พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555ม่ายบอกครับ หุ หุ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดับรายที่ 15 แล้ว หญิงปากน้ำ วัย 63 สังเวย หวัด2009

    http://hilight.kapook.com/view/39049


    [​IMG]



    ดับอีก1 หญิงปากน้ำ วัย 63 ตายสังเวย "หวัด2009" รายที่15 เผยมีโรคประจำตัวลิ้นหัวใจรั่ว ยอดป่วยทะลุ 3 พันราย (มติชนออนไลน์)

    "หวัดใหญ่2009" คร่าชีวิตหญิงปากน้ำชราอีก1 ส่งผลยอดดับพุ่ง15ราย ส่วนผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 146คน รวมป่วยสะสม 3,000ราย ครูค้านปิด ร.ร.กวดวิชา หวั่นกระทบเการเรียนด็ก

    ดับรายที่15แล้ว หญิงปากน้ำวัย 63 สังเวย "หวัด2009"

    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม รายงานข่าวแจ้งว่า หญิงวัย 63 ปี ชาวจ.สมุทรปราการ ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เสียชีวิตเป็นรายที่ 15 ของประเทศไทย นอกจากนี้ มีรายงานว่า หญิงดังกล่าวมีโรคประจำตัวแทรกซ้อนคือลิ้นหัวใจรั่วด้วย

    "อ.ปิง" ค้านปิด ร.ร.กวดวิชา ชี้กระทบการเรียนของเด็ก

    อาจารย์ปิง หรือ นายกิตติวุฒิ เจริญศิริวัฒน์ เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาดาว้องก์ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับแนวคิดปิดโรงเรียน 15 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่คิดว่าการปิดโรงเรียนกวดวิชา อาจไม่ใช่ทางแก้ไขในการควบคุมโรค เพราะแหล่งแพร่เชื้อไม่น่าจะมาจากโรงเรียนกวดวิชาเพียงแห่งเดียว

    "การปิดเรียนครั้งนี้จะใช้วิธีสอนชดเชยจนกว่าจะครบตามหลักสูตรที่นักเรียนได้สมัครไว้ แต่ไม่เห็นด้วยหากมีคำสั่งให้ปิดเรียนต่อไปอีก เพราะนอกจากจะกระทบต่อโรงเรียน ยังจะกระทบต่อการเรียนของนักเรียนด้วย" อาจารย์ปิง กล่าว

    อาจารย์ปิง กล่าวต่อว่า รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องควรออกมาตรการที่ชัดเจนในการป้องกันโรคมากกว่านี้ โดยเฉพาะช่วงที่จะมีการสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และความถนัดทางด้านวิชาการ และวิชาชีพ หรือ PAT ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ทั้งสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า เนื่องจากการสอบรวมในลักษณะนี้จะคัดกรองผู้ติดเชื้อในห้องสอบได้ยากกว่าปกติ

    มทภ.4ห่วงสุขภาพทหารหวั่นติดหวัด09 ขอดูแลตัวเอง

    ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง บริเวณหน้าค่ายสิรินธร อ. ยะรัง จ. ปัตตานี เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 10 กรกฎาคม พลโทพิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เรียกประชุมผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ และหัวหน้าหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อชี้แจง และทำความเข้าใจถึงผลการดำเนินการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีกำลังพลเข้าร่วมประชุมกว่า 100 นาย

    ติดเชื้อ "หวัดใหญ่2009" เพิ่มอีก146ราย ป่วยทะลุ 3,000

    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม รายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า วันนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในไทย เพิ่มอีก 146 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ 28 เมษายน -10 กรกฎาคม 52 ทั้งหมด 3,071 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 14 ราย เป็นเพศชาย 8 ราย เพศหญิง 6 ราย อยู่ในกรุงเทพมหานคร 7 ราย ชลบุรี 3 ราย ภูเก็ต 1 ราย ราชบุรี 1 ราย เพชรบุรี 1 รายและมหาสารคาม 1 ราย ทั้งนี้ จังหวัดที่มีผู้ป่วยยืนยันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ รวม 69 จังหวัด

    "จุรินทร์"ให้เด็กป่วย"หวัด2009"ขาดสอบความถนัดได้

    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่สั่งปิดโรงเรียนกวดวิชา เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ในวันนี้สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะมีหนังสือสั่งการไปถึง ร.ร.กวดวิชา และ ร.ร.สอนภาษาในกทม. พร้อมทำหนังสือไปถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศให้ประสานไปยังโรงเรียนกวดวิชา 1,232 แห่ง โรงเรียนสอนภาษา 1,078 แห่ง รวมทั้งหมด 2,010 แห่ง ให้ปิดการเรียนการสอน ตั้งแต่วันที่ 13-28 ก.ค. นี้ ขณะเดียวกันจะขอความร่วมมือให้โรงเรียนกวดวิชาและโรงเรียนสอนภาษาปฏิบัติตามคำแนะนำของ สธ. เช่น ทำความสะอาดห้องเรียน ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ จัดบริการหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ เป็นต้น ทั้งนี้

    นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test ) GAT และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test ) PAT ตามกำหนดเดิมในวันที่ 11-12 กรกฎาคม และ 18-19 กรกฎาคม นี้ ไม่เลื่อนกำหนดหรือเปลี่ยนสถานที่แต่อย่างใด แต่จะผ่อนผันให้ผู้เข้าสอบที่ป่วยและมีใบรับรองแพทย์ว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขาดสอบได้ ซึ่งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) จะเปิดสอบรอบพิเศษให้ภายหลังอีกครั้ง ดัอย่างไรก็ตามการจัดสอบรอบพิเศษจะจัดให้สอบเฉพาะผู้เข้าสอบที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เท่านั้น ส่วนผู้เข้าสอบที่ป่วยเป็นโรคอื่นๆ สทศ.จะถือเกณฑ์เดิม คือ จะคืนเงินให้กับผู้เข้าสอบและให้สอบรอบต่อไป เพราะจัดสอบGAT และPAT นั้น จัดปีละ 3 รอบ

    เตรียมล้างรัฐสภาใหญ่ป้องกันไข้หวัด 2009

    เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร กล่าวถึงการเตรียมป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 ในที่ทำการรัฐสภา ว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏรได้ประสานกับกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในทุกอาคารของที่ทำการรัฐสภา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างหาวันที่เหมาะสมในการดำเนินการ เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา แต่มีการประชุมคณะกรรมาธิการและมีการใช้ห้องประชุมเพื่อการสัมมนาต่อเนื่องตลอด 7 วัน ส่งผลให้ทำความสะอาดได้ลำบาก เนื่องจากเกรงว่าจะมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตกค้างกรณีทำความสะอาดในช่วงกลางคืน

    นายพิทูร กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐสภาติดเชื้อไข้หวัด 2009 โดยหากมีการตรวจพบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อจะขอให้แยกออกไปอยู่ในพื้นที่ควบคุม โดยสำนักงานฯ ได้เตรียมแผนรองรับในการแยกพื้นที่ผู้ป่วยไว้แล้ว อย่างไรก็ดีในวันที่ 1 สิงหาคม จะเปิดประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ ซึ่งจะมีสมาชิกและเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานในที่ทำการรัฐสภาจำนวนมาก สำนักงานฯ จะดำเนินการตามแผนที่เตรียมไว้ รวมถึงการประสานงานกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อมาให้ความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ

    "รัฐสภามั่นใจว่าสามารถดูแลทุกอย่างได้ และจะไม่มีผลกระทบกับการประชุมสภา ไม่กระทบกับการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ" เลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร กล่าว


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ความจริงเรื่องไข้หวัด 2009 จากคุณ หล่อใสไร้รัก

    http://health.kapook.com/view514.html



    [​IMG]


    ความจริงเรื่อง ไข้หวัด 2009 จากคุณ หล่อใสไร้รัก (pantip)

    พวกคุณยังงง และสับสนกับเจ้าหน้าที่และหมอหลายคนที่ให้ข่าวไม่ค่อยตรงกันใช่ไหมครับ? วันนี้ผมจะบอกความจริงเรื่องไข้หวัด 2009 ให้ทราบ ซึ่งข้อมูลนี้สามารถตรวจสอบได้เอง จากแพทย์ผู้เชื่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา หรือจุลชีววิทยา ตามภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทย์มหาลัยใหญ่ๆ นะครับ




    [​IMG]

    ประเทศ Mexico มีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 นำหน้าเราอยู่ประมาณ 1-2 เดือน ตอนนี้น่าจะกำลังปีนเขาลูกที่ 2 อยู่ ส่วนการระบาดในบ้านเราน่าจะอยู่แถวๆ ดอยของเขาลูกที่ 1 แล้ว ที่เราว่าเป็นกันเยอะ ปิดโรงเรียนกันมากมาย ป่วยกันทั้งหมู่บ้าน มันจะกลายเป็นเด็กๆ ไปเลย เมื่อของจริงมา อีกไม่นานเกินรอ




    [​IMG]


