โลกคือพระเจ้า...รู้หรือไม่...

ก็ได้ๆ เป็นที่ภาครับ หรือภาคส่งล่ะเนี่ยะ

 

เห็นด้วย

เรื่องจริตผมลงให้

ขอการอธิบายอีกเรื่องหนึ่ง จึงจะพอยอมรับได้
ถ้าการดูจิตเข้าถึงธรรมชั้นสูงได้ เหตุใดจึงต้องมีการธุดงค์ ปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตายด้วย
ก็ในเมื่อดูจิต ก็ง่ายดี
หรือนั่นเพราะการดูจิตเข้าถึงธรรมได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์
ท่านขัดเห็นว่าไง...

 

คุณนิวรณ์ สรุปเองเออเอง นั่นมันคุณ

เพราะว่า การดูจิต จะพูดอย่างไรมันก็ไม่พ้น สติปัฎฐาน จะต้องไปรู้อะไร

เว้นแต่ว่า คุณจะหมายว่า การดูจิตวิเศษ ขนาดว่า บรรลุธรรม ซึ่งคนทุกคนจะต้องมาแนวนี้
แล้ว ปรากฎว่าผมไม่อาจจะเข้าใจมันได้ เพราะมันเป็นธรรมวิเศษ

นั่นแหละ จึงจะกล่าวได้ว่า ผมสรุปเอง ไม่มีหูรูด ไม่ชอบคำว่าดูจิต

ซึ่งอันที่จริง คำว่าดูจิต ก็คือ จิตตภาวนา ก็จะให้พูดกี่ครั้งว่า มันก็ทั่วไป แต่ปัญหาคือ ดูเฉยๆ อย่าไปทำอะไร ก็นั่นแหละ สมถะ แล้วจะบอกว่า นี้คือวิปัสสนาบ้าง
นี่คือ ทางที่ถูกต้องที่สุดบ้าง

นั่นแหละ การยึดมั่นและเชื่อว่า เขาคืออาจารย์ตน

 

ผมว่าตรงนี้ลองศึกษาใน ปฏิปทาทั้ง 4 ดูครับ

 

ปฏิปทาทั้งสี่ มีอะไรบ้าง ขอชื่อหน่อยครับ...

 

พระอาจารย์ท่านก็ออกตัวว่า เป็นพระบ้านนะ ไม่ได้ธุดงค์ แต่เราเชื่อว่าพระท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์จริง และสอนให้ปฏิบัติตามได้จริง

 

นี่พูดเรื่อยเปื่อย ไม่มีหลักมีเกณฑ์เลย...

 

สอนให้ปฏิบัติได้ตามจริง เราก็เห็นด้วย
ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ยังเป็นQuestion Mark อยู่
ท่านถึงธรรมระดับหนึ่งแน่นอน
เราหลีกเลี่ยงการไปวิพากวิจารณ์ท่าน จะดีกว่า
จับแต่ประเด็นที่เป็นธรรมะก็พอ
ที่เป็นบุคคล ไม่ควรสนใจนัก...

 

เอาให้มันแน่นอนนะครับ ถ้าหากกล่าวว่า ดูจิต หรือ อะไรก็ตามที่พระท่าน
สอนนั้นไม่ผิด แล้วสิ่งที่ผมทำก็คือ การชักชวนด้วยคำนิยมว่า ดูจิต

เสร็จแล้ว เมื่อไปฟัง cd แล้ว หรือ อ่านหนังสือชื่อดูจิตแล้ว พบว่ามีองค์
ธรรมมากมาย มากกว่าเรื่องดูจิต

คราวนี้ ก็มาถึงเรื่องที่ผมปฏิบัติ จะเห็นว่า คนละเรื่องกับ การดูจิตที่เป็น
สติปัฏฐานเพียงอย่างเดียว คำว่า ดูจิต ที่ผมใช้ แล้วคุณเห็นว่าเป็น
สติปัฏฐานเพียงบรรพเดียว อันนั้น มันเรื่องความเข้าใจผิดของคุณ เพราะ
ผมบอกไปไม่รู้กี่หนว่า ในทางปฏิบัติ ผมกระทำอยู่หลายอย่าง

ส่วนคำว่า ดูจิต มันเป็นคำทางการ โฆษณา เป็นธรรมโฆษณ์

เหมือนการพูด อทิปัจจญตา หรือ อานาปานสติ ก็จะนึกถึงท่านพุทธทาส

แต่ท่านพุทธทาสสอน อานาปานสติ อย่างเดียวหรือเปล่า นั้นอีกเรื่อง

หากอธิบายขนาดนี้แล้ว ยังทำทีเป็น ชี้กิเลส อยู่อีก ก็เรื่องของคุณแล้ว

 

ท่านเก่งออกอย่างนี้ ผมคงเทียบชั้นกับท่านไม่ได้หรอก พี่จร...

