นิพพานสูญหรือไม่สูญ ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สมถะ, 14 กันยายน 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ตามที่คุณlokemesa กล่าวว่า...
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายท่านไปทำอะไรกันในนิพพาน ซึ่งน่าจะมีความสำคัญต่อการรื้อสังสารวัฏฏ์

    คำว่า เสร็จกิจ ก็คือกิจของการพ้นจากสังสารวัฏ แต่ในอายตนะนิพพานนั้น ผู้ได้มรรคผลถือว่าอยู่ในโลกุตตรภูมิแล้ว การนิโรธสงบนิ่งนั้นไม่ได้แปลว่าท่านไม่ทำอะไรเลย ในทางธาตุธรรมภาคขาว ภาคกุศล ท่านก็คอยดูแลสัตว์โลก เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก เท่าที่จะกระทำได้ ถ้ามีการขัดขวางหรือกระทบกันของธาตุธรรมภาคอื่นๆ ธาตุธรรมภาคขาวทั้งหมดก็ต้องแก้ไขกันไป ให้พ้นปกครองหรือการเข้ามาแทรกแทรงของธาตุธรรมฝ่ายอื่น ตรงนี้คือภาระหนักของพระพุทธองค์ในนิพพาน ซึ่งเราไม่อาจจะใช้ความรู้สึกนึกคิดของคนในแดนโลกียะขบคิดได้ แต่ถ้าเราศึกษาตามข้อมูลที่ถูกตรงและปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงธรรมกายได้แล้วอย่างถูกต้องเราก็พอจะเข้าถึงสภาวะธรรมเช่นนี้ได้นะครับ


    ถ้าเอาภาษาทางโลกมาอธิบายมากความไป คนไม่รู้ไม่เข้าใจจริงก็อาจคิดไปแบบโลกียะซึ่งก็จะทำให้เข้าใจเขวออกไปได้ ทางที่ดีเราควรศึกษาไปตามลำดับ ถ้าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ไปหาความรู้ตามหนังสือตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นพื้นฐานก่อนนะครับ


    พอสรุปได้ว่า ผู้ได้มรรคผลนิพพานทั้งหมดท่านก็มีหน้าที่ในระดับธรรมธาตุคือในระดับปกครองใหญ่ ทั้งนิพพาน ภพ ๓ โลกันต์ อยู่ในปกครองของธาตุธรรมภาคกุศลทั้งหมด ต้องระวังธาตุธรรมภาคอื่นเข้ามาก้าวก่ายอำนาจปกครอง ธาตุธรรมภาคกุศลปกครองใจสัตว์โลกเพื่อให้สัตว์โลกเข้ามรรคผลนิพพานให้หมด แปลง่ายๆ ว่า ท่านที่พ้นทุกข์หมดกิเลสแล้ว ท่านก็ไปทำหน้าที่ช่วยเหลือสัตว์โลกในระดับของท่านเพื่อให้สัตว์โลกเข้ามรรคผลนิพพานให้หมด แต่ถ้ามีการขัดขวาง หรือก้าวก่ายกันระหว่างธาตุธรรม ๓ ฝ่าย ก็ต้องแก้ไขกันไป ขอกล่าวโดยย่อเพียงนี้นะครับ สำหรับท่านที่พอมีพื้นความรู้ก็จะเข้าใจได้ ท่านที่ไม่เคยได้รับรู้ก็ขอให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านทำใจเป็นกลางแล้วลองค่อยๆ ค้นหาความรู้เรื่องเหล่านี้เพิ่มเติมอีกทีนะครับ หาอ่านได้ไม่ยากครับ ในโลกไซเบอร์นี้เพียงเข้ากูลเกิ้ลไปก็หาอ่านได้แล้วครับ ความรู้วิชชาธรรมกายนะมีให้อ่านหมดแล้ว
     
