พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ คณะพระวังหน้าได้ร่วมทำบุญทุนนิธิสงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร โดยมอบเงินให้กับพี่ใหญ่ ดังมีรายนามดังนี้

    1.พี่วิรัช ร่วมทำบุญ 200 บาท
    2.พี่สมพร ร่วมทำบุญ 200 บาท
    3.ผมและภรรยา ร่วมทำบุญ 100 บาท
    4.คุณพุทธันดร ร่วมทำบุญ 100 บาท
    5.พี่แอ๊ว ร่วมทำบุญ 100 บาท
    6.คุณน้องอุ้ม ร่วมทำบุญ 100 บาท

    มาร่วมกันโมทนาบุญนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ คณะพระวังหน้าได้ร่วมทำบุญทุนนิธิสงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร โดยมอบเงินให้กับพี่ใหญ่ ดังมีรายนามดังนี้

    1.พี่วิรัช ร่วมทำบุญ 200 บาท
    2.พี่สมพร ร่วมทำบุญ 200 บาท
    3.ผมและภรรยา ร่วมทำบุญ 100 บาท
    4.คุณพุทธันดร ร่วมทำบุญ 100 บาท
    5.พี่แอ๊ว ร่วมทำบุญ 100 บาท
    6.คุณน้องอุ้ม ร่วมทำบุญ 100 บาท

    มาร่วมกันโมทนาบุญนะครับ

    โมทนาสาธุครับ<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. king_6914

    king_6914 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +18,384
    เรียน k.sithiphong วันนี้ได้รับพระสมเด็จ ที่ส่งมาให้แล้วค่ะ ขอบพระคุณมากที่กรุณาส่งมาให้ถึง 3 องค์ จะรักษาไว้อย่างดีค่ะ (เพื่อบูชาและศึกษา) และจะส่งเงินไปร่วมทำบุญอีก 500 บาทค่ะ โอนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ
    อนุโมทนาค่ะ
    กิ่ง
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทั้งสามองค์ สร้างที่วังหน้า นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิตครับ

    องค์ที่มีชาด(รักจีน) ที่สีแดง เป็นพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าอยากทราบว่า ดีหรือไม่ อย่างไร ให้ไปหาพระที่ท่านได้ญาณ 4 ละเอียด แล้วลองขอความเมตตาสอบถามท่านดูครับ

    พระท่านจะบอกให้ทราบเองครับ

    .
     
  6. king_6914

    king_6914 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +18,384
    ขอบพระคุณมากค่ะ ที่กรุณา ตัวกิ่งเองไม่มีข้อสงสัยใน พุทธคุณ หรือ อิทธิฤทธิ์ ของพระสมเด็จที่คุณ sithiphong มอบให้ค่ะ
    แต่อยากศึกษาว่าสร้างขึ้นในสมัยใด อยากศึกษาค่ะ
    และกิ่งมีพระสมเด็จอีกองค์ ที่คุณแม่ จันทา ฤกษ์ยาม เมตตามอบให้
    อยากสอบถามว่าคุณ sithiphong เคยเห็นหรือพอจะทราบหรือเปล่า คะ
    ว่าเป็นรุ่นใด (เปิดหาในหนังสือพระสมเด็จที่มีตามท้องตลาดไม่มีเลยค่ะ)