    [​IMG] ถามตอบยอดฮิต เกี่ยวกับหวัด 2009

    1. โรคนี้ไม่รุนแรง ไม่น่ากลัว

    Answer : ความจริงคือ


    [​IMG] 1. ไข้หวัด 2009 ดูเหมือนไม่รุนแรง อัตราการตายต่ำ แต่แพร่ระบาดง่ายและรวดเร็ว (การแพร่กระจายสูง)

    [​IMG] 2. ความน่ากลัวของหวัด 2009 คือการกลายพันธุ์ต่างหาก และการกลายพันธุ์จะเกิดง่ายที่สุด เมื่อคน 1 คน หรือสัตว์ 1 ตัว เกิดติดหวัด 2 ชนิดพร้อมกัน (เช่นหวัด 2009 + หวัดธรรมดาพร้อมกัน หรือหวัด 2009 + หวัดนกพร้อมกัน)

    ขณะนี้ "หวัดนกซึ่งรุนแรงและมีอัตราตายสูงมาก ยังไม่ได้หายไป" และแนวโน้มของหวัดนก จะ "ระบาดซ้ำอีก ทุกๆ ปลายปี" แม้ว่าหวัด 2009 มันไม่รุนแรง แต่ถ้าปล่อยให้แพร่แบบนี้ "อีกไม่นานมันอาจผสมกัน"

    .........เอาความสามารถในการแพร่กระจายของหวัด 2009 บวกกับความรุนแรงของหวัดนก เมื่อนั้นก็หายนะ !!!!! และนั่นคือ สาเหตุที่อยากให้คนไทยทุกคนดูแลสุขภาพให้ดี อย่าให้เป็นหวัด อย่าให้โรคนี้แพร่กระจายไปกว่านี้

    ถ้าเป็นหวัดแล้ว แยกตัวจากคนอื่นทันที อย่าไปเดินตลาด อย่าไปห้างหรือที่ชุมชน และใส่หน้ากากอนามัยทันที อย่าให้เชื้อแพร่สู่คนและสัตว์รอบข้าง ถึงแม้จะอยู่บ้านที่มีสมาชิกแค่ 2 คนก็ตาม


    2. ถ้าเป็นขึ้นมา ไปหาหมอเดี๋ยวก็หาย???

    Answer : คุณรู้ไหมว่า เวลาคุณไปหาหมอเพราะเป็นหวัด หมอจะจ่ายยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ให้คุณ แต่ไม่มียาฆ่าเชื้อหวัด!!!

    นอกจากคุณติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เช่น ทอนซิลอักเสบ คออักเสบ หมอจึงจะจ่ายยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ติดซ้ำเติมให้ แต่ก็ยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสหวัดให้อยู่ดี!!
    เพราะยาฆ่าไวรัสมันแพงมาก และไม่คุ้มที่จะแจกจ่ายพร่ำเพรื่อ เพราะจะทำให้ไวรัสยิ่งกลายพันธุ์ดื้อยาขึ้นไปอีก ดังนั้น 99.99% ของคลินิก และโรงพยาบาลขนาดเล็ก จึงไม่มียารักษาการติดเชื้อไวรัสหวัดไว้ในสต็อกยาเลย

    สิ่งที่ดีที่สุดในการรักษาไข้หวัด คือการกินยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ตามอาการ แล้วนอนพักผ่อนมากๆ พยายามอย่าไปแพร่เชื้อใส่ใคร เดี๋ยวก็หายเพราะร่างกายรักษาตัวเองครับ

    แต่กรณีไข้หวัดใหญ่มีลุ้นหน่อย เพราะเชื้อรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา บางคนหาย บางคนไม่รอด ณ จุดนี้ยังนับว่าโชคดี ที่อัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังนับว่าต่ำอยู่.... แต่อย่างที่บอกข้อแรก มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไหม?....

    (ข้อแปลก เกี่ยวกับหวัด 2009 ที่ไม่เหมือนหวัดใหญ่สเปน คือ หวัดสเปน คนตายมักเป็นคนร่างกายอ่อนแอชัดเจน เช่น คนแก่ และเด็ก แต่หวัด 2009 อัตราการตายค่อนข้างมั่วซั่ว คนหนุ่มสาวก็มีตาย มีบางทฤษฎี บอกว่า อาจเป็นเพราะไม่ได้ตายจากเชื้อ แต่ตายจากระบบภูมิคุ้มกันตัวเองที่พยายามฆ่าเชื้อโรค แต่ร่างกายแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเซลล์ติดเชื้อ อันไหนเซลล์ตัวเองที่ยังดีอยู่ เลยทำลายล้างทั้งหมด ร่างกายคนหนุ่มสาวภูมิต้านทานดี ระบบทำลายนี้เลยทำลายตัวเองได้ดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้ ความเห็นนี้ยังเป็นแค่ทฤษฎี)

    ส่วนยา Tamiflu น่ะ อย่าไปหวังอะไรกับมันมากเลยครับ เพราะ

    [​IMG] ตอนนี้ยาขาดตลาด โรงพยาบาลหลายแห่งหายานี้มาสต็อกไว้ไม่ได้

    [​IMG] ยานี้จะออกฤทธิ์ได้ดี เมื่อคนไข้ถูกตรวจพบเจอก่อนเกิดอาการ แล้วคนไข้คนไหนจะเดินไปหาหมอตอนไม่มีอาการล่ะครับ ( ถึงไปหาหมอก็ไม่ตรวจให้หรอก หรือถึงหมอตรวจให้ คุณจะจ่ายค่าตรวจราคา 4000+ บาท โดยมีอาการแค่นิดๆ ไหมล่ะครับ?

    [​IMG] ตอนนี้เริ่มมีรายงาน เชื้อดื้อยา Tamiflu แล้วครับ เพราะว่าไวรัสมันกลายพันธุ์เร็ว



    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_2 width=237><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">กดที่เเถบนี้เพื่อดูรูปขนาดดั้งเดิม</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]



    3. ฉีดวัคซีนป้องกันได้???

    Answer : วัคซีนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สเปนครับ เป็น H1N1 เหมือนกัน แต่เป็นเชื้อคนละตัว พูดง่ายๆ คือ ในทางทฤษฎี วัคซีนนี้ไม่น่าจะป้องกันหวัด 2009 ได้เลย แต่ให้ฉีดไว้ก่อนเพราะ

    [​IMG] ตอนแรกนักวิทย์คำนวณไว้อยู่แล้วว่า ปีนี้ไข้หวัดสเปนต้องระบาด (ใครจะนึกว่ามันจะกลายพันธุ์เป็น 2009 ) อย่างน้อยการฉีดนี้เป็นการตัดไข้หวัดสเปนออกไปก่อน พูดง่ายๆ คือ ถ้าใครเดินมาโรงพยาบาล เราจะได้สงสัยไปเลยว่า เป็นหวัด 2009 ไม่ใช่หวัดสเปน จะได้ง่ายต่อการควบคุมรักษา

    [​IMG] ถ้าเกิดไข้หวัดสเปน เกิดระบาดขึ้นมาพร้อมกันตอนนี้ อัตราการตายมันสูงกว่า หวัด 2009 มากนะครับ

    [​IMG] แม้ทางทฤษฎี วัคซีนนี้จะกัน 2009 ไม่ได้เลย แต่ไหนๆ ก็เชื้อตระกูลเดียวกัน และเป็นเชื้อใหม่ด้วย ใครจะไปรู้ว่ามันอาจป้องกันหวัด 2009 ได้สัก 1% ก็ได้ มีเงินก็ฉีดๆ ไปแบบ Better Than Nothing แต่ต้องรู้นะว่า การฉีดวัคซีนนี้ ไม่ได้แปลว่า คุณไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่ได้แปลว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อหวัด 2009 แล้ว มันแค่ลดความเสี่ยงไปสักถึง 1% รึเปล่ายังไม่รู้เลย??




    [​IMG]


    4. แล้วอะไร คือสิ่งที่ควรทำตอนนี้???

    Answer :


    4.1 ระดับส่วนตัวและครอบครัว

    ในภาวะปกติ

    ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ทุกแหล่งชุมชนคือจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาด โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นห้องแอร์ระบบปิด เช่น ในห้างสรรพสินค้า โรงหนัง บนรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ถ้าจะเดินเข้าแหล่งชุมชนเหล่านี้ ควรใส่หน้ากากป้องกันตัวเองได้แล้วครับ!!!!!

    [​IMG] ถ้าคุณมีอาการของโรคหวัด แค่ ไอ จามเล็กๆ น้อยๆ ควรแยกตัวจากครอบครัวและสังคมเท่าที่ทำได้ เช่น แยกห้องนอนจากคนอื่น ถ้าต้องอยู่ร่วมกันก็ใส่หน้ากากตลอดเวลา (หาซื้อไม่ได้ ก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาผูกไว้ก็ยังดีกว่าหายใจรดกันตรงๆ)

    [​IMG] ปิดปากปิดจมูกเสมอ อย่าหายใจรดใคร อย่าไอจามใส่ที่สาธารณะ เลิกถ่มน้ำลายลงพื้นได้แล้ว

    [​IMG] ล้างมือให้บ่อยที่สุด การเอามือไปป้ายโน่นป้ายนี่ เป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่ดีเยี่ยม

    [​IMG] ตอนเช้าตื่นนอน เปิดหน้าต่างกว้างๆ เปิดพัดลมไล่อากาศออกสักนิด ก่อนจะให้ใครคนอื่นเดินเข้ามาในห้องเรา เสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน หมั่นซักบ่อยๆ (ไม่รู้มีคราบเสมหะ ตอนเราไอจามติดอยู่รึเปล่า) ล้างมือให้บ่อยที่สุด แต่ไม่ต้องถึงกับแยกห้องน้ำหรอกนะ แค่เอาแปรงสีฟันเราออกมาเก็บเอง อย่าใส่ถ้วยเดียวกับคนอื่นก็พอ




    [​IMG]



    [​IMG] อาการอย่างไรจึงควรไปตรวจที่โรงพยาบาล?

