การบรรลุพระโสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Dragon_Fly, 17 เมษายน 2009.

  1. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ถูก....ถูก.....ถูก....ต้องครับ

    ตั้งแต่พระโสดาบันก็สามารถเข้าใจ เข้าถึงกระแสพระนิพพานดิบได้แล้วครับท่าน
     
  2. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ถามคุณขันคับ เป็นโสดาบันรึยัง
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ก็ถึงได้บอกไง ว่าหากยังไม่เคยสัมผัสนิพพาน แล้วจะไปเอาอะไรมาทรง หากยังไม่เข้าใจ งันผมถามหน่อยอารมณ์นิพพานที่จะทรงนั้นทรงอย่างไร บริกรรมเอาเหรอครับ นิพพานนนนน


    ปล. ถือว่าเมตตาชี้ผมหน่อยนะ ^-^
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    เอางี้นะครับท่านจินนี่....เอาเป็นว่า...ท่านกลับไปอ่านที่ผมโพสอีกครั้งนะครับ.....คำตอบอยู่ที่นั่นหมดแล้วนะครับ....เอาเป็นว่าผมไม่ตอบรอบ 2 นะครับ.......เพราะว่าไม่งั้นจะเป็นการถกธรรมที่เกินเหตุ....ไม่เกิดประโยชน์..ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติ...นะครับ
    oishi_oishi_oishi_oishi_
     
  5. อัสติสะ

    อัสติสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +392
    เข้ามาอ่านครับ เห็นว่าน่าสนใจดีครับ
    เห็นด้วยกับการทรงอารมณ์ของพระโสดาบัน


    หากยังไม่ได้สัมผัสสภาวะธรรมในขั้นนี้ได้
    อารมณ์ที่เราทรงก็เป็นบัญญัติอารมณ์ หมายถึงอารมณ์ที่ทรงได้ตามที่ ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้
    หรือเป็น
    อารมณ์ที่ได้จากการทรง ฌาน ในขั้นใดขั้นหนึ่ง ซึ่งยังไม่ใช่อารมณ์ที่เรียกว่า
    อารมณ์ของพระโสดาบัน ก็สามารถทำให้นักปฏิบัติ
    เข้าใจตัวเองผิดไปได้ สำคัญว่าตัวเองได้บรรลุธรรมเสียแล้ว

    ทั้งที่กิเลสตัณหา ยังมีเต็มหัวจิตหัวใจ เรื่องนี้จึงต้องได้รับการแก้ไขจาก ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านช่วงนั้นมาแล้วครับ
    แต่หากว่าไม่มีครูบาอาจารย์คอยอบรม อยู่ใกล้ อาการหลงผิดย่อมเกิดกับบุคคลเป็นธรรมดา แล้วจะทำอย่างไร ???

    พระโสดาบันยังคงมีวิสัยครองเรือนอยู่ได้ครับ จึงทำให้เราสังเกตท่านได้ค่อนข้างยาก บางท่านก็มีอุปนิสัยที่เก็บตัว
    และหวงแหน อริยทรัพย์ยิ่งกว่าชีวิต การที่จะมีใครสักคนมาทัก ท่านหากไม่สนิทสนมกัน ท่านจะไม่พูดไม่สอน
    เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัว เมื่อพูดไปคนฟังไม่มีอุปนิสัยด้านนี้ ก็จะเกิดผลเสียต่อท่านอย่างมากมายครับ

    อีกอย่างหนึ่ง การที่เป็นพระอริยบุคคล ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมไม่มีการอ้างตัว อย่างแน่นอน
    แม้บุคคลเหล่านี้จะไม่เป็นพระภิกษุ แต่ก็จะรักษาพุทธพจน์ และข้อห้าม ข้อวินัย อย่างเหนียวแน่น(ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคนอีกตามเคย บางคนก็จะพูดว่าตัวเอง เป็นพระอริยบุคคล แต่ส่วนใหญ่จะมีมีคนเชื่อ เพราะเป็นเรื่องเหนือวิสัยของคนทั่วไป)

