคอยอยู่ในช่องแข็ง มีกับข้าวประเภทต้มยำแล้ว ผัดกะเพราะรังไข่แล้วก็ต้องมียำ นี่ก็เอามาอีก

    ตอนนี้ตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่ซื้ออะไรแน่นอน เพราะแบกถุงผ้าชักไม่ไหวแล้ว กลับมาถึงบ้านก็จัดการวางแผนจะกินอะไรก่อนหลัง ทำต้มยำกับยำปลากรอบก่อน อย่างอื่นหั่นล้างแล้วเก็บใส่ถุงพลาสติกเขียนกำกับข้างถุงว่าอะไรเป็นอะไรแล้วใส่ตู้เย็น ของสดอย่างพวงรังไข่ใส่ช่องแข็งไปเลย

    ต้มยำพุงปลานั้นทำกินเองที่บ้านจะดีกว่าที่ร้านแน่นอน เพราะส่วนที่เป็นพุงปลานั้นส่วนที่อร่อยที่สุดเป็นกระเพาะกับไส้ ต้องผ่ากระเพาะออกล้างให้สะอาด ยิ่งเป็นปลาท้องนาแล้วมักจะมีเศษดินเศษทราย ไส้ก็เหมือนกัน ใช้มีดปลาแหลมๆ คมๆ กรีดไส้ให้ผ่าออก ไม่ให้เศษขี้ เศษผงติด กรีดง่ายครับไม่ยาก ดีปลาที่ติดกับตับปลาก็ต้องควักออก
    เนื้อท้องนั้นต้องกำจัดเกล็ดออกให้เกลี้ยง ต้มยำปลาช่อน ต้องหนักข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพราะจะได้กลบความคาว น้ำแกงนั้นผมใช้ผงรสปรุงรสหน่อย เลือกที่ไม่มีส่วนผสมของผงชูรส เมื่อน้ำเดือดจัดแจงใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เดือดแล้วใส่ปลา ปรุงรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ดเลย ปกติผมชอบต้มยำน้ำใส แต่ครั้งนี้อยากกินน้ำข้น และน้ำข้นแบบโบราณนั้นใส่กะทิครับ

    มาถึงยำมะกอก มะกอกนั้นมีข้อเสียคือปอกยาก เวลาปอกเปลือกต้องระวังมีดแฉลบ เพราะยางมันลื่น เมื่อก่อนปอกแล้วมาฝานเป็นชิ้น แล้วซอยเป็นชิ้นเล็กๆ เดี๋ยวนี้ง่าย มีมีดยี่ห้อคมๆ ปาดออกเป็นเส้นๆ ได้เลย สำหรับปลากรอบที่จริงต้องใช้ปลากรอบตระกูลปลาแดง ปลาเนื้ออ่อน ปลากรอบต้องนึ่งก่อน อย่างหนึ่งเพื่อให้สะอาด อีกอย่างหนึ่งจะได้แกะเนื้อง่าย แล้วก็ต้องมีถั่วลิสงคั่วตำหยาบ

    พริกขี้หนูบุบ หอมแดงซอย ใช้ใบโหระพา ใบสะระแหน่ กับใบผักชีฝรั่ง ทำน้ำยำก็ใส่หอมแดง น้ำปลา มะนาว น้ำตาลนิดหน่อย ชิมดูต้องไม่ให้แก่เปรี้ยว เพราะมะกอกก็เปรี้ยวอยู่แล้ว แล้วก็คลุกทุกอย่างด้วยกัน ชิมอีกครั้ง เท่านี้เอง ไม่ต้องไปไกลถึงพนมเปญ แค่พระโขนงก็ได้กินยำมะกอกแบบเขมรได้เหมือนกัน

    ก็นี่แหละครับ ไปตลาดสดจะดีตรงนี้ อยากกินอะไรก็ทำเอง ทำทีกินได้หลายคน แถมสะอาด ทำบ่อยๆ ฝีมือก็ไม่ตก แล้วยังรู้ต้นทุน เวลาไปกินที่ไหนก็แยกแยะถูก ว่าอะไรขาดอะไรเกิน เรียกว่ารู้รสมือ เวลาไปกินที่ร้านรู้ว่าร้านดี มีฝีมือสมราคา หรือร้านไหนเป็นนักฟันลูกค้า ก็จะได้ไม่ไปอีก ฉะนั้นทำกินเองกันสนุกคุ้มค่าครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    12 เคล็ดลับเป็นนักบริหารผู้ประสบความสำเร็จ

    รายงานโดย :อนุสรา ทองอุไร

    ��ʵ� ������ - �ſ������ - 12 ������Ѻ��繹ѡ�����ü�����ʺ����������

    เมื่อเริ่มต้นทำงานไม่ว่าจะงานเอกชนหรือราชการ ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะก้าวหน้า โดยเฉพาะการก้าวไปถึงตำแหน่งผู้บริหาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะก้าวไปถึง แต่จะทำอย่างไรที่จะก้าวไปสู่จุดนั้นได้


    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=right border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">ดร.จรวยพร ธรณินทร์</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ได้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ชื่อ “12 ไม้เด็ด...สูตรสำเร็จข้าราชการ” ผลงานของ ดร.จรวยพร ธรณินทร์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เขียนถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการทำงาน 38 ปี และได้เลื่อนขั้นจากข้าราชการซี 3 มาจนถึงปลัดกระทรวง เคล็ดลับทั้ง 12 ข้อนี้สามารถนำมาปรับใช้ได้ ไม่ว่าคุณจะทำงานในภาคเอกชนหรือส่วนของราชการ เพราะล้วนเป็นพื้นฐานของการทำงานเพื่อความก้าวหน้าด้วยกันทั้งสิ้น


