พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    จากเหตุที่มีผู้นำพระบรมสารีริกธาตุมา"ขาย" ตามข้างถนนนี่ ในใจผมเองอยากตั้งโครงการหนึ่งขึ้นมาเป็นกองทุน เอาไว้จัดเก็บพระบรมสารีริกธาตุเพื่ออัญเชิญไปบรรจุตามพระเจดีย์ตามที่ต่างๆทั่วประเทศ ก็ไม่ทราบว่าเพื่อนๆคณะพระวังหน้ามีความเห็นกันยังไง แต่อย่างไรก็ตามต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตรวจทางรูป และนามให้ทราบชัดก่อนว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุแท้ หรือไม่....

    ไม่มีความประสงค์จะตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อจัดเก็บไว้เป็นส่วนตัวแม้แต่องค์เดียว อันนี้ขอยืนยัน เฉพาะที่มีอยู่นี่ก็มหาศาลแล้ว
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปวัดทรายงาม จ.จันทบุรี เดิมเป็นสำนักสงฆ์ ปี พ.ศ.๒๔๘๐ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่ปฏิบัติในแนวทางของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์จดทะเบียนเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก(พระอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรมในสายของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ช่วง 3 ปีนี้หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ก็ยังได้จำพรรษาที่วัดทรายงามนี้ หลังจากนั้นท่านได้ติดตามพระอาจารย์มั่น ไปยังสกลนคร และได้ชื่อว่าเป็นพระผู้ดูแลเครื่องอัฏฐบริขารของหลวงปู่มั่น ปัจจุบันกุฏิของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ก็ยังคงมีอยู่ที่วัดทรายงามแห่งนี้..

    ผม และพี่ท่านหนึ่งได้เอ่ยปากขอรับหนังสือประวัติวัดทรายงามกับท่านเจ้าอาวาส ท่านก็ได้กล่าวว่า "หนังสือไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหามานานแล้ว มีสิ่งปลูกสร้างเช่นพระมหาเจดีย์ก็ยังไม่ได้บรรจุไว้ในหนังสือ เพราะไม่มีคนบริจาค" เมื่อผม และพี่ท่านนี้ได้เห็นสภาพหนังสือเก่านี้ก็เอ่ยปากขอรับเป็นเจ้าภาพหนังสือประวัติวัดทรายงาม หนังสือเล่มนี้พิมพ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๖ เป็นหนังสือพระธรรมเทศนาเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ พระครูญาณวิโรจน์พิมพ์ในงานฉลองพระประธานศาลาอริยวงศาคตญาณ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯประทานพระพุทธอริยญาณ วิโรจนาการมงคลให้เป็นพระประธาน วัดทรายงามแห่งนี้ โดยที่ท่านเจ้าอาวาสได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อมูลประวัติวัดสมบูรณ์ขึ้น เพื่อเผยแผ่ให้ญาติโยมที่สนใจในประวัติ และธรรมเทศนาต่อไป


    และจะเป็นเรื่องโดยบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบที่บันดาลให้ไปพบเรื่องราวนี้ และหากสามารถจัดพิมพ์ได้ทันในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒นี้ก็จะได้ถวายให้พระท่านในเดือนครบรอบปีที่ ๗๑ ของการขึ้นทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๔๘๑ และสิ่งสำคัญคือเป็นธรรมทานที่พระท่านบอกว่าไม่มีผู้บริจาคหนังสือประวัติวัดให้กับทางวัดในช่วง ๓๗ ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้ให้ธรรมทานกับวัดที่ขาดแคลนจริงๆ อีกทั้งหนังสือเล่มนี้ ได้มีบทเมตตากถา ที่พระเทพวราภรณ์(วิชมัย) วัดบวรนิเวศวิหารได้แสดงกัณฑ์อุโบสถไว้ ความโดยย่อว่า
    "...เมตตา 3 ทางคือ เมตตาทางกายกรรม ทางวจีกรรม ทางมโนกรรม ถ้าเจริญให้มาก เมตตาอยู่เนืองๆ สั่งสมอบรมปรารภด้วยดี ย่อมมีอานิสงค์ทำลายอุปธิกิเลสตัวใน ธรรมชาติเข้าไปทรงไว้ซึ่งทุกข์ มี ๔ อย่าง คือ

    ๑. ขันธูปธิ กิเลสเข้าไปยึดขันธ์
    ๒. กิเลสูปธิ กิเลสเข้าไปยึดตัณหา มานะฯ
    ๓. อภิสังขารารูปธิ กิเลสเข้าไปยึดภพ
    ๔. กามูปธิ กิเลสเข้าไปยึดกาม

    ทำให้สังโยชน์๑๐(กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะ อวิชชา) กิเลสตัวนอกเหล่านี้เบาบางลงโดยลำดับ สังโยชน์เรียงตามลำดับที่อริยมรรคเข้าตัดทำลาย..."

    .....ในสมัยหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วยเทวดาหมื่นจักรวาลมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงน้อมนมัสการทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "การให้อะไร ชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งอะไร ชนะรสทั้งปวง ความยินดีในอะไร ชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งอะไร ชนะทุกข์ทั้งปวง"

    .....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า

    .....สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    .....สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
    .....การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    .....รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    .....ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    .....ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    .....ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย


    ท่านใดที่ประสงค์จะร่วมบุญธรรมทานเพื่อสร้างหนังสือประวัติวัดทรายงาม และธรรมเทศนาเมตตากถานี้ก็ขอให้แสดงความประสงค์ในกระทู้ และแจ้งชื่อ และนามสกุลทางPM เพื่อจะได้รวบรวมรายชื่อผู้จัดสร้างเอาไว้ท้ายหนังสือ และขอให้โอนปัจจัยให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ นี้เพื่อดำเนินการจัดพิมพ์โดยใช้เวลาประมาณ ๗ วัน จากนั้นก็จะนำไปถวายวัดทรายงามได้ทันเดือนมิถุนายนนี้


    เข้าบัญชี คุณอภิวัฒน์ ชัฎอนันต์
    บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาไชยยศ
    เลขที่ 040-2-25999-6

    ขออนุโมทนา<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>วัดทรายงาม อ.เมือง จ.จันทบุรี ในปัจจุบัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="35%">[​IMG]
    </TD><TD width="33%">[​IMG]
    </TD><TD width="32%">[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width="35%">สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
    กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
    </TD><TD width="33%">พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ
    </TD><TD width="32%">สามเณรวิริยังค์
    ( หลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร )

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เนื่องในวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถรเป็นปีที่ ๕๔ ร่วมรำลึกถึง "พระสังฆคุณ" ขององค์ท่าน เว็บหลวงปู่มั่นขอนำเสนอบทความจากหนังสือ "ชีวิตคือการต่อสู้ : ประวัติและผลงาน พระราชธรรมเจติยาจารย์ ( หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ) เพื่อเป็นนำเสนอข้อวัตรปฏิบัตของคณะพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร แม้จะถูกใส่ร้ายแต่ด้วยการปฏิบัติอันบริสุทธิ์ตามพระธรรมวินัย ก็สามารถผ่านพ้นข้อกล่าวหาต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับจนถึงปัจจุบัน จากบันทึกของหลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโรครั้งยังเป็นสามเณรวิริยังค์ติดตามพระอาจารย์ของท่านคือพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ในวาระเริ่มต้นสร้างวัดทรายงาม อ.เมือง จ.จันทบุรี ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๙

    สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศน์ ทรงเสด็จมาสืบข้อเท็จจริง
    พระอาจารย์ของข้าพเจ้า( ข้าพเจ้าในที่นี้คือสามเณรวิริยังค์ ) นอกจากท่านจะใช้ความพยายามแนะนำพร่ำสอนชาวบ้านหนองบัวแล้ว ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสก็ได้ถวายปัจจัยมาก ท่านก็ให้เขาสร้างกุฏิ ศาลามั่นคงถาวรขึ้น ทั้งนี้ย่อมเป็นสิ่งอันพอสมควรทีเดียว แต่ผลของการแนะนำข้อปฏิบัตินั้นก็ค่อยๆ ปรากฏโฉมหน้าออกมาเรื่อยๆ เพราะเหตุชาวบ้านหนองบัวถูกพระอาจารย์ของข้าพเจ้าต่อสู้จนชนะ หมายความว่าชนะโดยการปฏิบัติธรรมให้เป็นตัวอย่าง คำพูดนั้นพูดกันแต่น้อยปฏิบัติให้มาก อย่างไรก็ตามพวกถือมานะทิฏฐิก็ยังมีอยู่ พวกที่ยังไม่ลดละความพยายาม คือพยายามจะจับผิดพระอาจารย์ให้ได้ จึงร่วมกับพระภิกษุบางองค์ที่คงแก่เรียน มีฐานันดรนำเรื่องต่างๆ ไปฟ้องสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์หลายครั้งและก็หลายหน จนสมเด็จฯ ท่านคงรำคาญ หรือต้องการจะทราบความจริงของพระคณะกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เพราะสมเด็จฯ ก็ได้ทราบเกียรติคุณนี้มานานแล้ว ยังไม่เคยทราบข้อเท็จจริง หากจะปรักปรำเอาความผิดตามที่ชาวบ้านหนองบัวบางพวกและพระฐานันดรบางรูปกล่าวหา ก็จะเสียผู้ใหญ่ อาจจะเสียรูปแห่งการปกครองได้ เพาะสมเด็จฯ คงจะมองกาลไกลว่า พระที่ปฏิบัตินั้นหายาก และที่จะมีความสมารถก็หายาก หากทำงานผิดพลาดจะจะเสียโอกาสทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายผู้ประสงค์ดี หากทำถูกต้องอาจจะเป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ต่อไปภายหน้า เมื่อสมเด็จฯ ได้คิดเช่นนี้แล้ว พระองค์จึงทรงละความลำบาก แม้จะต้องทรงลำบากฉันใด ก็มิทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากนั้นเลย ได้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปพร้อมกับพระมหาศาสนโสภณ (ป.๙ ) โดยสารเรือไฟจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดจันทบุรี ( เพราะไม่มีทางรถยนต์)
    มิได้มีใครคาดหมายมาก่อนว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้าจะเสด็จมาโดยพระองค์เอง ต่างก็ได้ทำพิธีต้อนรับกันเป็นการใหญ่ ตั้งแต่ทางจังหวัดจันทบุรีและวัดต่างๆ ในเมือง พระอาจารย์ของข้าพเจ้าเฉยๆ แม้จะได้ข่าวว่าสมเด็จฯ เสด็จ เพราะไม่นึกว่าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าจะเสด็จมาที่วัดทรายงามแม้สมเด็จฯ เองก็มิได้ทรงปรารภว่าจะมาวัดทรายงามแต่อย่างใด ปล่อยให้ข้าราชการ พระฐานันดรศักดิ์ต้อนรับกันจ้าละหวั่นอยู่ที่ตัวเมืองจันทบุรี อยู่ๆ วันหนึ่งสมเด็จฯ ก็ทรงตรัสว่า เราจะไปวัดทรายงามเดี๋ยวนี้ ทำเอาข้าราชการพระฐานันดรศักดิ์ตกใจ จะจัดเรือถวายให้ สมเด็จฯ ก็ไม่เอา ทรงรับสั่งว่าจะเดินไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็ให้คนนำทาง ทรงเสด็จเดินในเวลานั้นบ่ายแล้ว ม้าเร็วรีบแจวอ้าวนำเรื่องไปบอกกับพระอาจารย์ของสมเณรวิ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าเดินเร็วเหมือนกัน ม้าเร็วมาส่งข่าวไม่ถึงชั่วโมงก็เสด็จถึงแล้วทรงวัดทรายงามก็มิทันได้ตั้งตัว สมเด็จฯ เสด็จถึงเสียแล้ว สมเณรวิริยังค์พร้อมพระอาจารย์ พระ ๑๐ กว่ารูป ฆราวาสสี่ห้าคนเดินออกไปรับเสด็จทันตรงทุ่งนาห่างวัดไม่ถึง ๑๐ เส้น สมเด็จฯ ทรงดุเอาว่า "ออกมารับทำไม" แล้วทรงรับสั่งว่า "เราจะพักที่นี่ไม่มีกำหนด" ทำเอาพระอาจารย์งง ส.ณ.วิก็งง ข้าราชการพระฐานันดรศักดิ์ก็งง แหละแล้วพระอาจารย์ก็ได้จัดกุฏิถวายให้พักตามพระอัธยาศัย แล้วก็ให้สามเณรวิริยังค์เป็นผู้อุปฐากดูแลอย่างใกล้ชิด
    ผู้ไปฟ้องสมเด็จพระสังฆราชเจ้าครั้งนี้มี ๕ ข้อด้วยกัน คือ
    ๑. พระอาจารย์กงมา พาพระบิณฑบาตรสะพายบาตรเหมือนมหานิกาย เป็นการแตกคอกนอกจากธรรมเนียมธรรมยุต
    ๒. พระอาจารย์กงมา เมื่อโยมถวายสังฆทานต้องอุปโลกน์มิฉะนั้นจะไม่ฉัน เป็นการงมงาย เพราะเขาถวายพระภิกษุสงฆ์แล้วไม่ต้องอุปโลกน์
    ๓. พระอาจารย์กงมา เทศนาแปลหนังสือไม่เป็น ผิดๆ ถูกๆ ซึ่งเป็นการไม่เหมาะแก่ที่จะเป็นผู้นำ
    ๔. พระอาจารย์กงมาไปธุดงค์ ทำน้ำมนต์ ยาเสน่ห์ ของขลัง แนะนำแต่ทางโลกีย์ ซึ่งผิดระเบียบพระธุดงค์
    ๕. พระอาจารย์กงมา ทำอุโบสถไม่มีพัทธสีมา

    เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จไปนั้น ทรงเสด็จไปในสภาพพระธรรมดา มิให้ใครหรือพระรูปใดรู้ว่าพระองค์มาสอบสวนในเรื่องต่างๆ ที่มีคนไปฟ้อง และทรงปฏิบัติเหมือนพระที่วัดทรายงามทุกประการ เช่น ฉันหนเดียว ฉันในบาตร สวดมนต์ที่ศาลา เวลาพูดจาก็มิให้พูดด้วยราชาศัพท์ ให้ทำทุกกอย่างเป็นกันเอง แล้วทรงพูดว่าเรามาเยี่ยม "กงมา" และประสงค์จะมาเรียนกรรมฐานด้วย ให้ช่วยสอนให้ ทำเอาพระอาจารย์ของ ส.ณ.วิกำลังงงยิ่งงงใหญ่พระอาจารย์บ่นกับสามเณรวิว่า "นี่เราจะสอนหนังสือสังฆราชแล้วหรือ" ทำเอาสามเณรวิก็สงสัยว่า สมเด็จพระสังฆราชควรจะเรียกหรือสั่งให้พระอาจารย์เข้าไปอยู่ที่วัดบวรนิเวศน์ กรุงเทพฯ แล้วให้สอนกรรมฐานให้ก็ได้ ทำไมพระองค์จะต้องถ่อร่างมาถึงพวกเรา แต่สามเณรวิก็ถือว่าเป็นเกียรติแด่พระอาจารย์ใหญ่หลวงนักครั้งนี้ ภายหลังถึงทราบว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงเสด็จมาสอบสวนข้อเท็จจริงตามที่มีผู้กล่าวหาพระอาจารย์กงมาฯ
    เช้าวันแรกสมเด็จพระสังฆราชตื่นบรรทมแต่เช้า ทรงถือบาตรออกจากกุฏิมารอพระที่วัดทรายงามจะออกบิณฑบาตร และทุกๆ องค์ก็ออกบิณฑบาตรเป็นปรกติเดินตามกันเป็นแถว แล้วทุกองค์ก็หยุดเมื่อเห็นสมเด็จฯ ยืนอยู่ข้างหน้า แล้วสมเด็จฯ ก็เดินออกมาตรวจดูพระทุกๆ รูปที่กำลังสะพายบาตร เอาบาตรไว้ข้างหน้าคลุมผ้าอย่างมีปริมณฑล ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ท้ายแถว สงสัยว่าสมเด็จฯ ท่านมายืนดูพวกเราทำไม ทันใดนั้นสมเด็จฯ ก็ทรงตรัสว่า "เออพวกเธอทำไมถึงไม่ได้จับบาตรเหมือนพระธรรมยุตทั่วไป แต่สะพายไว้ข้างหน้าเช่นนี้ ก็เหมือนกับอุ้ม เหมือนกันไม่ผิดแน่" ข้าพเจ้าสงสัยมากทำไมสมเด็จฯ ทรงตรัสเช่นนี้ แต่ทำเอาข้าพเจ้าดีใจมาก เพราะคำว่าไม่ผิดแน่ แต่ก็สงสัยอยู่ครามครัน
    อีกสองสามวันผ่านไป วันหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดและคอยถวายการรับใช้สมเด็จฯ ตามปกติ สมเด็จฯ ไม่ยอมให้พูดราชาศัพท์ข้าพเจ้ารู้จักราชาศัพท์ งู งู ปลา ปลา ท่านบอกว่า "เฮ้ยเณร หูกันดังอู้ยังกะรถไฟ" ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจมาถามพระอาจารย์ว่า สมเด็จฯ บอกว่า หูท่านดังอู้ยังกะรถไฟ พระอาจารย์บอกว่านั่นแหละ สมเด็จฯ ลมขึ้นคงจะลมขึ้นเพราะฉันหนเดียวเหมือนกับพวกเรา เนื่องจากท่านไม่เคย "เณรพรุ่งนี้นำอาหารเพลไปถวายท่านนะ" พระอาจารย์ของสามเณรวิกำชับ รุ่งขึ้นหลังจากทรงเสวยภัตตาหารเช้าแล้ว ข้าพเจ้าก็ให้โยมจัดภัตตาหารเพลนำเข้าไปถวายสมเด็จฯ ทรงเห็นพร้อมกับบอกว่าเอากลับไป อยู่ที่ไหนก็ต้องทำตามระเบียบเขาที่นั่นถึงจะถูก พร้อมกับบอกว่า "เฮ้ยท้องกันไม่ใช้ท้องอิฐนี่" แม้วันต่อมข้าพเจ้าก็ให้โยมทำภัตตาหารเพลไปถวายพระองค์ไม่ทรงฉันและสำทับว่าอย่าทำมาอีก
    วันหลังต่อมา มีโยมอาราธนาไปฉันในบ้านกันหมดวัด สมเด็จฯก็ทรงรับอาราธนา เมื่อเขาจัดสำรับเสร็จโยมก็ถวายเป็นสังฆทาน พระอาจารย์กงมาฯ ลุกขึ้นขอโอกาสทำพิธีอุปโลกน์ สมเด็จฯ ก็ทรงอนุญาต หลังจากทรงเสวยเสร็จกลับวัดแล้ว ทรงปรารภว่า "กงมาทำถูก" อันที่จริงการถวายสังฆทานนั้น เขาอุทิศสงฆ์มิได้หมายความว่า พระสงฆ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น เขาหมายถึงหมู่สงฆ์มีอริยสงฆ์เป็นต้น การอุปโลกน์ก็ทำเพื่อขอจากหมู่สงฆ์นั้นเป็นพิธีโบราณกาล "กงมาทำถูก" พระองค์ทรงย้ำอีกครั้ง ส.ณ.วิ.ผู้นั่งฟังก็มีความมั่นใจและเข้าใจมากขึ้นถึงพิธีกรรมตอนนี้
    หลังจากสมเด็จฯ ประทับอยู่ ๕ วัน พระอาจารย์กงมา ได้ขอโอกาสป่าวร้องชาวบ้านให้มาฟังธรรมเทศนาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ทรงให้โอกาสแล้ว พระอาจารย์ก็ได้ให้คนป่าวร้องประชาชนมาฟังเทศน์ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เมื่อชาวบ้านหนองบัวได้ฟังคำป่าวร้องเช่นนี้ก็เกิดความสนใจ เพราะมิเคยฟังเทศน์สมเด็จพระสังฆราชเลยตั้งแต่เกิดมา จึงพากันมาเต็มแน่นขนัดที่ศาลา ล้นหลามนั่งกับดินมากมายเป็นพิเศษ เมื่อประชาชนพร้อมแล้ว พระอาจารย์ฯ ก็ได้ไปทูลอาราธนาให้สมเด็จฯ ลงมาประทานธรรมเทศนา สมเด็จฯ อ้างว่าไม่สะบาย ให้"กงมา" เทศน์และห้ามองค์อื่นเทศน์โดยเด็ดขาด พระอาจารย์ฯ สุดที่จะขัดรับสั่ง จำเป็นต้องกลับมาแสดงพระธรรมเทศนาแทนสมเด็จพระสังฆราช ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดมาก่อน สมเด็จฯ ทรงไล่ให้ ส.ณ.วิ. ผู้ปฏิบัติท่านอยู่และพระทุกๆ องค์ที่มากับท่านให้ไปฟังเทศน์ที่ศาลาให้หมด เหลือท่านไว้องค์เดียว ส.ณ.วิ. ก็สุดจะเป็นห่วงว่าท่านต้องประสงค์ประการใด ไม่มีใครคอยรับใช้ แต่ถูกบังคับ ส.ณ.วิ. ก็ต้องมานั่งฟังเทศน์ที่ศาลา วันนี้พระอาจารย์ฯ แสดงธรรมแจ่มแจ้งดีแท้ แปลหนังสือฉะฉาน มีความตอนหนึ่งว่า การปฏิบัติจิตนี้ถ้ายังหลงปริยัติอยู่จิตจะไม่เป็นสมาธิ เพราะปริยัติเหมือนตัวหนังสือ แต่สมาธิเหมือนของจริงท่านเปรียบว่า กวาง คือ ก-ว-า-ง กับตัวกวางจริงนั้นมันผิดกันไกลนัก เพราะกวางจริงมันมีเขา มีขา มีตัว ฉะนั้นถ้าจะมาหลงอยู่ที่ตัว ก-ว-า-ง อย่างเดียวก็รู้กวางตัวจริงไม่ได้ เช่นคนจะทำญาณให้เกิดขึ้น เขารู้ว่าปฐมฌาณมีองค์ ๕ คือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัตคะตา ถ้าผู้บำเพ็ญสมาธิจะมานั่งท่องวิตก - นี่วิจารณ์ - นั่นปิติ - โน่นสุข - นี่เอกัคคะตา ถ้ามัวมานั่งนับอยู่อย่างนี้ตลอดชาติก็ไม่ได้ฌาณ แต่ผู้บำเพ็ญสมาธิจะต้องมาบริกรรมพุทโธๆ จนติด ตัวอารมณ์ภายนอกได้แล้ว ไม่นึกคิดไปทางอื่นแนวแน่อยู่ที่พุทโธอันเดียว เลิกคิดไปตามอารมณ์ภายนอกต่างๆ แล้วจิตนี้ก็จะเป็นฌาณ ที่ว่า ฌานมีองค์ ๕ ก็ต่อเมื่อจิตละจากปริยัติคือองค์ ๕ ของฌาณที่จำมาแล้ว ที่เป็นฌาณก็เพราะความเป็นหนึ่งของจิต
    ส.ณ. วิ. ขณะนี้ฟังพระอาจาย์แสดงธรรม เกิดปวดท้องเบาอย่างแรงจนทนไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาเดินลงศาลาเพื่อเข้าป่า ( เพราะมีป่าละเมาะอยู่ข้างศาลา ) เพื่อหาที่เบา ข้าพเจ้าต้องตกใจสุดขีดเพราะพบสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงประทับนั่งอยู่กับดินทราย ฟังเทศน์พระอาจารย์กงมาอย่างใจจดใจจ่อ ข้าพเจ้าร้อง " โอ๊ะๆๆ สมเด็จฯ" พระองค์ทรงห้ามข้าพเจ้าว่า "เณร จุ๊ จุ๊ จุ๊ อย่าเอะอะไป รีบกลับเร็ว" ข้าพเจ้าถ่ายเบาแล้วรีบขึ้นบนศาลาฟังเทศน์พระอาจารย์ต่อไป คราวนี้ใจไม่ดี เพราะทราบแล้วว่าพระอาจารย์ฯ กลังเทศน์ให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฟัง จะเป็นอย่างไรหนอ ขออย่าพูดเล่นอย่าผิด ขอให้ดีที่สุด ระวังมากๆ เถิด นี้เป็นความคิดของ ส.ณ. วิ.กำลังฟังเทศน์หลังพบสมเด็จฯ กำลังนั่งฟังอยู่ จิตใจไม่สบายเหมือนธรรมดาเสียแล้ว รุ่งเช้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าตื่นบรรทมแต่เช้า เสด็จมาที่ลานวัดพร้อมกับท่านมหาปลอด ป.๙ มีพระฐานันดรศักดิ์และพระอื่นยืนเรียงรายอยู่ ทรงรับสั่งขึ้นมาลอยๆ ท่ามกลางคณะสงฆ์ว่า "เฮ้ย กงมาเทศน์เก่งมาก เก่งกว่าเปรียญ ๙ ประโยคเสียอีก เทศน์อย่างนี้ เปรียญ ๙ ประโยคสู้ไม่ได้ " ส.ณ.วิ. ยืนฟังอยู่ก็พลอยดีใจไปด้วย ครั้งแรกนึกว่าพระอาจารย์คงโดนแล้ว เพราะพระอาจารย์เพิ่งทราบว่าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังเทศน์ก็ต่อเมื่อข้าพเจ้าไปเล่าให้ฟัง พระอาจารย์ตลึงและบอกข้าพเจ้าว่า "เราแพ้รู้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสียแล้ว"
    วันนี้พอดีเป็นวันอุโบสถ แม้พระฐานันดรศักดิ์ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะมาทูลอาราธนาให้พระองค์ไปลงอุโบสถที่วัดในเมือง พระองค์ก็ไม่ทรงเสด็จ และทรงรับสั่งว่าจะทำปาฏิโมกข์ที่นี้ รู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันครูบาสังข์สวดปาฏิโมกข์ ก่อนจะลงอุโบสถ สมเด็จฯ ทรงถามพระอาจารย์ว่า "กงมาเธอใช้สีมาอะไรกันลงอุโบสถ" พระอาจารย์ว่า "สัตตะพันตรสีมา" คือไกลจากเขตบ้าน ๔๙ วา ทรงให้พระวัดจากเขตบ้านถึงอุปจารอุโบสถเกินกว่า ๔๙ วา ทรงรับสั่งว่า "กงมานี้มีความรู้" ทรงอนุญาตให้พระสวดปาฏิโมกข์ต่อไป แต่ครูบาสังข์ไม่ซ้อมมาให้ดี สวดตะกุกตะกัก โดนสมเด็จพระสังฆราชดุเอาเลยหลงใหญ่ ใช้เวลากว่าชั่วโมงจึงจบ ภายหลังปราฏกว่าสมเด็จได้บอกไปยังพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ผู้รับเป็นหัวหน้าคณะกรรมฐานแทนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ครั้งนั้นให้ซ้อมปาฏิโมกข์ พระอาจารย์สิงห์จึงตั้งกรรมการซ้อมปาฏิโมกข์กันเป็นการใหญ่ ปรากฏว่าพระอาจารย์มหาปิ่น ปํญญาพโล ซึ่งเป็นน้องชายท่านอาจารย์สิงห์ ออกจากวัดบวรนิเวศน์เป็นผู้ชำนาญทางสวดปาฏิโมกข์ พระอาจารย์สิงห์จึงตั้งให้สอนปาฏิโมกข์ฝึกปาฏิโมกข์ จนปรากฏว่ามีพระปาฏิโมกข์ดีเกิดขึ้นหลายองค์ แม้ ส.ณ.วิ.ก็ได้ไปฝึกปาฏิโมกข์กับพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล

    สมเด็จกรมหลวงวิชิรญาสวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงพำนักอยู่หลายวัน วันหนึ่งจึงชวนพระอาจารย์กงมาไปเที่ยวธุดงค์ บอกว่า "กงมา เธอเคยไปเที่ยวธุดงค์ที่ไหน พาเราไปหน่อยได้ไหม" พระอาจารย์กงมาสงสัย และเกิดความเคารพในสมเด็จฯ อย่างสูง คิดว่า "เอ อยู่ดีๆ ยังไงจึงจะให้เราพาไปธุดงค์ จะห้ามก็ไม่ดี ครั้นจะไปก็เป็นห่วงว่าจะต้องไปนอนกับดิน ใต้โคนไม้ อาหารรจะไม่ดี แต่ว่าเมื่อพระองค์จะหัดตัดกิเลสก็จำเป็น ไปก็ไป" พระอาจารย์จึงจัดกลดมุ้งบริขารของพระธุดงค์ถวายสมเด็จฯ และบอกให้ ส.ณ.วิ.ไปด้วยกัน วันนี้เป็นวันพิเศษแปลกประหลาด สมเด็จพระสังฆราชเจ้าไปธุดงค์กับพวกเรา พอจัดบริขารเสร็จแล้วสมเด็จฯ ก็แบกกลดตะพายบาตร ตะพายย่าม เช่นกับพระอาจารย์กงมาฯ และ ส.ณ.วิ. ส.ณ.วิ.จะไปขอแบกกลดแทนก็ไม่ให้ ขอตะพายบาตรให้ก็ไม่ให้ ขอตะพายย่ามให้ก็ไม่ให้ และทรงรับสั่งว่า "เฮ้ยวันนี้กันเป็นพระธุดงค์" ว่าแล้วก็ให้พระอาจารย์กงมาฯ เดินก่อน และสำทับพระอาจารย์กงมาว่า "นี่กงมาเธออย่าพูดว่ากันเป็นสมเด็จพระสังฆราชนะ ถ้าใครถามก็บอกว่ากันเป็นหลวงตาก็แล้วกัน แล้วหันมาที่ ส.ณ.วิ.บอกว่า "เณร - เณร อย่าเรียกกันว่าสมเด็จฯ เป็นอันขาด ให้เรียกกันว่าหลวงตา" เป็นว่าพระอาจารย์กงมาเดินก่อน สมเด็จฯ เดินตามพระอาจารย์กงมา ส.ณ.วิ.เดินตามหลัง มันเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยมีมาในกาลก่อน และจะหาบรรยากาศแบบนี้อีกเห็นจะไม่มีอักแล้ว ส.ณ.วิ.เดินไปคิดว่า "โอ้โฮ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงถ่อมพระองค์ละหมดทุกอย่าง หวังเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสเดินธุดงค์กับพวกเรา"
    พระอาจารย็ได้นำสมเด็จฯ เดินไปหลายกิโลเมตรตามทางที่เคยไปธุดงค์ ค่ำไหนนอกนั่น พระองค์กางกลดไม่เป็น ส.ณ.วิ.ไปกางถวาย ท่านทรงยืนดูข้าพเจ้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ข้าพเจ้าเอาผ้าอาบน้ำฝนปูแทนเสื่อเอาตีนบาตรตั้งเอาผ้าทับถวายแทนหมอน ทรงบรรทมกับดินตามปกติ เมื่อญาติโยมทราบว่าพระอาจารย์ฯ ธุดงค์ เขาก็มาหาพระอาจารย์เป็นจำนวนมากบ้างน้อยบ้าง พระอาจารย์ฯ ก็พาพวกเขาเหล่านั้นนั่งสมาธอกันทั้งนั้น และมาอย่างเคารพนบนอบ กลับอย่างมีระเบียบ ตอนเช้าพระอาจารย์ก็นำสมเด็จฯ บิณฑบาตรตามบ้าน ส.ณ.วิ.เดินตามหลังเช่นนี้ทุกวัน และทรงอดทนเป็นอย่างดีเยี่ยมมาก วันหนึ่งหลังจากเดินทางมาหลายกิโลเห็นจะทรงเหนื่อยพอสมควร หลังจาก ส.ณ.วิ.ได้กางกลดปูที่นอนถวายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประมาณเที่ยงคืนเศษๆ ฝนได้ตกลงมาเสียยกใหญ่ ส.ณ.วิ.รีบเข้าไปที่กลดของสมเด็จฯ และบอกว่าจะขอช่วนเก็บของ หรือช่วยบางอย่างเท่าที่จะช่วยได้แต่ถูกปฏิเสธ เพราะท่านต้องการจะช่วยพระองค์เอง ส.ณ.วิ.ก็จนใจและกลับมาที่กลดของตน
    รุ่งเช้าสมเด็จฯ ทรงสั่น เพราะผ้าจีวรและข้าวของใช้เปียกหมด ส.ณ.วิ. รีบเข้าไปจัดการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าก่อไฟเพื่อถวายสมเด็จฯ ได้ผิงบิดผ้าจีวรขึงสายระเดียง นำผ้าที่เปียกออกผึ่ง สมเด็จฯ ผิดไปได้รับความอุ่นได้บอกขอบใจสมเณรวิริยังค์ ส.ณ.วิได้เห็นภาพของสมเด็จฯ กำลังนั่งผิงไฟซึ่งมีแต่สบงและอังสะชุ่มๆ รู้สึกสงสารอย่างจับใจ ส.ณ.วิ. พยายามตะช่วยเหลือพระองค์ทุกๆ อย่างเท่าที่จะทำได้ แต่สมเด็จฯกลับสดชื่นไม่แสดงถึงความหดหู่ใจแต่อย่างใด แสดงว่าพระองค์มีใจเข้มแข็งมากน่าอัศจรรย์แท้ สมเด็จฯ ทรงสุขสบายในกุฏิใหญ่โตที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร แต่ทรงมานั่งทุกข์ทรมานหนาวเหน็บผิงไฟไม่มีใครดูแล มีเพียงเราและพระอาจารย์ซึ่งเป็นการแปลกที่สุด ขณะนั้นพระอาจารย์กงมาได้เข้ามาดูแลสมเด็จฯ ด้วย สมเด็จฯ ชักสงสัยว่าเอพวกเธอไม่เห็นมีใครเปียกปอนจากฝนตก มีอะไรป้องกันหรือทั้งๆ ที่กลดก็มีเหมือนกัน แต่กันฝนไม่ได้ สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามพระอาจารย์กงมาว่า "กงมาทำไมเธอจึงไม่เปียก" "กระผมมีคาถากันฝนครับ" พระอาจารย์กงมาตอบ "เอ กงมามีคาถากันฝน" สมเด็จทวนคำ เมื่อธุดงค์ได้พอสมควรแล้ว พระอาจารย์ก็ได้นำสมเด็จฯ กลัววัดทรายงาม ส.ณ.วิ.กลัวว่าสมเด็จฯ จะป่วนเพราะอายุมากแล้ว แต่พอกลับถึงวัดทรายงามพระองค์กลับกระปรี้กระเปล่าสบายและสดชื่น เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ แต่สมเด็จฯ ยังไม่หายสงสัยว่าทำไมพวกเรามีคาถากันฝนได้ แต่ไม่ยักบอกพระองค์ท่านปล่อยให้พระองค์ท่านเปียก วันหนึ่งขณะที่ ส.ณ.วิ.เข้าไปกราบ สมเด็จฯ จึงเรียก ส.ณ.วิ. ว่า "วิริยังค์มานั่งที่นี่" ส.ณ.วิ.รีบเข้าไปกราบ สมเด็จฯ ได้รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า "วิริยังค์ เธอจงบอกคาถากันฝนให้เราทีได้ไหม" ข้าพเจ้าตอบว่า "กระหม่อมบอกถวายไม่ได้ครับ" "ทำไมล่ะเณร" สมเด็จถาม ส.ณ.วิ. กราบทูลว่า พระอาจารย์ห้ามไม่ให้บอก "เออน่า จงบกคาถานั้นแก่เราเดี๋ยวนี้" สมเด็จฯ รับสั่งเชิงบังคับ ส.ณ.วิ. จึงบอกความจริงแก่สมเด็จฯ ว่า "บาตรคือคาถากันฝน" "เฮ้ย บาตรเป็นคาถากันฝนได้ยังไง" สมเด็จฯ ทวนคำ "ได้ครับ" ส.ณ.วิ.กราบทูลและอธิบายว่า "เมื่อฝนตกก็เอาผ้าจีวรสบงผ้าที่ต้องการใช้ใส่ลงในบาตร แล้วเอาฝาบาตรปิด ฝนก็ตกเข้าไปในบาตรไม่ได้ เวลาฝนหยุดก็เอาออกมาใช้ ผ้าไม่เปียกนี่ครับคาถากันฝนครับ " สมเด็จฯ ทรงอุทานว่า "อ้อๆๆ บ๊ะแล้วกัน เราเพิ่งจะได้คาถากันฝนกับเณรเดี๋ยวนี้เอง กงมาช่างไม่บอกกันได้" แล้วก็ทรงพระสรวลเสียนาน
    ประมาณการมาพักอยู่ที่วัดทรายงามกว่า ๑๕ วัน เมื่อมาทราบภายกลังว่า สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเสด็จมาเพื่อสอบสวนหาความจริงจากพฤติการณ์ของ พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ พระอาจารย์ในคณะกรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นการสอบสวนที่พระองค์ต้องลงทุนด้วยกำลังความสามารถ และมีพระประสงค์ทราบข้อเท็จจริง ไม่เฉพาะแต่บุคคลมาทูลฟ้องแล้วเชื่อไปเลย ซึ่งจะทำให้เสียประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในวิธีการปกครอง แต่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นนอกจากจะรู้ความจริงแล้ว ยังมีผลต่อการปกครอง แต่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นนอกจากจะรู้ความจริงแล้ว ยังมีผลต่อการปกครองเป็นอย่างยิ่ง เป็นการดำเนินการถูกต้องที่สุด ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง แต่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นนอกจากจะรู้ความจริงแล้ว ยังมีผลต่อการปกครองเป็นอย่างยิ่ง เป็นการดำเนินการถูกต้องที่สุด ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง เช่น พระอาจารย์กงมาและข้าพเจ้าเมื่อทราบข้อเท็จจริงภายหลังก็มีความรักและเคารพพระองค์สูงขึ้นทุ่มเทกำลังกยกำลังใจช่วยงานพระพุทธศาสนาเท่าที่พระองค์จะสั่งการมา การกระทำของสมเด็จฯ ครั้งนี้ได้ผลระยะยาวจริงๆ ทุกปีข้าพเจ้าจะเห็นพระอาจารย์นำผลไม้เมืองจันทบุรีไปถวายที่กรุงเทพฯ ซึ่งการกระทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจากพระเลขาบ้าง พระผู้อยู่ใกล้ชิดบ้าง พระผู้ประจบสอพลอบ้าง รู้มางูๆ ปลาๆ ก็เพ็ดทูลบอกกล่าวฟ้องไป จึงเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น ผู้ใหญ่ผู้ปกครองก็ได้รับการดูถูกดูแคลน ผู้อยู่ใต้ปกครองก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งๆ ที่ช่วยอย่างสูงสุด กลับไม่ได้รับการดูแล ก็ไม่รักเคารพพระผู้ใหญ่ เพราะปกครองไม่ดี เอาแต่ถือตัวว่าใหญ่ แล้วก็มองผู้น้อยไปในทางต่ำเกินไป เสียการปกครองหมด เสียบุคคลากรที่มีความสามารถช่วยงานพระศาสนา เพราะเหตุแห่งความไม่รอบคอบ หากว่าพระเถระ มหาเถระทั้งหลายจะพึงดำเนินงานตามแนวของสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ที่ทรงสอบสวนพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ดังที่ข้าพเจ้าได้บันเล่ามานี้ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะสูงขึ้นและสูงขึ้น เพราะความที่ผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครอง เข้าใจซึ่งกันและกัน ด้วยประการฉะนี้
    เป็นอันว่าทุกๆ ข้อที่มีพวกฆราวาสและพระฐานันดรศักดิ์น่าเชื่อถือได้ทั้งนั้น มาเพ็ดทูลฟ้องต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงแสวงหาความจริงด้วยการเสียสละอย่างสูง ได้พบความจริงที่แน่แท้ด้วยความพยายามอย่างลึงซึ้งด้วยพระองค์เอง โดยการเข้าสัมผัสกับข้อเท็จจริงทุกๆ ข้อ แม้จะมีผู้มาเพ็ดทูลอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อต่อไปอีกแล้ว ได้ผลการปกครองและแก่พระพุทธศาสนาระยะยางอย่างแท้จริง พระอาจารย์กงมาฯ ไดสั่งกับข้าพเจ้าว่าเธอจงรักและเคารพสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชอย่างมากและอย่างสูงสุด คำสั่งนี้แม้พระอาจารย์ของข้าพเจ้าจะมิได้สั่งข้าพเจ้าเองก็จารึกอยู่ในความทรงจำ สามารถที่จะสละชีวิตถวายพระองค์ท่านด้วยความเต็มใจ เพียงแต่กระซิบเท่านั้น จะให้ข้าพเจ้าทำอะไรที่พระองค์ท่านประสงค์ ข้าพเจ้าจะพลีชีพถวายท่านอย่างไม่มีความขัดข้องเลย ส่วนพระเถระที่แสดงอำนาจบาทใหญ่แก่ข้าพเจ้านั้น อย่าว่าแต่จะสั่งงานให้ข้าพเจ้าทำและก็ไม่อยากจะทำแล้วยังกราบไม่ลงอีกด้วย ด้วยเหตุอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขออำนาจแห่งสัจจธรรม จงดลบันดาลให้ท่านพระเถระในวงการพระพุทธศาสนาบักเกิดพระมหาเถระผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรมเช่นกันด้วยกับสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ามากๆ องค์ทุกยุคทุกสมัยด้วยเถิด​

    จากหนังสือ " ชีวิตคือการต่อสู้ : ประวัติและผลงาน พระราชธรรมเจติยาจารย์ ( หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร )"
    โดย พระมหาสุพล ขันติพโล และคณะ
    Update ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖

    ʁധ??Ðʑ??Ò?਩Ҡ?Á˅ǧǪԃ?ҳǧȬ Ǒ??ǃ?ԠLj?젷ç?稁Ҋ׺?鍠?稨Ô?

    คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน[​IMG]
    [​IMG]
    หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
    จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
    วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี
    [​IMG]
    พรรษาที่๑-๓ (พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๒)
    จำพรรษาที่วัดทรายงาม ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง
    จังหวัดจันทบุรี
    วัดทรายงามตั้งอยู่บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เหตุที่ได้ชื่อว่า วัดทรายงาม ก็เพราะเหตุที่พื้นที่ในบริเวณวัดเป็นทรายขาวคล้ายสำลีงดงามมาก พระอาจารย์กงมา จึงอาศัยเครื่องหมายนี้ตั้งเป็นชื่อของวัด
    วัดนี้มีเนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๖๓ ตารางวา ทิศเหนือติดกับโรงเรียน ทิศใต้ติดต่อกับที่นายจู๊ด วิธีเจริญ ทิศตะวันออกติดต่อกับที่นายฉง บุญสร้าง ทิศตะวันตกติดกับถนนหลวง
    ชาวบ้านผู้ที่อาสาจะไปนิมนต์พระอาจารย์กงมา มาอยู่ที่วัดทรายงาม มีนายเสี่ยน, นายหลวน, ผู้ใหญ่อึก, นายจิ๊ด, นายซี่, นายแดง รวมเป็น ๖ คน เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ปี พ.ศ. ๒๔๗๙
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ประตูทางเข้าวัดทรายงาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อได้พบกับท่านอาจารย์กงมา ก็เข้าไปนิมนต์ ท่านอาจารย์จึงพูดขึ้นว่า
    “ให้พวกโยมอธิษฐานดูเสียก่อน ถ้าดีก็มารับ ถ้าไม่ดีก็อย่ามา ให้พากันกลับไปเสียก่อน ให้ไปเสี่ยงความฝัน ถ้าฝันดีคอยมารับ ถ้าฝันไม่ดีก็อย่ามา”
    ในขณะนั้นนั่นเองนายหลวนก็พูดขึ้นว่า
    “ท่านอาจารย์ขอรับ กระผมฝันดีมาแล้ว ฝันก่อนจะมาเมื่อคืนนี้ คือฝันว่าได้ช้างเผือกสองตัวแม่ลูก รูปร่างสวยงามมาก แต่เมื่อเอามือลูบคลำเข้าแล้ว ช้างเผือกสองแม่ลูกเลยกลับกลายเป็นไก่ขาวไป”
    ท่านอาจารย์ได้สดับเช่นนั้น นั่งนิ่งพิจารณาว่า
    “เออ! ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเราก็ตอบตกลงที่จะไปบ้านหนองบัว วันพุธขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ มีนาคม (๒๔๗๙) ให้มารับ”
    เมื่อถึงวันที่กำหนดชาวบ้านก็พากันมารับ ๔ คน คือ นายสิงห์, นายแดง, นายซี่, นายเสี่ยน
    ถึงเวลาบ่าย ๔โมงตรง ไปกัน ๒ รูป คือพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ กับสามเณรอีกหนึ่งองค์ เมื่อมาถึงแล้วได้เข้าพักที่ป่าช้าผีดิบ (วัคทรายงามปัจจุบัน) ญาติโยมทั้งหลายที่รออยู่ได้กุลีกุจอพากันทำกระท่อมพอได้อาศัย พอตกเย็น ๆ มีคนพากันมาฟังเทศน์เป็นจำนวนมาก เมื่อท่านแสดงธรรมเสร็จทุกคนพากันเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
    อัศจรรย์โก่ขาว
    ขอย้อนกลับไปเรื่องไก่ขาว ที่โยมหลวนเป็นคนฝัน แกฝันว่าได้ช้างเผือก ๒ เชือก แม่ลูก เมื่อลูบคลำแล้ว กลับกลายเป็นไก่ขาวไป
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เรื่องความฝันน่าจะเป็นเรื่องเล่น แต่ถ้าความฝันกลายเป็นความจริงขึ้นมาแบบเป็นตัวเป็นตนนี้ความฝันนั้นมันก็นาอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย เรื่องไก่ขาวตัวนี้ก็เช่นกัน ทำให้ชาวบ้านทั้งพระทั้งเณรพากันแตกตื่น เหมือนกับทุกคนจะบอกว่า มันแปลกดีนะ
    ไก่ขาวตัวนี้เป็นไก่ของเจ๊กเบ๊ ห่างจากป่าช้าที่พระอาจารย์กงมาพักระยะทาง ๑ ทุ่งนา และต้องข้ามไปอีก ๑ ดอน (ประมาณ ๑ กม.) ในบ้านเจ๊กเบ๊นั้นมีไก่เยอะแยะ คืนวันที่พระอาจารย์กงมา มาถึงป่าช้าผีดิบ ก็เป็นวันเดียวกันกับที่เจ้าของไก่จะจับมันไปต้มยำมาเลี้ยงพระในตอนเช้า เจ๊กเบ๊เข้าไปไล่ตะลุมบอนจับมันในเล้า ตัวไหนก็ไม่เอา กะจะเอาตัวนี้มันอ้วนพีดีนัก เล้ามันสูงจับยังไงก็ไม่ได้ มันหนีตายสุดฤทธิ์ ในที่สุดเจ๊กเบ๊หมดความพยายาม คิดไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะเอาใหม่ คือจะฆ่าด้วยวิธีใหม่ กลางคืนฆ่ายาก จะพยายามฆ่ากลางวันแสก ๆ ด้วยการยิงเป็นต้น พอคิดอย่างนี้เสร็จก็เข้านอนเพราะความเหนื่อยล้าที่ไล่ฆ่าไก่ขาวไม่ได้
    พอวันรุ่งขึ้นวันใหม่เท่านั้นแหละไก่ขาวตัวนั้นก็ได้ขันแต่เช้ากว่าเพื่อนเหมือนจะระบายอะไรบางอย่างที่อัดอั้นตันใจ ที่เขาเลี้ยงมาใช่อื่นใดนอกจากฆ่า สัตว์อื่นนอกจากเรานี้หนาไม่มีสัตว์อะไรที่จะซวยเท่า คือเขาเลี้ยงดีอย่างไร ก็เพื่อฆ่าแกงเท่านั้น เพื่อนที่ซวยที่อยู่ไม่ไกลนักอยู่ข้างคอกใกล้เคียงก็คือหมู ตอนเล็กๆ เจ๊กเขาก็เลี้ยงดีเหมือนกันกับเรา แต่พอโตขึ้นอ้วนๆ หายไปทุกที สงสัยไปตาย คิดอย่างนี้ไก่ขาวก็จิตใจไม่ดี เดินกระวนกระวายระมัดระวังภัยในวันนี้เป็นพิเศษเพราะ เมื่อคืนนี้รอดมาได้ วันนี้อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น คิดๆ เสร็จก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารแต่เช้ามืด เพื่อตุนเอาแรง พร้อมๆ กับความไม่มั่นใจในการลอบหนีออกจากบ้าน
    พอได้เวลาอรุณรุ่ง มองเห็นพอสลัวๆ แต่พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร เป็นเวลารำไร เมื่อพระอาทิตย์อุทัยส่องแสง ไก่ขาวก็รีบขัน กระโจนพุ่งโบยบินออกจากเล้า บินร่อนไปจับกิ่งไม้ขันไปเรื่อยๆ แต่มันไม่ไปที่อื่น มันดันตรงมาที่ชายวัดที่ท่านอาจารย์กงมาอยู่พอดิบพอดี เจ้าของคือเจ๊กเบ๊... ก็ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด พยายามไล่จับและไล่กลับ ไล่มันกลับไปที่บ้านตัวเองได้ถึง ๓ ครั้ง ๓ หน
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ศาลาเก่าวัดทรายงาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ครั้งที่ ๓ นี้มันสำคัญมาก ที่จะต้องจารึกไว้ในชีวประวัติของไก่ขาวตัวนี้ มันหนีมาแล้วบุกตะลุยแหวกผู้คนมาถึงกุฏิท่านอาจารย์กงมาเลยทีเดียว เจ๊กเบ๊ก็ไม่กล้าเข้าไปตาม มันก็อยู่ที่นั่นไม่ไปที่ไหนเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ท่านอาจารย์ หากินอยู่ที่นั่น นอนอยู่ที่นั่น แสดงถึงความเป็นผู้เจอะเจอที่สัปปายะ คนทั้งหลายก็มาดูมันอยู่ที่นั่น
    อยู่มากันหนึ่งท่านอาจารย์ย้ายไปนอนกุฏิอื่นเจ้าไก่ขาวมันก็ตามไปด้วยท่านย้ายไปหลังไหนวันไหน มันก็ย้ายตามไปหลังนั้นวันนั้นเหมือนกัน เป็นอย่างนี้อยู่โดยตลอด ท่านอาจารย์สั่งสอนให้มันขึ้นไปนอนบนต้นไม้ต้นไหน มันก็ขึ้นต้นนั้น บอกให้หยุด...มันก็หยุด! บอกให้เดิน...มันก็เดิน! มันทำให้ท่านรักสงสารเหมือนมันรู้ภาษาท่านพูด
    เมื่อท่านอาจารย์อ่านหนังสือวินัย เจ้าไก่ขาวก็ไปอยู่ข้าง นั่งอยู่ข้าง ๆ นอนอยู่ข้าง ๆ อย่างน่าอิจฉา มันเหลือบตามองบ้างดูบ้าง ดูหนังสือที่ท่านจับอยู่นั้น คนทั้งหลายก็เฮฮากันมาดู ต่างก็พูดว่า “ไก่ตัวนี้มันเป็นอะไร”
    ครั้นต่อมาอีกไม่นานนัก คนทั้งหลายก็เที่ยวล้อเล่นกับมัน หลอกมันต่าง ๆ นานา ด้วยความน่ารัก มันก็ชักจะรำคาญจึงเกิดการเตะตีคนขึ้น เป็นอันว่าใครมากวนมัน มันเตะเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น
    ศาลาหลังเก่าวัดทรายงาม
    เด็กน้อยเด็กเล็กมากัด มาเล่นกับมัน มันเตะหมด ไม่มีใครกล้าทำอะไรมันเพราะมันเป็นไก่ท่านอาจารย์ไปแล้ว มันเตะคนก็อันตรายเพราะเดือนมันยาวๆ
    ทายกทายิกาทั้งหลายภายในวัด จึงพากันคิดจะตัดเดือยมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่คน แต่เรื่องนี้เจ้าไก่ขาวมันคงคิดว่าเกิดอันตรายแก่มันในที่สุดมันถูกตัดเดือย ถูกตัดความเป็นผู้กล้าของมันออก
    “แหม่... มันโมโหเป็นวรรคเป็นเวร โกรธจัดเหลือกำลัง วิ่งไปขันไปทั่วๆ บริเวณวัด มันแหกปากร้องจนน่ารำคาญ แต่ไม่ทำลายสิ่งของ ขี้ก็ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ขี้เป็นที่เป็นทางดี แต่มันไม่ยอมเล่นกับใคร ๆ ไม่ปันใจให้ใครอีกต่อไป”
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระอุโบสถวัดทรายงาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ในที่สุดเมื่อคนไล่มัน เล่นกับมันมากเข้า ไม่สงบ มันจึงไม่มาถิ่นแถวที่คนอยู่อีกต่อไป ไปอยู่ตัวเดียว หากินอยู่ตัวเดียว อยู่เดี่ยว ๆ เดียวดาย สงัดกาย สงัดจิตที่ศาลามุงกระเบื้องไกล ๆ โน้น เมื่อมันไปอยู่ที่ไกลๆ คนก็ตามไปกวนล้อเล่นกับมันอีก เพราะมันน่ารักตัวใหญ่ เป็นไก่โอก เป็นไก่เชื่อง ๆ
    ในที่สุดมันรำคาญมนุษย์มากเข้าก็ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเจ๊กเบ๊ด้วยความเศร้าสร้อยเหงาหงอย เดินคอตก มันเดินไปมองดูก็รู้ว่ามันคอตก ๆ เป็นไก่เศร้าขาดความอบอุ่น เสียความรู้สึกที่ดี ๆ กับคนมาวัด แล้วก็ไม่เดินทางกลับมาอีกเลย มันคงคิดได้ว่า “ถึงแม้เราจะอยู่ที่ใด เขาก็คงไม่คิดว่าเราเป็นคนดอก เขาคงเห็นเราเป็นไก่ ตายเกิดเอาชาติใหม่ดีกว่า มนุษย์นี้นอกจากจะยุ่งกับตัวเองก็ยังไม่พอ ยังมายุ่งกับเราส่งเป็นไก่ ไม่มีสัตว์ประเภทใดที่จัดทำให้มนุษย์พอใจในการละเล่น มนุษย์นี้เป็นเหมือนสัตว์ที่เป็นโรคประสาท เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย อีชอบอีก็ชม อีชังอีก็แช่ง ขนาดเราเป็นไก่ยังอดทนไม่ได้ มนุษย์เล่า! จะทนกันและกันได้อย่างไร?”
    เรื่องไก่ขาวนี้ ทำให้ฆราวาสญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์กงมา เปลี่ยนแปลงไปเยอะ บางคนถึงกับเลิกคิดจะฆ่าสัตว์ตลอดชีวิต บางคนตั้งสัจจะอธิษฐานจะรักษาศีลตลอดชีวิต บางคนก็เสียใจในสิ่งที่ตนได้กระทำกับไก่ไว้ แสดงอาการรู้สึกผิด แต่สำหรับบางคน มาดู ๆ แล้วก็ไป เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกง เรื่องไก่ขาวยังไม่จบ แต่กลัวจะยาวเกินไปจึงขอจบเพียงแค่นี้
    น่าอัศจรรย์! น่าอัศจรรย์จริงๆ ความฝันกลายเป็นความจริง ก็คือโยมหลวนทำไมฝันได้แม่นยำอะไรขนาดนั้น ฝันว่าได้ช้างเผือก ๒ เลือกแม่ลูก อันหมายถึง พระอาจารย์กงมากับสามเณร แล้วเมื่อลูบคลำไปมา ช้างเผือกกลับกลายเป็นไก่ขาว และในที่สุดไก่ขาวตัวนั้นก็มาจริง ๆ ชนทั้งพลายที่รู้เรื่องนี้ก็อัศจรรย์ไปตาม ๆ กัน