    มาถึงการทรงอารมณ์ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานเป็นความว่าง ว่างจากกิเลส ตัณหา สารพัด สารเพฯ
    พระโยคาวจร ผู้ได้สัมผัสสภาวะในขั้น โสดาปัตติผล ย่อมรู้จัก และเห็นพระนิพพาน คือความว่างจากกิเลสชั่วขณะครับ
    แม้เป็นเพียงชั่วขณะ แต่สิ่งที่สัมผัสได้เป็นสภาวะที่ไม่เคยพบ เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต หรือ แม้กระทั่งในอดีตชาติ ย้อนกลับไปกี่พบกี่ชาติ
    ก็ไม่เคยรู้สึกถึงความว่างประเภทนี้ได้เลย
    เหตุผลนี้เอง พระโสดาบันบุคคล จึงได้เคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างเอาเป็นเอาตาย
    เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้นคือ สิ่งที่ถูกต้อง ตามที่ตัวเองได้พบ สภาวะนั้น ๆ และ ยิ่งทราบตามคำสอน ว่ามีสภาวะที่ยิ่งกว่านั้นอีก
    จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พระโสดาบัน เชื่อมั่นในคำสอน และปฏิบัติตามอย่างไม่ขาดไม่พร่อง เพื่อการได้มาซึ่งพระนิพพานอันเป็น สภาวะที่ สถิตถาวร มากว่าในปัจจุบัน นี้อย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็น สีลัพพตปรามาส

    ความรู้ที่ได้จากบรรลุโสดาบันนั้น จะต่างจากพระอรหันต์นิดหน่อย ตรงที่พระอรหันต์จะทราบทันทีว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว ฯ ประมาณนี้ (อันนี้หลายคนที่ เรียนธรรมคงท่องกันได้ดี) แต่พระโสดาบันนั้นต่างกันที่ บัดนี้ต่อจากไป ศีล ๕ (ฆราวาสศีล)ของเราจะไม่ขาดไม่พร่อง อีกต่อไป การทุศีล ๕ ของเราจะไม่มีอีก ต่อไป เราจักยอมตาย ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาศีลนี้

    ถ้าใครทรงได้อย่างนี้ ก็เป็นพระโสดาบันครับ เรื่อง ศีล นี่เป็นหัวจิตหัวใจของพระโสดาบันเลยทีเดียว ไม่มีใครจะสามารถทำให้พระโสดาบันพร่องเรื่อง ศีลไปได้
    เหตุผลก็คือ สภาวะรู้ คือ ตัวปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นตัวบอก เป็นตัวควบคุม อย่างอัติโนมัติ พระโสดาบัน(ไม่มี)ไม่ต้องสมาทานศีล เพราะ ศีลนี้เป็นปกติ ของท่านเสมอ

    อยู่ภายในจิตใจอยู่แล้ว ในตัวรู้หรือ ปัญญานี้ จะบอกเองว่าการได้มาซึ่ง พระนิพพาน หรือการเป็นพระอรหันต์ ได้นั้น ย่อมมีรากฐานมาจากศีล เป็นสำคัญ

    พระโสดาบันจึงเปรียบเหมือนเด็กนักเรียนที่บวก ลบ เป็นแล้ว เมื่อเป็นแล้วก็จะบอกว่า ไม่เป็นไม่ได้ และต้องเรียนรู้ต่อไปเพื่อให้จบหลักสูตร จนกระทั่งแก้ไข

    สมการชั้นสูงได้ สำเร็จ ก็เป็นการเสร็จกิจ ในวัฏฏะสงสารนี้

    อีกอย่างหนึ่งอารมณ์ที่ใช้ระลึกเสมอ หรือ ที่ท่านว่ามีนิพพานเป็นอารมณ์ อุปมา เปรียบได้ว่า ชาวนาผู้เกิดมาในชนบท ตลอดชีวิตไม่เคยเข้ากรุงเทพ วันหนึ่งมีโอกาสได้เข้ากรุงเทพ ฯ มองเห็นสะพาน ลอย ตึก เพียงแค่ชั่วเวลาแป๊บเดียว แล้วก็ถูกดึงกลับมายัง
    ชนบทเช่นเดิม ชาวนาผู้ไม่เคยเห็นเมืองมาก่อนก็ย่อมระลึกถึงสะพานลอย ตึกนั้นเสมอ ๆ และต้องการจะกลับไปยังกรุงเทพ อีก หากมีวิธีการใดจะได้กลับเข้าไปอีก ชาวนาผู้นั้นก็จะทำทุกวิถีทาง อย่างนี้เป็นการรักษาหรือทรงอารมณ์พระนิพพาน คือ การระลึกถึงการที่ตัวเองได้พบเจอมาอย่างสม่ำเสมอ การที่จะเล่าเรื่องนี้ให้กับคน