 

ก็จะพูดอะไรให้ฟัง แล้วเอาไปคิดดู ว่า ในห้องอภิญญาที่ผมตั้งกระทู้เรื่อง สมมติและมารนั้นปิดบังความเรียบง่าย

ก็บอกว่า ถ้าหากว่า ยังยึดในวิธีการของตน จะเรียกว่า เรียบง่ายได้หรือ
ถ้าหากว่า ยังยึดว่า วิธีการอื่นๆ ง่ายไป จะเรียกว่า ดูเฉยๆ ได้หรือ ก็ในเมื่อตนเองยังไม่เป็นกลาง

ทีนี้ ในส่วนที่ผมบอกว่า เมื่อภูมิธรรมมาถึงระดับหนึ่งแล้ว การอธิบายธรรมด้วยสมมติ นั้นจะยุบลงเหลือ ธรรมง่ายๆ เพราะจิตที่ปรุงแต่งนั้นถูกทำลายไป

ก็ ดูเฉยๆ หรือ การบรรลุธรรม หรือ ธรรมอันวิจิตรพิสดาร ที่แตกออกมา นั้นมันก็สมมติทั้งนั้น

ทีนี้ คนที่ ยังไม่กลางจริง ก็จะมองว่า ธรรมเรียบง่าย นั้นเป็นการเสริม แต่แท้จริงตนเองนั่นแหละเสริมเติมแต่ง ไปวิพากษ์ธรรมอันเรียบง่ายเอง ว่าง่ายเกินไป ไม่ใช่ ทางที่ถูกต้อง ดูจิต ดูเฉยๆ คิดก็ไม่ได้ ทบทวนก็ไม่ได้

ซึ่ง หากจะกล่าวไปว่า นั่นคือ ธรรมแห่งองค์สัมมาสมาธิ อันเป็นธรรมสุดท้ายก่อนผลญาณ ซึ่งผมขี้เกียจจะอธิบาย และ ธรรม ที่จะดิ่งลงสัประยุตจะต้องละทั้งหมด ไม่คิด ไม่ทบทวน
แต่ ทีนี้ มันเป็นธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรม อันจะต้องดำเนินทาง พิจารณามาก่อน จนย่นเหลือแต่ จิตตภาวนา

แต่คนไม่เข้าใจ เพราะไม่แจ้งในธรรม ก็หยิบธรรมมาบางส่วน หยิบธรรมที่ตนมี แล้วสรุป เพื่อให้คนอื่น แต่มันยังไม่ใช่ธรรมสำหรับคนอื่น มันเป็นธรรมสำหรับตน ตนทำได้ใช่ว่าคนอื่นจะได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ไม่กระจ่างในธรรม

 

ได้ครับ
ตามความคิดนะครับ จริตทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว
คือแบ่งไปตามความอ่อน-กล้าของ อินทรีย์ทั้ง5
ปฏิปทา 4 น่าจะสอดคล้องกับ จริตในสติปัฏฐาน

http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=21&start_byte=264419

หรือลองเสริซในกูเกิ้ลดูก็ได้นะครับคีเวิร์ด "ปฏิปทา 4"

 

ผมขี้เกียจจะอธิบาย ให้คุณนิวรณ์ฟัง เพราะคุณไม่รู้เรื่อง สมมติยังอยู่เป็นกระบุง
พูดเรื่องนี้ ตีไปเรื่องนั้น ให้วุ่นไปหมด

อย่าไปยึดในอาจารย์เลย หากว่า คุณปราถนาพุทธภูมิ คุณนิวรณ์
ท่านสันตินันท์ หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ นี้ ท่านยังไม่แจ้งในธรรมหรอก
ยังเป็น เสขบุคคล

คุณนิวรณ์ คุณต้องศึกษาด้วยตนเอง ความเคารพ และ ความเป็นอาจารย์ คนละเรืองกับ ความเห็น คุณแยกออกหรือไม่

 

ขอบคุณในความรัก ความหวังดี ความห่วงใย อันสุดที่จะประมาณมิได้

ผมยังต้องศึกษาอีกมาก คงเข้าไม่ถึงธรรมท่านหรอก

ท่านก็เมตตาผมมากๆ แล้วกัน...อิอิ

 

...