    [​IMG] 1. มีไข้ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไปร่วมกับ
    [​IMG] 2. อาการอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิด ปกติ (หอบ, ลำบาก), หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ร่วมกับมีผู้สัมผัสร่วมบ้าน หรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ก่อนวันเริ่มป่วย

    ถ้าอาการแค่เป็นหวัดเจ็บคอธรรมดา ไข้ไม่สูง ไม่นอนซม ไม่ต้องวิ่งไปรับเชื้อที่โรงพยาบาลนะครับ อย่าลืมว่าตอนนี้โรงพยาบาลนั่นแหละ เป็นแหล่งแพร่เชื้อที่ดีที่สุด


    4.2 ระดับนโยบายของรัฐ และสื่อมวลชน

    มาดูกันนิดนึง ว่าทำไมประเทศเราถึงควบคุมการระบาดไม่ได้เลย ขณะที่ประเทศต้นตำรับการระบาดอย่าง Mexico ซึ่งไม่ได้เจริญกว่าบ้านเราเลย เขาถึงควบคุมการระบาดระลอกแรกได้

    จำข่าวได้มั้ยครับ ว่าตอนแรกที่ Mexico เขาระบาดเขาทำอะไรบ้าง ??

    ปิดเลยครับ !!! เขากล้าพอที่จะปิด โรงเรียนทุกแห่ง โรงหนังทุกแห่ง ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมกัน 1 สัปดาห์ พร้อมทั้งพ่นยาฆ่าเชื้อ ตามโรงหนัง ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ด้วย

    นั่นคือสาเหตุที่เขาควบคุมการระบาดระลอกแรกได้ทันทีในสัปดาห์ต่อมา....

    ส่วนประเทศไทย ออกข่าวว่า ไม่มีอะไร ไม่น่ากลัว แต่คนติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อย หลักพันทุกวัน??? เพราะมัวแต่กลัวว่า เศรษฐกิจจะทรุด การท่องเที่ยวจะกระทบ ทั้งที่เศรษฐกิจ คือ สิ่งที่เราสร้างได้แน่นอน ถ้าคนไทยยังมีลมหายใจอยู่ครับ

    [​IMG] ขอสรุปเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไว้ดังนี้

    [​IMG] 1. โรคนี้ อันตรายครับ .... และยังกลายพันธุ์ให้อันตรายกว่านี้ได้อีกในปลายปีนี้ครับ
    [​IMG] 2. โรคนี้ หวังพึ่งยารักษาไม่ได้ครับ และตอนนี้เริ่มดื้อยาแล้วด้วยครับ
    [​IMG] 3. โรคนี้ต้องป้องกันอย่างเดียวครับ
    [​IMG] 4. จะควบคุมการระบาดได้ ต้องพร้อมใจกันใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ พร้อมกันทั้งสังคมครับ
    [​IMG] 5. จะควบคุมการระบาดได้ ต้องปิดโรงเรียน โรงหนัง ศูนย์การค้าใหญ่ๆ ได้แล้วครับ ขอแค่ 3 วันก็ยังดีครับ!!!!!


    [​IMG] ของแถม

    ขออธิบายเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสล้วนๆ จะได้รู้ว่าทำไมผมถึงคิดว่าเราควรตื่นตัว

    อธิบายความรู้พื้นฐานเพื่อให้เข้าใจก่อน

    HOST = เหยื่อ ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว ( มนุษย์ หรือ หมู / นก สัตว์ต่างๆที่มันเข้าไปสิง)
    HOST cell = เซลล์ของเหยื่อ ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว ( เซลล์ มนุษย์ หรือ สัตว์)

    +++ปฏิบัติการเมื่อไวรัสเข้าไปใน HOST Cell+++

    ไวรัส เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ครบองค์ประกอบของการเป็นเซลล์ มันจึงไม่สามารถแพร่พันธุ์ด้วยตัวเองได้ แต่จะแพร่พันธุ์โดยการฝังตัวเข้าไปใน HOST cell

    ดูรูปประกอบ พื้นที่สีชมพูทั้งหมด คือ HOST cell

    รูปหกเหลี่ยมสีเหลือง คือไวรัส

    หมายเลข 1-2 คือ ไวรัส สัมผัสผิวเซลล์ แล้วจะละลายตัวเองเข้ากับผนังเซลล์ บุกเข้ามาภายใน Host Cell
    หมายเลข 3 เมื่อเข้ามาแล้ว ไวรัสจะสลายเปลือกตัวเอง เหลือแต่ RNA คือเกลียวสีแดงในรูป
    หมายเลข 4a RNA คือสารพันธุกรรมของไวรัส ที่จะหลอกล่อ RNA ของHost (เกลียวสีน้ำเงิน) ให้มาประกบตัว เพื่อสร้างไวรัสตัวใหม่ออกมามากมาย (ปกติ RNA ของมนุษย์ มีไว้สร้างโปรตีน และสารจำเป็นอื่นๆ ต่อร่างกาย และแน่นอนมันเป็นสารที่มีรหัสพันธุกรรมมนุษย์อยู่ด้วย)

    ในรูป
    4b คือ RNA ไวรัส หลอก RNA มนุษย์ ให้สร้างเปลือกใหม่ ให้มันแทนอันที่มันสลายทิ้งไปตอนแรก
    4c คือ RNA ไวรัส หลอก RNA มนุษย์ ให้สร้าง RNA ไวรัสใหม่ (ที่ปะปนกับ RNA มนุษย์ เรียบร้อยแล้ว จะกลายพันธุ์ได้ช่วงที่หนึ่งก็ตอนนี้แหละ)

    หมายเลข 5-6 ประกอบร่างกันใหม่อีกครั้ง ได้เป็นไวรัสลูก (ที่ขโมย RNA ของ Host มาผสมเรียบร้อย) จำนวนนับหมื่นนับแสน เข้าละลายผนังเซลล์ของ Host แล้ว บุกออกจากตัว Host ออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง คือ การระบาดนั่นเอง



    [​IMG]


    [​IMG] ไวรัสกลายพันธุ์อย่างไร

    [​IMG] 1. Mutation =การผ่าเหล่าของพันธุกรรม : วิธีนี้ช้า ในมนุษย์ ใช้เวลาหลายร้อยชั่วคน แต่ในไวรัส ไม่กี่รุ่นก็ทำได้ (จำคำอธิบายข้างต้นว่า เพียงพ่อเดียว (host ที่ไวรัสไปฝังตัว--> ไวรัสก็ออกลูกได้เป็นหมื่น จึงไม่ต้องรอหลายรุ่นอย่างมนุษย์) และแน่นอน ไม่ต้องรอนับพันปีอย่างมนุษย์ ไวรัสใช้เวลาเป็นวัน หรือชั่วโมงเท่านั้น

    [​IMG] 2. Genetic Recombination เป็นวิธีที่เร็วอย่างน่ากลัวเข้าไปอีก อธิบายดังนี้.....

    โปรดดูรูปประกอบอีกครั้ง เกลียวสีแดงๆ นั้นแทน RNA ซึ่งล่องลอยไปมาในเซลล์

    คราวนี้ลองนึกภาพว่า ถ้ามีไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิดขึ้นไปบุกเข้าไปในเซลล์ Host พร้อมกัน ไวรัสนั้นจะสลายเกราะ ปล่อย RNA ของมันออกมาล่องลอยในเซลล์ ก่อนจะประกอบร่างตัวเองขึ้นมาใหม่เป็นไวรัสลูกหลานออกนอกเซลล์ ตอนนี้แหละมันก็ลากเอา RNA อะไรก็ได้มาประกอบร่าง ( ทั้งของไวรัสอีกตัวนึง กับของ Host ) ผสมกันออกจากเซลล์ กลายเป็นไวรัสพันธุ์ใหม่เสร็จสรรพ.....

