พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปันเหมินน่งฝู่ : ใช้ขวานต่อหน้าช่างปัน
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000064781

    [​IMG]โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    9 มิถุนายน 2552 17:50 น.[​IMG]

    [​IMG]

    ที่มา 997788.com[​IMG]

    班(bān) อ่านว่า ปัน หมายถึง หลู่ ปัน ช่างไม้ผู้มีฝีมือในสมัยโบราณ
    门(mén) อ่านว่า เหมิน แปลว่า ประตู
    弄(nòng) อ่านว่า น่ง แปลว่า ทำ
    斧(fǔ) อ่านว่า ฝู่ แปลว่า ขวาน หรือการตัด ทอน

    “หลู่ปัน” มีนามเดิมว่า “กงซูปัน” เป็นชาวก๊กหลู่ สมัยสงครามระหว่างรัฐ (จั้นกั๋ว) ซึ่งมีฝีมือในงานก่อสร้างที่ใช้ฝีมือประณีตอย่างยิ่ง จนผู้คนยกย่องให้เป็นเทพอารักษ์ประจำอาชีพช่างไม้ ช่างปูน งานก่อสร้างรวมทั้งงานวิศวกรรม สถาปัตยกรรม

    หลู่ปันเติบโตขึ้นมาในครอบครัวช่างไม้ ทั้งยังได้ศึกษาวิชาช่างกับอาจารย์ที่มีฝีมือ ด้วยพรสวรรค์และความพากเพียร เขาได้สั่งสมประสบการณ์งานช่างจนชำนาญ ฝีมือเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ในสมัย 450 ปีก่อนคริสตกาล หลู่ปันเคยเดินทางออกจากก๊กหลู่ เพื่อไปรับจ้างก๊กฉู่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร เช่นบันไดปีนค่าย เพื่อเตรียมทำสงครามกับก๊กข้างเคียง แต่ถูกปรัชญาเมธี “ม่อจื่อ” คัดค้านเอาไว้ โดยชี้แนะหลู่ปันว่า ในเมื่อเขามีฝีมือทางการช่างโดดเด่นไม่เป็นรองใคร ก็ควรที่จะใช้ฝีมือนี้สร้างเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง แทนที่จะสร้างเครื่องมือในการทำลายล้างทางสงคราม ดังนั้นหลู่ปันจึงล้มเลิกและหันไปประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือในชีวิตประจำวันแทน เช่นเครื่องมือด้านช่างไม้ ด้านการเกษตร

    เล่ากันว่า ตลอดช่วงชีวิตของหลู่ปัน เขาได้ประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังหลายชนิด เช่น กบไสไม้, แม่กุญแจที่ต้องใช้ลูกกุญแจเฉพาะไข, เครื่องจักรกลบางประเภท, เลื่อย เป็นต้น

    ในส่วนของเลื่อย มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งเจ้าครองก๊กหลู่ประสงค์ให้หลู่ปันก่อสร้างพระราชวังแห่งใหม่โดยให้เวลาสร้าง 3 ปี ทว่าไม้ที่ต้องนำมาสร้างนั้นอยู่บนเขาที่ห่างไกล ระยะเวลา 3 ปี เพียงกระบวนการตัดไม้ เตรียมไม้เพื่อก่อสร้างอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว หลู่ปันจึงวิตกกังวลยิ่งนัก แต่ขณะที่เดินทางไปบนเขาเพื่อตัดไม้นั้น เขาบังเอิญโดนใบหญ้าบางๆ ที่มีลักษณะเป็นฟันซี่เล็กๆ บาดมือ จึงจุดความคิดให้เขาประดิษฐ์เลื่อยขึ้นมาเพื่อตัดเตรียมไม้ ซึ่งสามารถประหยัดทั้งเวลาและกำลังคนได้มากโข การสร้างวังจึงประสบผลสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

    ต่อมา สำนวน “ปันเหมินน่งฝู่” เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง โดยนักวรรณคดี “หลิ่วจงหยวน" ได้ประพันธ์ไว้ในตอนหนึ่งซึ่งแปลใจความได้ว่า “หากใครแสดงทักษะใช้ขวานต่อหน้าหลู่ปัน คนผู้นั้นก็ช่างไร้ยางอายเต็มที” ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นสำนวนเพื่อแสดงความถ่อมตัว ว่าความสามารถของตนเองในด้านใดด้านหนึ่งไม่อาจเทียบเท่ากับผู้ที่มีอาชีพด้านนั้นโดยตรง หรือผู้ที่เชี่ยวชาญในทักษะนั้นอย่างลึกซึ้ง

    สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) ส่วนขยายนาม(定语) ส่วนขยายคำกริยา(状语) หรือ ส่วนกรรม(宾语)

    ตัวอย่างประโยค

    他在历史学家面前吹嘘自己的历史水平,简直就是 ~
    อยู่ต่อหน้านักประวัติศาสตร์ แต่เขากลับคุยฟุ้งเรื่องความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของตนเอง ช่างเป็นการ ~ ชัดๆ



    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไขข้อข้องใจเรื่อง กุ้ง Lobster เล็ก

    ���� lobster ���� 䢢�͢�ͧ�� mini lobster ������ͺ��������Ө״


    [​IMG]


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบจาก forward mail

    ที่ผ่านมาบรรดานักท่องโลกไซเบอร์ทั้งหลาย คงได้รับ Forward mail เตือนภัยต่างๆ นานา อยู่เสมอ อย่างล่าสุดที่เป็นประเด็นก็คือเรื่อง "กุ้ง Lobster เล็ก" หรือ "กุ้งมินิล็อบสเตอร์" จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก พร้อมๆ กับหวาดหวั่นไม่กล้ากินกุ้งไปตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะในเนื้อหาระบุว่า กุ้งชนิดนี้ถูกเลี้ยงไว้เพื่อกำจัดขยะต่างๆ ในบ่อบำบัดน้ำเสีย ยิ่งน้ำสกปรกมากเท่าไหร่ กุ้งเหล่านี้ก็จะยิ่งเจริญเติบโตเร็วมากขึ้นเท่านั้น ปอดของมันเต็มไปด้วยหนอน และพยาธินานาชนิด แถมเนื้อของมันก็อุดมไปด้วยพิษโลหะ… เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คลายความกังวล วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปหาคำตอบกันค่ะ


    [​IMG]

    [​IMG]รู้จักกับ "กุ้ง Lobster เล็ก"

    "กุ้ง Lobster เล็ก" (mini-lobsters) หรือเรียกง่ายๆ ว่า "ล็อบสเตอร์น้ำจืด" (Freshwater Lobster) หรือ "กุ้งมังกรน้ำจืด" คือกุ้งน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าตาคล้าย กุ้งก้ามกราม ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า "Crayfish" ซึ่งกุ้งชนิดนี้มีรูปร่างใหญ่ ก้ามโต สีสันออกสวยงาม มีถิ่นกำเนิดทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียตะวันออก และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ ในทางประมงถือว่าเป็นสัตว์น้ำรสชาติดี มีหลายประเทศทำฟาร์มเพาะพันธุ์กันเป็นล่ำเป็นสันเพื่อการบริโภค รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย แต่ในขณะเดียวกันความสวยงามของ "กุ้ง Lobster เล็ก" บางสายพันธุ์ก็ทำให้มันกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้กระจกสำหรับนักเลี้ยงหลายๆ คนไปแล้ว

    สำหรับประเทศไทยนั้นเลี้ยง "กุ้ง Lobster เล็ก" มานานแล้ว ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อเมริกา (Procambarus clarkii) ซึ่งรู้จักโดยทั่วไปว่า "กุ้งแดงญี่ปุ่น" และสายพันธุ์ออสเตรเลีย เรียกกันว่า "กุ้งเรนโบว์" (Cherax quadricarinatus)

    ในธรรมชาติ "กุ้ง Lobster เล็ก" อาศัยในแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิค่อนข้างเย็น สามารถพบได้ตามแม่น้ำลำคลอง หนองบึง ไปจนถึงทะเลสาบขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าอยู่ได้ไม่จำกัดวงพื้นที่ทำกิน อยู่ตรงไหนก็เอาตัวรอดได้ไม่มีปัญหา ขอเพียงให้มีอุณหภูมิเย็นก็เพียงพอแล้วและกุ้งชนิดนี้ยังกินอาหารเก่ง กินแทบทุกอย่างไม่เลือก ธรรมชาติของมันกินทั้งพืชและสัตว์ พืชที่กิน เช่นลูกผลไม้ หรือใบไม้จมน้ำเน่าๆ หรือแม้กระทั่งเปลือกไม้ ส่วนสัตว์ที่เป็นอาหารของกุ้งชนิดนี้ ส่วนมากจะเป็นสัตว์ตายหรือซากสัตว์ รวมถึงสัตว์จำพวกไส้เดือน และแมลงน้ำ ก็เป็นอาหารโปรดของมันด้วยเช่นกัน