    1.ถอดรหัส เรียนลัด ใช้กูรูเป็นครูสอน
    ผู้เขียนแนะนำว่าควรหาหนังสือประเภท How To ที่บอกวิธีการบริหารที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ หรือเรื่องราวของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมาศึกษาว่า เขามีวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร เมื่อมีปัญหาในการทำงานเขามีวิธีคิดและแก้ปัญหานั้นอย่างไรถือว่าเป็นความรู้ให้เราได้เรียนลัด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากมายทั้งของไทยและต่างประเทศ เพื่อดูว่าเขาเหล่านั้นมีวิธีการบริหารอย่างไรจึงก้าวสู่ดวงดาวได้ แต่ละวิชาชีพก็จะมี “กูรู” ของวิชาชีพนั้นๆ ที่ผ่านการศึกษาค้นคว้ามาอย่างดี และกูรูจะแนะนำแนวทางไว้อย่างละเอียด เหลือเพียงให้เรานำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ทำอยู่เท่านั้น
    ถ้าเราสามารถหาตัวต้นแบบ จะทำให้เราไม่เสียเวลาว่าจะทำอย่างไร จึงจะสามารถทำได้ดี โดยเราจะได้เห็นจุดดีว่าเขาทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ และบางจุดที่เขาเหล่านั้นเคยล้มเหลว เราก็จะได้มาคิดหาทางป้องกันไม่ให้พลั้งพลาดซ้ำรอย แต่ต้องไม่ใช่การลอกเลียนแบบ เราจะต้องปรับปรุงสูตรแห่งความสำเร็จเหล่านั้นให้เหมาะกับตัวเอง


    2.สร้างผลงาน สร้างโอกาสก่อน จึงชิงชัยเข้าสู่ตำแหน่ง
    ข้าราชการจำเป็นต้องสร้างผลงาน จะมารอบุญหล่นทับไม่ได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “สงครามสร้างวีรบุรุษ” หากเรามีโอกาสลงสนามจริง เราก็จะมีโอกาสโชว์ผลงาน แต่ถ้าไม่มีโอกาสลงสนาม ก็ไม่มีทางที่จะได้เป็นวีรบุรุษ แต่การสร้างผลงานจะต้องทำสิ่งที่เหมาะกับตำแหน่ง ไม่ใช่เก่งทุกอย่าง ยกเว้นงานในหน้าที่ เช่น เป็นหัวหน้าฝ่ายต้องเขียนโครงการได้ เป็นนักข่าวต้องเขียนข่าวได้ เพราะแต่ละตำแหน่งล้วนมีคำอธิบายภาระหน้าที่ของตัวเอง (Job specification) ซึ่งเราต้องทำให้ดีที่สุด
    แต่การก้าวสู่ตำแหน่งได้ ก็เหมือนม้าต้องมีคอก เพราะหากม้าไม่มีเทรนเนอร์ฝึก ไม่มีจ๊อกกี้ขี่ ไม่ได้เข้าซอง ก็ไม่มีวันได้ลงสนาม เหมือนข้าราชการจะได้รับตำแหน่ง ก็ต้องมีผู้มีอำนาจส่งชื่อเข้าคัดเลือก ดังนั้นถ้าเขามองไม่เห็น โอกาสของเราก็จะไม่มี ซึ่งข้าราชการต้องมีกำลังใจรอคอย และค้นให้เจอว่าต้องการเป็นอะไร หากอยู่ในจุดเดิมแล้วไม่มีทางไปก็ต้องไปที่อื่น โดยอาจจะต้องย้ายกรมหรือย้ายงาน แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างคือต้องไม่ทำอะไรข้ามหน้าเจ้านาย (Offside) เพราะจะทำให้นายตั้งแง่ อันจะทำลายโอกาสและความก้าวหน้าของเราเอง


    3.จะเป็นใหญ่ต้องรู้หน้าที่และเล่นบทผู้กำกับการแสดง
    ทุกตำแหน่งงานมีบทบาทที่เราต้องรู้จักเล่นให้เป็น ซึ่งการเข้าสู่ตำแหน่งก็ยากแล้ว แต่การประคองตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งนานๆ ยิ่งยากกว่า เราจึงต้องมีเทคนิคเพื่อรักษาเก้าอี้ สิ่งหนึ่งในองค์กรที่เราจะพบมาก คือบัตรสนเท่ห์ และเว็บบอร์ด ซึ่งจะเป็นที่ระบายอารมณ์ เป็นธรรมเนียมของข้าราชการไทยเมื่อถึงเดือนก.ค. จะเหมือนฤดูฝึกซ้อมโยกย้าย ดังนั้นส่วนราชการต่างๆ จะเริ่มเคลื่อนไหว เมื่อมาถึงเดือนส.ค. ตำแหน่งปลัดกระทรวงก็จะออกมา ส่วนเดือนก.ย. ก็จะเป็นอธิบดีและผู้อำนวยการสำนักต่างๆ ก็จะตามมาในเดือนต.ค. ฉะนั้นในเดือนก.ค.-ก.ย. เราก็จะเห็นบัตรสนเท่ห์เกลื่อนไปหมด เราจึงต้องรู้วิธีที่จะจัดการกับบัตรสนเท่ห์และเว็บบอร์ด ถ้าชื่อไม่จริงก็อย่าไปสนใจและต้องหนักแน่น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสร้างปัญหา
    อย่างไรก็ตาม เมื่อเราต้องทำงานร่วมกับหลายคน สิ่งที่จำเป็นคือการแสดงวุฒิภาวะ โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ร้าย เช่น อิจฉา โกรธ อาฆาต ข้าราชการต้องซ่อนอารมณ์เหล่านี้ไว้ แต่ควรจะมีอารมณ์ขันโดยมีเทคนิคคือต้องทำตัวเราเองให้ตลกอย่าไปใช้คนอื่นเป็นตัวตลกเพราะเขาจะไม่ตลกด้วย