    อื่น ได้รับรู้นั้นก็เป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะมองตามได้ เพราะเขาจะไม่มีวันรู้ว่า สะพานลอย ตึก มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร แม้จะพยายามระลึกตามชาวนา แต่ก็จะไม่

    สามารถทรงอยู่ได้นาน เหตุเพราะยังมีความลังเลสงสัยอยู่ว่ากรุงเทพ ฯ จะมีสภาพเป็นอย่างที่ชาวนาอธิบายหรือเปล่า

    อย่างนี้คือการตัดความลังเลสงสัยได้สำเร็จ ซึ่งเกิดขึ้นกับพระโสดาบันบุคคล

    เรื่องความโลภะ ราคะ ความตระหนี่ถี่เหนียว จะถูกละลายไปเองอย่างอัติโนมัติ เหตุนั้นเกิดจาก
    ปัญญาหรือตัวรู้ อันเกิดขึ้นแล้วแก่พระโสดาบัน โดยมีสติ คือ ความระลึกได้ในกุศลกรรม จะถูกแทรกเข้ามาเกือบทุกอนูจิต
    ดังนั้นอกุศลกรรม จึงไม่ค่อยถึงจิตถึงใจของพระโสดาบัน ผู้มีสติระลึกอยู่เสมอเป็นอัติโนมัติ แต่สติของพระโสดาบัน ก็ยังนับว่า
    อ่อนแอ อยู่มากเมื่อเทียบกับพระอริยชั้นอื่น แต่ก็มากกว่า ปุถุชนคนธรรมดาอยู่โข

    สิ่งที่เป็นตัววัดระหว่างสภาวะในขั้นโสดาบันและความสุขสงบจากฌาน เพื่อไม่ให้หลงผิด คือ สติ
    สติที่เกิดขึ้นของพระโสดาบันเป็นไปโดยอัติโนมัติ ไม่ต้องบีบบังคับ สติในที่นี้คือการระลึกได้ในเรื่อง
    กุศลธรรม และ อกุศลธรรม และเรื่อง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะไม่คลาดไปจากจิต แม้แต่นาทีเดียวครับ
    หรือ เกิดเป็นประจำสม่ำเสมอ (ตรงนี้มากน้อยจะขึ้นกับจริต ของ แต่ละบุคคล แต่จะมากที่สุดกับ ผู้มีพุทธจริต)

    สิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต พระโสดาบัน(ส่วนใหญ่) จะมองเป็นธรรมะ หรือ สภาวะธรรม เป็นอย่างมาก
    และไม่หวั่นไหวกับกระแสโลก เริ่มไม่สนใจกับเรื่องปรุงแต่งทางโลก มองเห็นความเกิดขึ้น และ ดับไป
    เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งจิตของเราเอง

    มีความระลึกความตายอยู่บ้าง แต่ไม่มากมายนัก(เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์
    ว่าในหนึ่งวันได้ระลึกถึงความตายกี่ครั้ง พระอานนท์ตอบ ๗ ครั้ง เป็นต้น)

    แต่บางคนก็มากก็นี้ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยเหมือนเคย

    พอดีกว่าครับ

    ความจริงยังมีอีกเยอะครับ แต่เขียนไปก็เท่านั้น คนสนใจมีน้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนาครับท่าน ตอบได้สวยงาม ละเอียดดีจริง ในส่วนสีดำนะครับ แจ่มแจ้ง

    ในส่วนสีเทา ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นทัสนะปัจจัตตัง ที่ดีทีเดียว

    อนุโมทนา ให้อีกครั้ง ^-^
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    โสดาปัตติผล ซึ่งเป็นผลแรก ทำให้ประจักษ์ในนิโรธ(นิพพาน) ทำให้สงสารวัฏหักลง เหตุแห่งการเกิด(กิเลส)หายไปหนึ่งในสี่

    อริยสัจจ์เรียงมาอย่างไร ก็อย่างนั้นแหล่ะ "ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" ตรงตัวอยู่แล้ว ^-^
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ไม่มีการปฏิบัติใดจะแก้ความสงสัยของตนด้วยการอ่านการจำและการวิเคราะห์.....หากแต่แก้ความสงสัยได้ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น.....