    [​IMG] ไขข้อข้องใจใน Forward mail

    ใน Forward mail มีประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันคือ กิน “กุ้ง Lobster เล็ก” แล้วจะทำให้เป็นโรค Paragonimiasis หรือ โรคที่เกิดจากพยาธิใบไม้ในปอด (Lung flukes) และกุ้งชนิดนี้ก็ถูกเลี้ยงไว้เพื่อกำจัดขยะ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากที่ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมมา จึงอยากจะนำเสนอ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    - โรค Paragonimiasis หรือ โรคพยาธิใบไม้ในปอด สาเหตุไม่ได้มาจากการบริโภค "กุ้ง Lobster เล็ก" แต่เกิดได้ถ้าบริโภคสัตว์น้ำจืดแบบดิบๆ สุกๆ ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา และหากเรากิน "กุ้ง Lobster เล็ก" ที่ผ่านความร้อนและสุกก็ไม่ได้ทำให้เป็นโรคดังกล่าว

    - ข้อมูลเกี่ยวกับ โรค Paragonimiasis หรือ โรคที่เกิดจากพยาธิใบไม้ในปอด



    [​IMG]


    [​IMG]โรค Paragonimiasis หรือ โรคที่เกิดจากพยาธิใบไม้ในปอด (Lung flukes)

    ส่วนกรณีที่บอกว่า "กุ้ง Lobster เล็ก" ถูกเลี้ยงไว้เพื่อกำจัดขยะต่างๆ ในบ่อบำบัดน้ำเสียนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะกุ้งพวกนี้สามารถพบได้ทั่วโลก บางประเทศยังเลี้ยงเป็นฟาร์มเพื่อเอาเนื้อมาขายหรือส่งออกอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงกุ้งเหล่านี้ไว้เพื่อประดับตู้ปลาสวยงามมากกว่าเอาไว้บริโภค

    อย่างไรก็ตาม นายอนุวัฒน์ นทีวัฒนา ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และฟื้นฟู กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพ กรมประมง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปกติแล้วการเลี้ยงกุ้งในบ่อเลี้ยงนั้น จะเป็นระบบปิดที่ใช้ทั้งเครื่องมือบำบัดน้ำเสีย และใช้สิ่งมีชีวิตบำบัด เช่น ปลาทู หอยแมลงภู่ หรือปลิงทะเล สัตว์เหล่านี้จะดูดซับสารพิษ และสารตกค้างในบ่อกุ้งได้ดี ไม่มีใครนิยมนำมากิน เพราะสะสมสารพิษไว้มาก แต่ไม่เคยได้ยินว่าใช้กุ้งเป็นตัวบำบัดน้ำเสียเสียเอง เพราะปกติกุ้งจะอยู่ได้ในน้ำสะอาดเท่านั้น

    [​IMG]สำหรับเมนูอาหาร "กุ้ง" ที่อาจจะเสี่ยงเป็น "โรคพยาธิใบไม้ในปอด" อาทิ

    - กุ้งแช่เหล้า ในจีน (Drunken crab)
    - กุ้งแช่เหล้า ที่คนฟิลิปปินส์ ชอบกิน
    - Gye muchim อาหารเกาหลีที่เอากุ้งดิบๆ มาทำ
    - ซูชิกุ้ง ของญี่ปุ่น

    สรุปคือ "กุ้ง Lobster เล็ก" บริโภคได้ แต่ต้องทำให้สุกก่อนรับประทานเป็นดีที่สุดค่ะ


    สำหรับข้อความ Forward mail ที่ส่งต่อๆ กัน มีเนื้อหาระบุดังนี้...

    ด่วน-กุ้งลักษณะนี้ห้ามกินเด็ดขาด

    ระวัง!!! กุ้งลักษณะนี้ไว้ให้ดีนะคะ..ดูคล้าย Mini Lobster แต่...ไม่ใช่ค่ะ !!! กุ้งเหล่านี้ถูกเลี้ยงไว้เพื่อกำจัดขยะต่างๆ ในบ่อบำบัดน้ำเสีย ยิ่งน้ำสกปรกมากเท่าไร...กุ้งเหล่านี้ก็จะยิ่งเจริญเติบโตเร็วมากขึ้นเท่านั้น ปอดของมันเต็มไปด้วยพยาธินานาชนิด เนื้อของมันก็อุดมไปด้วยพิษโลหะ คงจะพวกพ่อค้าที่ไร้จริยธรรมนั่นแหละ ที่นำกุ้งเหล่านี้มาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค

    จำไว้ให้ดีว่า อย่าสั่งกุ้งเหล่านี้มารับประทานอย่างเด็ดขาด และช่วยส่งต่อเรื่อง "กุ้ง Lobster เล็ก" นี้ไปให้เพื่อนๆ ของคุณที่อาจจะอยากลองทานรับทราบด้วยนะคะ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชน
    [​IMG]
    nicaonline.com
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 19 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 15 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, Bosos, :::เพชร:::+, nongnooo+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ซาหวัดดีคับ แก๊งสามเกลอ หุหุหุ

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อนุโมทนาด้วยครับ..
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริ / วินิจ รังผึ้ง
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 มิถุนายน 2552 17:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย : วินิจ รังผึ้ง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=470 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=470>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> “...การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้นจะไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักพยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามสมบูรณ์ไม่ได้...”

    ผมขออัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2506 ที่ทรงพระราชทานแนวทางการทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติ ซึ่งเป็นงานหนักที่ต้องอาศัยความทุ่มเทความรู้ ความสามารถและความตั้งใจจริง แม้การกระทำนั้นจะไม่ค่อยมีใครมองเห็นซึ่งเป็นเสมือนการ “ปิดทองหลังพระ” แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีคนทำ มีคนเสียสละและมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งดูเหมือนแนวพระราชดำริการทำงานเพื่อส่วนรวมแบบปิดทองหลังพระนั้นดูเหมือนสังคมเราจะขาดแคลนคนเสียสละ หรือคนที่ตั้งหน้าตั้งตาปิดทองหลังพระกันจริงๆ

    และในทางตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ค่อยมีใครเสียสละปิดทองหลังพระกันแล้ว กลับยังจะมีคนประเภท ทำงาน บริหารงาน บริหารบ้านเมืองแบบขูดทองจากด้านหน้าองค์พระประธานเพื่อกอบโกยเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตนกันอย่างหน้าด้านๆ อย่างไม่อายฟ้าดินกันเข้าไปทุกที การกระทำอันน่าละอายที่ทำร้ายชาติบ้านเมืองเช่นนี้ ในยุคสมัยกรรมติดจรวด วันหนึ่งในเวลาอันใกล้คนเหล่านั้นก็คงจะได้ชดใช้กรรมชั่วที่ตัวก่อขึ้นอย่างแน่นอน

    กำลังจะเล่าถึงโครงการดีๆ กับปรัชญาการทำงานที่เป็นแบบอย่างของความเสียสละและทุ่มเทให้กับส่วนรวมที่น่าน้อมนำมาปฏิบัติ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องแวะไปกล่าวถึงพฤติกรรมการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของฝ่ายการเมืองที่ดูจะเลวร้ายลงไปทุกวันไม่ได้ ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับพี่น้องประชาชนว่าคงจะต้องช่วยกันคัดสรรผู้แทนดีที่ พรรคการเมืองดีๆ มีคุณภาพ ไม่โกงชาติโกงบ้านเมืองเข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่เช่นนั้น ประชาชนที่เลือกเข้ามานั่นแหละจะต้องเป็นผู้รับผลกรรมในสิ่งที่ตนทำ ในสิ่งที่ตนเลือกเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    แนวทางการทำงานอย่างทุ่มเทและเสียสละเพื่อส่วนรวมแบบปิดทองหลังพระตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่น้อมนำไปถือปฏิบัติเป็นแนวทาง ไม่เช่นนั้นประเทศชาติของเราก็คงไม่เจริญก้าวหน้าและพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ และผู้คนรวมทั้งหน่วยงานที่ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวมแบบปิดทองหลังพระนี้ ก็จะยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไปแม้ผู้คนทั่วไปอาจจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงกระบวนการของการทำงานที่ทุ่มเทเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมเหล่านั้นก็ตาม

    การทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็นับเป็นแบบอย่างของการทำงานแบบปิดทองหลังพระเช่นกัน เพราะโครงการพระราชดำริที่เป็นประโยชน์แก่พสกนิกรที่มีมากมายกว่า 3,000 โครงการ ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ซึ่งโครงการพระราชดำรินั้นได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในทุกหมู่เหล่า ทุกชนชั้นของสังคม และทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการหลวงที่ได้ช่วยแก้ปัญหาแก่ประชาชนในถิ่นทุรกันดารกลางป่าเขาให้เลิกปลูกฝิ่นเพื่อแก้ปัญหายาเสพติด และส่งเสริมให้ปลูกพืชทดแทนเพื่อให้เกิดรายได้ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งดำเนินไปพร้อมๆ กับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำลำธาร เป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์และความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดินสู่ชุมชนเกษตรในพื้นราบ อันเป็นการสกัดกั้นปัญหายาเสพติดที่จะระบาดเข้ามาสู่เมืองใหญ่ ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนไปในตัว

    หรืออย่างโครงการแก้ปัญหาชลประทาน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับการชลประทานที่เป็นหัวใจแก่การเกษตรอย่างยิ่ง จึงทรงพระราชทานโครงการชลประทานเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศให้เกษตรกรได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างกว้างขวาง และพระองค์ท่านยังทรงห่วงใยแม้นแต่พสกนิกรในเมืองที่ประสบความทุกข์ยากจากปัญหาน้ำท่วม เช่นในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งพระองค์ทรงศึกษาและพระราชทานแนวพระราชดำริโครงการแก้มลิง หรือโครงการใหญ่ๆอย่าง โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่จังหวัดลพบุรี โครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล ที่จังหวัดนครนายก ซึ่งสามารถจะเก็บกักน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และค่อยๆระบายน้ำสู่ระบบชลประทานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่การเกษตรในยามน้ำแล้งได้อย่างดียิ่ง ซึ่งทั้งเกษตรกรและพวกเราที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯมหานครล้วนได้รับผลดีจากโครงการ เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ๆในกรุงเทพฯ มาจนปัจจุบัน

    โครงการพระราชดำริที่มีมากมายกว่า 3,000 โครงการ ล้วนเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยอย่างสูงยิ่ง ซึ่งไม่สามารถจะกล่าวรายละเอียดหรือแค่เพียงยกตัวอย่างให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ยากยิ่งแล้ว นั่นยิ่งสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพและการทุ่มเททรงงานหนักของพระองค์ท่านเพื่อพสกนิกรของพระองค์ กับความทุ่มเทของหน่วยงานและบุคลากรที่น้อมนำและทำงานเพื่อสนองโครงการตามพระราชดำริที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ และความทุ่มเท กับระยะเวลาอีกยาวนานจึงจะสามารถฝ่าฟันไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งก็ล้วนเป็นการทำงานแบบปิดทองหลังพระที่ยากจะมีผู้คนรับรู้ทั้งสิ้น

    ในปี 2550 อันเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระพรรษา 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(สสปน.) ได้จัดทำโครงการ “ปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริ” ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป ได้มีโอกาสเข้าไปเที่ยวชมและสัมผัสความสวยงามในพื้นที่โครงการพระราชดำริ พร้อมๆกับการเรียนรู้แนวพระราชดำริในด้านต่างๆ เพื่อนำกลับมาเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน การประกอบอาชีพ และเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ซึ่งการจัดทำโครงการปิดทองหลังพระ เรียนรู้โครงการพระราชดำริในช่วงแรก (2550-2551) นั้นประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง เพราะมีทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนผู้สนใจเดินทางไปเยี่ยมชมและศึกษาโครงการพระราชดำริต่างๆมากถึงกว่า 2 ล้านคนซึ่งหลายๆคนได้ความรู้ประสบการณ์ใหม่ๆมาประกอบวิชาชีพ ได้แนวทางและกำลังใจในการทำงานอย่างเสียสละและทุ่มเทกลับมายึดถือปฏิบัติ

    เมื่อโครงการปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริประสบความสำเร็จ รัฐบาลจึงได้จัดสรรงบประมาณมาขยายโครงการขั้นที่ 2 ต่ออีก 3 ปี โดยเริ่มต้นจากปี 2552-2554 เพื่อเป็นการสานต่อการศึกษาเรียนรู้ของประชาชนในโครงการพระราชดำริ ซึ่งการขยายโครงการก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในยุควิกฤตเศรษฐกิจที่ผู้คนกำลังเดือดร้อนจากผลกระทบของวิกฤตการณ์ดังกล่าว หลายๆคนได้เข้าไปท่องเที่ยว เข้าไปศึกษาอบรมและดูงานในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรื่องน้ำในการเกษตร การทำเกษตรแบบผสมผสาน การเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ การเพาะเห็ด การปลูกพืชผักเมืองหนาว และความรู้ในแขนงต่างๆอีกมากมาย นอกจากจะได้เข้าไปอบรม ดูงานแล้วหลายๆคนยังได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรตัวอย่างผู้ประสบผลสำเร็จในการทำการเกษตรตามแนวพระราชดำริอีกด้วย

    โครงการปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวเรียนรู้โครงการพระราชดำริ ในช่วงที่ 2 นี้ ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการซึ่งเป็นแม่งานหลัก กำลังเร่งจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวที่จะมานำเสนอกับผู้สนใจ โดยจะเน้นพื้นที่โครงการพระราชดำริที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นจุดหลัก และจะผนวกเอาแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงเข้าไปเป็นจุดสนใจร่วมในโปรแกรมเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของเส้นทางท่องเที่ยว และจะมุ่งเน้นกิจกรรมการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว เช่นการการร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อความร่มเย็นของผืนแผ่นดินและสภาพแวดล้อม หรือกิจกรรมสาธารณประโยชน์กับชุมชนและส่วนรวม เพื่อให้เกิดสำนึกของความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตามแนวพระราชดำริของการทำงานแบบปิดทองหลังพระ ซึ่งนอกจากกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวและประชาชนผู้สนใจทั่วไปแล้ว ทาง สสปน.ยังจะเน้นไปยังกลุ่มประชุมสัมมนาตามหน่วยงานต่างๆและบริษัทห้างร้านเอกชน ให้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชม ศึกษาดูงาน เพื่อจะได้เห็นได้สัมผัสถึงแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงงานหนักเพื่อประชาชนคนไทยมาโดยตลอด และจะได้ร่วมปิดทองหลังพระกันคนละไม้คนละมือเพื่อประเทศชาติและผืนแผ่นดินไทยที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    Updated บุญธรรมทานสร้างหนังสือประวัติวัดทรายงาม จ.จันทบุรี ธรรมเทศนาเมตตากถา ปฏิปทา และธรรมะของหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปวัดทรายงาม จ.จันทบุรี เดิมเป็นสำนักสงฆ์ ปี พ.ศ.๒๔๘๐ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่ปฏิบัติในแนวทางของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์จดทะเบียนเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก(พระอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรมในสายของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ช่วง 3 ปีนี้หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ก็ยังได้จำพรรษาที่วัดทรายงามนี้ หลังจากนั้นท่านได้ติดตามพระอาจารย์มั่น ไปยังสกลนคร และได้ชื่อว่าเป็นพระผู้ดูแลเครื่องอัฏฐบริขารของหลวงปู่มั่น ปัจจุบันกุฏิของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ก็ยังคงมีอยู่ที่วัดทรายงามแห่งนี้..

    ผม และพี่ท่านหนึ่งได้เอ่ยปากขอรับหนังสือประวัติวัดทรายงามกับท่านเจ้าอาวาส ท่านก็ได้กล่าวว่า "หนังสือไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหามานานแล้ว มีสิ่งปลูกสร้างเช่นพระมหาเจดีย์ก็ยังไม่ได้บรรจุไว้ในหนังสือ เพราะไม่มีคนบริจาค" เมื่อผม และพี่ท่านนี้ได้เห็นสภาพหนังสือเก่านี้ก็เอ่ยปากขอรับเป็นเจ้าภาพหนังสือประวัติวัดทรายงาม หนังสือเล่มนี้พิมพ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๖ เป็นหนังสือพระธรรมเทศนาเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ พระครูญาณวิโรจน์พิมพ์ในงานฉลองพระประธานศาลาอริยวงศาคตญาณ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯประทานพระพุทธอริยญาณ วิโรจนาการมงคลให้เป็นพระประธาน วัดทรายงามแห่งนี้ โดยที่ท่านเจ้าอาวาสได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อมูลประวัติวัดสมบูรณ์ขึ้น เพื่อเผยแผ่ให้ญาติโยมที่สนใจในประวัติ และธรรมเทศนาต่อไป