    นี่คือที่มาว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ธรรมดา กลายมาเป็นไข้หวัดหมูเม็กซิโก 2009 ได้ยังไง สรุปง่ายๆ คือ Host (คนหรือสัตว์) เกิดแจ็คพอตติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิดขึ้นไปในคราวเดียวกัน ไวรัสก็จะไปผสมพันธุ์กันในร่างเหยื่อคนนั้น ก่อให้เกิดไวรัสพันธุ์ใหม่ พร้อมกันทีเดียวหลายพันหลายหมื่นเผ่าพันธุ์

    แต่แน่นอนการผสมมั่วซั่วเหล่านี้ ไวรัสพันธุ์ใหม่ที่ได้ส่วนใหญ่จะอยู่ไม่รอดในธรรมชาติ แต่มันหลุดมาเป็นหมื่นชนิด มีหรือจะไม่มีชนิดหนึ่งเล็ดรอด ใช่แล้ว และตัวที่รอดออกมาก็คือ "ไข้หวัดใหญ่ เม็กซิโก 2009 SWINE FLU"

    ดูแล้วพอจินตนาการได้มั้ยครับ ว่า ถ้ามันจะกลายพันธุ์ต่อก็ใช้วิธีเดียวกันได้ไม่ยากเลย!!!!!!


    [​IMG] The bad news: the flu vaccine will not protect you.
    ข่าวร้าย วัคซีนไข้หวัดแบบปัจจุบันยังป้องกันอะไรไม่ได้

    [​IMG] The good news: antiviral drugs (Tamiflu and Relenza) will work.
    ข่าวดี : เค้าว่า ยา Tamiflu ช่วยได้

    [​IMG] The bad news: antiviral drugs are not very effective after symptoms start, which is why they are not commonly used in medical practice.
    ข่าวร้าย : ยาพวกนั้น จะใช้ไม่ค่อยได้ผล เมื่อเริ่มมีอาการแล้วววว นั่นคือสาเหตุที่หมอเองยังไม่ค่อยมีโอกาสสั่งยาพวกนี้เลย


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    เขียนโดย : คุณหล่อใสไร้รัก
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    เป็นเรื่องของ วาสนา ใช่ไม๊คะ อิอิ

     
  7. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    มาสรุปผู้ร่วมบุญค่ะ

    คุณหนุ่ม น้ำมันงา 100 พาหนะ100 ตรวจร่างกาย100
    คุณเพชร น้ำมันงา 100 พาหนะ100
    คุณน้องหนู ตรวจร่างกาย200
    คุณน้องอุ้ม น้ำมันงา 100 พาหนะ100
    คุณPhocharoen น้ำมันงา 200
    คุณnewcomer น้ำมันงา 100 ตรวจร่างกาย100
    น้องนุ้ยที่Office น้ำมันงา 100 ตรวจร่างกาย100

    รวม น้ำมันงา 700 พาหนะ 300 ตรวจร่างกาย 500


    ขอกราบอาราธนาให้คุณพระรัตนตรัยคุ้มครองให้กัลยาณมิตรทุกท่าน
    สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยจากโรคระบาดและโรคร้ายทั้งปวง
    อีกทั้งสามารถพบธรรมอันสูงสุดได้อย่างง่ายดายและสามารถปฏิบัติตามได้สำเร็จโดยพลันด้วยเทอญ

    อนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2009
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สระผมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์

    บทความ เกร็ดความรู้ สระผมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์


    [​IMG]



    คนที่เส้นผมสุขภาพดี ไม่มีปัญหาเรื่องหนังศีรษะ คงไม่ต้องกังวลกับการสระผมนัก แต่สำหรับคนที่มีปัญหา ต้องพิถีพิถัน คนที่หนังศีรษะมัน ควรสระผมบ่อยๆ หรือทุกวัน เพราะการปล่อยให้หนังศีรษะมันมากๆ จะเกิดการสะสมตัวของแบคทีเรีย มีผลให้เซลล์รากผมอ่อนแอ และเส้นผมหลุดร่วงง่าย ส่วนคนที่หนังศีรษะแห้ง ควรสระผมให้น้อยลง ประมาณ 2 – 3 วันต่อครั้ง

    แชมพูที่มีขายในท้องตลาดมักโฆษณาว่ามีส่วนผสมของสารบำรุงอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงสารเหล่านั้นให้ประโยชน์กับเส้นผมน้อยมาก เพราะมันอยู่บนศีรษะเราเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ยังไม่ทันออกฤทธิ์ก็ถูกล้างออกหมดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก​

    ที่น่าสนใจก็คือ ส่วนประกอบในแชมพูที่ผู้ผลิตมักไม่อ้างถึงคือ สารชะล้าง ซึ่งทำให้เกิดฟอง สารเหล่านี้มักจะระคายเคืองต่อผิวของคนที่มีปัญหาหนังศีรษะ แม้แต่ในแชมพูเด็กหรือแชมพูสมุนไพรก็มีสารประเภทนี้เช่นกัน คนที่หนังศีรษะอ่อนบางจึงมักเกิดอาการแพ้ คันหรือเป็นรังแค จนต้องเลิกใช้ไป ทางที่ดีคือ ควรเปลี่ยนมาใช้แชมพูที่ไม่มีสารชะล้าง ซึ่งราคาแพงกว่าในท้องตลาด และมีขายเฉพาะตามคลิกนิกหรือศูนย์ที่ดูแลเกี่ยวกับเส้นผมโดยเฉพาะ​

    คำแนะนำสำหรับการสระผมที่ถูกวิธีคือ

    [​IMG] ก่อนสระผมด้วยแชมพู ให้ล้างผมด้วยน้ำเปล่า เพื่อชะสิ่งสกปรกบนเส้นผมออก ​

    [​IMG] ชโลมแชมพูให้ทั่วศีรษะ อย่าเทแชมพูบนหนังศีรษะโดยตรง ​

    [​IMG] นวดศีรษะอย่างนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการเกาด้วยเล็บหรือขยี้แรงๆ ​

    [​IMG] ล้างแชมพูออกให้สะอาดหมดจด ​

    [​IMG] เช็ดผมให้แห้ง อย่าดึงหรือกระชากผมอย่างแรง หากจะใช้เครื่องเป่าผม ควรถือให้ห่างจากเส้นผมประมาณ 1 ฟุต ​

    [​IMG] ไม่ควรเข้านอนขณะที่ผมยังเปียก อาจทำให้เกิดเชื้อราหรือทำให้ปวดศีรษะได้ ​

    [​IMG] หลีกเลี่ยงการสระผมตามร้านเสริมสวย ซึ่งช่างมักจะสระอย่างแรง ทีละ 3 - 4 ครั้ง ไม่ดีต่อสุขภาพหนังศีรษะแน่ๆ ​






    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ​
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>น้ำมันดิ่งต่ำกว่า$60แล้ว-หุ้นปิดลบกังวลภาวะเศรษฐกิจ
    Around the World - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 กรกฎาคม 2552 05:21 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=261 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=261>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - ราคาน้ำมันตกลงต่ำว่าระดับกำแพงทางจิตวิทยา 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์(10) ผลจากอุปสงค์อ่อนแอและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอย ด้านวอลล์สตรีทปิดตลาดในแดนลบเหตุนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ห่างไกลจากการฟื้นตัว

    น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 52 เซนต์ ปิดที่ 59.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายร่วงลงไปถึง 58.72 ดอลลาร์ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคมและดิ่งลงเกือบ 15 ดอลาร์จากระดับสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่เบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 58 เซนต์ ปิดที่ 60.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

    ราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างแรงจากปีก่อน หลังจากน้ำมันดิบทั้งสองชนิดนี้เคยทำสถิติสูงสุดตลอดกาลเหนือ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2008

    นักวิเคราะห์คาดหมายว่าราคาน้ำมันอาจตกลงไปกว่านี้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังปลุกปล้ำกับภาวะถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ประกอบกับยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่แน่ชัดแม้ว่าจะมีความพยายามอย่างไม่ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของรัฐบาลหลายประเทศที่จะจุดไฟการเติบโตอีกครั้งก็ตาม

    ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดาวโจนส์กับเอสแอนด์พี ปิดในแดนลบเมื่อวันศุกร์(10) เหตุนักลงทุนกังวลว่าการฟื้นตัวจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกอาจจะอยู่อีกไกล

    ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 36.65 จุด (0.45 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,146.53 จุด แนสแดก เพิ่มขึ้น 3.48 จุด (0.20 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,756.03 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 3.55 จุด (0.40 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 879.13 จุด

    ตลาดหุ้นปิดลบมีขึ้นตามหลังรัฐบาลเปิดเผยว่าสหรัฐฯขาดดุลการค้าน้อยลงอย่างมากในเดือนพฤษภาคม ต่ำที่สุดในรอบเกือบทศวรรษ ปัจจัยสำคัญคือการนำเข้าน้ำมันลดลงอย่างมาก

    ทั้งนี้ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม น้อยลงเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 1999 เลยทีเดียว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่ขาวเทศน์อบรมเสือ
    :: INN online .- ʴ�ѹ�շ���բ��� ::


    หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งสำนักวัดถ้ำกลองเพล เล่าเรื่องเกี่ยวกับเสือ ในช่วงที่จำพรรษาที่ดงหม้อทอง อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย เอาไว้อย่างน่าสนใจ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD height=5></TD></TR>


    <!-- Show Image -->
    [​IMG]



    <!-- End Show Image -->


    </TBODY></TABLE>


    พระคุณเจ้าหลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งสำนักวัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู ได้ชื่อว่าเป็นเพชรน้ำเอก และเป็นศิษย์ต้นแห่งวงพระกรรมฐานสายพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ​