    26042008226.jpg
     
  7. king_6914

    king_6914 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +18,384
    ขอเล่าเรื่องความฝัน ก่อนจะได้พระสมเด็จจากคุณหนุ่มค่ะ
    ตรงกับคืนวันพระ ที่ผ่านมา ฝันว่า มีวัตถุบางอย่างลอยตามมาตลอด ไปไหนก็ลอยตามตลอดเลย
    ก็เลยถามว่า ลอยตามมาทำไม และสิ่งที่ลอยตามมานี้คืออะไร
    ก็ได้มีเสียงตอบมาว่า สมเด็จโตเมตตามอบให้ แบมือรับสิ
    ตัวกิ่งเองก็แบมือรับ วัตถุชิ้นนั้น ก็ลอยมาอยู่ที่มือค่ะ
    ตื่นขึ้นก็คิดอยู่แล้วว่า คงเป็นเพราะจะได้พระสมเด็จจากคุณหนุ่ม
    แต่ไม่คิดว่าจะได้ถึง สามองค์ค่ะ
    วันนี้ก่อนนอนก็ตั้งใจจะสวดชินบัญชร รับค่ะ
    ขอบคุณ คุณ หนุ่ม ที่กรุณาค่ะ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีพระพิมพ์ต่างๆ เช่นพระสมเด็จ ที่หนังสือของวงการซื้อขายพระเครื่อง ไม่รู้ ไม่ทราบ ว่า มีจริงๆ และไม่ได้นำมาลงอีกมากมาย เนื่องจากยอมรับไม่ได้ เดี่ยวอาชีพจะพังกันหมด

    ทุกเรื่อง เหมาว่า สมเด็จโต สร้าง
    ทั้งๆที่สมเด็จโต ท่านไม่ได้เป็นช่าง และกิจวัตรของสมเด็จโต ในแต่ละวันก็มีมากอยู่แล้ว

    เรื่องปูนที่นำมาทำพระสมเด็จ ก็เหมาว่า เป็นปูนเปลือกหอย
    ทั้งๆที่องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับปูน ไม่มีเลย เนื่องจากปูนที่นำมาสร้างพระสมเด็จและพระพิมพ์ต่างๆ เป็นปูนเพชร ที่นำเข้ามาจากเทือกเขาฮันซุย ประเทศจีน เมื่อประมาณปี พ.ศ.2410

    เรื่องของการสร้าง ผมจะบอกให้ว่า เรื่องของการจุ่มรัก ไม่มี หากใครบอกว่า จุ่มรัก ให้รู้ได้เลยว่า คนที่บอกนี้ ไม่มีความรู้ มีแต่ท่องจำมา ไม่จำเป็นต้องไปบอกเขา เพียงแต่รู้ในใจก็พอว่า อืมมมมม ทำไมโง่แบบนี้หนอ แล้วทำมาเป็นเก่ง

    เรื่องรูป ผมมองไม่ค่อยชัด แต่เท่าที่เห็น หากเป็นพระแท้ จะเป็นเนื้อทองเหลือง (เนื้อจะเป็นทองเหลืองเก่า) หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

    หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ หมายถึง พระภิกษุที่ท่านได้อนาคามีแล้ว มรณภาพแล้วไปอยู่ที่ชั้นสุทธาวาส และในทุกขณะสามารถตัดเข้าเป็นพระอรหันต์ได้ตลอด แต่ท่านยังไม่ไป เนื่องจากยังห่วงลูกหลานของท่านอยู่ เช่น หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ,หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ,หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ,หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก (ซึ่งหลวงปู่ทั้ง 6 องค์ ผมถวายน้ำชาท่านทุกวันอาทิตย์) หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ ยังมีองค์อื่นๆอีก แต่เวลาที่ผมลงในกระทู้พระวังหน้า ผมหมายถึงกลุ่มหลวงปู่ที่ผมนำมาลงข้างต้นนี้ครับ