    และจะเป็นเรื่องโดยบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบที่บันดาลให้ไปพบเรื่องราวนี้ และหากสามารถจัดพิมพ์ได้ทันในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒นี้ก็จะได้ถวายให้พระท่านในเดือนครบรอบปีที่ ๗๑ ของการขึ้นทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๔๘๑ และสิ่งสำคัญคือเป็นธรรมทานที่พระท่านบอกว่าไม่มีผู้บริจาคหนังสือประวัติวัดให้กับทางวัดในช่วง ๓๗ ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้ให้ธรรมทานกับวัดที่ขาดแคลนจริงๆ อีกทั้งหนังสือเล่มนี้ ได้มีบทเมตตากถา ที่พระเทพวราภรณ์(วิชมัย) วัดบวรนิเวศวิหารได้แสดงกัณฑ์อุโบสถไว้ ความโดยย่อว่า
    "...เมตตา 3 ทางคือ เมตตาทางกายกรรม ทางวจีกรรม ทางมโนกรรม ถ้าเจริญให้มาก เมตตาอยู่เนืองๆ สั่งสมอบรมปรารภด้วยดี ย่อมมีอานิสงค์ทำลายอุปธิกิเลสตัวใน ธรรมชาติเข้าไปทรงไว้ซึ่งทุกข์ มี ๔ อย่าง คือ

    ๑. ขันธูปธิ กิเลสเข้าไปยึดขันธ์
    ๒. กิเลสูปธิ กิเลสเข้าไปยึดตัณหา มานะฯ
    ๓. อภิสังขารารูปธิ กิเลสเข้าไปยึดภพ
    ๔. กามูปธิ กิเลสเข้าไปยึดกาม

    ทำให้สังโยชน์๑๐(กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะ อวิชชา) กิเลสตัวนอกเหล่านี้เบาบางลงโดยลำดับ สังโยชน์เรียงตามลำดับที่อริยมรรคเข้าตัดทำลาย..."

    .....ในสมัยหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วยเทวดาหมื่นจักรวาลมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงน้อมนมัสการทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "การให้อะไร ชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งอะไร ชนะรสทั้งปวง ความยินดีในอะไร ชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งอะไร ชนะทุกข์ทั้งปวง"

    .....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า

    .....สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
    .....สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
    .....การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    .....รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
    .....ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
    .....ความสิ้นไปแห่งตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง
    .....ผู้ใดให้ธรรมเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย


    ท่านใดที่ประสงค์จะร่วมบุญธรรมทานเพื่อสร้างหนังสือประวัติวัดทรายงาม และธรรมเทศนาเมตตากถานี้ก็ขอให้แสดงความประสงค์ในกระทู้ และแจ้งชื่อ และนามสกุลทางPM เพื่อจะได้รวบรวมรายชื่อผู้จัดสร้างเอาไว้ท้ายหนังสือ และขอให้โอนปัจจัยให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ นี้เพื่อดำเนินการจัดพิมพ์โดยใช้เวลาประมาณ ๗ วัน จากนั้นก็จะนำไปถวายวัดทรายงามได้ทันเดือนมิถุนายนนี้


    เข้าบัญชี คุณอภิวัฒน์ ชัฎอนันต์
    บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาไชยยศ
    เลขที่ 040-2-25999-6

    ขออนุโมทนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ยอดยกมาก่อนหน้านี้มียอดบริจาคธรรมทานนี้รวม 3,950 บาท

    คุณpsombat 1,000 บาท
    คุณnongnooo 200 บาท
    คุณnewcomer 100.48 บาท
    พี่ไฟดูด 1,000 บาท

    รวม 6,250.48 บาท
     
  9. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ถึงชาวคณะฯครับ
    ไม่ทราบว่ามีท่านใดที่เจอเหมือนผมบ้าง เหตุการณ์คือเมื่อสองเดือนก่อนขณะส่องดูเนื้อพระ ผมเจอมอดมันเข้าไปอยู่ในองค์พระหลวงพ่อทวดซึ่งเป็นเนื้อว่านสร้างราวปี 05 (ผมเลี่ยมแบบจับขอบ เจาะรู) ก็เลยไปถามช่างทองว่าต้องทำไง เขาบอกว่าเมื่อกลิ่นว่านหมดแล้ว มันคงออกมาเอง ผลก็คือมอดกันกินองค์พระสึกไปบ้างด้านหน้า มาเมื่อคืนเจออีก งานนี้เข้าไปในพระนางพญา ซึ่งอยู่ในพวงเดียวกัน องค์พระสึกด้านข้างเหมือนโดนกระเทาะ ผมก็ไม่รู้ทำไง เอาลมมาเป่าก็แล้ว เคาะๆก็แล้ว มันคงไม่ออกแน่ เห็นทีต้องเอาไปให้ช่างเขาแกะพลาสติกออกแล้วเลี่ยมใหม่อะครับ ก่อนที่ผมจะนำไปให้ช่างเขาเลี่ยมใหม่ ไม่ทราบว่ามีท่านใดที่มีวิธีที่ง่ายกว่านี้หรือเปล่าครับ อ่อ .. งานนี้ถ้าผมไม่เอามอดออกสงสัยเข้าไปกินเนื้อพระสมเด็จแน่ๆเลย เพื่อนๆพี่ๆน้องเอ๋ย :) ขอบคุณครับ.
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมเคยเจอกับหลวงปู่ทวด ปี97เหมือนกันครับ ผมใช้วิธีขออภัยกับเจ้ามอดก่อนแล้วนำองค์พระทั้งองค์แช่ลงในแอลกอฮอล์ครับสัก10นาทีหลังจากนั้นมาพึ่งลมให้แห้งเจ้าม๊อดก็หายไปเลยครับ อย่าลืมแผ่ส่วนบุญให้เค้าด้วยครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีการแก้ไข(ของพี่ไฟดูด)

    ให้ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ แล้วทาที่องค์พระ

    หรือ
    ใช้น้ำมันจันทร์ทา (วิธีนี้หากไม่สนใจเรื่องของการนำพระไปซื้อขาย ก็ใช้ได้)

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่าลืมขอขมาองค์พระ,องค์ผู้อธิษฐานจิตและเทวดาด้วยนะครับ

    แถมเรื่องของแอลกอฮอล์

    แอลกอฮอล์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา



    โครงสร้างของแอลกอฮอล์


    ในทางเคมี แอลกอฮอล์ คือสารประกอบอินทรีย์ ที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) ต่อกับอะตอมคาร์บอนของหมู่แอลคิลหรือหมู่ที่แทนแอลคิล สูตรทั่วไปของแอลกอฮอล์แบบอะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอน (สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นสายตรง) คือ C<SUB>n</SUB>H<SUB>2n+1</SUB>OH
    โดยทั่วไป แอลกอฮอล์ มักจะอ้างถึงเอทานอลเกือบจะเพียงอย่างเดียว หรือเรียกอีกอย่างว่า grain alcohol ซึ่งเป็นของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และสามารถระเหยได้ ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาล นอกจากนี้ยังสามารถใช้อ้างถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นที่มาของคำว่าแอลกอฮอลิซึ่ม (โรคติดแอลกอฮอล์)
    เอทานอลเป็นยาเสพติดที่มีฤทธิ์กดประสาท ที่ลดการตอบสนองของระบบประสาทส่วนกลาง แอลกอฮอล์ชนิดอื่น ๆ จะอธิบายด้วยคำวิเศษณ์เพิ่มเติม เช่น isopropyl alcohol (ไอโซโพรพิล แอลกอฮอล์) หรือด้วยคำอุปสรรคว่า -ol เช่น isopropanol (ไอโซโพรพานอล)

    อ้างอิง

    • Metcalf, Allan A. (1999), The World in So Many Words, Houghton Mifflin, ISBN 0395959209
    แหล่งข้อมูลอื่น

    <TABLE style="CLEAR: both; BORDER-RIGHT: #90a0b0 1px solid; BORDER-TOP: #90a0b0 1px solid; FONT-SIZE: 90%; BACKGROUND: #fcfcfc; MARGIN: 10px 0px 0px; BORDER-LEFT: #90a0b0 1px solid; WIDTH: 100%; BORDER-BOTTOM: #90a0b0 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=40></TD><TD style="COLOR: #696969" align=left>แอลกอฮอล์ เป็นบทความเกี่ยวกับ เคมี ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ แอลกอฮอล์ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ หรือ ดูเพิ่มที่ สถานีย่อย:เคมี</SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 37/1000000Post-expand include size: 3383/2048000 bytesTemplate argument size: 275/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:38532-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090610022509 -->ดึงข้อมูลจาก "แอลกอฮอล์ - วิกิพีเดีย".
    หมวดหมู่: เคมี | บทความเกี่ยวกับ เคมี ที่ยังไม่สมบูรณ์



    ที่มา แอลกอฮอล์ (alcohol)

    <TABLE align=center border=1><TBODY><TR><TD width=590 bgColor=#f9f9ca height=22>สู ต ร แ ล ะ ก า ร อ่ า น ชื่อ แ อ ล ก อ ฮ อ ล์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE borderColor=white borderColorDark=white width=624 borderColorLight=white border=0><TBODY><TR><TD width=498 height=60>
    สูตรทั่วไปของแอลกอฮอล คือ [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1R-OH--> มีหมู่ไฮดรอกซิล ([​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1-OH--> ) เป็นหมู่ฟังก์ชัน ตัวอย่างเช่น [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1CH_{3}OH--> , [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1C_{2}H_{5}OH-->