    เปล่าประโยชน์ที่จะหาบุคคลที่คิดว่ามีความคิดเข้ากับตนแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูก....ไม่เข้ากับตนเป็นสิ่งที่ผิด......เพราะทุกสิ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสอนไว้หมดแล้ว.....ทุกอย่างมีปรากฏในพระไตรปิฏก......

    เปล่าประโยชน์กับการที่จะชนะด้วยวาทะ...เพราะจริงแล้วมันคือกิเลส


    สัตบุรุษ.....ผู้มีความรู้ศึกษามามาก....ย่อมรู้และเข้าใจ.....และปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยตนเอง...

    ผู้รู้คือผู้ที่มีน้ำไม่เต็มแก้วเสมอ.......

    ควรจะยอมรับความจริง...เพราะว่าความจริงย่อมเป็นความจริง.....

    อย่าเชื่อใคร.....นอกจากจะรู้เห็นด้วยตนเอง.....พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญผู้ที่เชื่อโดยไม่ประกอบปัญญา....

    ขอให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติ....ในทุกสายการปฏิบัตินะครับ....

    อย่าเชื่อผมนะ...คุณจะโง่...
    ;aa31;aa31;aa31;aa31;aa31
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  9. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ดีมากครับท่าน อ่านแล้วบันเทิงธรรมจริงหน่อ ขอท่านเขียนให้อ่านอีกนะครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  10. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    มีคนเคยถาม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล... วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ ... ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่า.......หลวงปู่ถึงพระอรหันต์ หรือยัง.......หลวงปู่ ตอบว่า........

    ไม่มีอะไร จะถึง......และ.....ไม่มีอะไร จะไม่ถึง......


    หลวงปู่ มีความโกรธ อยู่หรือไม่.......

    หลวงปู่ ตอบว่า......... มี แต่ ไม่เอา......



    ธรรมะ ในพระไตรปิฎก......แล ธรรมะ ของครูบาอาจารย์ นั้น......มีอยู่ตั้งเยอะแยะมากมาย......รอให้เรา น้อมนำไปศึกษา และ ปฏิบัติ....อยู่นะครับ......


    มี "ตัว" ก็มีทุกข์.....ไม่มี "ตัว" ก็ไม่มีทุกข์......สลายตัว ก็เท่ากับ สลายทุกข์......หมดทุกข์ เพราะ ไม่มี "ตัว"......


    ใครกิน คนนั้น ก็อิ่ม........ความอิ่ม เป็นอย่างไร......ก็รู้เอง นั่นแหละ......เอาแต่เว่า บ่ยอมเฮ็ด มันจะสำเร็จ ได้จะดัย....


    ลองคิดดู ว่า.....ครูบาอาจารย์ บางองค์ ที่ท่านศึกษาเล่าเรียนมาน้อย......ไฉน ท่านจึงบรรลุธรรมได้.....


    สาธุ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2009
  11. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ผมไม่เคยทรงอารมณ์นิพพานหรอกท่าน

    แต่ผมปฏิบัติจนรู้แค่นิพพานรูปฌาณ นิพพานอรูปฌาณ และเพิ่งจะมาเข้าใจในนิพพานโลกุตตระ เมื่อต้นปีเอง เพราะเป็นการดับ ที่ไม่มีอามิสท์จริงๆแต่ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ขอท่านศึกษาจากพระไตรปิฏกก็แล้วกันครับ
     
  12. เมธี อยู่สุข

    เมธี อยู่สุข Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +45
    เรียนคุณ jinny95 ที่แสดงทัศนะคติ ผมรู้จักคุณแล้วครับ ขอจบการแสดงความคิดเห็นของผมไว้แค่นี้ครับ เพราะมีผู้ที่ตอบปัญหาของคุณได้อย่างดีแล้ว ขอบคุณครับ
     
  13. lab555

    lab555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +12
    คุณขันธ์ ครับ จากคำกล่าว ที่กล่าวมา..
    ผมยังมีความลังเลสงสัย ในหลายเรื่อง..
    กับ สภาวะต่างๆ จากการปฏิบัติธรรม ที่คุณขันธ์ ได้ประสบ พบมา

    อาจจะด้วยสมมติบัญญัติ ที่เราได้ศึกษามา ได้ร่ำเรียนมา มันยังมีความเหลื่อมล้ำ กันอยู่