    [​IMG]

    4.สร้างวิสัยทัศน์และใช้กลยุทธ์ที่เข้มแข็ง
    คนที่มีวิสัยทัศน์จะมีทิศทางในการมองไปข้างหน้า ดังนั้นคนมีวิสัยทัศน์จะมองได้ทะลุ ซึ่งจะทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตที่ดี วิสัยทัศน์เป็นเหมือนการทำแผนที่ ถ้าเราอยากจะไปให้ถึงดวงดาว เราต้องทำแผนที่เพื่อกำหนดทิศทางของเรา โดยมียุทธศาสตร์ว่าเราจะทำอย่างไร ซึ่งการสร้างวิสัยทัศน์ทำให้เราสามารถเพิ่มความเข้มข้นของการทำงานได้ ช่วงแรกๆ เราอาจจะทำงานแค่พอตัว แต่เมื่อถึงระยะหนึ่ง เราจะต้องทำโครงการที่ยากขึ้น ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง และต้องทำงานที่ยากขึ้นและหนักขึ้น เราจะไม่สามารถบินได้สูง
    ดังนั้น เวลาเราฝันจะต้องฝันที่จะเป็นเบอร์หนึ่ง เพราะจะทำให้เรามีแรงที่จะทำให้ดี สิ่งสำคัญในไม้เด็ดนี้คือหลายคนยังไม่เข้าใจตัวเอง ดังนั้นเราจะต้องมองให้ดีว่าตัวจริงเราคือใครเราฝันอยากเป็นใครและตัวตนที่คนอื่นฝันอยากให้เราเป็นคือใคร เราจึงต้องหาตัวตนและวางตำแหน่งให้ถูกเพื่อก้าวไปข้างหน้า


    5.เสริมแรง เสริมศักยภาพการแข่งขัน
    สิ่งสำคัญในการทำงานคือเราต้องรักษาคุณภาพของเรา และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อเตรียมพร้อมที่จะแข่งขัน ซึ่งเริ่มต้นด้วยการสร้างความไว้วางใจ เราต้องทำให้คนอื่นไว้วางใจ โดยเฉพาะหัวหน้า ซึ่งทำได้โดยการทำงานแบบละเอียดถี่ถ้วนและถูกต้อง การนำเสนองานต่อผู้บังคับบัญชา อย่าสุกเอาเผากิน รวมทั้งอย่าทำงานข้ามขั้นตอนหรือล้ำหน้า
    สิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะทำให้ก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหาร คือต้องวางตัวมีวุฒิภาวะ มีความน่าเชื่อถือ อดทนอดกลั้น รวมทั้งต้องเป็นมิตรกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน


    6.การบริหารในระบบคณะกรรมการ
    ประเทศไทยมักมีการบริหารงานในรูปแบบนี้เยอะ มีทั้งคณะอำนวยการ คณะกรรมการฝ่าย คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน ซึ่งทักษะสำคัญในการบริหารงานแบบนี้คือทักษะในโต๊ะประชุม ซึ่งผู้บริหารต้องเก่งมาก ผู้เชี่ยวชาญการประชุมแบบนี้คือสตีฟ จ็อบส์ ผู้คิดค้นไอพอด เขาจะเปิดฉากด้วยการสร้างบรรยากาศ และปลุกความกระตือรือร้นของผู้ฟัง จากนั้นจึงแจ้งเนื้อหาว่าวันนี้จะมาพูดอะไร จากนั้นจึงใช้ตัวเลขสถิติที่มีความหมายเพื่อทำให้ผู้ฟังประทับใจ โดยพยายามทำให้สนุก ทักษะในโต๊ะประชุม คนที่พูดเก่งนำเสนอได้ดี นายก็จะชอบ ดังนั้นโต๊ะประชุมคือโอกาสของคนทำงาน


    7.สร้างเครือข่าย กระจายงาน กระจายคน
    การทำงานคนเดียวย่อมไปไม่รอด ถ้าอยากให้ได้เนื้องานมากจะต้องมีเครือข่ายสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถือเป็นองค์กรตัวอย่างที่ดีในการทำงานแบบเครือข่ายเพราะสสส. ได้เงิน 2% จากภาษีบุหรี่ หากใครต้องการทำโครงการเกี่ยวกับสุขภาพ สามารถมารับเงินจากสสส.ได้ แต่ใครที่รับเงินไป จะต้องแบ่งเงิน 5% ของที่ได้รับเป็นงบประชาสัมพันธ์ และเอาป้ายไปติดด้วยว่าโครงการนี้สนับสนุนโดยสสส. วิธีนี้คนทำงานก็ได้ผลงานและสสส.ก็ได้ผลงานด้วย สสส.ทำงานแค่ 5 ปี แต่โด่งดังมาก แต่การทำงานแบบเครือข่าย เมื่อทำไปนานๆ จะเริ่มติดยึดเป็นรูปแบบงานประจำ ไม่อยากเปลี่ยนแปลง จะเกิดคนที่มีอิทธิพลเหนือคนอื่น จึงต้องมีการกระตุ้นและปรับเปลี่ยน