 

พูดภาษาตลาด ก็พูดว่า ตอนนี้ คำว่า ดูจิต นั้นเป็น icon การตลาดอย่างหนึ่ง

ผมก็ใช้คำว่า ดูจิต เพื่อให้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ โดยมี คณะวิมุตติ.net
เป็นอุปทาฏใหญ่ และมีสงฆ์หลายท่าน ท่านหนึ่งมีนามว่า หลวงพ่อปราโมทย์

ดังนั้น การทำการธรรมโฆษณ์ โดยคำว่า ดูจิต ก็มีที่มาที่ไปแบบนั้น เพื่อให้
สาธุชนได้มีกลุ่มปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเป็นกัลยาณมิตร

ส่วนเรื่องปฏิบัติธรรมะ ถ้าเป็นส่วนตัวของผม ผมขอย้ำอีกครั้งว่า หลายอย่างๆ

ดังนั้น การปฏิบัติธรรมของผม ยึดทางเดียวอยู่หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่

แต่การเลือกหน้าที่เป็นคนชักชวนคนไปปฏิบัติธรรม ผมเลือกกลุ่มวิมุตติ ไม่ใช่
กลุ่มธรรมกาย หรือ กลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เลือก ก็ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นการยึดทางเดียว
เพราะก็รู้อยู่ว่า ในกลุ่มวิมุตติ ก็มีมากมาย มีทั้งกลุ่มเขากะลา มโนยิทธิ กลุ่มอื่นๆ
อีกเยอะแยะ อยู่ในนั้น กลุ่มเล่นพระเครื่องก็มี ก็ตามปรกติของกลุ่มธรรมะ

 

หรือถ้าจะแบบสรุปอ่านง่ายๆ
พอจะอ่านให้เข้าใจได้ง่ายกว่าดังลิ้งในข้อความข้างต้น

 

ผมจะบอกให้ ว่า หลักใจ นี้อยู่ที่ตน

ตราบใดยังอิงกับ ธรรมคนอื่น ก็ไม่ใช่ธรรมของตน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นยังไม่อยู่ที่ใจตน ลองไปดูธรรมของ หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น หลวงปู่สิม หลวงปู่หล้า พระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านจะพูดด้วยธรรมของท่านทั้งสิ้น และ ครอบหมดเหมือนกัน

 

ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยยกพระว่าท่านอยู่ในฐานะอะไร ไม่เคยกล่าว

ส่วนการที่คุณคิดว่า ผมเห็นพระท่านมีฐานะอะไรอย่างไร นั้นเรื่องของคุณ

เรื่องสมมติ หรือ ไม่สมมติ ผมชี้แจงไปแล้ว คุณต่างหากที่ไม่ยอมเข้าใจ
การทำหน้าที่ของผม ซึ่งมันคนละเรื่องกับการปฏิบัติ

คุณโยงเอง มั่วซั่วไปหมด เดี๋ยวก็มาสอนธรรม เดี๋ยวก็บอกว่าไม่สอนธรรม

เดี่ยวก็อาศัยผมไปว่าพระท่าน ทึกทักในความคิดของผมเพื่อไปกระทบว่า
พระท่าน มันเป็นเรื่องของคุณครับ คุณอยากว่าพระท่านคุณก็พูดไปเลย
ไม่ต้องมาอ้างอิงว่าผมคิดอย่างไรกับพระท่าน ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะให้คุณ
มายกจนเป็น แล้วก็อาศัยการเกาะชายกระโปรงที่ผมไม่มี เพื่อไปว่าพระท่าน
อีกทอด

หากไม่เข้าใจหน้าที่นักโฆษณาธรรมที่ผมปราวณา ก็ได้โปรดเถอะครับ
อย่าแสดงอะไรไปมากกว่านี้

 

คุณครับ คุณจำไม่ได้เหรอ ว่าผมก็ยกคำสอนของพระมาตั้งหลายท่าน

คุณยังด่าผมเลยว่า เที่ยวไปเอาคำสงฆ์มายืนยันตน