    ผมยอมรับว่า ผมไม่เข้าใจในภาษาของคุณขันธ์
    และเชื่อว่า คงมีหลายๆท่าน ที่ยังสงสัยเช่นเดียวกัน
    ว่า ความหมายต่างๆ นั้น มันคืออะไร หมายถึงอะไร
    จึงอยากจะขอรบกวนคุณขันธ์ ช่วยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ สักนิดครับ

    ผมเลยอยากจะขอถาม คุณขันธ์
    ซึ่งเป็นคำถามเดียวกันกับ คำถามที่ได้ถามคุณ สันดุสิต ไป
    คำถาม มีดังนี้ครับ..(ตัวหนังสือสีแดงเข้ม)

    และขอถาม เพิ่มเติม อีกว่า
    ความสืบเนื่อง ความเป็นเหตุ เป็นผล ของคำกล่าวใน ตัวหนังสือสีเขียว นั้นว่า..
    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้..

    ----------------------------------------------------------------
    เรื่องของ ภูมิจิต และ ภูมิธรรม ที่เปลี่ยนแปลงไปมันต้องมีสภาวะเกิดขึ้น ถึงจะเป็นเครื่องการันตีว่า การปฏิบัติมานั้น ได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นไหน ขั้นไหนแล้ว

    เหมือนกับ สภาวะ ฌาณ ต่างๆ 1-2-3-4 .. ก็จะมีสภาวะที่เกิดขึ้นต่างกัน
    รวมถึง สภาวะของการวิปัสนา..แล้วจิตเข้าใจ..
    รวมถึง ความก้าวหน้าของจิต ตามวิปัสนาญาณ ที่ได้ดำเนินไป ก็จะมีสภาวะต่างๆเกิดขึ้น

    อยากจะขอถามกันตรงๆ ไปเลยครับ คุณ สันดุสิต
    ว่า สภาวะของจิต ขณะบรรลุธรรม นั้นเป็นอย่างไร
    รวมถึง อาการทางกาย ที่เกิดขึ้น และ
    ความเปลี่ยนแปลง ของจิต ก่อน และ หลัง จากที่ได้บรรลุธรรมแล้ว นั้นเป็นอย่างไร


    ผมเชื่อแ่น่ว่า การบรรลุธรรม นั้น มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ มาก
    มากจนเรียกได้ว่า เกิดมาชาตินี้ ไม่เคยได้พบเจอสภาวะที่น่าตื่นตาตื่นใจ ได้ขนาดนี้แน่

    ปริญัติ ต่างๆ สังโยชน์ ต่างๆ มัน เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา
    เป็นความรู้ ความเข้าใจ ที่เกิดขึ้น หลังจากที่สภาวะได้เกิดขึ้นแล้ว..
    ใครๆ ก็เรียบเรียง เอามาพิมพ์ใหม่ ให้ดูเป็นภาษาของตัวเองได้ครับ

    เรื่องว่า เล่าไปแล้ว จะมีคนเข้าใจรึเปล่านี่ ไม่ต้องห่วงครับ
    เอาง่ายๆ ไม่ต้องภาษาธรรม เอาภาษาเปรียบเทียบธรรมดาๆ ก็ได้
    ของจริง ยังไง ก็เป็น ของจริง ครับ
    ถือเป็น ธรรมทาน ขั้นสูง ที่บรรยายให้เราๆ หมู่ปุถุชนฟังครับ
    ------------------------------------------------------------
    ในขั้นตอนการเดินไปตามวิปัสนาญาณ ขั้นต่างๆตามลำดับ
    บางคน อาจจะประทับใจ หรือ จดจำได้แม่น ในความรู้สึก(อิน) กับสภาวะของวิปัสนาญาณทั้ง 16 ขั้น นั้นๆ
    บางญาณ อาจจะผ่านไปด้วยระยะเวลาอันสั้น อาจใช้เวลาไม่กี่วัน
    บางญาณ อาจจะใช้เวลายาวนาน อาจจะเป็นหลายเดือน จนกระทั่ง หลายปี

    ความประทับใจ หรือ การจำได้ ต่างๆ ของแต่ละคน ย่อมไม่เหมือนกันแน่
    หลายคนอาจจะชอบ สภาวะของ อุทัพยญาณ
    หลายคนอาจจะชอบ สภาวะของ ภังคญาณ
    หลายคนอาจจะชอบ สภาวะของ นิพพิทาญาณ
    หลายคนอาจจะชอบ สภาวะของ สังขารุเบกขาญาณ
    ก็ว่ากันไปตาม วาระ และ โอกาส ..