    ผมเองไม่สามารถตรวจสอบพลังอิทธิคุณของพระพิมพ์ต่างๆได้ครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หมอไทยเจ๋ง!พบวิธีรักษาแผลเรื้อรังผู้ป่วยเบาหวานครั้งแรกของโลก
    Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 กรกฎาคม 2552 13:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> น.พ.ณรงค์ชัย ยิ่งศักดิ์มงคล แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป และหัวหน้าโครงการวิจัย เรื่องวิธีใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน กล่าวถึงความสำเร็จครั้งแรกของโลกที่ค้นพบวิธีรักษาแผลที่เรื้อรังที่เท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยไม่ต้องสูญเสียนิ้วเท้า หรือขา ว่า ด้วยการใช้ยา Immunokine หรือ WF-10 ผสมในน้ำเกลือ ฉีดเข้าสู่เส้นเลือด โดยฉีดวันละครั้งต่อต่อกัน 1 คอร์ส ซึ่งใช้เวลา 5 วัน จากนั้นจะดูผลประมาณ 1 สัปดาห์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ให้ใช้ยาเป็นคอร์สที่ 2 อาการจะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยบางรายใช้ยาคอร์สเดียวก็จะมีอาการดีขึ้นแล้ว
    สำหรับอาการดีขึ้นของผู้ป่วยจะเริ่มจากภาวะการอักเสบดีขึ้น ภาวะเนื้อที่ตายเริ่มดีขึ้น มีเนื้อใหม่งอกขึ้นมาทดแทนเพิ่มขึ้น
    น.พ.ณรงค์ชัย กล่าวว่า แม้ว่ายา WF-10 จะเป็นยาที่นำเข้ามาจากประเทศเยอรมนี ซึ่งหลายคนอาจจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่เมื่อเทียบกับที่ผู้ป่วยต้องเดินทางไปทำแผลทุกวันถือว่าคุ้มค่า และลดความเสี่ยงจากการถูกตัดขา หรือนิ้วเท้าออกไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    จะมาแจ้งข่าวว่า
    วันเสาร์ที่จะพาพระอาจารย์นิลไปตรวจร่างกาย
    และวันอาทิตย์ไปซื้องาที่ต่างจังหวัด
    ยังไม่ได้ไปทั้งสองรายการ
    เพราะป่วยค่ะ คนรอบตัวเป็นไข้หวัดหลายคน
    เลยมีอาการเจ็บคอ พระท่านก็รู้สึกมีอาการเหมือนกัน
    เลยยกเลิกก่อน กลัวจะเอาหวัดไปติดกันในรถ
    ทานยาแล้วตามที่คุณเพชรแนะนำ
    คือ ฟ้าทะลายโจร
    และพระอีกรูปหนึ่งแนะนำ คือยาเขียว
    รู้สึกดีขึ้นค่ะ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมโอนเงินของน้องอุ้มที่ร่วมทำบุญการตรวจร่างกายพระอาจารย์นิล จำนวน 100 บาท เรียบร้อยแล้วครับ

    ผมกำลังให้น้องหมอเอก ช่วยในการจัดซื้อวิตามินต่างๆ จะได้ถวายพระอาจารย์นิล ในวันประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมเองก็จะฝากน้องหมอเอก ซื้อวิตามินซีมาทานเองด้วยเหมือนกัน เนื่องจากว่า ทานวิตามินซีแล้ว จะช่วยลดการติดหวัดได้ แต่ถ้าเป็นหวัดแล้ว ไม่สามารถช่วยได้

    โมทนาสาธุครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวานนี้ พี่สมพร ได้มอบพระสมเด็จ(วังหน้า) จำนวน 50 องค์ และ พระสมเด็จ อรหัง (วังหน้า) จำนวน 50 องค์ ( ที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2415 นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิตเดี่ยว) ให้กับชมรมรักษ์พระวังหน้า เพื่อแจกให้กับสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ขอขอบพระคุณพี่สมพรด้วยครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในวันประชุมชมรมรักษ์พระวังหน้า ถ้าผมไม่ลืม ผมจะนำพระสมเด็จ(วังหน้า) ที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2415 นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า(หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร องค์ที่ 4 ในคณะโสณ-อุตร) และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

    ปกติแล้ว หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า(หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร องค์ที่ 4 ในคณะโสณ-อุตร) ท่านเองไม่ค่อยได้อธิษฐานจิตพระพิมพ์และวัตถุมงคลของวังหน้ามากนักครับ

    พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ อย่าลืม pm มาเตือนผมนะครับ หากว่าลืมแล้วอดชมนะครับ อิอิ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รายที่ 18 หวัด 2009 คร่าชีวิตหนุ่ม 19 ปีที่เมืองคอน - ติดเชื้อเพิ่ม 247 ราย
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 กรกฎาคม 2552 12:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> รายวัน! ยอดป่วยหวัด 2009 พุ่งอีก 247 ราย รวมยอดป่วยสะสม 3,555 รายแล้ว ขณะที่วันนี้พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 18 ราย ประกอบด้วยสาวอ้วนวัย 24 ปี มีหน้าที่ดูแลร้านเกมที่ราชบุรี และล่าสุดรายที่ 18 เป็นหนุ่มวัย 19 ปี ที่นครศรีธรรมราช มีภาวะปอดอักเสบ ส่วนผู้เสียชีวิตเมื่อวานนี้เป็นชายอายุ 45 ปีที่อยุธยามีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งนี้ยังได้รับรายงานอีกว่าเมื่อ6 ก.ค.ที่ผ่านมามีชายวัย 13 ปีเสียชีวิตที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในกทม. ซึ่งสำนักระบาดกำลังเข้าสอบสวนโรคเพื่อหาสาเหตุการตายต่อไป

    วันนี้ (12 ก.ค.) นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ ของไทย วันนี้ได้รับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันผู้ป่วยเพิ่มอีก 247 ราย รวมมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 สะสมรวม 3,555 ราย และมีผู้ป่วยอาการหนักซึ่งต้องอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิด 6 ราย

    นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า เช้าวันนี้ ได้รับรายงานจากโรงพยาบาลศิริราช ว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นหญิงไทย อายุ 24 ปี อยู่จังหวัดราชบุรี ซึ่งรับรักษาต่อจากโรงพยาบาลบ้านโป่ง มีน้ำหนักตัว 150 กิโลกรัม เริ่มป่วยตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2552 เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2552 ด้วยอาการหอบ มีไข้ ไอ มีน้ำมูก ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 ส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

    อีกรายเป็นชายไทย อายุ 19 ปี บ้านเดิมอยู่จังหวัดกระบี่ เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราชในวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 ด้วยอาการหอบ มีไข้ จากนั้นผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้นจึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 10 กรกฎาคม 2552 เอ็กซ์เรย์พบว่ามีปอดอักเสบทั้งสองข้าง จึงส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผู้ป่วยเสียชีวิตในเย็นวันเดียวกัน และวันที่ 12 กรกฎาคม 2552 ได้รับการรายผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ตรัง พบว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009

    สำหรับผู้เสียชีวิตที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาวานนี้(11 ก.ค.) เป็นชายไทย อายุ 45 ปี มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก และยังมีโรคประจำตัวอีกหลายโรค ได้แก่ มีภาวะไตวาย หัวใจโต ความดันโลหิตสูง ปอดอักเสบ และโรคฉี่หนูผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009

    นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขเพิ่งได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ว่าผู้เสียชีวิตอีก 1 ราย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 เป็นชายไทย อายุ 13 ปี อยู่กรุงเทพฯ ได้ให้สำนักระบาดวิทยาเข้าไปสอบสวนโรค เพื่อหารายละเอียดการเสียชีวิตที่แท้จริง และนำมาจัดระบบข้อมูลการเฝ้าระวังและการรักษา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน

    นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสของศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยรายงานการศึกษาข้อมูลผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ที่มีภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ของโรงพยาบาลมิชิแกน สหรัฐอเมริกา จำนวน 10 ราย พบว่า ผู้ป่วย 9 ราย มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 (ดัชนีมวลกาย ซึ่งคำนวณได้จากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง มีค่าปกติ 18.5-22.9) ซึ่งถือว่ามีภาวะอ้วนมาก ในจำนวนนี้ 7 รายมีภาวะอ้วนขั้นสูงสุด คือดัชนีมวลกายมากกว่า 40 นอกจากนี้ ยังพบว่า ในผู้ป่วย 9 รายจาก 10 ราย มีการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายล้มเหลว ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ป่วย 5 รายที่พบภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด และ 6 รายพบภาวะไตวาย ซึ่งข้อมูลที่ได้แสดงให้เห็นว่าภาวะอ้วน เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตได้