    8.สร้างความชอบธรรมบนพื้นฐานคุณธรรมและกฎหมาย
    คุณธรรมจะทำให้เราก้าวหน้าต่อไปในการทำงานได้ ซึ่งคุณธรรมที่ง่ายที่สุดคือระเบียบวินัย สามารถสร้างได้ทันที อีกเรื่องหนึ่งคือต้องแยกความถูกต้องกับความถูกใจให้ออก บางครั้งหากข้าราชการต้องทำงานให้ถูกใจฝ่ายการเมือง อาจจะต้องติดร่างแหมีความผิด แต่ควรยึดความถูกต้อง แม้บางครั้งหมายถึงการไม่ได้ตำแหน่งที่ใฝ่ฝัน รวมทั้งเราต้องเข้าใจกฎหมายพื้นฐานเพื่อให้ทำงานได้ราบรื่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เถรตรง เพราะงานจะไม่ยืดหยุ่น

    [​IMG]

    9.ฝึกทักษะใหม่ จัดการความรู้ จัดการความคิด
    หากต้องการให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ต้องเริ่มต้นจากการเขย่าให้รู้ตัวว่าองค์กรกำลังเกิดปัญหาอะไร สถานการณ์เป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อไป คือเชิญบุคคลภายนอกมาบรรยาย เพราะหากเทศนากันเอง อาจจะเบื่อ และประสานกับวิทยากรว่าเราต้องการให้มาแนะนำอะไร เมื่อเรียนรู้ก็ให้มีการถ่ายทอด เพื่อให้รู้กันทั่วองค์กร จากนั้นอาจจะไปเรียนรู้นอกองค์กร
    ฝึกคิด 10 แบบ คือคิดวิพากษ์หาจุดดีจุดอ่อน คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดเปรียบเทียบ คิดเชิงมโนทัศน์ คิดแบบประยุกต์ คิดเชิงกลยุทธ์ คิดบูรณาการ คิดสร้างสรรค์ คิดเชิงอนาคต


    10.เพิ่มประสิทธิภาพได้เมื่อใช้เทคโนโลยี
    การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการของผู้บริหารยุคใหม่ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีช่วยให้ทำงานได้เร็ว สามารถวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้ และสื่อสารได้กว้างขวาง ดังนั้นอย่ามัวให้ลูกน้องมาช่วยสั่งงานที่เกี่ยวกับไอที เราต้องทำเองได้


    11.เขียนรายงานให้ดี เขียนชี้แจงแสดงความก้าวหน้า
    ถ้าเราไม่รายงานการทำงาน เหมือนเราปิดทองหลังพระ เราจึงต้องรู้จักรายงาน แต่ต้องรู้จักแยกข้อเท็จจริงและความคิดเห็น ดังนั้นเวลาเสนอข้อมูลต้องจำแนกให้ชัดว่าเสนออะไร เพื่อไม่ให้สับสน ทั้งนี้สำหรับข้าราชการ คนที่เขียนรายงานเก่ง คือเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีและได้รับอนุมัติงบประมาณ คนที่ประสบความสำเร็จ คือคนเขียนโครงการขนาดใหญ่ ใหม่ และยากได้


    12.ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ สร้างสรรค์ภาพลักษณ์ ข้าราชการหากอยากก้าวหน้าต้องทำงานที่หัวหน้างานมอบหมายมาให้สำเร็จ จากนั้นต้องบอกกล่าวหรือประชาสัมพันธ์ผลงานของตนเองให้คนอื่นรับรู้ มิฉะนั้นคนจะไม่รู้ว่าเรามีส่วนมากน้อยแค่ไหนกับผลงานที่ประสบความสำเร็จ ส่วนผู้บริหารก็ต้องประชาสัมพันธ์ เพื่อให้คนรู้ว่ามีผลงาน ให้คนรู้ว่าองค์กรเรายังมีอยู่ และทำภารกิจอะไร ทั้งยังเป็นโอกาสให้ชี้แจงข้อขัดข้องต่างๆ ด้วย
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เข้าใจผู้อื่นก่อน แล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา

    รายงานโดย :เกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย:

    ��ʵ� ������ - �ſ������ - ����㨼����蹡�͹ ���Ǩ֧�������������������

    “คุณเกรียงศักดิ์ช่วยโค้ชทีมผมเรื่องการฟังหน่อย ผมไม่เข้าใจพวกเขาจริงๆ พวกเขาไม่เคยฟังผมเลย ตั้งแต่ผมได้เป็นซีอีโอ ผมแนะนำทีมงานหลายอย่าง แต่พวกเขาไม่ยอมทำตาม พวกเขามีปัญหาเรื่องการฟัง”


    “คุณสมัคร คุณไม่เข้าใจพวกเขา เพราะว่าเขาไม่ฟังคุณใช่ไหมครับ”
    “ถูกต้องครับ”
    “ผมอยากจะเล่าเรื่องจากหนังสือ 7 อุปนิสัยของผู้มีประสิทธิผลสูงของ สตีเวน อาร์. โควีย์ แปลโดยคุณนพดล เวชสวัสดิ์ มีคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย เป็นบรรณาธิการ ในบทที่ชื่อ เข้าใจผู้อื่นก่อน แล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา นั้นเขียนว่า
    คุณพ่อคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า “ผมไม่เข้าใจลูกชาย เขาไม่ฟังผมเลย”
    “ขอให้ผมทวนซ้ำคำกล่าวของคุณ” ผม (สตีเวน) ตอบ “คุณไม่เข้าใจลูกชาย เพราะเขาไม่รับฟังคุณ”
    “ถูกต้อง” เขาตอบ
    “ขอกล่าวซ้ำอีกครั้ง...คุณไม่เข้าใจลูกชาย เพราะเขาไม่รับฟังคุณ”
    “นั่นละสิ่งที่ผมพูด” ท่าทางของเขาหงุดหงิดทันควัน
    “ผมคิดว่าการที่จะเข้าใจผู้อื่น คุณจะต้องรับฟังเขาเสียอีก”
    “โอ” เขาอุทานแล้วเงียบไปพักใหญ่
    คุณสมัครยิ้มพร้อมกับบอกว่า “เข้าใจแล้ว ไหนเล่าต่อซิครับ”
    “ไม่ละครับ เป็นการบ้านคุณไปอ่านต่อแล้วกลับมาสรุปให้ผมฟังสัปดาห์หน้าครับ”

    ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
    “คุณเกรียงศักดิ์ เรื่องราวมีอยู่ว่า คนเรานั้นฟังไม่เก่ง เวลาคนอื่นพูดเรามักจะฟังในสี่ระดับ เราอาจจะไม่ใส่ใจรับฟัง เราอาจจะเสแสร้งทำเป็นฟัง “อือ” “อา” “ใช่” “ครับ” “ค่ะ” เราอาจจะเลือกรับฟัง ได้ยินเพียงบางเสี้ยว เราทำแบบนี้บ่อยๆ เวลาฟังเด็กๆ พูดเจื้อยแจ้ว หรือไม่เราก็อาจจะทำการฟังอย่างตั้งใจ โดยทุ่มความสนใจให้เนื้อหา ทุ่มเทพลังงานให้แก่ทุกคำที่พูดออกมา” เขาหยุดเว้นจังหวะ
    ผมจึงถาม “คุณสมัครรู้ไหม เวลาคนเขาใช้วิธีพวกนี้เวลาฟังคุณ”
    “รู้ครับ ใครที่ฉลาดก็สังเกตออกทั้งน้าน” เสียงสูงออกเชิงประชด
    “เมื่อเห็นคนทำแบบนั้นเวลาฟังคุณ รู้สึกอย่างไรครับ”
    “ผมก็ไม่ไว้ใจเขานะซี เพราะเขากำลังแสดงออกว่าเขาแคร์ในเรื่องของเขามากกว่าเรื่องของผม”
    “คุณสมัครว่าทีมงานของคุณจะรู้ไหมเวลาที่คุณใช้วิธีเหล่านี้เมื่อฟังพวกเขาพูด”
    “คงรู้มั้ง” ยิ้มแหยๆ

    แล้วเขาจึงเล่าต่อ “ผู้เขียนบอกว่ามีน้อยคนนักที่จะฟังในแบบที่ห้าคือ การรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ

    วิธีการก็คือการพยายามฟังโดยการพาตัวเข้าไปอยู่ในกรอบอ้างอิงของผู้พูด คุณจะมองผ่านกรอบนั้นออกมายังโลกภายนอก มองโลกเหมือนที่เขามองเห็น ฟังด้วยหู ตา และใจ
    คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะแนะนำก่อนที่จะเข้าใจ เวลาที่คนทั่วไปฟังมักจะฟังเพื่อเตรียมตัวที่จะพูดต่อ พวกเขาฟังผ่านตัวกรองที่เป็นกรอบความคิดของตน พวกเขาพร้อมที่จะอ่านอัตชีวประวัติของตนเองเข้าไปในชีวิตผู้อื่น
    โอ ผมรู้ดีว่าคุณรู้สึกอย่างไร

    ผมผ่านเรื่องเดียวกันนั้นมาแล้ว ผมจะเล่าประสบการณ์ของผมให้คุณฟังนะ
    คนเราพร้อมที่จะฉายโฮมวิดีโอของตนเข้าไปในพฤติกรรมของผู้อื่นผ่านกรอบความคิดของเขาในทุกคราวที่พูดคุยกับคนอื่นๆ
    ในเมื่อเราฟังในเชิงอัตชีวประวัติ เราจะตอบสนองในสี่หนทางคือ เราจะประเมินค่า เราจะเห็นพ้องหรือขัดแย้ง เราจะเสาะสำรวจ ตั้งคำถามจากกรอบอ้างอิงของเรา เราจะให้คำแนะนำ เสนอความคิดจากประสบการณ์ของเรา เราจะตีความ พยายามถอดรหัสผู้คน บรรยายแรงจูงใจ พฤติกรรมของผู้อื่น โดยอ้างจากแรงจูงใจและพฤติกรรมของเราเอง วิธีเหล่านี้อาจทำให้เราไม่เข้าใจเขา และผู้ที่กำลังพูดก็พานไม่ไว้ใจเราไปด้วย”
    ผมเสริม “คนมักพลาดกัน คุณต้องอยู่กับปัจจุบันและฟังจากกรอบความคิดผู้พูด”

    คุณสมัครขีดเส้นใต้สีแดงในหนังสือแล้วเล่าต่อ

    “การฟังอย่างเข้าใจมีสี่ระดับคือ

    1. วิธีที่ได้ผลน้อยสุดคือการกล่าวซ้ำ คือการกล่าวทวนข้อความเดิมกลับไปที่ผู้พูด

    2. การเรียบเรียงใหม่ ดีขึ้นอีกนิดคือกล่าวทวนในภาษาของเรา

    3. สะท้อนความรู้สึก

    4. กล่าวเรียบเรียงใหม่ และสะท้อนความรู้สึกเขา เมื่อเข้าใจเขาแล้ว ก็แสดงความเห็นออกไปให้เขาเข้าใจคุณ”
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันนี้เพิ่งจะสามารถเข้าเวบพลังจิตนี่ได้ แสนสาหัสจริงๆ ช่วงนี้ไข้หวัดระบาด ก็ระมัดระวังกันหน่อย ทำร่างกายให้แข็งแรง ขึ้นรถลงเรือก็ระมัดระวังราวจับกัน ผมขึ้นรถไฟฟ้าก็จะไม่จับราว พยายามทรงตัว ล้างมือให้สะอาด...