    แต่..สิ่งที่เป็นไคลแมกซ์ จริงๆ ของ การก้าวข้ามจาก โลกียะ สู่ โลกุตร
    ย่อมเป็นสิ่งที่เหนือประสบการณ์ใดๆ ทั้งหมด ในชีวิตนี้
    เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งได้้เจอ ได้สัมผัสสภาวะที่ว่า ภายในชาตินี้
    มันเทียบไม่ได้แน่ กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นของวิปัสนาญาณทั้งหมดที่ผ่านมา

    เปรียบเทียบง่ายๆว่า เมื่อ เราถูกหวย รางวัลที่ 1 ...
    เราจะลืมวินาทีนั้น ซึ่ง เป็นวินาทีที่เรารู้ตัวว่าถูกหวย หรือ

    มันไม่ใช่แค่ จะมาบอกว่า
    เราละสักกายทิฐิได้แล้ว
    เราละวิจิกิจฉาได้แล้ว
    เราละสีลพตปรามาสได้แล้ว
    เมื่อฉันรู้สึกว่า ฉันละ 3 ข้อนี้ได้แล้ว แสดงว่า ฉันถึงเป้าหมายที่ได้พากเพียรมาแล้ว.. มันไม่ใช่แค่นั้นแน่

    สภาวะ จะเป็นตัวบ่งชี้ และ เป็นเหตุ เป็นผล สืบเนื่องกันไป
    ว่า..เกิดอะไรขึ้น
    ทำไมสักกายทิฐิ ถึงถูกถอนออกไปได้อย่างเด็ดขาด
    และทำไม วิจิกิจฉา ถึงหายไป มันหายไปตอนไหน อะไรเป็นต้นเหตุ มันต้องมีเหตุผลอยู่
    และลงท้ายว่า ทำไมถึงละ สีลพตปรามาสลงไปได้ เพราะอะไร

    แล้วสิ่งเหล่านี้ ก็จะต่อยอดไปอีกว่า....
    ทำไม ถึงเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาิติ
    ทำไม ถึงไม่ไปอบายฯอีก
    ทำไม ถึงดีกว่าสมบัติจักรพรรดิ์
    ทำไม ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฯลฯ

    ทุกอย่าง มีเหตุผลซึ่งกันและกันอย่างแน่นอน

    และ กับการกล่าวอ้างกันไปว่า ฉันได้แล้ว ๆๆ ฉันเป็นแล้ว ๆๆ
    แล้ว ฉไนเลย ปุถุชนคนทั่วไป ถึงจะไม่อยากรู้ ถึงเหตุผลอันเป็นคุณวิเศษนั้นๆ ละครับ

    หากผู้ใดได้ถึงสภาวะนั้นๆ แล้ว ขอท่านได้โปรดช่วยเมตตา
    บอกเล่าถึง ความจริง นั้น ให้ได้รับรู้เป็นธรรมทานด้วยเถิด....

    ----------------------------------------------------------------

    ขอออกตัวไว้เลยนะครับ ว่าผมไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่ ใดๆ ทั้งสิ้น
    สิ่งที่ผมต้องการคือ ความมีเหตุ มีผล .. เพราะเหตุนี้เกิด ..เหตุนี้จึงเกิด
    ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาแบบลอยๆได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
    ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความลังเลสงสัย ว่า ทำไม อะไร อย่างไร เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

    ขอคุณขันธ์ ได้ช่วยเล่าถึง ความพิเศษ ความมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
    เป็นสิ่งที่น้อยคนนักที่จะได้เจอ ได้สัมผัส ได้รับรู้ ในชาติหนึ่งๆ
    โดยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ต้องเป็นภาษาธรรมก็ได้ (อย่างภาษาของคุณ อัสติสะ ผมอ่านแล้วเข้าใจครับ)

    ผมจะไม่ถามต่อ ว่า ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ .. อย่างแน่นอนครับ

    หวังว่า คุณขันธ์ คงจะเข้าใจในเจตนาทั้งหมดของผมนะครับ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถามเยอะจังครับคุณ lab555 ถ้าผมตอบไปแล้วคุณเข้าใจ คุณก็เป็นพระโสดาบันนะสิครับ

    เอาแบบนี้ พระพุทธองค์ท่านก็บอกแล้วว่า ธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง ดังการลิ้มรส หากว่า ผมอธิบายรสหวาน ด้วยสมมติร้อยแปดอย่าง แล้วคุณเข้าใจได้ ก็ประหลาดแล้วหละครับ