    ขณะนี้ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวกระทรวงสาธารณสุขขอแนะนำให้ผู้ที่มีโรคประจำตัวทุกรายหากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ให้รีบไปพบแพทย์และบอกว่าตนเองมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ หอบหืด ปอด และโรคอ้วน เป็นต้น เพื่อแพทย์จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แพทย์ไทยสุดเจ๋ง! ต่อยอดใช้ยามะเร็ง รักษาเบาหวาน

    �ä�����ҹ �ѡ����������������� ᾷ������ش��매Դ���




    [​IMG]



    แพทย์ไทยสุดเจ๋ง!ต่อยอดใช้"ยามะเร็ง"รักษา"เบาหวาน" ไม่ต้องตัดอวัยวะทิ้ง สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก (มติชนออนไลน์)

    ศูนย์การแพทย์"มศว"เจ๋ง วิจัยต่อยอดการใช้ยามะเร็ง รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่ต้องตัดนิ้วมือ-เท้า-แขน-ขาสำเร็จครั้งแรกของโลก ใช้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง กินเชื้อโรค-เนื้อตาย พร้อมสร้างงอกใหม่ หายใน 2 เดือน

    ผศ.นพ. ณรงค์ชัย ยิ่งศักดิ์มงคล แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องวิธีใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยโรคเบา หวาน เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ที่พัทยา จ.ชลบุรี ได้นำเสนองานวิจัยในโครงการวิจัย เพื่อหาแนวทางใหม่ในการรักษาแผลที่เท้าผู้ป่วยเบาหวาน โดยการใช้ยา "อิมมูโนไคน์" (IMMUNOKINE) หรือ WF 10 มาใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานไม่ต้องถูกตัดนิ้วเท้า ตัดเท้าหรือตัดขาได้สำเร็จ ถือเป็นการวิจัยโดยใช้ยาอิมมูโนไคน์รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นครั้งแรกของโลก เพราะยังไม่เคยมีประเทศใดทำมาก่อน แม้แต่ประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ผลิตยาชนิดนี้ และเร็วๆ นี้ งานวิจัยดังกล่าวจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ

    ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวานมากถึง 4 ล้านคน หากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานนานๆ จะเกิดภาวะแทรกซ้อน จะเกิดการตีบตันของเส้นเลือดแดง เป็นสาเหตุให้ปลายประสาทเสื่อม ส่งผลให้เกิดอาการชาที่ปลายเท้า ปลายมือ อาการชาที่ปลายเท้าและปลายมือ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไปเหยียบหรือไปแตะสิ่งของ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว แม้เกิดบาดแผลก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีแผล อีกทั้งเส้นเลือดที่ตีบไปเลี้ยงปลายเท้าปลายมือได้น้อยลง ทำให้อวัยวะส่วนนั้นได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ส่วนภูมิคุ้มกันร่างกายที่เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรค คอยเก็บกินเชื้อโรค และเนื้อที่ตายแล้ว ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ

    "ภาวะเช่นนี้จะเกิดกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดอาการอักเสบ เป็นแผลลามไปเรื่อยๆ มีเนื้อตาย เป็นหนองและลาม รักษายากมาก ผู้ป่วยจำนวนมากรักษาแผลเป็นปีๆ ก็ยังไม่หาย สุดท้ายต้องตัดนิ้วเท้า นิ้วมือ และถ้าแผลลามไปเรื่อยๆ ก็ต้องตัดไปเรื่อยๆ แต่ละปีในไทย มีผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องตัดนิ้วมือ ตัดมือ ตัดแขน ตัดนิ้วเท้า ตัดเท้า และตัดขา เกือบ 4 หมื่นคน รวมทั่วโลกปีละเกือบ 1 ล้านคน อีกทั้ง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจากทั่วโลกจะกลัว และวิตกกับภาวะแทรกซ้อนอย่างมาก" ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าว