    และเรื่องไก่ขาวนั้นยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า “ชะรอยจะมีบุคคลผู้มีบุญวาสนาเข้ามาบวช มาเกิดที่วัดทรายงาม จนกลายเป็นพระที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนดั่งขนของไก่ขาว และมีจิตใจอาจหาญในธรรมเหมือนไก่ขาวที่ไม่กลัวความตาย ไก่ขาวนี้น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี และไก่ขาวตัวนี้อาจจะกลายเป็นช้างเผือกตัวขาวตลอดในวงการพระพุทธศาสนา”
    ช้างเผือกกลับกลายเป็นไก่ขาว
    เรื่องช้างเผือกกลายเป็นไก่ขาวบางคนเขาก็ว่า “ท่านอาจารย์กงมาต้องมาได้ลูกศิษย์ดีที่นี่” แต่มันก็แปลกตรงที่ว่า ในขณะที่ท่านอาจารย์กงมามาสอนธรรมะที่ป่าช้าผีดิบ (วัดทรายงามปัจจุบัน) นั้นตอนนั้นเราก็ไม่รู้เรื่องอะไร เป็นหนุ่ม ๆ อยู่ รักสนุกทางโลกอยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าภิกษุที่เข้ามาบวชรูปแรก ถ้าจะนับในบรรดาพระทั้งหลายแล้ว เราเป็นองค์แรกที่บวชแล้วเข้ามาอยู่วัดทรายงาม มันประจวบเหมาะบันดลบันดาลใจให้บวชในขณะนั้น ทั้งที่อะไร ๆ ก็ไม่ค่อยอำนวย ไก่ขาวกลับกลายเป็นช้างเผือกที่วัดทรายงามจึงเกี่ยวข้องกับเราทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เราออกบวชแล้ว คนหนองบัว ออกบวชกันตาม ๆ มามาก เช่น ท่านถวิล (พระอาจารย์ถวิล ท่านแบน (พระอาจารย์แบน) ฯลฯ
    หลวงตามหาบัวพูดถึงชาวบ้านหนองบัว
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงตามหาบัวกับหลวงปู่เจี๊ยะ ในงานบุญครบรอบ ๕๐ ปีท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพ ณ วัดบ้านหนองผือ จ.สกลนคร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    หลวงตามหาตัวพูดถึงหลวงปู่เจี๊ยะ ที่สวนแสงธรรมตอนหนึ่งว่า.....
    ท่านอาจารย์เจี๊ยะ บวชตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์กงมาไปสร้างวัดทรายงาม พอบวชแล้วท่านก็อยู่ที่นั่นได้ไม่กี่ปี ก็ไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ ออกจากเชียงใหม่ หลวงปู่มั่นก็ถูกนิมนต์ไปอุดรฯ ท่านอาจารย์เจี๊ยะก็ติดตามหลวงปู่มั่นไปอุดร ฯ หลวงปู่มั่นไปสกลนคร ท่านก็ติดตามไปสกลนคร เรา (หลวงตา) จึงพบท่านทีแรกที่สกลนคร
    ท่านอาจารย์เจี๊ยะท่านไม่ค่อยเรียนอะไรมากมายนะ พอบวชแล้วก็ออกปฏิบัติเลยเชียว เล่าเรียนก็เล่าเรียนธรรมดา ไม่ใช่เพื่อสอบอะไร พ่อท่านเป็นคนจีน แม่ท่านเป็นคนไทยอยู่ที่หนองบัว
    ตำบลหนองบัวทรายงามนี้รู้สึกว่าไม่ธรรมดานะ มีคนนิยมออกบวชปฏิบัติเยอะมาก อาจารย์เจี๊ยะนี้ท่านเป็นคนหนองบัวทรายงาม และมีท่านแบน (พระอาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์) มหาเข็มที่อยู่วัดป่าคลองกุ้ง พระครูสันฯ ท่านถวิลฯ หนองบัวทรายงามนี้มีคนออกบวชเยอะ ถ้าจะเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ทั่วประเทศไทยแล้ว ตำบลอื่นๆ สู้หนองบัวทรายงามไม่ได้ ออกบวชมาก แล้วท่านเหล่านี้ยังสามารถเป็นหลักปฏิบัติได้ คือหลักทางข้อปฏิบัติทางด้านจิตใจอันเป็น
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงตามหาบัวกับหลวงปู่เจี๊ยะ ที่สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย ๓
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ส่วนภายใน แล้วคนถิ่นแถวนี้ฉลาดด้วยนะ ฉลาดมาก คือครูบาอาจารย์องค์ไหน ที่โลกเขาเห็นว่าสำคัญ ๆ พระทางจันทบุรีไปถึงก่อนแล้ว เราจึงสังเกต เอ!... คนจันท์ฯ ฉลาดไม่ใช่เล่น ๆ นะ
    วัดป่าคลองมะลิ วัดยางระหง ก็สายปฏิบัติเหมือนกัน ท่านอาจารย์ลี วัดอโศการาม ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรานะ แล้วก็สืบสายมาเรื่อย ๆ พระจันท์ ฯ จึงมักจะไปอยู่แถวโน้น ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่สำคัญ ๆ พระทางจันท์ ฯ จะมีอยู่ด้วยประจำ ๆ เพราะท่านตั้งใจจริง ๆ เสาะแสวงหาครูอาจารย์จริง ๆ วัดป่าบ้านตาดดูเหมือนไม่ต่ำกว่า ๕ องค์นะ แล้วมีมาประจำตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมา พระที่จันท์ ฯ ไปอยู่นู้น!... สับเปลี่ยนกันไปมาอยู่นู้น ไม่เคยขาดนะวัดป่าบ้านตาด ท่านพักก็อยู่กับเราที่นี่ แต่พอโยมแม่ท่านป่วย เราก็ให้ท่านไปอยู่ที่วัดเขาน้อยสามผาน เพื่อดูแลโยมแม่ เพราะไม่มีใคร
    พรรษาที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๐)
    หลบนอน
    ในพรรษาแรกที่บวชนี้มีพระร่วมจำพรรษา ๕ รูป สามเณร ๑ รูป คือ
    ๑. พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ท่านเป็นชาวจังหวัดสกลนคร
    ๒. พระสังข์ เตมิโย ท่านเป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์
    ๓. พระทองปาน มหาอุตฺสาโห ท่านเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี
    ๔. พระเจี๊ยะ จุนฺโท (เราเอง) เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี
    ๕. พระอ๊อด โอภาโส เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี
    ๖. สามเณรวิริยังค์ บุญฑรีย์กุล เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงตามหาบัวกับหลวงปู่เจี๊ยะที่วัดป่าบ้านตาด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อเราเข้ามาบวชแล้ว ก็เราเป็นคนหนุ่มนะ อย่างที่ว่าพรรษาแรกๆ ก็ขี้เกียจ เอะอะก็จะหลบไปหลับนอน พอมาถึงกลางๆ พรรษาหรือยังไงก็จำไม่ค่อยได้ ก็มานึกตำหนิตนเอง เอ๊ะ!....เรากินข้าวชาวบ้านแล้ว ทำไมเราถึงมาขี้เกียจอย่างนี้นะ มันเหมาะสมแล้วหรือสำหรับเพศนักบวชที่เสียสละบ้านเรือนออกมาบวช แต่ก่อนเราเคยทำงานหนักๆ ทำการแจวเรือทั้งวันทั้งคืน เราแจวได้ ทำได้ แล้วเวลานี้ล่ะ เรามาเป็นพระเป็นนักบวช แล้วทำไม ทำไมมาขี้เกียจอย่างนี้ สิ้นท่าอย่างนี้ พระแบบเรานี้จะต่างอะไรกับฆราวาสหัวดำๆ ที่ขี้เกียจขี้คร้านทำมาหาเลี้ยงชีพ เราทำแบบนี้มันสมควรแล้วหรือที่ญาติโยมเขากราบไหว้บูชา ว่าเป็นพระผู้ทรงเพศอันประเสริฐ ใครๆ เห็น เขาก็หลีกทางให้ มีอะไรเขาก็หามาให้กิน ในที่สุดมันก็ด่าตัวเองในใจ คือด่าตัวเองในใจดังๆ
    “ไอ้ห่า!...มึงเป็นพระให้เขากราบไหว้ แล้วมึงภาวนานั่งสู้ญาติโยมแก่ๆ ไม่ได้ แล้วมึงจะมาบวชทำไม”
    เมื่อตำหนิกาย วาจา ใจ ของตนที่ไม่เอาไหนได้อย่างนั้น มันก็มีความฮึดฮัดที่จะต่อสู้ หาทางต่อสู้กับฝ่ายต่ำที่ทำให้ขี้เกียจอ่อนแอไม่เอาไหน นั่งภาวนาพุทโธ เอาจริงเอาจังให้รู้เช่นเห็นชาติตนว่า ก่อนบวชที่ว่าตัวเองแน่ๆ ไม่ยอมถอยให้ใครๆ มาบัดนี้จะมาถอยให้กิเลสแบบง่ายๆ หมดทางต่อสู้ แบบนี้ถ้าจะเรียก ก็เรียกได้ว่านักเลงกระจอกงอกง่อย เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สมควรแล้วละหรือที่เราจะมาภูมิใจกับการเป็นคนจริงแบบปลอมๆ ที่แท้ก็เก่งแต่การโอ้อวดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย
    “เอาละวะ...” มันคิดขึ้นมาภายใน “เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย อยู่เป็นอยู่ พระพุทธเจ้าทำอย่างไร เราจะทำอย่างนั้น พระสาวกท่านปฏิบัติเคร่งครัดอย่างไร เราจะเคร่งครัดอย่างนั้น” นี่ ใจมันเริ่มสอนใจตนเองขึ้นมาแล้วทีนี้
    นอกจากจะนั่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ลดละความพากเพียรพยายามแล้ว ยังมีเดินจงกรม พยายามเดินจงกรมอย่างที่ท่านอาจารย์กงมาท่านสอน เดินเข้า เดินเข้า ทุกๆ วัน ทุกๆ คืน ใจมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ใจมันก็สงบลง บางทีเดิน ๓-๔ ชั่งโมง ทางจงกรมแหลก แดดเปรี้ยงๆไม่มีถอย ไม่เลือกกาลเวลา ทางจงกรมที่เราเดินยาวเส้นหนึ่ง (๒๐ วา) นี้แหละพรรษาที่หนึ่งทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอด
    ฉะนั้น การสร้างความดีใครว่าไม่ต้องลงทุนลงแรง คนนั้นแหละพูดแบบโง่ๆ เพราะมันไม่เคยสร้างคุณงามความดี การสละชีวิตเพื่อความดี อันเป็นเลิศอย่างนี้ เรียกว่าไม่ลงทุนลงแรงหรือ? อย่างนี้ต่างหาก เรียกว่าลงทั้งทุนลงทั้งแรง แบบไม่ออมมือ แบบทุ่มไม่ให้กำลังเหลือ
    จงกรมเหมือนตัวจะลอย
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    สระน้ำใกล้กับกุฏิหลวงปู่เจี๊ยะ ที่วัดทรายงาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ก็พยายามสอนตัวเองด้วยอุบายต่างๆ นานาว่า “สมบัติพัสถานข้าวของเงินทองเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาตายเห็นมั้ยได้อะไรไปบ้าง”
    เพราะฉะนั้นพระที่ไปชักผ้าบังสุกุล ไม่ใช่ไปชักเอาสตางค์ อนิจฺจา วตสงฺขารา สังขารเป็นอย่างนี้ไม่เที่ยง ตายเหมือนกัน นั่น...จงพิจารณาเพราะเป็นอย่างนั้น
    แต่ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนั้น มันเพลินอย่างอื่นนะ มันไม่คิดย้อนกลับมา มันก็ไม่เป็น อนิจฺจา วตสงฺขารา เพราะฉะนั้นจึงว่า ถ้าเราทำจิตใจให้อยู่กับพุทโธ นานๆ เข้า หลายๆ วัน หลายเดือน เป็นปีขึ้นไป ทีหลังก็จะติด ไปไหนใจก็พุทโธๆ อยู่เรื่อย ใจก็ติด แน่ะ...เราก็ลุยใหญ่
    ว่าพุทโธแล้ว ถ้าใจยังไม่สงบ ก็เดินว่ามันอย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ จนมันสงบ บางคราวมันจะลอย เคยอยู่ครั้งมันจะลอยให้ได้ ลอย... ลอย...ลอยสิ ลอย... ลอย เอาลอยสิ... ก็ขย่มขึ้นไปอีก มันไม่ลอยขึ้นซักที มันเพลินเดินสนุก เดินกันเป็นชั่วโมงๆ เหงื่อแตกซิกไปหมด เป็นหลายชั่วโมง แน่ะ... เดินจงกรมสงบ โอ๊ย...มันดีจัง...เพราะฉะนั้น พอมันเป็นอย่างนี้ พอใจได้รับความสุขมันก็ติดใจๆ มาเรื่อยๆ
    การภาวนาในระยะนี้ก็ยังไม่สม่ำเสมอ คอยแต่จะหลับอยู่เป็นประจำ มันขี้เกียจ เพราะเรายังไม่มีใจให้ทางนี้มากนัก แต่มันก็มีความละอายภายในใจลึกๆ ที่เราเป็นพระทั้งองค์แต่กลับขี้เกียจขี้คร้านภาวนา ในขณะเดียวกัน ฆราวาสญาติโยมเขามีทั้งหน้าที่การงาน ยังสู้อุตสาห์ปลีกเวลามาทำ ไม่เห็นมีใครเขาบ่นกันอย่างนั้นอย่างนี้ เราเองซิ อยู่กับที่อยู่กับวัด นั่งเฝ้านอนเฝ้าพระประธาน นั่งเฝ้านอนเฝ้าครูบาอาจารย์พระธรรมคำสอน ศาลาวัดอยู่ แทนที่จะได้ดี ทำดีกว่าชาวบ้านร้านตลาดเขา แต่นี่กลับแย่กว่าเขาเสียอีก เราเองก็เป็นคนทั้งคนเหมือนพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกท่าน ท่านเหล่านั้น ก็ไม่ได้กินเหล็กกินไหลมาจากไหน ก็กินข้าวฉันข้าวเช่นเดียวกันกับเรานี่แหละ ทำไมท่านถึงได้ดีกว่าเรา ถ้าจะต้องโทษก็ต้องโทษเราซึ่งเป็นผู้ขี้เกียจเสียเอง