    แต่จะแก้ให้แต่ละข้อดังนี้

    1 ทำไมจึงไม่เกิน 7 ชาติ ก็ตอบว่า ก็เห็นภัยขนาดนั้นแล้ว ยังหลงมายึดอีกก็ประหลาดแล้วหละครับ อายตนะของพระโสดาบัน ไ่ม่วิ่งไปหลงกับโลกแล้วจะเอาเชื้อที่ไหนมาเกิด

    2 ทำไมจึงไม่ไปอบายอีก ก็ตอบว่า อวิชชาคือ ความหลง เมื่อความหลงมี รูป นาม และ อายตนะทั้งหยาบทั้งละเอียดย่อมปรากฎ อันเป็นเหตุให้กรรมนั้นพาไปยังอบายได้
    แต่ พระโสดาบัน แทงไปจนถึงอวิชชาแล้ว อายตนะอันหยาบ ความหลงอันหยาบ จะมีได้อย่างไร

    3 ทำไมจึงดีกว่าจักรพรรดิ์สมบัติ ก็ตอบว่า จักร์พรรดิ มีเงินทองทรัพย์มากมาย แต่จักรพรรด ก็ทุกข์ เพราะไม่รู้ความเป็นจริง ดับทุกข์ไม่ได้ จักรพรรดิ์ไม่รู้ว่าตนเองจะไปไหนเมื่อตาย
    จักรพรรดิ์ ไม่รู้ว่า คุณธรรมที่แท้จริงเป็นอย่างไร จักรพรรดิ์ ไม่รู้ว่า ทรัพย์อยู่ที่ใจนี้ต่างหากที่ อัศจรรย์ที่สุด อธิบายให้ชัดที่สุดคือ ระหว่างคนอิ่มแล้วและอิ่มตลอด กับคนที่มีเงินล้นฟ้าบาท แต่หิวตลอดเวลา มีเงินที่จะกินอะไรก็ได้ คุณว่าคนไหนทุกข์กว่ากัน นั่นแหละอุปมาดังนั้น
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ได้สิครับ แต่อย่าเชื่อแล้วกัน ให้พิจารณาเอา

    ความวิเศษที่ได้คือ

    1 ได้ความธรรมดาที่สุดกลับคืนมา คุณเคยเห็น จิตของเด็กไหม ว่ามันสนุกเพียงใด
    2 ได้ปัญญา ที่ อัศจรรย์ที่สุด มา คุณเคยเห็น เด็กที่ปล่อยวางได้ แต่ รอบรู้เท่าทันในทุกสิ่งไหม
    3 ได้ ความพ้นทุกข์ กลับมา คือ ตอนเด็กๆ เราทุกข์น้อยไหม นั่นแหละ เป็นแบบนั้น แถมไม่ขี้แยแบบเด็กๆ นั่นแหละที่แตกต่าง
    4 ได้การควบคุมจิต ให้อัศจรรย์ดังใจนึกได้ บางส่วน เท่าที่ภูมิธรรมจะมี
    5 ได้ ปัญญาที่จะแก้ไข ปัญหาต่างๆ ได้ตรงจุด
    6 ได้เข้าใจสรรพสิ่งในโลก
    7 จิตใจ ที่ธรรมดาที่สุด แต่ ควบคุมให้พิลึกที่สุด อัศจรรย์ที่สุด นั่นแหละ คือความเต็ม โดยไม่ได้ติดกับ ความต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้เสมอไป ดังน้ำกลิ้งบนใบบัว
     
  16. lab555

    lab555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมขอฟันธง
    ว่า คุณขันธ์ ยังไม่ถึง คุณวิเศษนั้นๆ ครับ

    ขอขอบคุณกับความรู้ ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดครับ
    ขอให้ปฏิบัติเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปครับ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อ้าวหลอกให้ผม มาพูด แล้วมาฟันธงทำไมหละครับ
    คุณถามมาผมก็พูด ทีแท้หลอกให้มาตอบนี่ จะหลอกถามภูมิธรรม

    ก็ถ้าคุณ รู้ว่าผมไม่ใช่แสดงว่า คุณก็เป็นพระโสดาบันแล้วหละสิครับ
    คุณ lab555 ผมเอาอะไรให้ดู