    ท่านเป็นพระธุดงค์กรรมฐานที่มีจิตใจแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น มีเมตตาธรรมเป็นเลิศ มีปัญญาธรรมที่เฉียบคม และเป็นพระอริยะเจ้าที่ทรงคุณธรรมอันบริสุทธิ์ดุจดังเพชรเม็ดงามประดับไว้ในพระพุทธศาสนา ที่หาจุดตำหนิหรือรอยมัวหมองไม่มี นับตั้งแต่ท่านสละเพศฆารวาส ออกบวช ตราบจนวาระสุดท้ายในชีวิต ท่านละสังขารทิ้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เมื่อท่านอายุได้ ๙๖ ปี ​

    หลวงปู่มั่น เคยเปิดเผยกับศิษย์ใกล้ชิดว่า หลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นศิษย์หนึ่งในจำนวนสององค์ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ หมดสิ้นกิเลส เข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพาน ที่บ้านโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ในช่วงหลวงปู่มั่นยังดำรงขันธ์อยู่ แล้วเดินทางกลับไปโปรดลูกศิษย์ในภาคอีสาน ใช้ชีวิตพระธุดงค์อยู่ตามป่าเขา แสวงความวิเวกโปรดญาติโยมในภาคอีสานตอนบน แถบจังหวัดสกลนคร หนองคาย อุดรธานี และฝั่งประทศลาวอยู่หลายปี ​

    หลวงปู่ขาว ธุดงค์ตามสันเขาภูพานมาถึงถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ในสมัยนั้น) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้ก่อตั้งวัดถ้ำกลองเพลขึ้น พัฒนามาจนเป็นวัดกรรมฐานที่สำคัญ และท่านก็ได้พำนักประจำที่วัดแห่งนี้จนสิ้นอายุขัย ​


    @เทศน์อบรมเสือ ​

    หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าเรื่องเกี่ยวกับเสือ ในช่วงที่ท่านพักจำพรรษาที่ดงหม้อทอง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ดังนี้ ​

    คืนหนึ่ง หลวงปู่กำลังให้อบรมกรรมฐานแก่พระที่จำพรรษาอยู่ด้วยสามสี่องค์ ก็ได้ยินเสียงนักเลงโตสามตัว ลายพาดกลอน ดังกระหึ่มๆ ขึ้นข้างๆ บริเวณที่พัก มันอยู่คนละด้านกัน ต่อจากนั้นพวกมันก็มาพบกัน ได้ยินเสียงคำรามขู่กันบ้าง เสียงกัดในลักษณะหยอกล้อกันบ้าง สักพักก็เงียบไป นึกว่าพวกมันไปกันแล้ว ​

    ต่อมาได้ยินเสียงขู่เข็ญกัดกัน เล่นกันข้างๆ ที่พักนั่นเอง ดูมันจะใกล้กับที่พระนั่งภาวนาอยู่เรื่อยๆ ประมาณสามทุ่ม เจ้าป่าทั้งสามก็พากันมาหยอกล้ออยู่ใต้ถุนศาลา ที่พระกำลังนั่งสมาธิภาวนา ฟังธรรมจากหลวงปู่ อยู่ศาลาหลังเล็กๆ นั้น มีพื้นสูงเพียงเมตรกว่าเท่านั้นเอง โครงสร้างไม่ได้แข็งแรงอะไรเลย ปลูกพอได้อาศัยเท่านั้น เสือสามตัวส่งเสียงคำรามหยอกล้อกัดกันเล่นกันอยู่ใต้ถุนศาลาเล็กๆ นั้น ส่งเสียงรบกวนพระ โดยไม่สนใจอะไร ดูท่ามันจะสนุกกันใหญ่ ​

    หลวงปู่เห็นว่าไม่ควรปล่อยไว้เช่นนั้น จึงพูดเสียงดังลงไปว่า “เฮ้ย สามสหาย อย่าพากันส่งเสียงอื้ออึงนักซิ พระกำลังเทศน์และฟังธรรมกัน เดี๋ยวจะเป็นบาปตกนรกฉิบหายกันหมดนะ เดี๋ยวจะว่าไม่บอก ที่นี่ไม่ใช่ที่เอ็ดตะโรโฮเฮกัน จงพากันไปเที่ยวร้องครางที่อื่น ที่นี่เป็นวัดของพระ ที่ท่านชอบความสงบไม่เหมือนพวกแก รีบไปเสีย พากันไปร้องไปเล่นที่อื่นตามสบาย ไม่มีใครไปยุ่งกับพวกแกหรอก ที่นี่เป็นที่พระบำเพ็ญธรรม จึงห้ามไม่ให้พวกแกส่งเสียงอื้ออึง” ​

    พอได้ยินเสียงหลวงปู่ร้องบอกไป พวกมันพาสงบเงียบอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นอีกสักพัก ก็ได้ยินเสียงพวกมันเกี้ยวพาราสีกันซุบซิบเบาๆ อยู่ใต้ถุนศาลา คล้ายกับจะเตือนกันว่า “พวกเราอย่าส่งเสียงดังกันนักซิ พระท่านรำคาญ และร้องบอกลงมานั่นไงล่ะ ทำสียงเบาๆ หน่อยเถอะเพื่อน เดี๋ยวเป็นบาปขี้กลากขึ้นหัวนะ” ​

    เสียงเสือหยุดไปพักหนึ่ง ต่อไปก็มีเสียงหยอกล้อกันอีกไม่ยอมไปไหน แต่เสียงค่อยกว่าตอนแรกๆ พวกมันหยอกล้อกันเล่นสนุก ตั้งแต่สามทุ่มจนถึงสองยาม บรรดาพระก็ตั้งใจทำสมาธิภาวนา แม้ใจไม่สงบนักก็ไม่กล้ากระดุกกระดิก กลัวเสือมันจะกัดเอา พอถึงหกทุ่ม การอบรมธรรมก็จบลง พวกเสือแยกกันเข้าป่าไป พระก็แยกกันกลับกุฏิ ​

    ที่มา เว็บลานธรรมจักร​
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เครื่องประดับโบราณ

    รายงานโดย :สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน):

    ��ʵ� ������ - �ſ������ - �����ͧ��дѺ���ҳ

    เครื่องประดับ คือความงดงามที่ไร้กาลเวลา เพราะไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านไปนานเพียงใด แต่ความงามอันทรงคุณค่าที่คงเอกลักษณ์ของชนชาติ ชนเผ่า และอารยธรรมเก่าแก่ ก็ยังคงสะท้อนคุณค่าความงดงามไม่เสื่อมคลาย


    นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เครื่องประดับที่มนุษย์นำมาตกแต่งร่างกายเพื่อความงามนั้นได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตามความนิยม และความเชื่อของผู้คนในแต่ละยุคสมัย โดยเริ่มต้นจากการใช้วัสดุที่พบได้ง่ายในท้องถิ่น สะดวกต่อการนำมาประดิดประดอยเป็นเครื่องประดับร่างกายส่วนต่างๆ และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีการเสาะหาอัญมณีและโลหะมีค่าอันสวยงามมาร้อยเรียงเป็นเครื่องประดับที่หรูหรางดงาม <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=right border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">Egypt Jewelry, Hair Ornament </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เครื่องประดับเก่าแก่ในยุคแรกๆ ที่มีการค้นพบนั้น ส่วนใหญ่จะพบเป็นสร้อยลูกปัด ทั้งลูกปัดที่ทำจากดิน ไม้ หิน หรือแก้ว ซึ่งเครื่องประดับที่ทำจากลูกปัดนั้นก็พบอยู่มากมายแทบทั่วทุกมุมโลก แต่หากย้อนไปในอดีต เชื่อว่าหลายท่านต้องคิดถึงเป็นอันดับแรกก็ต้องเป็นเครื่องประดับโบราณแห่งอารยธรรมอียิปต์ ด้วยลักษณะอันโดดเด่นและงดงาม ทั้งสีสันของลูกปัดแก้วสีต่างๆ ยังมีการใช้หินสีต่างๆ รวมทั้งลาพิสลาซูรี เทอร์คอยส์ ทองคำ ประกอบกัน ที่นอกจากความงามแล้วยังแฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้งอีกด้วย อย่างเช่น เข็มกลัดนกเหยี่ยว สัญลักษณ์รูปดวงตา ที่สื่อถึงเทพเจ้า ซึ่งจะคุ้มครองผู้สวมใส่ เป็นต้น
    นอกจากนั้น เครื่องประดับยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของชนชั้นและฐานะในสังคม ซึ่งในอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์นั้นผู้ที่มีสิทธิใช้เครื่องประดับทองคำต้องเป็นชนชั้นกษัตริย์ ฟาโรห์ หรือชนชั้นสูง แต่เครื่องประดับในยุคอียิปต์โบราณนี้ยังเป็นเครื่องประดับชิ้นค่อนข้างใหญ่ ที่จดจำกันได้และพบมาก เช่น แผงสร้อยคอของฟาโรห์ หมวกประดับศีรษะ สร้อยข้อมือ ซึ่งมีลักษณะที่ยังไม่อ่อนช้อยมากนั้น
    อีกยุคหนึ่งที่เชื่อว่าหลายท่านต้องคิดถึงเช่นกัน คือเครื่องประดับในยุคกรีกและโรมัน ยุคนี้เครื่องประดับที่ทำจากทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุด และเครื่องประดับที่เห็นได้ชัดในลักษณะของกรีกและโรมันนั่นคือ รัดเกล้า (อย่างเช่นที่เราเห็นในภาพยนตร์กรีกโบราณ หรือภาพปูนปั้นเทพเจ้ากรีกโบราณ) นั่นเอง แต่ในระยะแรกนั้นเครื่องประดับส่วนใหญ่ทำจากทองคำเพียงอย่างเดียวไม่นิยมนำอัญมณีมาใช้ จนยุคโรมันตอนปลายจึงเริ่มนำอัญมณีเข้ามาประกอบเป็นเครื่องประดับ อย่างเช่น มรกต แต่ก็ไม่ได้มีวิธีการที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากนัก นอกจากนี้การนำหินลาวามาแกะสลักอย่างเทคนิคที่เรียกว่า คามิโอ ก็เริ่มขึ้นในยุคนี้เช่นกัน
    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=left border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">Oil on cavas by Henry Morland Robert </TD></TR></TBODY></TABLE>แม้ว่าการใช้เครื่องประดับจะมีมานานแล้วก็ตาม แต่ก็มักใช้ในพิธีสำคัญ หรืองานสำคัญเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบมาใช้สำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะเครื่องประดับสตรี แต่ความงามย่อมคู่กับหญิงสาว ในยุคต่อมาเครื่องประดับก็เริ่มที่จะแพร่เข้าสู่กลุ่มคนในชนชั้นต่างๆ มากขึ้นเป็นลำดับ
    ยุคที่เครื่องประดับเฟื่องฟูมากๆ อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17–19 ราวยุคของสมัยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1-4 เนื่องจากในโลกเราเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ผู้คนอยู่กันเป็นสังคมมากขึ้น ผู้หญิงเริ่มทำงานมากขึ้น ไม่ได้อยู่บ้าน ทำงานบ้าน หรือดูแลครอบครัวเพียงอย่างเดียว
    ในสังคมของผู้หญิงย่อมมีการประชันกันในเรื่องของความสวยงาม รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย และเครื่องประดับ ซึ่งเครื่องประดับที่ใช้กันโดยส่วนใหญ่ของหญิงสาวชาวยุโรปในช่วงนั้น จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คล้ายๆ กับในปัจจุบัน คือ เครื่องประดับสำหรับสวมใส่ในเวลากลางวัน และประเภทที่ใช้สวมใส่ในเวลากลางคืน
    เครื่องประดับสำหรับงานกลางวัน...เรียบหรู แต่สวยสง่า
    เครื่องประดับในศตวรรษที่ 17–18 ซึ่งเป็นยุคเริ่มแรกของการใช้อัญมณีอย่างแพร่หลายนั้น อัญมณีส่วนใหญ่ที่นำมาทำเครื่องประดับแม้ยังไม่มีการตกแต่งและผ่านการเจียระไนอย่างเช่นในปัจจุบัน แต่ก็มีกรรมวิธีการเจียระไนแบบโบราณ ที่เรียกว่าการเจียระไนแบบเก่า (แบบเหลี่ยมกุหลาบ) ส่วนโลหะที่ใช้ทำเครื่องประดับก็เช่น สำริด เหล็ก เงิน และทองคำ โดยส่วนใหญ่อัญมณีและเครื่องประดับที่ใช้ในเวลากลางวัน จะเป็นเครื่องประดับแบบเรียบๆ ดูสวยสง่า แต่ไม่วิบวับเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ได้เน้นที่อัญมณีมาก ใช้เพียงเพื่อความสวยงาม อย่างเช่น การใช้เพชรเม็ดเล็กๆ ต่อกันเป็นสร้อยคอ เสริมความสวยงามด้วยการห้อยไข่มุกเม็ดเล็กๆ โดยส่วนใหญ่แล้วอัญมณีที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ในเวลากลางวัน ได้แก่ อาเกต ปะการัง ทองคำ หรือเพชรเม็ดเล็กๆ
    ดึงดูดและโดดเด่น ระยิบระยับ...เครื่องประดับสำหรับงานกลางคืน
    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=right border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">Foiled smoky quartz riviere c.1810 </TD></TR></TBODY></TABLE>อย่างที่กล่าวข้างต้นเมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ผู้คนมีการทำงานมากขึ้น การเข้าสังคมจึงมีเพิ่มมากขึ้น ทั้งสังคมของสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี โดยเฉพาะการเข้าสังคมผ่านงานเต้นรำที่หรูหรา ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะจัดกันที่คฤหาสน์ของคหบดี หรือวังของชนชั้นสูงเครื่องประดับจึงมีความสำคัญมากสำหรับผู้ที่เข้าสังคม ซึ่งเคยมีนิตยสารชื่อว่า A French Ladies’ Magazine ยังได้รายงานและแสดงรายละเอียดของเครื่องประดับในช่วงเวลานั้นไว้ว่า เครื่องประดับเป็นที่นิยมของคนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง เศรษฐี หรือชนชั้นแรงงานก็ตาม แต่หากเข้าสู่กิจกรรมงานสังสรรค์ยามค่ำคืนแล้วละก็ เครื่องประดับที่ถูกนำมาใช้ส่วนใหญ่จะเน้นเครื่องเพชร หรือเครื่องประดับอัญมณีที่หรูหราประกอบด้วยอัญมณีเม็ดใหญ่เป็นหลัก และใส่เข้าคู่เป็นชุด ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ และยิ่งในสมัยนั้นมีการใช้เครื่องประดับผมจึงเห็นได้ว่ามีการแข่งขันในการแต่งกายค่อนข้างมาก ที่เห็นได้ชัดผ่านละครเพลงต่างๆ ละครพีเรียดที่มีการนำขนนก ปิ่น เครื่องประดับต่างๆ มาตกแต่งทรงผมของตัวละครเอกของเรื่องด้วย
    ปัจจุบันการนำแนวคิดที่หยิบเค้าโครงและอารยธรรมของเครื่องประดับในอดีตได้ถูกหยิบกลับมาปรับปรุง ดัดแปลง เพิ่มเติม ให้เหมาะสมกับสมัยปัจจุบันอีกครั้ง โดยที่ยังเห็นเค้าโครงเดิมและลักษณะที่ยังคล้ายคลึงกับยุคสมัยนั้นๆ แม้แต่การใช้สัญลักษณ์ (Symbol) ในอดีตบางอย่าง เช่น ตัวอักษรอียิปต์โบราณ ตัวอักษรของอินเดีย ตัวอักษรจีน ฯลฯ หรืออย่างเช่นการนำสัญลักษณ์บางอย่างทางศาสนา เช่น ไม้กางเขนก็มีการหยิบกลับทำกันอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น รวมถึงการนำเอากรรมวิธีการผลิตวัสดุบางอย่างที่เคยมีการผลิตและใช้ในอดีตกลับมาผลิตใหม่ โดยคงวิธีการผลิตและรูปลักษณ์เดิมเอาไว้ เช่น Venetian Cameo, Lavastone-Ware เป็นต้น
    ดังนั้น หากท่านผู้อ่านท่านใดชื่นชอบเครื่องประดับโบราณเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว หรือมีเครื่องประดับแบบโบราณอยู่กับตัว โปรดหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น ทำความสะอาด และนำมาเฉิดฉายอินเทรนด์ก่อนใครได้เลยนะคะ โอกาสพิเศษ...GIT ขอเชิญชวนท่านผู้สนใจเข้าร่วมงาน 1 ทศวรรษองค์การมหาชนเพื่อการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจไทย ในวันที่ 13 ก.ค. 2552 ตั้งแต่เวลา 10.00–17.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งรวบรวมองค์การมหาชนทั้ง 28 แห่ง ไว้ด้วยกันภายในงานนี้ และสถาบัน GIT ยังได้นำเปิดโอกาสให้ผู้ที่ท่านที่ต้องการตรวจสอบอัญมณีนำอัญมณีมาตรวจสอบได้ฟรี (ภายในงานเท่านั้น) และมีกิจกรรมร่วมสนุกชิงพลอยแท้จำนวนจำกัด
     
  16. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พุทธันดร [​IMG]
    มาสรุปผู้ร่วมบุญค่ะ

    คุณหนุ่ม น้ำมันงา 100 พาหนะ100 ตรวจร่างกาย100
    คุณเพชร น้ำมันงา 100 พาหนะ100
    คุณน้องหนู ตรวจร่างกาย200
    คุณน้องอุ้ม น้ำมันงา 100 พาหนะ100
    คุณPhocharoen น้ำมันงา 200
    คุณnewcomer น้ำมันงา 100 ตรวจร่างกาย100
    น้องนุ้ยที่Office น้ำมันงา 100 ตรวจร่างกาย100

    รวม น้ำมันงา 700 พาหนะ 300 ตรวจร่างกาย 500


    ขอกราบอาราธนาให้คุณพระรัตนตรัยคุ้มครองให้กัลยาณมิตรทุกท่าน
    สุขภาพแข็งแรงปลอดภัยจากโรคระบาดและโรคร้ายทั้งปวง
    อีกทั้งสามารถพบธรรมอันสูงสุดได้อย่างง่ายดายและสามารถปฏิบัติตามได้สำเร็จโดยพลันด้วยเทอญ

    อนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านนะคะ
    คุณพี่หนุ่มโอนรึยังคะ ถ้ายังขอเพิ่มอีก 100 บาท สำหรับตรวจร่างกายพระอาจารย์คะ

    แต่ถ้าโอนแล้วไม่เป็นไรนะคะ

    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยคะ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พรุ่งนี้ พี่โอนให้นะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุทาหรณ์ ใช้รถ เมืองกรุงสติขาด ... ชีวิตดับ!?!