    เมื่อวานได้ไปเรียน และรู้จักพี่ท่านหนึ่ง พี่เขาได้เล่าให้ฟังเรื่องของแฟนพี่เขาที่เคยเป็นมะเร็งปากมดลูก รู้สึกว่าจะเป็นระยะ ๓ เมื่อราว ๑๐ ปีก่อน (คือพี่เขาศึกษาเรื่องของยาสมุนไพรไทยมาร่วม ๓๐ ปี ที่ยังสอบไม่ผ่านเพราะบางครั้งคนไข้จะให้ไปรักษาที่ต่างจังหวัดในวันรุ่งขึ้น ซึ่งคนไข้ได้นำตั๋วเครื่องบินมาให้ ก็เลยขอไม่ไปสอบในวันนั้น) ช่วงที่แฟนพี่เขาเป็นมะเร็งปากมดลูก ทั้งๆที่ตัวเองทำเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ รักษาคนอื่นหาย แต่กลับไม่สามารถรักษาโรคให้กับแฟนตนเอง ก็รู้สึกไม่สบายใจ รักษาด้วยตัวยาหลายขนานก็ไม่หาย ไม่ตรงโรค พาลนึกในใจว่าปู่ชีวกฯเก่งยังไง อยากขอเจอหน่อย ก็ได้นั่งสมาธิ เห็นแสงไฟสีเขียวพุ่งเข้ามา ปรากฏเป็นท่านผู้หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ปู่ชีวกฯ ท่านบอกชื่อว่าเจ้าพระยาวิเชียร ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้แต่งตำรายาสมุนไพรรักษาโรคไว้ ท่านมาบอกว่า ยาที่จะรักษาโรคมะเร็งนั้นมีนะลูก...พี่เขาไม่เชื่อว่ามี เป็นไปไม่ได้ ท่านเลยให้เลขหวยของมาเลเซียมา 2 ชุด ให้ไปเล่น เพื่อพิสูจน์ว่าที่ท่านบอกนั้นจริง ผลปรากฎว่า พี่เขาถูกได้เงินรางวัลของมาเลเซีย คิดเป็นเงินไทยราว ๗,๐๐๐ บาทในสมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน คราวนี้ก็เลยนั่งสมาธิขอพบท่านอีก คราวนี้ท่านบอกว่า ตัวยาที่รักษานั้น อยู่ในหนังสือพรหมชาติที่ลูกเคยเขียนจดไว้ พี่เขาเลยมาค้นหาตำราพรหมชาติ ก็พบว่าเป็นตัวยาที่พี่เขาเคยจดไว้จริงๆ แต่ไม่ได้ไปสนใจ แต่คราวนี้พิจารณาตัวยาถึงกับอุทานว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวยาในนั้นเป็นยาพิษทั้งสิ้น เช่นสารหนู ฯลฯ ท่านก็ไม่เชื่อ เจ้าพระยาวิเชียร ท่านนั้นก็ได้บอกว่า เป็นไปได้นะลูก เจ้าเคยได้ยินการรักษาแบบพิษต้านพิษหรือไม่ ตัวยามันฆ่ากันเอง...ท้ายสุดพี่ท่านนี้ก็ทดลองทุบ บด ตัวยาสมุนไพรตั้งแต่เช้าจนเย็น ปั้นเป็นเม็ดได้หลายเม็ด เอาให้แฟนเขาทาน ๑ เม็ด ระหว่างรอดูผลก็เผลอหลับไป ปรากฎว่า ระหว่างนั้นแฟนพี่เขาตื่นพอดี เห็นมียาอยู่หลายเม็ด จึงนำไปทานอีก ๒ เม็ด ปรากฎว่า มีอาการปวดท้องมาก จึงปลุกพี่เขา บอกอาการ พี่เขาให้ไปถ่าย แต่ให้ถ่ายบนพื้นห้องน้ำ ไม่ให้ถ่ายในโถชักโครก เพราะจะไม่เห็นลักษณะของเสียว่าเป็นอย่างไร ผลคือ ปัสสาวะออกมาเป็นน้ำเลือด และน้ำหนอง และพี่เขาบอกว่า ที่หมอฝรั่งว่า มะเร็งไม่มีตัวนั้นไม่ตริง เพราะภาพวันนั้นมันติดตาติดใจ เขาเห็นตัวของเชื้อมะเร็งว่าหน้าตาอย่างไร พี่เขาบอกว่า รูปร่างของมันคล้ายลูกน้ำ แต่ส่วนหัวของมันจะวาวๆ แข็งมาก ทดลองบี้กับพื้นห้องน้ำมันจะไม่ตาย ต้องใช้แก้วน้ำกดบี้แรง มันแตกออก ถึงจะตาย แต่คล้ายมีกระเปาะหุ้มตัวเชื้อมะเร็งอยู่อีกชั้น การใช้ยาชนิดใดก็ตามหากไม่สามารถทำให้กระเปาะนี้ของมันแตกออกมาได้ ก็ฆ่ามันไม่ได้ การฉายแสงฆ่ามัน มันจะตาย เนื้อเซลล์ส่วนนั้นก็ตายเหมือนกัน ฉายตรงนี้มันก็มุดหายไปในกระแสเลือดไปโผล่ยังส่วนต่างๆ ๓ เดือนต่อมาไปตรวจเชื้อมะเร็งก็ไม่พบว่ามีเชื้อมะเร็งแล้ว...