    </TD><TD width=110 height=60>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    การอ่านชื่อ 1. ตามระบบ common name เรียกชื่อหมู่แอลคิล แล้วตามด้วยคำว่า แอลกอฮอล์ (alcohol)2. ตามระบบ IUPAC เรียกชื่อตามจำนวนคาร์บอนอะตอม จากนั้นลงท้ายด้วยคำว่า อานอล ( anol )
    [​IMG] ตั ว อ ย่ า ง ก า ร อ่ า น ชื่อ แ อ ล ก อ ฮ อ ล์ [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD width=192 bgColor=#f5d9f5>สูตรโมเลกุล
    </TD><TD width=192 bgColor=#f5d9f5>ชื่อสามัญ(common name)
    </TD><TD width=192 bgColor=#f5d9f5>ชื่อตามระบบ IUPAC
    </TD></TR><TR><TD width=192 bgColor=#e0e0f2>[​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1CH_{3}OH-->
    </TD><TD width=192 bgColor=#e0e0f2>methyl alcohol
    </TD><TD width=192 bgColor=#e0e0f2>methanol
    </TD></TR><TR><TD width=192 bgColor=#f5d9f5>[​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1C_{2}H_{5}OH-->
    </TD><TD width=192 bgColor=#f5d9f5>ethyl alcohol

    </TD><TD width=192 bgColor=#f5d9f5>ethanol
    </TD></TR><TR><TD width=192 bgColor=#e0e0f2>[​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1C_{3}H_{7}OH-->
    </TD><TD width=192 bgColor=#e0e0f2>propyl alcohol

    </TD><TD width=192 bgColor=#e0e0f2>propanol
    </TD></TR><TR><TD width=192 bgColor=#f7d4f2>[​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1C_{4}H_{9}OH-->
    </TD><TD width=192 bgColor=#f7d4f2>butyl alcohol

    </TD><TD width=192 bgColor=#f7d4f2>butanol

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ในกรณีที่โครงสร้างของแอลกอฮอล์เป็นโครงสร้างโซ่กิ่ง การอ่านชื่อ มีหลักการคือ อ่านชื่อโซ่หลัก ซึ่งเป็นโซ่คาร์บอนที่ยาวที่สุด
    และมีหมู่ฟังก์ชันอยู่ด้วยก่อน จากนั้นจึงอ่านโซ่กิ่ง การบอกตำแหน่งโซ่กิ่งจะนับจากคาร์บอนโซ่หลักที่ติดกับหมู่ฟังก์ชันเป็นตำแหน่ง
    ที่หนึ่งเสมอ เขียนเรียงลำดับดังนี้ ตำแหน่งโซ่กิ่ง ชื่อโซ่กิ่ง และชื่อโซ่หลัก ตัวอย่างเช่น
    [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1CH_{3}--> - [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1CH--> [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1\left(CH_{3}\right)--> - [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1CH_{2}--> - [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1CH_{2}--> - [​IMG]<!--NAMO_EQN__ 160 1OH--> อ่านว่า 3 – methyl butanol
    4 3 (โซ่กิ่ง) 2 1
    หมายเหตุ 1- 4 คือตำแหน่งโซ่หลัก ในวงเล็บ คือ ตำแหน่ง โซ่กิ่ง