    ความขี้เกียจมันดีไหม? คนผู้มีปัญญาในโลกนี้เขาสรรเสริญคนขยันทั้งนั้น แล้วเรากลับมาขี้เกียจนั่งหลับอยู่ทำไม? ไม่อายศรัทธาญาติโยม ที่เขานั่งภาวนากันเต็มศาลาบ้างหรือ? การงานทางโลกที่ว่าหนักหนาเราก็ผ่านมาหมดแล้ว งานที่คนอื่นเขาไม่มีปัญญาทำได้ เราก็ทำมาแล้ว ทำไมการภาวนา เราจะทำไม่ได้ รู้ไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนี้ มันก็เจ็บลึกภายในใจ แล้วก็นึงขึ้นมาภายในใจว่า
    “กูบวชมากินข้าวชาวบ้านแล้วยังพาลมาขี้เกียจอีก”
    การภาวนาก็สู้โยมไม่ได้ มันเจ็บใจตัวเอง เดินเข้าไปกราบพระ ตั้งสัจจะอธิษฐานซ้ำอีกว่า
    “ถ้ามึงภาวนาไม่ได้ให้มึงตายซะ ถ้ามึงไม่มีสัจจะในตน ขอให้ฟ้าผ่า แผ่นดินสูบ น้ำท่วมตายซะ อย่ามีหน้ามาอยู่ดูโลกนี้อีกเลย”
    เมื่ออธิษฐานดังนี้แล้ว รู้สึกว่าใจมันคึกคักขึ้นมาทันที แสดงอาการตอบรับกับคำอธิฐานเช่นนั้น มันเหมือนกับมีอะไรๆ มาฉุดให้ใจกล้าแกร่ง หลังจากนั้นก็ภาวนาแบบสู้ตายถวายชีวิต ในที่สุดจิตมันก็รวม ตอนนั้นพวกโยมนั่งสมาธิกันมากที่วัดทรายงามประมาณ ๕๐-๖๐ คน
    เมื่อตั้งสัจจะแล้ว เริ่มภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน กลางวันนั่ง(ภาวนา) กลางคืนเดินจงกรม สละชีพเอาเป็นเอาตาย หมายไว้ในใจอย่างนั้น
    “เอาล่ะนะ คราวนี้เป็นคราวสำคัญ บุญบารมีที่สั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางไหนจงมาอุดหนุนด้วยเถิด”
    คิดไว้ภายในใจอย่างนี้ ในการภาวนาในครั้งเริ่มแรกนั้น ต้องบริกรรมภาวนาพุทโธอย่างเดียว ให้พุทโธเร็วๆ ไม่ให้จิตใจคิดอะไรอื่นได้ ไม่ต้องดูลมหายใจ ถ้ามัวดูลมหายใจจิตมันไม่เป็นสมาธิ
    ฝึกหัดภาวนาเอามันให้ได้ ฝึกหัดให้มันได้เป็น ๓ ชั่งโมงมันไม่ลุกจิตมันไม่ลง ไม่ยอมลุกแล้วมันไม่ลงได้อย่างไง พุทโธ โธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มันต้องลงให้เราซิ ก็ด่ามันเข้าซิ กุ้งมึงก็กิน ปลามึงก็กิน เป็ดมึงก็กิน น้ำพริก น้ำแกง น้ำอ้อยน้ำตาลกินทุกอย่าง ไอ้ห่า! มึงนั่งสมาธิให้กูไม่ได้หรือ มันต้องเอาอย่างนั้นซิ นี่! เราเอาอย่างนั้นทีเดียวได้เลย แม่ง...มึง! ๕ ชั่วโมงก็ไม่ออก ออกเป็นฟ้าผ่า แผ่นดินสูบ น้ำท่วมตาย ไฟไหม้ตาย ทีเดียวมันก็ไม่กล้าออก มันต้องบังคับเอา เราสร้างความดี ทีนี้มันขี้เกียจ โอ๊ย...เจ็บขา โอ๊ย..สู้ไม่ไหวแล้ว โอ๊ย...ไปแล้วครึ่งชั่วโมง เสร็จเรียบ แหมมันต้องสู้ซินะ นักสู้มันต้องสู้ซิ
    พอจิตเป็นสมาธิ มันสงบนิ่งเฉยเหมือนตัวนี่จะเหาะจะลอยได้อยู่บ่อยๆ เวลาเดินจงกรมเหมือนจะเหาะได้ จนพระมหาประเสริฐที่ไปอยู่ด้วยพูดว่า
    “เอ๊ะ... พระองค์นั้นมันเดินจงกรมยังไงวะ... แผ่นดินนี้แหลกไปหมดเลย... เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นใครเดินจงกรมอย่างนี้เลย”
    แผ่นดินที่เราเหยียบย่ำนั้น มันจะไม่แหลกไปได้อย่างไง ก็เล่นเดินจงกรมย่ำทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน แผ่นดินมันแหลกไปหมด ดินนั้นมันเป็นดินปนทรายๆ นิดหน่อย เช้าขึ้นมาใครๆ มาเห็นเข้า ก็พากันตกอกตกใจ “เอ๊ะ...ใครมันมาทำอะไรตรงนี้” เพราะไม่มีใครรู้ แอบๆ มาทำกลางคืนไม่ให้ใครเห็น การเข้าไปภาวนาแบบเรานี้ต้องมีความอดทนมาก จิตใจต้องหนักแน่น ที่สำคัญต้องรักษาสัจจะที่ตั้งใจไว้ยิ่งกว่าชีวิต เราทำ ทำจริงๆ ข้าวมันก็ไม่กิน มันอยากตายก็ให้มันตาย ถ้าภาวนาจิตไม่ลงรวม เป็นไม่ยอมต้องต่อสู้ ถ้าจิตยังไม่ลงอีก ยังอธิษฐานสู้เพิ่มความเพียรให้หนักเข้าไปอีกอีก ไม่ใช่จะถอยนะ มีแต่จะเดินหน้าฆ่ากิเลสคือความไม่สงบ
    จนมีบางคราวท่านพ่อลีท่านกลัวใจเรา จนท่านพ่อพูดว่า “ท่านเจี๊ยะนี่ใครไปยุ่งกับมันไม่ได้ เดี๋ยวมันฮึด ไม่ว่าเทวดา มันเอาหมด มันสู้หมด”
    พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๑)
    ถือเนสัชซิคือการไม่นอน
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ต่อมาพรรษาที่ ๒ แห่งการบวช เราถือธุดงค์ปฏิบัติว่าด้วยการไม่นอน ในกาลเข้าพรรษา ไม่นอนตลอดพรรษาเลยในเวลากลางคืน แต่ในเวลากลางวันนอนมั่งนะ แต่เราก็ตั้งสัจจะไว้ เรานั่งภาวนาในเวลากลางวันนี่ เราก็แบ่งนั่งหลับนิดหน่อยพอให้มีเรี่ยวแรง แต่ก่อนนั่งสมาธิต้องเดินจงกรมก่อน แล้วค่อยมานั่งสมาธิ ทำอย่างนี้วันละ ๓ หน เพื่อถวายพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และเพื่อเป็นอุบายในการภาวนา ด้วยการตั้งสัจจะว่า
    ข้าพเจ้าจะถือเนสัชชิตลอดทั้งพรรษา ในเวลาค่ำคืนไม่นอน ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ถ้าแม้นว่าข้าพเจ้าไม่ทำตามสัจจะอันนั้น
    ๑. ขอให้ฟ้าผ่าตาย
    ๒. ขอให้แผ่นดินสูบตาย
    ๓. ขอให้ไฟไหม้ตาย
    ๔. ขอให้น้ำท่วมตาย
    พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้...เอ้า!...ให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมาเลย
    ตัวสัจจะนี้แหละ ถือเป็นตัวสำคัญเลยนะ ผ่านก็ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็แสดงว่าวาสนาเรามีเพียงแค่นั้น ก็เป็นเครื่องแสดงเครื่องวัดจิตใจของคนนั้นๆ ได้เหมือนกันว่า แค่ไหนประมาณใด ถ้าตั้งสัจจะแล้วประพฤติได้ตามนั้นก็ถือว่าเยี่ยม เพราะสัจจะแบบนี้มิใช่ทำได้ง่ายๆ โดยส่วนมากแล้วจะล้มเหลวแบบไม่เป็นท่ากันทั้งนั้น เท่าที่สังเกต เวลาตั้งสัจจะก็สวยหรูอยู่หรอก แต่เวลาเอาเข้าจริงล้มแบบไม่เป็นท่า
    ๗ วันแรกที่เราเริ่มปฏิบัติด้วยการไม่นอน มันก็แย่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมานอนตลอดจนเป็นนิสัย แต่อยู่มาวันหนึ่งมาหยุดนอนเอาดื้อ ๆ ร่างกายก็แย่ ทำท่าหงุดหงิด จนถึงกับอุทานในใจว่า “ว้า! ไม่ไหว...ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้วโว๊ย”
    แต่ก็ยังดีที่เราก่อนจะทำสมาธิก็ได้เข้าไปตั้งสัจจะบังคับเอาไว้ เพราะความเป็นผู้ที่รักษาสัจจะ สัจจะนั้นจึงเป็นเหมือนโซ่ตรวนคอยรึงรัดกายจิตของเราเอาไว้
    “ตายเป็นตาย แต่จะให้สัจจะที่ตั้งไว้ขาดไม่ได้ ไม่ยอม ในร่างกายนี้อะไรจะเสียผุพังไปก็ตาม แต่จะให้สัจจะเสียไปไม่ได้ เพราะแม้สัจจะที่เราให้ไว้กับตัวเรา เรายังรักษามันไม่ได้ แล้วเราจะหวังพบธรรมะอันประเสริฐซึ่งอยู่เหนือสัจจะ แล้วเราจะพบพานธรรมนั้นได้อย่างไรกัน”
    เมื่อคิดอย่างนี้ ใจมันก็ท้าทายกิเลสและธรรมที่มีอยู่ในกายและใจนั้น สัตยาธิษฐานนี้จึงเป็นทางเดินไปสู่มรรคผลแบบท้าทายได้อย่างดียิ่ง
    ภิกษุหนุ่มมุ่งมั่น
    <TABLE width=100 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เราเป็นหนุ่มเนี่ย... ซนที่สุดนะ ดื้อด้วย แล้วฐานะทางบ้านก็มีอันจะกินด้วย แก่นที่สุด ออกบวช ใคร ๆ เขากว่า แหกพรรษาแน่นอน แต่ว่าปฏิบัติแล้วมันเอาเต็มที่ไม่ค่อยได้นอน ในพรรษา ๓ เดือนไม่ได้นอนเลย กลางวันนิดหน่อยคือหมายความว่า กลางคืนไม่นอน สู้เต็มที่เลย ๔-๕ วัน เวลารับบาตรง่วง วันไหนง่วงเต็มที่ก็ไปพิงเสานิด พอรู้สึกตัว เอาแล้ว เพราะสัญญาอธิษฐานไว้ว่าไม่นอน สู้เต็มที่เลย ไม่งั้นไม่ได้หรอก ต้องออกมาเป็นขี้ข้าโลกเขาแล้ว
    บางทีถ้าเราตั้งสัจจะแล้ว มันก็ไม่ออกเหมือนกัน ยอมให้ยุงกัด บางทีสมาธิเนี่ย ถ้าเราเข้าถูกจังหวะ อากาศเหมือนไม่มี มีอยู่แต่ใจเพียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใด ดับสนิทเต็มที่ กายนี้ไม่รู้เลย รู้แต่ใจตัวนั้นมันหมดความรู้สึก แต่รู้ในตัวมีอะไรบ้าง แต่ว่าถ้าถึงเต็มที่ก็ขนาดนั้นแล้วไม่รู้ ยุงไม่มี ไม่มีความรู้สึกหมด หมดความรู้สึก แต่เป็นยากนะแบบนี้
    “...บางทีเราตอนเป็นหนุ่ม ๆ บวชใหม่ ๆ ก็คิดอยากจะสึก พวกบวชเป็นชีสาวๆ ก็อยากจะสึก หรือพวกแก่ ๆ ก็อยากจะสึก เพราะกิเลสมันเป็นอย่างนั้น
    สึกไปก็เหมือนเท่ากับลงไปในน้ำทะเล อันมหาสมุทรกว้างขวางใหญ่นัก ชีวิตไม่มีความหมาย ตัวลงไปอยู่ในทะเล เป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลาเท่านั้นเอง ตายไปอย่างนั้น ไม่ได้อันใดเลย เหมือนเราตกลงไปในทะเล ถ้าไม่มีเรือมารับแล้วก็ต้องตาย ชีวิตจมอยู่กับลูกกับเมีย กับข้าวของเงินทอง เพื่อหามาเลี้ยงกันทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างนั้น ไม่มีเวลาหยุดหย่อน ไม่มีเวลาได้พักผ่อนกำลังจิตใจของเราเลย นี่... แสนที่จะทุกข์ทน
    ...พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วถูกต้องหมดทุกอย่าง พระองค์ตรัสว่า
    “โซ่ตรวนใดๆ ก็ไม่สามารถรึงรัดมัดผูกจิตใจเราได้ยิ่งกว่า บ่วงคือ บุตร ภรรยาสามี ทรัพย์สมบัติ โซ่อันนี้แก้ได้ยาก ถอดถอนได้ยาก มันชักนำพาเราให้จมอยู่และกองอยู่ใต้ทะเล คือกิเลสและตัณหา จนจะหาทางออกไม่ได้ พระองค์จึงตรัสว่า เราเป็นเหยื่อของโลก ถูกกระแสโลกพัดผันไปต่าง ๆ นานา ในที่สุดก็ไม่ได้อะไรในทางที่ดี แต่มันกลับได้อะไรในทางที่ชั่วเสียหาย”
    นี่...พวกเราชำนาญแต่ตำราทางโลก แต่ตำราทางธรรมมันไม่ชำนาญ ใจมันไม่ยอมกระทำ ใจมันขี้เกียจ ใจมันดื้อด้าน ใจมันไม่อยากทำ อยากคุย อยากสนุก อยากร่าเริง เข้าวัดวายังเอาวิทยุมาเปิด สนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลา ระวัง......ระวังหน่อย...ฮิ.......
    เราเข้ามาเพื่อจะปลดเปลื้องสิ่งที่ร่าเริง สิ่งที่เพลิดเพลินของใจของเรา ไม่ให้สิ่งใดเข้ามาเกาะมากวน ต้องขจัดไปทุกเวลา ว่าอย่างนั้นเถอะ นี่ความรู้เช่นนี้ต้องกำจัดให้หมด จนให้ใจนั้นไม่มีอันใด...นั่น... จึงเรียกว่า พระ...ก็เป็นพระแท้ โยม...ก็เป็นโยมแท้
    เพราะฉะนั้นการทำใจ เมื่อมีความจริงที่ใด จะโง่เซ่อขนาดไหน ขอให้ใจจริงๆ สู้จริงๆ แล้วนั่งให้จริง ยืน เดิน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถนี่ทำได้อยู่ตลอดเวลา ต้องสำเร็จ บุคคลผู้นั้นหนีไม่พ้น แต่ใครจะไปรู้เรื่องของบุคคลนั้นๆ ว่าสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ มันอยู่ที่หัวใจของเขาเอง เมื่อเราพยายามมากเข้าๆ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า “พาวิโต พหุลีกโต” เพียรมากๆ ทำมากๆ ทำบ่อยๆ ทำอยู่อย่างนั้น ก็เป็นไปเพื่อความดับสนิท เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง นี่ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ถ้าลงว่าทำอย่างนั้นจนสุดความสามารถแล้วไม่สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าจะยังไง”
     