    ที่เล่าให้ฟังผ่านกระทู้พระวังหน้าฯก็ถือว่าเล่าสู่กันฟัง วันหนึ่งเราอาจจะมีประสบการณ์ได้พบได้เจอผู้ที่เป็นโรคมะเร็งจะได้บอกเขาว่า ยังมีหนทางรักษา แต่หากช้าเกินไปจนเป็นระยะ ๔ ไปแล้ว แบบนี้รักษาไม่ได้ครับ

    ผมรู้สึกว่า เพื่อนๆในนี้แต่ละคนไม่ธรรมดา มีดีกันหลายคน ก็เป็นสังคมอีกกลุ่มหนึ่งที่สนใจเรื่องราวของการรักษาพยาบาลด้วยตำรับยาแผนโบราณ ผมเดินเล่นช่วงกลางวันก็ไปพบคัมภีร์ยาสมุนไพรไทยตำรับหมอพร(เสด็จเตี่ย) เสด็จในกรมฯทรงเขียนในสมุดข่อยด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง ตำรานี้เสร็จในปี พ.ศ ๒๔๕๘ ตั้งชื่อพระคัมภีร์เล่มนี้ว่า พระคัมภีร์อติสาระวรรค กล่าวถึงสรรพคุณ และการผสมตัวยาแก้โรคต่างๆมีศิลปะภาพเขียน หน้าปกมีลายไทยปิดทองที่สวยงามมาก หน้าต่อไปเป็นภาพเขียนด้วยหมึกสี เป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิ ด้านซ้าย และด้านขวาเป็นพระฤาษี ๒ ตนนั่งพนมมือ ถัดลงมาเป็นตราประจำราชสกุลอาภากร รูปพระอาทิตย์ทรงราชรถประทับยืนทรงพระขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา มีอักษรเขียนเป็นภาษาบาลีว่า กยิราเจ กยิราเถนัง แปลว่า จะทำสิ่งไร ควรทำจริง

    เสด็จเตี่ยจะไม่เก่งได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และยังต่อวิชาหลายอย่างกับคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงปู่ใหญ่ท่านชำนาญในเรื่องของการรักษาโรค ผมมีความเชื่อว่า ตำรายาของเสด็จเตี่ยจะต้องมีขนานหนึ่งขนานใดเป็นตัวยาที่หลวงปู่ใหญ่ระบุไว้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2009
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 17 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, nongnooo+, dragonlord+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมไปดูรายการ อโรคาปาร์ตี้ก่อนครับ

    และคงพักผ่อน พรุ่งนี้งานเยอะครับ

    .
     
  12. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
     
  13. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คุณหนุ่มคะวันนี้ให้พระผงยากับคุณหมอไป 1 องค์เพราะท่านน่ารักมาก
    ลดแหลกแจกแถมทั้งค่ายา และร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์มาด้วย 2,500 บาท
    พอบอกให้คุณหมอเจาะรูถ้าจะนำพระไปเลี่ยม คุณหมอทำหน้างงๆ
    ก็เลยต้องเอาที่คอให้ดูเป็นตัวอย่าง พออาราธนาออกมาวางเท่านั้น
    คุณหมอร้องโอยๆ มึนหัวๆ ขนลุกใหญ่เลยค่ะ
    สงสัยจะหนาวเพราะวันนี้พายุเข้าทั้งวัน อิอิ
     
  14. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คุณเพชร ซื้อหนังสือไปแล้วหรือยัง ถ้ายังจะส่งมาให้
    คือซื้อไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแต่ลืมบอก
    ส่งที่อยู่ให้ด้วยนะคะ
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    555555 มันไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นไซโคลนทีเดียว ....

    ผู้ทำหน้าที่รักษาผู้ป่วย หรือด้านบำบัดรักษาผมว่าดีครับ ได้มอบให้น้องที่สอนเรื่องล้างพิษเช่นกัน เขาก็มีอาการคล้ายคุณหมอ แต่รายละเอียดเคย post ไว้แล้ว...
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมซื้อคัมภีร์เล่มนี้ของเสด็จเตี่ยเอาไว้แล้วครับคุณแด๋น ขอบคุณมากๆครับ โมทนาบุญกับคุณแด๋นด้วยครับ อานิสงค์การดูแลรักษาพระอาจารย์จะทำให้มีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยง่ายๆ มีภูมิต้านทานโรค ให้สามารถอยู่ปฏิบัติธรรมตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานครับ..
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    หวัดดีตอนเช้าครับ

    ชมรมรักษ์พระวังหน้าทุกท่าน

    ดูแลรักษาสุขภาพ กันทุกคนนะครับ

    เวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เกิดโรคระบาด ขึ้น ทำให้ผมนึกถึงพุทธทำนาย ทุกครั้งเลยครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินยอมให้สามีมีภริยาใหม่ ไม่อาจนำมาเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ จริงหรือ?
    http://www.manager.co.th/Family/View...=9520000078686
    [​IMG]โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    13 กรกฎาคม 2552 15:57 น.[​IMG]

    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 width=272><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on"></TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]
    ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต[​IMG][​IMG]

    อย่างที่เราท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่าความยินยอมเป็นเหตุให้การกระทำไม่เป็นการละเมิดเนื่องจากคู่กรณีได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว

    แต่ในกรณีที่เป็นความยินยอมระหว่างสามีภรรยาแค่ไหนเพียงไรจึงจะเข้าลักษณะเป็นความยินยอมที่จะทำให้สามีไปมีภรรยาใหม่แล้วภรรยาจะฟ้องหย่าไม่ได้เนื่องจากได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว วันนี้จึงได้หยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาเป็นตัวอย่างให้ได้พิจารณากัน

    เรื่องก็มีอยู่ว่า นายดินและนางลม จดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่ปี 2532 จนมีบุตรด้วยกัน 2 คนอยู่ที่จังหวัดสระบุรี นายดินที่รับราชการย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ใหญ่กว่าเดิมที่จังหวัดนครสวรรค์ในปี 2535 แต่ก่อนจะย้ายออก นายดินดันไปมีปากเสียงกับพ่อตาตัวเองเสียนี่ พอได้ที่พักใหม่ในจังหวัดนครสวรรค์แล้วก็เลยโทรมาบอกเมียว่า ให้ย้ายตามไปอยู่กับตัวเองที่นครสวรรค์ มิเช่นนั้นจะมีเมียใหม่!!!