    ประวัติความเป็นมาของแอลกอฮอล์

    <O:phttp://www.ipst.ac.th/thaiversion/publications/in_sci/histry_liquor.doc</O:p
    <O:p</O:p
    นักมานุษยวิทยายังไม่พบหลักฐานที่แสดงให้เรารู้แน่ชัดว่ามนุษย์เริ่มรู้จักดื่มแอลกอฮอล็ตั้งแต่เมื่อใดแต่นักวิทยาศาสตร์นั้นได้รู้ว่าธรรมชาติรู้จักสร้างเครื่องดื่มประเภทนี้มานานนับล้านปีแล้วเพราะเวลาเชื้อมัก (yeast) ที่อาศัยอยู่ในผลไม้เริ่มย่อยอาหารมันจะเปลี่ยนน้ำตาลที่มีในผลไม้ให้เป็นอาหารของมันแล้วปลดปล่อยของเสียเช่นคาร์บอนไดออกไซด์และ ethyl alcohol หรือ ethanol ออกมาเมื่อ ethanol มีความเข้มข้นมากขึ้นๆถึง 16% ยีสต์ก็จะตาย ethanol ที่มีก็จะทำให้ของเหลวเป็นแอลกอฮอล์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์อาจรู้จักดื่มแอลกอฮอล์โดยบังเอิญได้ดื่มน้ำผึ้งที่ถูกปล่อยทิ้งในอากาศนานๆและพบวิธีทำแอลกอฮอล์โดยใช้วิธีหมักผลไม้เป็นเวลานานๆก็สามารถมีแอลกอฮอล์ไว้ดื่มกินได้ทันทีและเมื่อได้ประจักษ์ว่าแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่กระตุ้นเร้าจิตใจได้ดีเทคโนโลยีการทำแอลกอฮอล์จึงได้ถูกถ่ายทอดสืบต่อๆกันมา<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในวารสาร Scientific American ฉบับเดือนมิถุนายนพ.ศ.2543 B.L. Vallee แห่งffice:smarttags" /><ST1:place w:st="on"><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]Harvard</st1:placeName> <st1:placeName w:st="on">Medical</st1:placeName> <st1:placeType w:st="on">School</st1:placeType></ST1:place>ได้รายงานประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มนุษย์เริ่มรู้จักในฐานะเครื่องดื่มที่สามารถรักษาสุขภาพแต่ในเวลาต่อมาก็ได้ตระหนักว่ามันสามารถทำให้ผู้ดื่มเสียบุคลิกและฐานะทางสังคมรวมทั้งอาจสูญเสียชีวิตด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    Vallee ได้กล่าวว่าในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนนี้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่มีความสำคัญต่อมนุษย์มากจนอาจเปรียบวารีแห่งชีวิตก็ยังได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในความเข้าใจของคนทั่วไปเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้แก่เบียร์และเหล้าองุ่นซึ่งการที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักทำเบียร์ได้นั้นมนุษย์ต้องรู้จักปลูกข้าวก่อนเพราะปัจจัยในการทำเบียร์คือข้าวและประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกว่าบนสองฟากฝั่งของแม่น้ำ Nile ในอียิปต์และ Tygist กับEuphrates ในอิรักมีการทำนาข้าวสาลีและข้าวบาเลย์มากมายซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็ได้พบหลักฐานที่แสดงว่าชาวอียิปต์และชาวบาบิลอนได้รู้จักดื่มเบียร์ที่ทำจากข้าวสาลีและข้าวบาเลย์เมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้วส่วนเหล้าองุ่นนั้นก็เป็นแอลกอฮอล์อีกประเภทหนึ่งที่เกิดจากการที่มนุษย์รู้จักทำเกษตรกรรมและนักประวัติศาสตร์ก็ได้พบว่าชาวArmenia เป็นชนชาติแรกที่รู้จักปลูกองุ่นเมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อนนี้เช่นกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกษตรกรรมได้ทำให้มนุษย์ในสมัยโบราณมีอาหารเกินความต้องการมนุษย์จึงต้องขวนขวายหาวิธีเก็บรักษาเมล็ดข้าวและพืชผักที่เหลือจากการบริโภคและเมื่อปริมาณอาหารมีมากขึ้นผู้คนก็ได้อพยพมาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มมากขึ้นปัญหาสังคมก็เริ่มเกิดเพราะระบบสาธารณสุขในสังคมเมื่อ 2,000 ปีก่อนนี้ด้อยคุณภาพเช่นไม่มีน้ำบริสุทธิ์ที่จะบริโภคและเมื่อผู้คนในหมู่บ้านทิ้งขว้างขยะหรือของเสียอย่างไม่เลือกที่น้ำในหมู่บ้านจึงมีสารปนเปื้อนเจืออยู่การบริโภคน้ำที่ไม่สะอาดทำให้อหิวาต์ระบาดซึ่งมีผลทำให้ผู้คนล้มตายมากมายเราทุกวันนี้คงไม่รู้ว่าในอดีตที่นมนานมากนั้นการไม่มีน้ำบริสุทธิ์จะดื่มกินทำให้การเดินทางรอนแรมไกลๆเป็นไปไม่ได้และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ Columbus ประสบความสำเร็จในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพราะเขาได้บรรทุกเหล้าองุ่นปริมาณมากมายไปเป็นเสบียงในการเดินทาง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้นเมื่อไม่มีน้ำสะอาดจะดื่มกินผู้คนจึงต้องหันไปดื่มethyl แอลกอฮอล์แทนเพราะการมีคุณสมบัติกรดเล็กน้อยของแอลกอฮอล์ได้ฆ่าเชื้อโรคในมันจนหมดสิ้นการดื่มแอลกอฮอล์จึงปลอดภัยและเมื่อผู้ดื่มได้พบว่าแอลกอฮอล์ทำให้ผู้ดื่มกระชุ่มกระชวยแอลกอฮอล์จึงเปรียบเสมือนวารีทิพย์สำหรับคนทุกคนในสมัยโบราณและเป็นที่นิยมกันทั่วไปซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้เห็นหลักฐานความนิยมนี้จากแผ่นดินเหนียวที่ถูกแกะสลักเป็นตัวอักษรแสดงสูตรการทำเบียร์ของชาว<st1:City w:st="on"><ST1:place w:st="on">Babylon</ST1:place></st1:City><O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนชาวตะวันออกไม่มีวัฒนธรรมการดื่มเช่นนี้ตลอดระยะเวลา 2,000 ปีที่ผ่านมาคนตะวันออกรู้จักดื่มแต่ชาซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปนการไม่รู้จักดื่มมาแต่ในอดีตทำให้ร่างกายคนตะวันออกราว 50 % ขาดเอ็นไซม์ที่จะใช้ในการย่อยแอลกอฮอล์ดังนั้นคนเหล่านี้เวลาดื่มแอลกอฮอล์เข้าร่างกายเขาจะไม่รู้สึกรื่นรมย์แต่อย่างใด<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เพราะเหตุว่าเครื่องดื่มที่ชาวตะวันตกนิยมดื่มมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์น้อยและมีกรดacetic มากอีกทั้งกลิ่นของเครื่องดื่มก็ชวนอาเจียนดังนั้นนักดื่มยุคโบราณจึงได้พยายามพัฒนาเครื่องดื่มเหล่านี้ในด้านรสและใช้ดื่มเฉพาะในยามกระหายมากกว่าที่จะดื่มให้เมาและเมื่อได้พบว่าทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์เขาก็ไม่ตาย (ซึ่งถ้าดื่มน้ำแล้วจะตาย) และในแอลกอฮอล์มีวิตามินและเกลือแร่ด้วยแอลกอฮอล์จึงสามารถใช้แทนอาหารได้บ้างในเวลาเกิดทุพภิกขภัยในท้องที่ที่ตนอาศัยอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้วคนโบราณยังดื่มแอลกอฮอล์เอทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวยทำให้อาการเหนื่อยล้าลดลงหรือเวลาไม่มียารักษาโรคเขาก็จะดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดซึ่งชาว Sumerian ผู้เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 4,100 ปีก่อนนี้ในแถบเอเซียกลางก็ได้เคยบันทึกว่ามีการใช้แอลกอฮอล์เป็นยารักษาโรคทั่วไปและแม้กระทั่งบิดาของวิทยาการแพทย์ชื่อHippocrates ก็ได้เคยใช้เหล้าองุ่นเป็นยารักษาโรคเรื้อรังต่างๆและโรงเรียนแพทย์ที่นคร <st1:City w:st="on"><ST1:place w:st="on">Alexandria</ST1:place></st1:City> ก็มีการใช้แอลกอฮอล์เป็นยาเช่นกันและแม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิลก็ได้กล่าวบรรยายอภินิหารของพระเยซูว่าได้ทรงแปลงน้ำธรรมดาเป็นเหล้าองุ่นให้ประชาชนดื่มกินซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหล้าองุ่นดีกว่าน้ำ (ที่ไม่สะอาดในยุคนั้น)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ถึงแม้ความเชื่อในสรรพคุณของเหล้าองุ่นว่ามีคุณค่าทางยาสามารถทำให้ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดทำให้จิตใจสงบดับความกระวนกระวายใจทำให้ผิวของผู้ดื่มดีรักษาโรคศีรษะล้านฆ่าไรและเหาทำให้คนมีความจำดีจะมีมากสักเพียงใดก็ตามแต่ก็มีคนหลายคนในยุคนั้นที่ตระหนักถึงในการดื่มมากถ้าคนดื่มเป็นโรคพิษแอลกอฮอล์เรื้อรังแต่เมื่อไม่มีเครื่องดื่มอื่นใดที่ปลอดภัยจะดื่มผู้คนในยุคกลางจึงยังคงนิยมดื่มเบียร์และเหล้าองุ่นต่อไปไม่ว่าศาสนาและการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายสักปานใดก็ตามทัศนคติของคนยุโรปต่อเบียร์และเหล้าองุ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่แล้วความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็ได้ทำให้สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับแอลกอฮอล์เปลี่ยนแปลงเพราะได้มีการพบวิธีทำให้แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มมีความเข้มข้นสูงขึ้นเพราะตลอดเวลา 9,000 ปีหลังจากที่มนุษย์รู้จักทำเบียร์แลเหล้าองุ่นแล้วมนุษย์ก็ได้พบว่าเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้ต่างก็มีปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวน้อยคือไม่เกิน16% เพราะเมื่อyeast ตายแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มก็หยุดเพิ่มดังนั้นเมื่อชาวอาหรับรู้จักประดิษฐ์วิธีกลั่นในราวปีพ.ศ.1240 เทคโนโลยีนี้สามารถทำให้เครื่องดื่มมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงกว่า16% ได้ประเพณีและวัฒนธรรมการบริโภคแอลกอฮอล์ของพลโลกก็เริ่มเปลี่ยนเทคนิคนี้อาศัยหลักความจริงที่ว่าแอลกอฮอล์ตามปกติมีจุดเดือดที่อุณหภูมิ78 องศาเซลเซียสในขณะที่น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสดังนั้นการต้มน้ำผสมกับแอลกอฮอล์จะทำให้ไอน้ำมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงและการกลั่นไอน้ำเป็นหยดน้ำในเวลาต่อมาจะทำให้เราได้ของเหลวที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงยิ่งกว่าเมื่อตอนเริ่มต้นของเหลวผสม
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เทคโนโลยีการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงนี้ได้แพร่สู่อิตาลีในราวปีพ.ศ.1600 และโลกก็ได้เริ่มมีปัญหาการมีคนติดแอลกอฮอล์ตั้งแต่นั้นมาในหนังสือชื่อLiber de arte distillandi ที่ Hieronymus Brunschwig แต่งได้อธิบายเทคนิคการกลั่นแอลกอฮอล์อย่างละเอียดทำให้หนังสือเล่มนี้ขายดิบขายดีเพราะผู้คนได้พากันใช้เทคนิคนี้ Brunschwig เสนอแนะในการต้มกลั่นแอลกอฮอล์สำหรับบริโภคเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อยุโรปถูกกาฬโรคคุกคามในราวพุทธศตวรรษที่ 19 ทำให้ผู้คนล้มตายถึง 60% ถึงแม้ว่าแอลกอฮอล์จะช่วยรักษาใครไม่ได้แต่มันก็ได้ทำให้คนป่วยรู้สึกมีพละกำลังซึ่งเมื่อแพทย์ในสมัยนั้นได้เห็นผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงและมีอารมณ์แจ่มใสขึ้นแพทย์ก็รู้สึกศรัทธาในแอลกอฮอล์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากที่ถูกกาฬโรคคุกคามในครั้งนั้นได้ทำให้คนยุโรปมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นและเมื่อผู้คนผ่านความยากลำบากอย่างเอาชีวิตแทบไม่รอดมาได้ลัทธิการแสวงหาความสุขและการอวดร่ำรวยโดยการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาบริโภคอย่างมากมายก็เริ่มแพร่หลายและถึงแม้จะมีผู้คนเมามายเพราะดื่มแอลกอฮอล์มากสักปานใดชาติต่างๆก็ยังไม่มีกฎหมายห้ามดื่มจนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 22 เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อันได้แก่กาแฟชาช็อกโกแลตเริ่มแพร่หลายผู้คนจึงไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากเหมือนในอดีตและเมื่อได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่าในน้ำที่ไม่บริสุทธิ์นั้นมีเชื้อโรคการต้มน้ำการกลั่นน้ำจะทำให้เรามีน้ำบริสุทธิ์ที่สามารถจะดื่มได้อย่างปลอดภัยผู้คนในยุโรปจึงมีตัวเลือกไม่ดื่มแอลกอฮอล์แต่เพียงอย่างเดียวและแล้วในปีพ.ศ. 2356 นั่นเอง T. Trotter แห่งEdinburgh College of Medicine ในอังกฤษได้รายงานว่าแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงสามารถฆ่าคนได้เพราะมันจะทำให้ตับแข็งผู้คนจึงได้พยายามเลิกดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่นั้นมาแล้วหันไปดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทุกวันนี้งานการค้นคว้าหาวิธีรักษาโรคแอลกอฮอล์เรื้อรังได้เป็นงานวิจัยที่มีความสำคัญมากงานหนึ่งเฉพาะในอเมริกามีคนเสียชีวิตด้วยพิษแอลกอฮอล์ปีละ 100,000 คนตัวเลขนี้แสดงให้เห็นอุบัติเหตุการตายที่มากเป็นอันดับสามรองจากบุหรี่และการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาดสถิติยังชี้บอกว่าทุกปีเด็กทารก 12,000 คนที่เกิดจากมารดาที่ดื่มแอลกอฮอล์จัดจะมีปัญหาสุขภาพและปัญหาด้านสติปัญญาก็ในเมื่อแพทย์ยังไม่มีวัคซีนและยาที่รักษาโรคพิษแอลกอฮอล์เรื้อรังการไม่บริโภคมันเลยตั้งแต่ต้นคือวิธีป้องกันที่ดีที่สุดและสำหรับคนที่ติดแอลกอฮอล์งอมแงมขณะนี้กำลังใจความรู้สึกด้านสรีรวิทยาของคนคนนั้นและธรรมชาติของแอลกอฮอล์ที่ติดเป็นปัจจัยสำคัญที่แพทย์ต้องใช้ในการรักษาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2009
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีเรื่องของการสื่อสารที่เข้าใจ(ไปกันคนละเรื่องเดียว)กันมาฝาก