    ผศ.นพ.ณรงค์ชัย กล่าวต่อว่า จากความทุกข์ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทำให้คิดโครงการวิจัย เพื่อหาแนวทางใหม่ในการรักษาแผลที่เท้า โดยทดลองกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 100 คน พบว่าได้ผลดี โดยใช้ยาอิมมูโนไคน์ผสมในน้ำเกลือ ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดภายใน 4-6 ชั่วโมง โดยฉีดวันละครั้ง ติดต่อกัน 1 คอร์ส ซึ่งใช้เวลา 5 วัน จากนั้นจะดูผลประมาณ 1 สัปดาห์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็ให้ยาเป็นคอร์สที่ 2 อาการจะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยบางรายใช้ยาคอร์สเดียวจะมีอาการดีขึ้น บางรายอาจต้องใช้ถึง 2 คอร์ส อาการดีขึ้นของผู้ป่วยจะเริ่มจากภาวการณ์อักเสบดีขึ้น ภาวะเนื้อที่ตายเริ่มดีขึ้น มีเนื้อที่งอกขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น จุดเด่นของการให้ยาอิมมูโนไคน์ ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนเป็นแผลเรื้อรัง เมื่อให้ยาผู้ป่วยไปสู่เนื้อเยื่อ ตัวยาจะแตกตัวเป็นออกซิเจน ไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่อยู่บริเวณบาดแผลให้เริ่มเข็งแรงขึ้น เมื่อเม็ดเลือดขาวบริเวณแผลแข็งแรงขึ้น จะเก็บกินเชื้อโรค และเนื้อที่ตาย ทำให้แผลเริ่มหายจากอาการอักเสบติดเชื้อ มีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ตัวยาดังกล่าวยังไปกระตุ้นเซลล์ที่สร้างหลอดเลือด และกระตุ้นเซลล์ที่สร้างเนื้อเยื่อ แผลที่ลึกๆ จะตื้นขึ้น มีเนื้อแดงงอกขึ้นมาใหม่ และแผลจะค่อยๆ หายภายใน 2 เดือน

    "เรานำยาตัวนี้เข้ามาจากเยอรมนี หลายคนอาจกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องเดินทางไปทำแผลทุกวัน เป็นเดือน เป็นปี ล้วนแล้วแต่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น นี่ไม่นับการซื้อยาชนิดอื่นๆ มารักษา ถ้าอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะตัดสินใจตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลออก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไข้กลัว และมีความทุกข์มาก แต่ถ้ารักษาโดยให้ยาอิมมูโนไคน์ ผู้ป่วยจะมีค่าใช้จ่าย 2 หมื่นบาทต่อ 1 คอร์ส ส่วนผลข้างเคียงเมื่อใช้อาจมีภาวะเลือดจางบ้างเล็กน้อย" ผศ.นพ.ณรงค์กล่าว

    ผศ.นพ.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า งานวิจัยเกี่ยวกับวิธีรักษาเผลเรื้อรังของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยใช้ยาอิมมูโน ไคน์ ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรกของโลก เพราะยังไม่เคยมีใคร และประเทศใดทำมาก่อน เพราะโดยปกติจะใช้ในผู้ป่วยที่เกิดอาการอักเสบเรื้อรังในผู้ที่ป่วยด้วยโรค มะเร็ง และฉายแสง ปัจจุบันมีการนำตัวยาตัวนี้ไปใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในการรักษาผู้ป่วยที่เป็น โรคมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนการนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเป็นแผลเรื้อรังนั้น ยังไม่มีใครทำ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สนใจ และต้องการรักษาด้วยวิธีใช้ยาดังกล่าว ติดต่อที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โทร.0-3739-5085-6 ต่อ 11215


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 20 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 17 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, dragonlord, sithiphong+