    ทางฝ่ายภรรยาและลูกที่จังหวัดสระบุรีก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่สามีพูดนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ จึงตอบกลับไปว่า "อยากมีก็มีไปขอให้ส่งเงินมาให้ตนกับลูกเดือนละ 20,000 บาทก็พอ"

    ต่อมาในปี 2536 นายดินเลยแอบไปจดทะเบียนสมรสกับนางน้ำและได้ทำพิธีแต่งงานกับนางน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์โดยนางลมไม่รู้เรื่องดังกล่าวเลย จนกระทั่งปี 2538 เพื่อนของนางลมได้นำรูปงานแต่งงานระหว่างนายดินและนางน้ำมาให้นางลมดู นางลมจึงรู้เรื่องทั้งหมดและรู้ว่าสิ่งที่นายดินบอกตนนั้นนายดินได้ทำจริง นางลมจึงนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาของนายดิน แต่นายดินและนางน้ำก็ยังอยู่กินด้วยกันเรื่อยมา ต่อมาในปี 2540 นางลมได้มาฟ้องหย่านายดิน และเรียกค่าเสียหายเป็นค่าทดแทนจากนายดินและนางน้ำที่นายดินยกย่องนางน้ำฉันภริยา

    คราวนี้นายดินต่อสู้ว่าการที่นายดินมีภริยาใหม่ และแต่งงานกับนางน้ำนั้นได้รับความยินยอมจากนางลมตั้งแต่แรก นางลมจึงไม่อาจฟ้องหย่าและเรียกค่าเสียหายจากตนและนางน้ำได้ และนางลมรู้ความจริงทั้งหมดตั้งแต่ปี 2538 นางลมนำคดีมาฟ้องในปี 2540 เป็นเวลาเกิน 1 ปีคดีของนางลมจึงขาดอายุความแล้ว

    จากเรื่องราวข้างต้น ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า นางลมจะฟ้องหย่าและเรียกค่าเสียหายเป็นค่าทดแทนจากนายดินและนางน้ำได้หรือไม่

    ประเด็นแรก เรื่องเหตุหย่าตามป.พ.พ มาตรา 1516 (1) ถือว่านายดินได้ยกย่องและอุปการะเลี้ยงดูนางน้ำฉันภริยาแล้ว อันเป็นเหตุหย่าตามกฎหมายที่นางลมอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้

    ประเด็นที่สอง ข้อต่อสู้ของนายดินที่ว่านางลมให้ความยินยอมในการที่นายดินจะมีภริยาใหม่ตั้งแต่แรกนั้นถือว่านายดินอ้างข้อต่อสู้ตามป.พ.พ มาตรา 1517 ซึ่งหากนางลมได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้น นางลมจะยกมาเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ซึ่งความยินยอมที่กฎหมายกล่าวถึง หมายถึงคู่สมรสฝ่ายที่ยินยอมได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่า แต่แสดงเจตนาให้ปรากฏชัดแจ้งว่าอนุญาตให้กระทำหรือจะไม่ใช้สิทธิฟ้องหย่า

    แต่ตามข้อเท็จจริงนางลมไม่ทราบแน่ชัดและไม่คาดคิดว่านายดินจะทำตามที่พูดจริง อีกทั้งขณะจัดพิธีสมรสระหว่างนายดินกับนางน้ำ นางลมไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ดังนั้นจะถือว่านางลมทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นไม่ได้ ข้อต่อสู้ของนายดินจึงฟังไม่ขึ้น

    ประเด็นที่สาม สิทธิของนางลมที่จะฟ้องนายดินและนางน้ำขาดอายุความหรือไม่ ป.พ.พ มาตรา 1529 กำหนดว่า สิทธิยอมระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้กล่าวอ้างรู้หรือควรรู้ความจริงชึ่งตนเองอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ นางลมรู้ความจริงทั้งหมดเมื่อเพื่อนนำรูปการแต่งงานระหว่างนายดินกับนางน้ำให้ดูในปี 2538 แม้นางลมจะนำคดีมาฟ้องนายดินและนางน้ำในปี 2540 ก็ตาม แต่การที่นายดินและนางน้ำยังอยู่กินด้วยกันเรื่อยมาจนถึงวันฟ้อง ลักษณะการกระทำของนายดินและนางน้ำเป็นการละเมิดต่อนางลม ต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดการกระทำ อายุความหนึ่งปีจึงยังไม่เริ่มนับ นางลมนำคดีมาฟ้องในปี 2540 ก็ไม่ถือว่าคดีขาดอายุความตามมาตรา 1529 แต่อย่างได

    เมื่อการกระทำของนายดินเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) และถือไม่ได้ว่านางลมยินยอม นางลมจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นค่าทดแทนจากนายดินและนางน้ำได้ตาม ป.พ.พ มาตรา 1523 (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 3190/2549, 3596/2546)

    มังกรซ่อนกาย
    hiddendragon2552@gmail.com
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...