    เมื่อวานตอนกลางวัน ผมกับน้องท่านนึง ฝากแม่บ้านที่ทำงานไปซื้อข้าว ผมให้น้องเขาสั่งข้าวหน้าเป็ดย่าง น้องเขาก็เขียน(ใส่กระดาษ)ไปว่า ข้าวหน้าเป็ด ซึ่งความเข้าใจของผมและน้องเขา ก็คือ ข้าวหน้าเป็ดย่าง แต่แม่บ้านที่ไปซื้อ ก็ไปซื้อข้าวหน้าเป็ด(ธรรมดา) มาให้

    พอขึ้นไปทานข้าว แกะกล่องออกมาดู ก็งงกันว่า สั่งข้าวหน้าเป็ดย่าง แต่ทำไมกลายเป็นข้าวหน้าเป็ด(ธรรมดา)ไป น้องเขาบอกว่า ก็สั่งข้าวหน้าเป็ดไปนี่ ผมก็เลยบอกว่า สั่งไปหรือเปล่าว่า เป็นข้าวหน้าเป็ดย่าง น้องเขาบอกว่า เปล่าครับพี่

    สรุปก็คือ การสื่อสารกันระหว่างบุคคล ต้องอธิบายให้ชัดเจน แจ่มแจ๋ว ไม่งั้นเดี๋ยว(สื่อสารกัน)พลาดเหมือนผมและน้องเมื่อวานนี้

    .
     
  14. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
  15. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    ร่วมบุญธรรมทานเพื่อสร้างหนังสือประวัติวัดทรายงาม และธรรมเทศนาเมตตากถา 400 บาทครับ
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นายนิคนี่สุดยอดครับ เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้มากจริงๆโดยเฉพาะกับสาวๆ หุ..หุ..
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    นำมาให้ชม 2 เรื่อง

    เรื่องแรก ผมอยากให้ทุกๆท่านได้ชมกัน ชีวิตเราต้องสู้ สู้ และ สู้ ครับ

    ส่วนเรื่องที่สอง หากท่านใดใจไม่กล้า ก็อย่าเปิดดูนะครับ สำหรับท่านที่เปิดดูก็ให้พิจารณาในทางธรรมครับ

    ที่มา Fwd Mail ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    1111.wmv
    1.82 MB, ดาวน์โหลด 5 ครั้ง

    2222.wmv
    3.13 MB, ดาวน์โหลด 7 ครั้ง


    แต่ผมสงสัยครับว่า เหตุใดโหลดหมากรุกไทยกันไปเยอะอ่ะ


    [​IMG]
    137.6 KB, ดาวน์โหลด 118 ครั้ง
    04-06-2009 06:46 PM


    [​IMG]
    133.1 KB, ดาวน์โหลด 59 ครั้ง
    09-06-209 07:43 PM


    [​IMG]
    132.9 KB, ดาวน์โหลด 60 ครั้ง
    09-06-209 07:43 PM
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เกิดเหตุสะเทือนขวัญ! มือมืดสาดน้ำกรดที่ฮ่องกง

    ʒ??铡ô ?ըΨͧ?? ?ӃǨŨҁ׍?荠?Դ?؊Р?׍??Ǒ?
    ที่มา กระปุก


    [​IMG]

    ฮ่องกงล่ามือมืด"สาดกรด" (ข่าวสด)

    สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานเมื่อ 9 มิถุนายน ถึงความคืบหน้าคดีสะเทือนขวัญ มือมืดโยนขวดน้ำกรดลงกลางถนนที่มีคนพลุกพล่านในเขตมงก๊ก ย่านธุรกิจการค้าสำคัญบนเกาะฮ่องกง มีผู้บาดเจ็บถึง 24 คน ว่า ตำรวจไล่ตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิด เพื่อหาร่องรอยของคนร้ายที่อยู่บนตึกใดตึกหนึ่งโดยรอบที่เกิดเหตุ และยังไม่ทิ้งข้อสันนิษฐานว่า คนร้ายอาจเป็นคนเดียวกับที่ก่อเหตุลักษณะเดียวกันนี้ เมื่อ 2 ครั้งก่อน ในรอบ 6 เดือน และยังจับตัวไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้บาดเจ็บรวมกันกว่า 100 คนแล้ว

    เหตุการณ์มือมืดสาดกรดครั้งที่ 3 นี้ เกิดขึ้นช่วงดึกของคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ในจำนวนผู้บาดเจ็บ มีเด็กหญิง 4 ขวบ และเหยื่อวัย 49 ปี ถูกกรดกัดใบหน้าและแขนขาไหม้สาหัสกว่ารายอื่นๆ จุดเกิดเหตุอยู่บนถนนเดียวกับเหตุการณ์ครั้งก่อน ที่มีผู้บาดเจ็บ 30 ราย สร้างความตื่นตระหนกให้ชาวฮ่องกง และชาวบ้านในย่านนั้นมาก

    นางเหลียง เหยื่อรายหนึ่งกล่าวว่า ปกติไปย่านมงก๊กบ่อยๆ แต่ตอนนี้ไม่เคยไปเหยียบอีกเลย ตอนแรกคิดว่า เรื่องจะจบ แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก

    โดนัลด์ ซาง หัวหน้าคณะบริหารฮ่องกง ประณามผู้ก่อเหตุว่า เป็นคนเลือดเย็นและโหดเหี้ยม เป็นขยะของสังคม ขณะที่ทีมสืบสวนตั้งเงินรางวัลถึง 9 แสนฮ่องกงแล้ว หากจับกุมได้ บทลงโทษสูงสุดต่อมือมืดรายนี้ คือ จำคุกตลอดชีวิต

    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ข่าวสด
    [​IMG]

    -------------------------------------------------------------

    พบ 2 สาวไทยติดเอดส์พันธุ์ใหม่ ครั้งแรกในโลก

    <A href="http://hilight.kapook.com/view/37773" target=_blank>?ʬʒ¾ѹ?ج㋁蠾? 2 ʒǤ?µԴ ?ʬ?ѹ?ج㋁覬t;/a>


    [​IMG]


    เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ศ.ดร.พญ.รวงผึ้ง สุทเธนทร์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า พบหญิง 2 คน ที่มาฝากครรภ์กับโรงพยาบาล ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยตรวจพบในโลกมาก่อน โดยรายแรกเป็นเชื้อเอชไอวีผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี (AG/D) ส่วนรายที่สองเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี (AE/G)

    ทั้งนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า ผู้ป่วยเป็นใคร ติดเชื้อมาอย่างไร แต่คาดว่าผู้ติดเชื้ออาจเคยเดินทางไปแถบทวีปแอฟริกา หรือมีแฟนเป็นคนในประเทศแถบทวีปแอฟริกา และไม่มีใครรู้เลยว่าสายพันธุ์จี (G) กับ ดี (D) เข้าไทยมานานหรือยัง เพราะที่ผ่านมาเชื้อเอชไอวีที่ระบาดในไทยมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เอ-อี (A/E) และสายพันธุ์บี (B)