    หวาดดีน้องก๊อน ครับ หุ หุ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    สวัสดีคะท่านพี่ทั้งสอง

     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=425 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ความอิจฉาริษยาเป็นปัจจัยให้เกิดโรคร้ายนานาชนิด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เดลิเมล์ - การศึกษาพบความอิจฉาริษยาที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเอง อาจนำไปสู่โรคหัวใจ เบาหวาน แผลพุพอง และความดันสูง

    ทั้งนี้ เชื่อกันว่าความเครียดจากความริษยาและความขาดแคลนส่งผลต่อระดับฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคมากขึ้น

    ในการศึกษาที่ชื่อว่า 'มีเพื่อนรวยทำให้คุณป่วยได้หรือเปล่า?' นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐฯ ขอให้อาสาสมัครชายหญิง 3,000 คน ที่อายุระหว่าง 57-85 ปี ให้คะแนนสุขภาพและระบุโรคประจำตัวของตนเอง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน รวมถึงจัดอันดับสถานะการเงินของตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนฝูง ครอบครัว เพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงาน

    ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า อาสาสมัครที่มีฐานะการเงินต่ำต้อยเมื่อเทียบกับเครือข่ายสังคม มีแนวโน้มมีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะโรคหัวใจ มากกว่าคนที่เชื่อว่าทำดีที่สุดแล้วเพื่อตัวเองถึง 22%

    ในทางกลับกัน พวกที่อยู่อันดับบนๆ มีความเสี่ยงโรคเบาหวาน แผลพุพอง และความดันโลหิตสูงลดลง

    นักวิจัยยังกล่าวไว้ในรายงานที่อยู่ในวารสารโซเชียล ไซนส์ แอนด์ เมดิซินว่า แม้ความยากจนถูกนำไปเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพ แต่ตำแหน่งทางสังคมก็มีบทบาทเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

    เจเนวีฟ ฟาม-แคนเตอร์ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก กล่าวว่าความอิจฉาริษยาและความยากจนอาจทำให้สุขภาพหัวใจเสื่อมลงได้

    "เชื่อกันว่ากลไกรูปธรรมที่สำคัญที่สุดคือ ความเครียดเรื้อรังที่เกิดจากการเปรียบเทียบในสังคมในแต่ละวันสำหรับผู้ที่พบว่าตัวเองมีฐานะด้อยกว่า

    "ความเครียดซ้ำๆ นี้ทำให้ฮอร์โมนความเครียดเพิ่มสูงเรื้อรัง ซึ่งเชื่อว่ามีบทบาทที่ทำให้เกิดโรคบางโรค"

    นี่ไม่ใช่รายงานการศึกษาฉบับแรกที่มุ่งสำรวจผลกระทบจากการต้องต่อสู้เพื่อให้มีฐานะทัดหน้าเทียมตาผู้อื่น

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก่อนหน้านี้ พบว่าการไต่บันไดเศรษฐีไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขเสมอไป

    การมีเพื่อนบ้านใหม่ที่รวยกว่าอาจทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่พอใจ และเกิดการทุ่มเถียง

    ความริษยายังทำให้บางคนกระเบียดกระเศียรเกินเหตุเพื่อเก็บเงินซื้อรถ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เชิดหน้าชูคอในสังคม หรือสร้างบ้านหลังโตเพื่อแข่งกับเพื่อนบ้าน

    นอกจากนี้ การศึกษาจากผู้ถูกล็อตเตอรี่ยังได้ข้อสรุปว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้

    แม้เศรษฐีใหม่อาจดูมีความสุขกว่าคนทั่วไป แต่ความสุขนั้นไม่ได้มาจากวัตถุ แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นมีเวลามากขึ้นที่จะได้ชื่นชมกับสิ่งที่โปรดปราน เช่น การนอนแช่ในอ่าง งีบตอนบ่าย หรือเดินเล่นในสวนสาธารณะ

    ความรู้ดีๆจากผู้จัดการออนไลน์ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...