    �غѵ��˵� �ط��ó����ö���ͧ��ا ʵԢҴ ���Ե�Ѻ


    [​IMG]

    อุทาหรณ์ ใช้รถ เมืองกรุงสติขาด ... ชีวิตดับ!?! (คมชัดลึก)

    สภาพการจราจรในกรุงเทพฯ คลาคล่ำและขวักไขว่ไปด้วยรถรา บางเวลาติดขัดเป็นขบวนยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา พอไปได้หน่อยก็ปาดซ้ายป่ายขวา ตัดหน้าเหยียบเบรกหัวทิ่ม เสียงบีบแตรไล่โหวกเหวกสลับคำด่าสาปแช่ง พิสูจน์ความอดทนอดกลั้นและการครองสติ หากใครปล่อยให้ โมหะ และ โทสะ เข้าครอบงำเป็นเจ้าเรือนผู้นั้น ก็เสียเปรียบ ดีไม่ดีถึงขั้นเสียชีวิตเอาง่ายๆ

    "สุริยา แก้วก่า" อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 203 หมู่ 2 ต.โพนพิสัย อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย โชเฟอร์แท็กซี่ โต โยต้า สีชมพู ทะเบียน ทว 5107 กรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในเหยื่ออารมณ์ร้อน ที่สังเวยชีวิตไปเพียงเพราะเกิดไม่พอใจขับรถปาดหน้า กับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยูอีกคัน

    ปลอกกระสุนขนาด .32 รวม 3 ปลอก ที่ตกอยู่แยกสุรวงศ์ ตัดถนนเจริญกรุง 36 แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ และภาพวิดีโอวงจรปิด ที่สามารถบันทึกภาพรถเก๋งคู่กรณีบีเอ็มดับเบิลยู สีดำ ทะเบียน วธ 1510 กรุงเทพมหานคร ขับผ่านแยกเจริญกรุงในวันเวลาเกิดเหตุ ทำให้ตำรวจ สน.บางรัก เสนอขออนุมัติหมายจับ "สานิตย์ แสงอรุณ" ผู้ขับขี่ วัย 22 ปี ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ไว้ในความครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยศาลพิจารณาออกหมายจับ เลขที่ 473/2552 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2552

    จากพยานหลักฐานที่ตำรวจ สน.บางรัก มีอยู่ เชื่อว่า สานิตย์เป็นคนใช้ปืน .32 ยิงสุริยาเข้าที่หน้าอกซ้าย ราวนม และช่องท้อง เนื่องจากไม่พอใจที่ขับรถปาดหน้ากันมาตามเส้นทาง กระทั่งมาถึงจุดเกิดเหตุ มีพยานเห็นทั้งคู่ทะเลาะวิวาทกัน สุดท้ายสุริยากลับไปเอาไม้คมแฝกออกมา และถูกยิงเสียชีวิตเมื่อกลางดึก วันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

    รถเก๋งคันดังกล่าว เท่าที่ตำรวจมีข้อมูลอยู่คือ เป็นรถส่วนตัวของพ่อผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นทหาร เมื่อแยกทางกับภรรยาจึงให้ลูกชายไว้ใช้ แล้วโอนมาเป็นชื่อของแม่ นอกจากนี้ สานิตย์ยังมีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่ สน.สามเสน อีกด้วย

    พ.ต.อ.เอกรัตน์ ลิ้มสังกาศ ผกก.สส.น.6 เปิดเผยกับ "คม ชัด ลึก" ว่า คดีนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยฝ่ายสืบ สวน กก.สส.น.6 และ สน.บางรัก แบ่งกำลังติดตามไปทุกที่ แต่เมื่อไปถึงแล้วก็คาดเคลื่อนกันเกือบทุกครั้ง คดีนี้มีจุดเริ่มต้นแค่ขับรถยนต์ปาดหน้ากัน แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่ยอมกัน ก็เลยเกิดเรื่อง แทนที่จะโต้เถียงกันเรื่องขับปาดกันไปมาเท่านั้น ก็น่าจเพียงพอแล้ว แต่ด้วยความเครียดหรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้เรื่องราวบานปลายออกไป

    พ.ต.อ.เอกรัตน์ แสดงความรู้สึกเห็นใจคนขับรถแท็กซี่ทั่วไป ในกรุงเทพฯ เพราะวันหนึ่งๆ การจราจรติดขัดมาก โชเฟอร์ต้องอยู่บนรถแท็กซี่ตลอดเวลา เพื่อหาผู้โดยสารให้ได้เงินพอส่งค่ารถ ค่าแก๊ส และเหลือพอเลี้ยงตัวเองกับครอบครัว บางครั้งอารมณ์ก็มีส่วนสำคัญ หากระงับสติอารมณ์โกรธ อารมณ์หงุดหงิดได้ ก็ไม่มีเรื่องราวอะไร แต่ถ้าระงับไม่อยู่ขาดสติอาจนำไปสู่เรื่องราวร้ายๆ ได้

    "ส่วนการที่คนขับแท็กซี่ที่มีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กแป๊บ มีดไม้ เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวก็คงไม่ผิดอะไร แต่ถ้านำออกมาใช้ในการกระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะไหนก็ตาม ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ตามพฤติกรรมที่กระทำลงไป" ผกก.สส.น.6 ให้ความเห็น

    ด้าน "สมเกียรติ วงศ์วุฒิกิจ" โชเฟอร์แท็กซี่ วัย 45 ปี ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องความเครียด อันเกิดจากการจราจรและการทำมาหาเลี้ยงชีพในสถานการณ์เช่นนี้ว่า สังคมไทยทุกวันนี้น่ากลัว การที่แท็กซี่มีอาวุธไว้ป้องกันตัวก็ใช่ว่าจะช่วยเหลือไม่ไห้ถูกจี้ปล้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กแป๊บ หรือกระบองไม้คงช่วยไม่ทัน ประกอบกับทุกวันนี้คนขับรถส่วนใหญ่ใจร้อน แท็กซี่เองก็ใจร้อน พอเจอรถติดๆ รถแท็กซี่ก็วิ่งกันเต็มถนนไปหมด ลูกค้าก็ไม่ค่อยมี วันๆ ต้องขับตะลอนๆ หาลูกค้าไปตามสถานที่ต่างๆ มีเงินเหลือ 200-300 บาท ก็ดีใจแล้ว

    "ไม่ใช่แค่มีปัญหากับผู้ใช้รถคันใหญ่ๆ ราคาเป็นแสนเป็นล้านบาทเท่านั้นนะ แท็กซี่ด้วยกันเองก็ทะเลาะกัน เพราะทุกคนต่างก็มีอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น ไหนจะขับปาดหน้ากัน ไหนจะเหยียบเบรกให้คู่กรณีชนท้าย ให้ของลับกัน เหล่านี้เป็นตัวจุดชนวนมีเรื่องทั้งนั้น บางครั้งคนขับแท็กซี่ยังทะเลาะชกต่อยกันเองเลย เพราะแย่งผู้โดยสารกัน หรือบางคนมาจากบ้านนอกมาขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยรู้เส้นทางยังมีเรื่องกัน"

    สมเกียรติ แนะนำถึงทางออกของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ว่า หากเป็นแท็กซี่ให้กำหนดเป้าหมายเลยว่า วันนี้จะวิ่งเส้นทางไหน และ ทำงานเพื่ออะไร เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวใช่หรือไม่ ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัว หากมีเรื่องราวกระทบกระทั่งกัน ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ด้วยกัน หรือผู้ใช้รถส่วนบุคคลอื่นๆ ก็แค่กล่าวคำขอโทษหรือยกมือขออภัยแค่นั้นทุกอย่างก็ดีขึ้น

    ทั้งหมดที่โชเฟอร์แท็กซี่รายนี้กล่าวมา สรุปได้ว่า ควรมีสติในการใช้รถใช้ถนนว่างั้นเถอะ !?!



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือน ซื้อยาลดความอ้วนกินเอง อาจถึงตาย

    Ŵ������ǹ Ŵ������ǹ��觴�ǹ ���͹ ���� ��Ŵ������ǹ �Թ�ͧ �Ҩ�֧���


    [​IMG]

    เตือนอย่าซื้อยาลดความอ้วนมากินเองอาจถึงตาย (ไทยรัฐ)

    สสจ.ลำปาง เตือน สาวอยากสวย อย่าริซื้อยาลดความอ้วนมากินเอง อาจมีอันตรายถึงตายได้ แนะ ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน ...