    สำหรับสายพันธุ์จีกับดีส่วนใหญ่มักพบในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะไนจีเรีย แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ สายพันธุ์ดังกล่าวจะมีความเข้มข้นในน้ำเมือกหรือสารคัดหลั่งมาก ทำให้ผู้สัมผัสติดเชื้อได้ง่าย และแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น และอาจนำไปในสู่การระบาดของเชื้อเอดส์ระลอกใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัสที่ผู้ป่วยเอดส์กินในปัจจุบัน ก็ยังสามารถใช้ได้ผลกับเชื้อเอดส์ลูกผสมได้ แต่อาจมีความเสี่ยงจากภาวะดื้อยาได้ง่าย

    [​IMG]

    ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การตรวจพบผู้ป่วยเอดส์สายพันธุ์ผสมในประเทศไทย ไม่ได้กระทบต่อระบบป้องกันและควบคุมโรคของไทย เนื่องจากจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการพบว่า เอดส์สายพันธุ์ผสมนี้สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่ คือ ยาสูตรพื้นฐาน และยาสูตรดื้อยาได้ผลเช่นเดียวกับสายพันธุ์ไทย มีความแตกต่างกันตรงที่มีจำนวนเชื้อในสารคัดหลั่งมากกว่าสายพันธุ์ไทย และแต่เมื่อมีการตรวจพบความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก็จะต้องมีการเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น และอยากแนะนำให้สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

    "จุดแตกต่างสำคัญของเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ผสม กับสายพันธุ์ไทย คือ จำนวนเชื้อในสารคัดหลั่งของสายพันธุ์ลูกผสมมีมากกว่า เช่น ในน้ำอสุจิของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ไทย 1 ซีซี จะมีจำนวนเชื้อ 10 ตัว ขณะที่น้ำอสุจิของผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ผสมจะมีเชื้อ 20 ตัว เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้การแพร่เชื้อง่ายขึ้น เพราะมีปริมาณเชื้อจำนวนมากขึ้น โอกาสติดก็มากขึ้น ส่วนอัตราการดื้อยาน่าจะมีเท่ากัน คือ ประมาณร้อยละ 10" นพ.สมศักดิ์ กล่าว ​






    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ ,มติชน
    [​IMG] [​IMG]
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิษรับน้อง อุเทนถวาย สั่งพักการเรียนรุ่นพี่ 75 คน 1 ปี

    Ñ??鍧?Ԋ?҃ Ñ??鍧⋴ ?ѡ?҃?¹Ø蹾ը 75 ??
    ที่มา กระปุก


    [​IMG]

    [​IMG]


    จากกรณีนักศึกษาปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก (มทร.ตะวันออก) วิทยาเขตอุเทนถวาย เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เนื่องจากถูกรับน้องพิสดาร ด้วยการบังคับให้กินพริกและกระดาษเปื้อนหมึก เทน้ำปลาท่วมจานข้าวให้กลืนลงท้องจนหมด และสั่งให้พกพาอาวุธมาเรียน พร้อมทั้งปลูกฝังให้เกลียดชังสถาบันคู่อรินั้น

    ล่าสุดวันนี้ (10 มิถุนายน) นายสืบพงษ์ ม่วงชู รักษาการรองอธิการบดีมหาวิทยาลัย ระบุว่า อยากให้ผู้เสียหายชี้ตัวให้ข้อมูลว่ารุ่นพี่คนใดรับน้องรุนแรง เนื่องจากมหาวิทยาลัยต้องการลงโทษนักศึกษา ซึ่งขณะนี้พยายามสืบหาทุกวิถีทางเพื่อหาบุคคลที่กระทำรุนแรงดังกล่าว ขณะนี้พักการเรียนนักศึกษาจากกรณีรับน้องครั้งนี้แล้ว 75 คน เป็นเวลา 1 ปี ส่วนกรณีผู้ปกครองนักศึกษาต้องการหาที่เรียนใหม่ และขอค่าเทอมคืนนั้น อยากบอกว่าปัญหาที่อุเทนถวายยังไม่จบ จึงอยากขอร้องให้เปิดเผยชื่อและชี้ตัว ยืนยันไม่ปกป้องนักศึกษาทำผิดแน่นอน​

    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน มีผู้ปกครองและนักศึกษาปี 1 จากอุเทนถวาย เข้ามาร้องที่มูลนิธิฯ เป็นจำนวนมาก ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา หรือ สกอ. นำโดยนายสรรค์ วรอินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมกับคณะกรรมการอีก 5 คน มาถึง ได้เข้ารับฟังความเดือดร้อนจากการรับน้องของบรรดารุ่นพี่จากอุเทนถวาย ซึ่งบรรดาเหยื่อรับน้องต่างอยู่ในอาการหวาดผวา เพราะกลัวจะถูกรุ่นพี่ตามคิดบัญชีภายหลัง ​

    ต่อมานายสรรค์ กล่าวหลังร่วมสอบสวนว่า ตนจะหาทางแก้ไขและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่จะไม่พุ่งไปที่การกระทำผิดของรุ่นพี่ฝ่ายเดียว แต่จะเชื่อมโยงไปถึงทางสถาบันอีกด้วย ซึ่งจะตรวจสอบผู้บริหารสถาบันอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ขอข้อมูลต่างๆ จากผู้ปกครองและเด็กแล้วว่าจะดำเนินกันอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะเปิดให้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการรับน้องที่ไม่สร้างสรรค์จากทุกสถาบัน ผ่านสายด่วนของกระทรวงศึกษาธิการ โทร.1579 ด้วย

    ขณะที่มารดาของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 รายหนึ่ง กล่าวว่า บุตรชายถูกบังคับให้ใช้อาวุธปืนยิง แต่บุตรชายไม่ยอมยิง จึงถูกบังคับให้ยิงตัวเอง แต่ก็ไม่ยอมยิงอีก รุ่นพี่จึงรุมทำซ้อมบริเวณช่วงหน้าอก จนเป็นรอยเขียวช้ำ เท่านั้นยังไม่พอ ยังสั่งให้บุตรชายตนและเพื่อนๆ รวม 4 คน ถอดกางเกง แล้วใช้สีสเปรย์พ่น จากนั้นนำไฟแช็คเผาขนเพชร บริเวณอวัยวะเพศจนหมด ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีร่องรอยแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด

    ส่วนผู้ปกครองอีกรายหนึ่ง กล่าวว่า หลังจากที่เสียค่าลงทะเบียนให้บุตรสาวของตนเพียงแค่ 3 วัน ก็ต้องให้ออก เมื่อบุตรสาวของตนบอกว่า ถูกทำร้ายร่างกายโดยรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้หญิงชกเข้าที่ใบหน้า และขู่ไม่ให้บอกใคร ไม่เช่นนั้นจะโดนหนักกว่านี้ ตนจึงตัดสินใจให้ลูกสาวลาออก เพื่อความปลอดภัยเช่นกัน​

    ทางด้านน้องบี (นามสมมติ) นักศึกษาปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ตนโดนกินพริก กระเทียม หอมแดง กระชาย มะระ ขี้นก วาซาบิ และโดนทุบหน้าอก แต่เพื่อนๆ บางคนโดนหนักกว่า บางครั้งโดนซ้อม จนทุกวันนี้มีเพื่อนๆ ที่เข้ามารุ่นเดียวกันลาออก โดยไม่แจ้งความจำนงไปเกือบหมดแล้วจาก 179 คน เหลือเพียง 50 กว่าคนเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงลาออกเกือบหมด และตนดีใจมากที่รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ ตอนนี้มีเพื่อนๆ อีกหลายคน ที่ยังไม่กล้าออกมาตีแผ่ เพราะกลัวรุ่นพี่ทำร้าย และยังหาที่เรียนไม่ได้ อยากให้รัฐบาลนำเรื่องนี้ไปพิจารณาหาทางช่วยเหลือด้วย​

    ขณะเดียวกัน นักศึกษารายหนึ่ง กล่าวว่า หากรุ่นพี่กำลังรับน้องอยู่ แล้วอาจารย์เดินผ่านมา รุ่นพี่ก็จะหยุดกิจกรรมทำเหมือนว่าไม่เกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวอาจารย์ก็ไม่เข้ามาสอบถาม หรือแม้แต่มาดูกิจกรรมรับน้องที่รุ่นพี่กำลังดำเนินการอยู่ สำหรับรุ่นน้องเองก็ไม่กล้าที่จะไปบอกอาจารย์ เพราะเมื่อไปบอกอาจารย์พวกรุ่นพี่จะรู้ทันที

    อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษารุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง ได้ออกมาชี้แจงว่า รุ่นน้องที่ออกมาให้ข่าวว่ารุ่นพี่รับน้องรุนแรงเกิดกว่าเหตุนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชน ,ข่าวสด ,ไทยรัฐ
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    -----------------------------------------------------

    ผมรับไม่ได้ พวกขยะสังคม ,สวะสังคม
    จริงๆไม่ควรให้พักการเรียน แต่ควรจับดำเนินคดีไปเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...