    คุณ ถามด้วยเหตุผลไม่ใช่หรือ ผมก็ตอบด้วยเหตุผลทั้งหมด แล้วคุณมาฟันธงผมทำไมหละครับ

    ผมไม่ได้พูดในขณะนี้เลยว่า ผมภูมิธรรมอะไร ซึ่งที่คุณบอกมาว่า นายขันธ์ยังไม่ถึงคุณวิเศษอันนั้นจริงก็ได้ แต่คุณถามมาผมก็บอกไปนะสิครับ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตามธรรมดาหมอลักษณ์ ฟันธง เขาจะต้องอ้าง ดาว อ้างลักขณา เข้าพระเสาร์แทรกจึงเป็นเหตุให้ เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แล้วจึงฟันธง

    ถ้าคุณจะฟันธงอะไรจะต้องอ้างเหตุครับ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ฟันธง ไม่มีใครเขาเชื่อหรอกครับ
     
  19. lab555

    lab555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงนะครับ

    ประเด็นหลักของทั้งหมด เรากำลังคุยกันเรื่อง อะไร คุณ ขันธ์ รู้ดีอยู่
    หัวข้อหลักคือ - การบรรลุพระโสดาบัน -

    ซึ่งจากคำกล่าวต่างๆ ที่คุณขันธ์ ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น
    ดูเหมือนว่า คุณขันธ์ จะบอกเป็นนัยๆ ไว้ว่า ได้ถึงซึ่งภูมิธรรมอันพิเศษแล้ว..
    หากสงสัย ว่า ทำไมผมถึงทึกทักเอาว่าเป็นอย่างนั้น..
    ลองไปอ่านคำตอบของตัวเองดูนะครับ ..ว่า หมายถึงอย่างนั้นหรือเปล่า

    และ ผมก็ได้ถามคุณขันธ์ เกี่ยวกับเรื่อง สภาวะ ความเกี่ยวเนื่อง ต่างๆ
    ตามที่ผมได้สงสัย และ อยากรู้..
    แต่คำตอบที่ได้กลับมา ไม่เป็นเช่นนั้นเลย

    เป้าประเด็นหลัก คือ สภาวะจิต ขณะบรรลุธรรม
    ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นความรู้ความเข้าใจในธรรมมะ..เป็นผลสืบเนื่องที่ตามมากับสภาวะที่เกิดขึ้น
    ซึ่งไม่สามารถที่จะแยกจากกันได้เป็นอันขาด

    กับแค่คำตอบแรกของคุณขันธ์ ที่ว่า ทำไมเกิดไม่เกิน 7 ชาติ
    คุณตอบไม่เกี่ยวเนื่องกับสภาวะ ที่เกิดขึ้นเลย
    สิ่งที่คุณพูด เป็นเพียงความเข้าใจในระดับตัวอักษร
    ไม่ใช่เป็นสภาวะที่เกิดกับคุณจริงๆ

    ซึ่งแน่นอน ทำให้ผมฟันธงได้ทันที ว่า
    คุณยังไม่ถึงคุณธรรมอันวิเศษนั้น อย่างแน่นอน

    นั่นหมายความทั้งหมดทั้งมวลว่า...
    คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่.. กันแน่
    คุณพูดเรื่องที่คุณไม่เคยรู้ คุณพูดเรื่องที่คุณไม่เคยเห็น คุณพูดเรื่องที่คุณไม่เคยได้สัมผัส
    และคุณดันคิดว่า ฉันพูดถูก ฉันพูดความจริง
    และพูดต่อหน้าสาธารณชน คนนับพัน ที่ได้เข้ามาอ่าน

    ถ้า คุณเพียงแค่ตอบว่า..
    ผมยังไม่รู้ถึงสภาวะนั้น ยังไม่ถึงจุดนั้น แต่ผมพอจะอนุมาน เอาได้ว่า...ฯลฯ
    ผมจะไม่ถามอะไรคุณต่อ ผมจะไม่ไล่คำตอบจากคุณ

    ที่ผมถามคือ เพราะ
    ผมอยากรู้ ผมสงสัย และผมอยากได้คำตอบจริงๆ ที่เป็นความจริง ครับ
    ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะเอามาพูดกันสบายปาก ว่า
    ฉันรู้สึกอย่างนั้น อย่างนี้ กับ หัวข้อกระทู้ - การบรรลุพระโสดาบัน - นี้ครับ
     
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรามาไกลเกินกว่าพระโสดาบันแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...