  4. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คุณเพชรร่วมบุญหนังสือด้วย 500 บาท
    และขอถวายพระบรมสารีริกธาตุด้วยอีก 1 โถค่ะ
    โมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเห็นด้วยครับคุณเพชร

    ผมเองเคยที่จะวางเฉยเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็แพ้ใจตนเอง ต้องโทร.ไปหาพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ให้ร่วมด้วยช่วยกัน ใจผมทนไม่ได้จริงๆที่เห็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ ,พระโพธิสัตว์ ,เทพเทวาทุกๆชั้นฟ้าและทุกๆองค์ ,มนุษย์ ,องค์พยามัจจุราชเจ้า ฯลฯ ต้องกราบไหว้ แต่ถูกคนนำมาขายเหมือนสินค้า

    ว่าอย่างไรครับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ มีความเห็นกันอย่างไร

    ส่วนหากได้มาแล้ว สถานที่ที่อัญเชิญไปประดิษฐานไว้(ชั่วคราว) จะเป็นที่ใดดี หรือจะเป็นบ้านน้องอุ้มครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มายืนยันว่า คุณเพชร มีพระบรมสารีริกธาตุมากจริงๆครับ

    ผมเองยังมีน้อยกว่ามาก

    โมทนาสาธุครับคุณเพชร ที่ร่วมด้วยช่วยกันมาโดยตลอด
    .
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออนุโมทนาด้วยครับ คุณแด๋น
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องของพระยรมสารีริกธาตุนี้ มีความมหัศจรรย์อย่างมาก ก็ขอให้พิจารณาด้วยความศรัทธา และใช้ปัญญาหนุนนำ จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดนี้ไม่ได้เลย ก็แล้วแต่ความเชื่อ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราคิดนั้น พระบรมสารีริกธาตุซึ่งเปรียบเสมือนองค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทราบ แม้แต่จิตที่คิดโลภ คิดดี คิดร้าย พระท่านทราบตลอด การที่ผู้ที่มีพระบรมสารีริกธาตุจำนวนมาก พระอรหันตธาตุจำนวนมาก พระท่านไม่มีพระประสงค์ให้บุคคลผู้นั้นแสดงตนว่ามีบารมีแต่อย่างใด เราเป็นเพียงผู้รักษาไว้ชั่วคราว ต่อเมื่อสามารถตัดความโลภอยากได้ออกไป ก็จะได้พบเห็นตามความเป็นจริงทุกประการ ไม่ว่าจะพบเห็นการเสด็จด้วยตาเนื้อกันจริงๆ หรือการเพิ่มจำนวน เพิ่มขนาด หรือการได้รับมาในลักษณะต่างๆก็ล้วนแต่เป็นการเสด็จทั้งสิ้น

    ผู้ที่มีปฏิปทาในการเก็บรักษาเพื่อการบรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์ พระธาตุเจดีย์ต่างๆ ผู้หนึ่งคือคุณลุงทองดี ที่เคยได้เปิดเผยเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุมากแล้วในราวปีพ.ศ.๒๕๔๖ โดยได้จัดตั้งมูลนิธิพระบรมธาตุในสังฆราชูปถัมภ์ ซึ่งพระสังฆราชเป็นองค์อุปถัมภ์ คุณลุงได้เล่าที่มาที่ไปของการที่ท่านได้พบเห็นการเสด็จของพระบรมสารีริกธาตุทุกลักษณะเอาไว้ว่า เมื่อก่อนท่านก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย จนวันหนึ่งท่านได้ไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หนึ่ง ได้ยินเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุจนเกิดความศรัทธา เกรงว่าสถานที่ที่มีศักดิ์สิทธิ์จะมีผู้ที่ได้ทำปรามาสไปโดยไม่รู้ว่า เบื้องล่างต่ำกว่าพื้นดินซึ่งเราท่านเหยียบ หรือเดิน หรือยืนอยู่นั้นจะมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอขมาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ ขออัญเชิญพระบรมสาริกธาตุ พระธาตุใดๆก็ตามที่สถิตย์อยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสมใดก็ตามขออัญเชิญเสด็จมายังข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้อัญเชิญไปประดิษฐานยังที่เหมาะสม จากวันนั้นเป็นต้นมา ก็ได้พบเห็นการเสด็จในลักษณะต่างๆมาตลอดจนทุกวันนี้ เพื่อนที่มีความศรัทธาทุกท่านก็สามารถกระทำการตั้งสัจจาธิษฐานเช่นนี้ได้เช่นกัน...

    ผมมีความเห็นแว๊บเข้ามาเรื่องหนึ่งในเรื่องของสถานที่จัดเก็บ และบรรจุ ในเบื้องต้นหากสามารถติดต่อผู้ดูแลการบรรจุพระบรมธาตุ พระธาตุจากมูลนิธิพระบรมธาตุในสังฆราชูปถัมภ์ได้โดยตรงก็จะง่าย เพราะการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้จะเป็นทางการ และเกาะเกี่ยวกระแสพระบารมีขององค์สังฆราชูปถัมภ์ถือเป็นโดยเสด็จพระราชกุศลไปในตัวอันเป็นการเร่งรัดบารมีธรรมของเราทุกคนไปในตัว ไม่ทราบว่าจะเห็นด้วยกันหรือไม่ ก็ออกความเห็นกันด้วยนะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออนุโทนาด้วยครับ

    สงสัยต้องมีพระเจดีย์ให้เลือกว่าจะบรรจุยังสถานที่ใด จะดีกว่าไม๊ครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม มากพอสมควร ได้พบ ได้เห็น พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ในเรื่องของสัณฐานที่แตกต่างกันไป บางสัณฐานก็ไม่เคยมีในหนังสือที่อธิบายในเรื่องของพระบรมสารีริกธาตุ ก็มาก บางสัณฐานดูอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่ แต่กลับใช่ เช่นพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของลำไส้ หรือผิวหนังด้านหลังพระพุทธองค์ เป็นต้น

    ส่วนในโถพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ที่พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ คณะพระวังหน้า สักการะบูชากัน ผมแอบกระซิบว่า ในโถนั้น จะมีอัญมณี(ใส่ไว้ในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม แต่ขอไม่แจ้งว่า เป็นอัญมณีประเภทใด ผมเคยเจอเป็นบุษราคัมครับ) ด้วย

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้ามีมากกว่า 1 พระเจดีย์ ผมขอร่วมถวายพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ด้วยครับ

    ผมเองก็มีมาก(แต่น้อยกว่าคุณเพชร และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆหลายๆท่าน) ตั้งใจไว้ว่า จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ถวายเพื่อบรรจุพระเจดีย์และเพื่อทุกๆงานบุญ(เช่น การถวายพระสงฆ์ ฯลฯ) ในศาสนาพุทธ และเพื่อมนุษย์ ,พรหม ,เทวดา ฯลฯ ได้สักการะบูชากันครับ
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากมีหนังสือพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุอรหันต์ที่พิมพ์ขึ้นเมื่อปีพ.ศ.๒๕๔๖ ของมูลนิธิพระบรมธาตุในสังฆราชูปถัมภ์จะหายสงสัย และตื่นตาตื่นใจกับรูปทรง สีสันของพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุอรหันต์มากมายดูไม่รู้เบื่อเลยละครับ เอาไว้จะติดไปในวันที่พบกันให้ชมกัน จะได้ไม่หลงเข้าใจเป็นอย่างอื่นหากได้มีโอกาสพบเห็นยังสถานที่ต่างๆ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อัญมณี

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->
    [​IMG]
    อัญมณี และ หินสีแบบต่างๆ


    อัญมณี คือ มวลของแข็งที่ประกอบไปด้วยแร่ชนิดเดียวกัน หรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ เนื่องจากองค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ ดังนั้นเปลือกโลกส่วนใหญ่มักเป็นแร่ตระกูลซิลิเกต นอกจากนั้นยังมีแร่ตระกูลคาร์บอเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตอาศัยคาร์บอนสร้างธาตุอาหารและร่างกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลือก เมื่อตายลงทับถมกันเป็นตะกอน หินส่วนใหญ่บนเปลือกโลกจึงประกอบด้วยแร่ต่างๆ

    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    ความเชื่อไทย

    ในสมัยโบราณว่า ความรู้ ความเชื่อถือ และการใช้อัญมณีของคนไทย เริ่มมีมาแต่สมัยใดยังไม่มีหลักฐานกำหนดแน่ชัด เราอาจ ทราบเรื่องอัญมณีของไทยในอดีตได้จากวรรณคดีไทย บางเรื่อง บางตอน เริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คนไทยเริ่มรู้จักและใช้อัญมณีไม่กี่ชนิด มีการจัดแบ่งอัญมณีออกเป็น ๙ ชนิด เรียกว่า นพรัตน์ หรือนวรัตน์ หรือแก้วเก้าประการ เป็นต้น ในตำรานพรัตน์มีคำกลอนที่มีอิทธิพล ทำให้คนไทยไม่น้อยรู้จักสนใจและนิยมนับถืออัญมณีว่าเป็นสิริมงคล แล้วก็ยังใช้เป็นหลักทรัพย์ที่ถือเป็นมรดกสืบทอดแก่ทายาทในวงศ์ตระกูล เป็นของกำนัลตอบแทนผู้มีน้ำใจช่วยเหลือยามที่เคยตกทุกข์ได้ยากเป็นของสำหรับหมั้นหมาย เป็นต้น

    หินสีชนิดต่างๆ

    อัญมณีประจำวันเกิด

    ดูเพิ่ม

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 24/1000000Post-expand include size: 1025/2048000 bytesTemplate argument size: 378/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:47743-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090610042256 -->ดึงข้อมูลจาก "อัญมณี - วิกิพีเดีย".
    หมวดหมู่: อัญมณี | เครื่องประดับ
    หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่: บทความที่รอการตรวจสอบรูปแบบ