    วันนี้ (11ก.ค.) เภสัชกรหญิงผ่องพรรณ สุเมธวาณิชย์ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค และ เภสัชสาธารณสุขสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ยาลดความอ้วนในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ยาที่ออกฤทธิ์ที่ทางเดินอาหาร และยาที่ออกฤทธิ์ที่สมองส่วนกลาง ซึ่งยาทั้ง 2 ชนิด ช่วยให้น้ำหนักลด โดยยาที่ออกฤทธิ์ที่สมองส่วนกลาง จะมีผลข้างเคียงที่มีอันตรายถึงชีวิต จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

    ซึ่งยาที่นิยมใช้กันคือ ยาเฟนเตอมีน เพราะมีผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจ และ หลอดเลือด และยาดังกล่าว ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ อีก ได้แก่ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็วใช้ไปนานๆ อาจถึงขึ้นติดยาได้ หรือ ทำให้น้ำหนักที่ลดลงคืนกลับมาอีก รวมทั้งพบอาการอื่นๆ อีก คือ ปากแห้ง อาเจียน ท้องผูก เหงื่อออก ใจสั่น ม่านตาขยาย ประสาทหลอน อาจทำให้เกิดโรคจิตได้ ในรายที่มีอาการรุนแรง จะพบว่า มีไข้สูง เจ็บหน้าอก การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก โคม่า และ เสียชีวิตได้

    นอกจากนี้ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคฯ กล่าวต่อว่า ยังพบว่า มีการจำหน่ายยาชุด ที่มีการนำไปใช้ลดน้ำหนัก โดยจัดไว้เป็นชุดให้รับประทานเหมือนกันในแต่ละวัน ประกอบด้วย ยาประมาณ 1-5 รายการ อาทิ ยาลดความอยากอาหาร เช่น เฟนเตอมีน และแอมฟีพราโมน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ ยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาอาหาร ซึ่งยานี้ไม่มีผลต่อการลดน้ำหนัก แต่ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยาลด ความอยากอาหารทำให้ไม่หิว

    การที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร แต่ยังมีกรดหลั่งเพื่อย่อยอาหาร อาจเป็นเหตุให้เกิดโรคกระเพาะ จึงให้ยานี้เพื่อลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ยาไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ เป็นยาที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย น้ำหนักจึงลดลงอย่างรวดเร็ว แต่น้ำหนักที่ลดลงเป็นน้ำหนักที่เกิดจากมวลรวมของร่างกาย แทนที่จะเป็นไขมัน ดังนั้น ยานี้จึงส่งผลข้างเคียงสูงมาก และยังเป็นอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น โพรพลาโนลอล ยากลุ่มนี้ปกติใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูงและการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ

    ทั้งนี้ เภสัชกรหญิงผ่องพรรณ กล่าวด้วยว่า จึงขอเตือนประชาชนถึงการลดน้ำหนัก วิธีที่ดีที่สุด คือ การออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน ที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ หากจำเป็นต้องใช้ยาลดความอ้วน ควรใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น อย่าหาซื้อมาใช้เอง เพราะยาลดความอ้วน มักเป็นวัตถุออกฤทธิ์ ที่มีผลข้างเคียงสูง ทั้งต่อหัวใจและหลอดเลือด อาจถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งเตือนร้านขายยาอย่าทำผิดกฎหมาย



    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คู่มือชาวบ้าน ป้องกันไข้หวัด 2009

    คู่มือชาวบ้าน ป้องกันไข้หวัด 2009


    [​IMG]


    คู่มือชาวบ้าน ป้องกันไข้หวัด 2009 (มติชน)

    หมายเหตุ - เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกคำแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1) หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ฉบับที่ 8 สำหรับประชาชนทั่วไป ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

    ปัจจุบันการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1) ได้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว โดยโรคมีความรุนแรงปานกลาง ประเทศไทยส่วนใหญ่พบในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และมีรายงานมากกว่า 60 จังหวัดแล้ว ขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา รองมาเป็นคนวัยทำงาน

    [​IMG] คำแนะนำทั่วไป

    ประชาชนทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจโรคที่ถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนก รู้วิธีการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ โดยการติดตามข้อมูลคำแนะนำต่างๆ จากกระทรวงสาธารณสุข รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารมีประโยชน์ ผัก ผลไม้ ไข่ นม นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และฝึกนิสัยไม่ใช้มือแคะจมูก ขยี้ตา หรือจับต้องใบหน้า ถ้าจำเป็นควรใช้กระดาษทิชชูจะปลอดภัยกว่า ดูแลตนเองหรือคนในครอบครัวที่ป่วยได้ และป้องกันไม่แพร่เชื้อให้คนรอบข้าง โดยการหยุดเรียน หยุดงาน ปิดปากจมูกเวลาไอจามด้วยกระดาษทิชชู สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่กับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆ ซึ่งจะช่วยควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด และลดผลกระทบด้านต่างๆ ได้มากที่สุด

    ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จะมีอาการป่วยใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นทุกปี คือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย มีรายงานอาการสมองอักเสบ 4-5 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (95%) จะมีอาการทุเลาขึ้นตามลำดับ คือ ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น และหายป่วยภายใน 5-7 วัน จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

    ผู้ป่วยน้อยราย (5%) ที่มีอาการป่วยรุนแรงซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิต คือ ไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน ซึม หรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ ไอมากจนเจ็บหน้าอก เกิดปอดบวม (หายใจถี่ หอบ เหนื่อย) นั้น พบว่า ส่วนใหญ่ (70%) เป็นกลุ่มผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัวเรื้อรัง (โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจ โรคเลือด ไต เบาหวาน ฯลฯ) ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ (โรคมะเร็ง ฯลฯ) โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หญิงมีครรภ์

    อย่างไรก็ตาม มีส่วนหนึ่ง (30%) ที่มีอาการรุนแรง แต่ไม่สามารถสอบสวนหาภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงและผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จึงต้องรีบไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐหรือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ทันที

    [​IMG] การดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงที่บ้าน

    หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูงมาก ตัวไม่ร้อนจัด ไม่ซึมหรืออ่อนเพลียมาก และพอรับประทานอาหารได้ สามารถดูแลรักษาตัวที่บ้านได้ โดยปฏิบัติดังนี้

    [​IMG] ผู้ป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน และพักอยู่กับบ้านหรือหอพัก ไม่ออกไปนอกบ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังวันเริ่มป่วย หรือหลังจากหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ

    [​IMG] แจ้งสถานศึกษาหรือที่ทำงานทราบ เพื่อจะได้เฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และป้องกันควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที

    [​IMG] ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) และยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ตามคำแนะนำของเภสัชกร หรือสถานบริการทางการแพทย์ หรือคำสั่งของแพทย์

    [​IMG] ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นพบเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ต้องรับประทานยาให้หมดตามที่แพทย์สั่ง

    [​IMG] เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำสะอาดอุ่นเล็กน้อยเป็นระยะ โดยการเช็ดแขนขาย้อนเข้าหาลำตัว เน้นการเช็ดลดไข้บริเวณหน้าผาก ซอกรักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขนขา และใช้ผ้าห่มปิดหน้าอกระหว่างเช็ดแขนขา เพื่อไม่ให้หนาวเย็นจนเสี่ยงเกิดปอดบวม หากผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น ต้องหยุดเช็ดตัว และห่มผ้าให้อบอุ่น

    [​IMG] ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด

    [​IMG] พยายามรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ให้พอเพียง

    [​IMG] นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก

    [​IMG] หากอาการป่วยรุนแรงขึ้น เช่น ไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน ซึมหรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ ไอมากจนเจ็บหน้าอก เกิดปอดบวม (หายใจถี่ หอบ เหนื่อย) ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที


    [​IMG] การแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ ในบ้าน

    [​IMG] ผู้ป่วยควรนอนแยกห้อง ไม่ออกไปนอกห้องจนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ

    [​IMG] รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น หากอาการทุเลาแล้ว อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง

    [​IMG] ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้อื่น

    [​IMG] ปิดปากจมูก เวลาไอ จาม ด้วยกระดาษทิชชู แล้วทิ้งทิชชูลงในถังขยะ และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำและสบู่หรือบ่อยๆ

    [​IMG] ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นด้วยการสวมหน้ากากอนามัย

    [​IMG] ผู้ดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย

    [​IMG] คนอื่นๆ ควรอยู่ไกลจากผู้ป่วยประมาณ 1-2 เมตร หรืออย่างน้อยประมาณหนึ่งช่วงแขน

    [​IMG] แหล่งข้อมูลการติดต่อเพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

    [​IMG] 1.กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2245-8106, 0-2246-0358 และ 0-2354-1836

    [​IMG] 2.ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

    [​IMG] ติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

    เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข
     

แชร์หน้านี้

Loading...