    แร่รัตนชาติ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content --><TABLE class="noprint metadata plainlinks ambox ambox-style"><TBODY><TR><TD class=mbox-image>
    </TD><TD class=mbox-text>ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้เพื่อความสะดวกในการศึกษาเพิ่มเติมของผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความ เนื่องจากคำดังกล่าวยังไม่มีบทความในภาษาไทย ลิงก์ข้ามภาษาจะถูกตัดออกเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class="noprint metadata plainlinks ambox ambox-content"><TBODY><TR><TD class=mbox-image>
    </TD><TD class=mbox-text>บทความนี้ต้องการแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อให้บทความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
    <SMALL>คุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม - การอ้างอิงแหล่งที่มา วิธีการเขียน บทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย</SMALL></TD></TR></TBODY></TABLE>
    แร่รัตนชาติ หรือ รัตนชาติ เป็นกลุ่มประเภทของแร่ประเภทหนึ่ง โดยหมายถึง แร่หรือหินบางชนิด หรืออินทรียวัตถุธรรมชาติที่นำมาเจียระไน ตกแต่ง หรือแกะสลัก เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ มีความงาม ทนทาน และหายาก โดยปกติแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เพชร และพลอย ซึ่งหมายถึง อัญมณีทุกชนิดยกเว้นเพชร หากผ่านการตกแต่งหรือเจียระไนแล้ว เรียกว่า อัญมณี นอกจากนี้ สารประกอบที่ได้จากสิ่งมีชีวิตที่อาจจัดเป็นรัตนชาติได้แก่ ไข่มุก และปะการังและอำพัน

    รัตนชาติหรืออัญมณี เป็นผลึกที่มีมลทินอยู่ภายใน ทำให้มีสีต่าง ๆ กันไป มีความแข็ง สามารถเจียรไนให้เกิดมุม เพื่อให้เกิดการกระจายแสงเห็นความแวววาว มลทินในแร่ ทำให้แร่มีสีต่าง ๆ กัน แร่คอรันดัมบริสุทธิ์ เป็นสารพวกอะลูมิเนียมออกไซด์ มีสีขาว ถ้ามีมลทินจำพวกโครเมียมผสม ทำให้มีสีแดง เช่นทับทิม ส่วน เหล็ก ไทเทเนียม ทำให้มีสีน้ำเงิน (ทับทิมกับไพลิน เป็นแร่คอรันดัมเหมือนกัน แต่มีมลทินต่างชนิดกัน)
    เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินอัญมณีได้แก่ ความแข็ง, ความถ่วงจำเพาะและค่าดัชนีหักเหของแสง ดัชนีหักเหของแสง เป็นค่าคงที่ของอัญมณีแต่ละชนิด จึงใช้ตัดสินว่าเป็นของปลอมหรือไม่ ความแข็งของแร่ก็มีผลต่อราคาของอัญมณีด้วย จึงนำมาทดสอบ โดยการขูดขีดกัน (อาจใช้ตะไบ มือ เหรียญทองแดง มีดพับ, กระจก ทดสอบ) แร่ที่มีรอยขูดขีดจะอ่อนกว่า ซึ่งทดสอบได้

    ประเภทของรัตนชาติ

    1. พลอย หรือหินสี ที่สำคัญได้แก่
      1. พลอยในตระกูลคอรันดัม ซึ่งประกอบด้วย Al<SUB>2</SUB>O<SUB>3</SUB> โดยมี Al : O = 52.9 : 47.1 โดยมวล การที่พลอยแต่ละชนิดมีสีต่างกันเป็นเพราะมีธาตุเจือปนที่ต่างกัน เช่นทับทิม มีสีแดง เพราะมี โครเมียม เจือปนอยู่ 0.1 – 1.25 โดยมวล บุษราคัม (แซฟไฟร์สีเหลือง) มี เหล็ก และไทเทเนียม เจือปน ไพลิน (แซฟไฟร์สีน้ำเงิน) มีสีน้ำเงินเพราะมี เหล็ก และ ไทเทเนียม เจือปน พลอยสาแหรก หรือสตาร์ มีรูไทล์ปนอยู่ในเนื้อพลอย
      2. พลอยในตระกูลควอทซ์ เช่น อเมทิสต์ ซิทริน อาเกต เป็นต้น
    2. เพชร เป็นธาตุคาร์บอนที่บริสุทธิ์ มีความแข็งแรงมากที่สุด เพชรที่ดีจะต้องไม่มีสี (ถ้ามีสีสวยงามในกลุ่ม เหลือง ชมพู ส้ม แดง น้ำเงิน จะมีราคาสูงกว่าเพชรสีขาวมากๆเรียกว่า Fancy Daimond)
    รัตนชาติไทย

    หากจะแปลตามตัว รัตนชาติ หรือที่เดิมเขียนกันว่า รัตนชาต ก็จะแปลไว้ว่า สิ่งที่ถือกำเนิดมาเป็นแก้ว (รัตน=แก้ว ชาต=เกิด) ซึ่งในประเทศไทยเอง ก็พบว่ามีรัตนชาต 9 อย่างอันเป็นมิ่งมงคล แต่บางชนิดหายากหรือหาไม่พบในประเทศไทยปัจจุบันแล้ว
    รัตนชาต ทั้ง 9 หรือเรียกว่า นพรัตน์ นั้น โบราณท่านผูกเป็นบทกลอนไว้ว่า
    <TABLE style="BACKGROUND: none transparent scroll repeat 0% 0%; POSITION: relative; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-TOP: 10px" vAlign=top width=20></TD><TD style="PADDING-TOP: 10px">เพชรดีมณีแดง เขียวแสงใสมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬมุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์</TD><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px" vAlign=bottom width=20></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 20px; FONT-SIZE: 90%; PADDING-BOTTOM: 10px; TEXT-ALIGN: right" colSpan=3></TD></TR></TBODY></TABLE>ซึ่งตามคำกลอนดังกล่าว ไม่ได้เรียงตามระดับราคาหรือค่าความแข็งแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้พบว่าชื่อเรียกในโบราณนั้น ปัจจุบันสามารถหมายถึงรัตนชาตชนิดอื่นได้เช่นกัน ถ้าอ้างอิงตามกลอนบทนี้ สามารถถอดความเป็นรัตนชาต 9 อย่างได้ดังนี้
    1. เพชรดี หมายถึง เพชร (Diamond)
    2. มณีแดง หมายถึง ทับทิม (Ruby)
    3. เขียวแสงใสมรกต หมายถึง มรกต (Emerald)
    4. เหลืองใสสดบุษราคัม หมายถึง บุษราคัม แซฟไฟร์สีเหลือง
    5. แดงแก่ก่ำโกเมนเอก หมายถึง โกเมน (Garnet)
    6. สีหมอกเมฆนิลกาฬ หมายถึง แซฟไฟร์ (ไพลิน) แซฟไฟร์สีน้ำเงิน
    7. มุกดาหารหมอกมัว หมายถึง มุกดาหาร (Moonstone)
    8. แดงสลัวเพทาย หมายถึง เพทาย (Hyacinth) เขียนอีกอย่างหนึ่งว่า (Yellow Zircon) (ซึ่งเป็นรัตนชาตชนิดเดียวกัน)
    9. สังวาลย์สายไพฑูรย์ หมายถึง ไพฑูรย์ (Chrysoberyl-cat eye)
    อ้างอิง

    • พจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2544. หน้า 160
    <TABLE style="CLEAR: both; BORDER-RIGHT: #90a0b0 1px solid; BORDER-TOP: #90a0b0 1px solid; FONT-SIZE: 90%; BACKGROUND: #fcfcfc; MARGIN: 10px 0px 0px; BORDER-LEFT: #90a0b0 1px solid; WIDTH: 100%; BORDER-BOTTOM: #90a0b0 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=40></TD><TD style="COLOR: #696969" align=left>แร่รัตนชาติ เป็นบทความเกี่ยวกับ ธรณีวิทยา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ แร่รัตนชาติ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ</SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 286/1000000Post-expand include size: 14026/2048000 bytesTemplate argument size: 4760/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:58828-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090609212310 -->ดึงข้อมูลจาก "แร่รัตนชาติ - วิกิพีเดีย".
    หมวดหมู่: แร่ | รัตนชาติ | บทความเกี่ยวกับ ธรณีวิทยา ที่ยังไม่สมบูรณ์
    หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่: บทความที่มีลิงก์ไปภาษาอื่นในส่วนเนื้อหา | บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิง
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เอาไว้กำหนดเวลาให้ชัดเจนก่อนนะครับ พอดีว่าเหตุนี้เป็นเหตุเฉพาะกิจ เลยสามารถกระทำได้ครั้งละน้อยๆ เพราะเหตุเรื่องของการเดินทางไปพบโดยบังเอิญ ผมก็ยังมีความเห็นว่า ถวายผ่านสงฆ์ จะได้อานิสงค์สูงกว่า เกาะบุญพระองค์ท่านไปยังไงก็ถึงแน่...
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คุณหนุ่ม ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลานำพระพิมพ์บรรจุพระสารีริกธาตุ พระธาตุอรหันต์ของวังหน้า ออกให้บูชาเพื่อนำปัจจัยทั้งหมดเพื่อการจัดเก็บพระบรมสารีริกธาตุตามที่ต่างๆ บรรจุพระเจดีย์ หรือจะถวายผ่านมูลนิธิพระบรมธาตุในสังฆราชูปถัมภ์แล้วมังครับ
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตลาดหุ้นภาคเช้านี้ในอันดับ 10 ตัวยอดฮิต จะเปิด+ ราว 2 ตัว เหลือง 6 ตัว แดง 2 ตัว เปิดตลาดเช้านี้น่าจะไปได้ในราวไม่เกิน 2 จุดนะครับ คุณน้องนู๋เน้นหุ้นพลังงาน(อีกแล้ว) แถมตลาดFuture ก็ยัง +อยู่ แบบนี้มันsupport กัน....

    <TABLE class=mL5 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=598 border=0><TBODY><TR><TD class="cFont cf24 cstrong" colSpan=7 height=45>DOW (mini)</TD><TD vAlign=center align=right width=238 height=45 rowSpan=4><FVCHART>1month
    [​IMG]<SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript> cnbc_WSODChartLoad('http://api-cdn.cnbc.com/api/chart/chart.asp?type=small&charttype=overview&realtime=0&symbol=us%40DJ.1&timeframe=1month','cnbcWSOD_chartID0EEBAC'); </SCRIPT>


    <SCRIPT> cnbc_quoteComponent_init_getData('us@DJ.1','WSODQ_COMPONENT_US%40DJ.1_ID0EEBAC15839602','WSODQ','false','ID0EEBAC15839602','off','false','chartBox'); </SCRIPT></FVCHART>


    </TD></TR><TR><TD class="cFont cf11 cstrong padL" style="BORDER-TOP: #cccccc 1px solid" colSpan=4 height=22>FUTURES</TD><TD class="cFont cf11 cstrong" style="BORDER-TOP: #cccccc 1px solid; PADDING-LEFT: 12px" colSpan=3 height=22>FUTURES FAIR VALUE (-16.98)</TD></TR><TR class=lh1><TD class="cnbc_bg_cfdde6 h13" vAlign=top align=left width=63 height=13>[​IMG]</TD><TD class="cnbc_bg_cfdde6 h13" vAlign=top align=left width=55 height=13>[​IMG]</TD><TD class="cnbc_bg_cfdde6 h13" vAlign=top align=left width=37 height=13>[​IMG]</TD><TD class=h13 vAlign=top align=left width=4 height=13></TD><TD class="cnbc_bg_cfdde6 h13" vAlign=top align=left width=96 height=13>[​IMG]</TD><TD class="cnbc_bg_cfdde6 h13" vAlign=top align=left width=54 height=13>[​IMG]</TD><TD class="cnbc_bg_cfdde6 h13" vAlign=top align=left width=51 height=13>[​IMG][​IMG]</TD></TR><TR class="cFont cf11"><TD class="padL cstrong" noWrap height=28>8739.02</TD><TD noWrap height=28>8779.0</TD><TD class=cstrong noWrap height=28>25.00</TD><TD noWrap height=28></TD><TD class=cstrong style="PADDING-LEFT: 12px" noWrap height=28>8737.02</TD><TD noWrap height=28>8779.0</TD><TD class=cstrong noWrap height=28>41.98</TD></TR><TR class="cFont cf11"><TD class=padL style="BORDER-TOP: rgb(204,204,204) 1px solid" noWrap colSpan=7 height=21>Last Updated: 10:39:13 PM</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีครับคุณเพชร

    เวลาที่ผมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม หรือกระทำการใดๆที่เกี่ยวข้องกับพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ผมมักจะได้กลิ่นหมากเสมอ ซึ่งกลิ่นหมากนี้ จะมีหลายลักษณะ แต่ที่ผมแยกได้จะมีอยู่ 2 ลักษณะก็คือ กลิ่นหมากของช่างสิบหมู่ และกลิ่นหมากของเทวดา ส่วนกลิ่นหมากในลักษณะอื่นๆ ผมยังไม่สามารถแยกได้ครับคุณเพชร

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยินดีครับในส่วนที่เป็นพระพิมพ์ของผม

    แต่ว่า การนำออกให้บูชา ผมเองไม่ส่งทางไปรษณีย์โดยเด็ดขาด เหตุเพราะทั้งผู้ส่ง(ผมหรือคุณเพชร) ผู้ดำเนินการส่ง(พนักงานไปรษณีย์) และผู้รับ ปรามาสกันโดยตรง เนื่องจากการส่งครับ

    เพราะฉะนั้น ท่านที่ต้องการบูชา จึงต้องบูชาโดยตรงกับผมเท่านั้น ส่วนเงินนั้น ต้องไปดูกันในรายละเอียดที่จะดำเนินการกันอีกครั้ง แต่ผมขอบายเรื่องการจัดเก็บเงิน ไม่ไหวครับ งาน(ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ของ)ผมค่อนข้างเยอะมากครับ

    ในส่วนของคุณเพชร ผมแล้วแต่คุณเพชรครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...