  2. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    lokemesa เคยได้ยินเพื่อนที่เขาศึกษาวิชชาธรรมกายมาเล่าให้ฟังว่า
    สามารถรื้อสังสารวัฏฏ์ได้ จริงหรือที่ว่าเจ้าสังสารวัฏฏ์นี่ถูกรื้อได้
    แล้วทำไมพระพุทธเจ้าทั้งหลายนับเอนกอนันต์ที่มีมาแล้วมากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทร ซึ่งแต่ละองค์ก็บำเพ็ญบารมีมาเป็นองสไขย เป็นกัปๆ
    นับตั้งแต่องค์ปฐม จนมาองค์ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีองค์ไหนรื้อสังสารวัฏฏ์ได้เลย เพราะปัจจุบันพวกเราและสรรพสัตว์อีกตั้งมากมายที่ยังคง
    ตกค้างอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้

    ในความเห็นคุณสมถะ สังสารวัฏฏ์สามารถถูกรื้อได้ไหม
    และใครที่สามารถ ก็แม้แต่บุรุษผู้เลิศสุดในภพสาม ยังไม่สามารถรื้อ
    แล้วบุคคลประเภทใดเล่า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างไรเล่า จึงสามารถ
    แม้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวคุณสมถะ ก็ขอฟังไว้ประดับความรู้น่ะ
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอตอบนะครับ ศาสดาท่านก็หักกงล้อของท่านได้ ท่านก็ชี้ทางออก ชี้วิถีหักเอาไว้แล้วนี่ แถมชี้ไว้แบบละเอียดเลย ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008
  4. ปัจเจกพุทธะ

    ปัจเจกพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +121
    อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจาธิฏฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะอาวุธานีติ.
    ดูก่อนพระบารมีทั้งหลาย ขอเชิญพระบารมีคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา และอุเบกขา จงมาที่นี่โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อยุทธ์กับพญามาร (กิเลส) เถิด.
    อนุโมทนาครับ.
    บริจาคเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุ
    โทร.1900-222-200 6บาท/นาที
     
  5. อย่ากด อนุโมทนา

    อย่ากด อนุโมทนา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมตอบไห้ครับ เขาคนนั้นคือ ผู้สำเร็จ...วิชา...ขั้นสูงสุดจนสามารถ...พระศาสนาได้ครับ
    ขออภัยที่ห้ามจิตไม่ได้ อิอิ

    ผู้ชื่นชอบกิเลส ย่อมไม่อยากเสียไป ไม่อยากศูนย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2008
  6. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    ตามที่ท่านถามมานั้นคงจะพอตอบได้คร่าวๆ ดังนี้นะครับ

    ในความเห็นคุณสมถะ สังสารวัฏฏ์สามารถถูกรื้อได้ไหม

    ก่อนอื่นคำว่ารื้อสังสารวัฏฏ์นั้น เราต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงกันก่อนนะครับ ไม่ใช่รื้อแบบรื้อบ้านอย่างนั้น และคำนี้ความจริงแล้วมีเพียงบางสำนักที่นำไปใช้แบบผิดความหมายหรือคลาดเคลื่อนจากคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำไปนั่นเอง คำว่ารื้อสังสารวัฏฏ์นั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำหมายเอาต้องการให้สัตว์โลกที่ถูกอวิชชาปกครองด้วยทุกข์-สมุทัยนั้น พ้นจากอำนาจปกครองแล้วให้สัตว์โลกมีใจเป็น ทาน ศีล ภาวนา เมื่อเกิดสภาวพใจเช่นนี้ก็เป็นการดำเนินตามหลักของกุศลธรรม เมื่อเข้านิพพานก็เข้านิพพานทั้งเป็นๆ คือไม่ต้องตายก่อนแล้วเอาธรรมกายเข้านิพพานอย่างยุคนี้ คำว่ารื้อสังสารวัฏฏ์จะทำอย่างไร หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านทำแล้วครับ ก็คือ ท่านตั้งเวรทำวิชชาจะรื้อสังสารวัฏฏ์ ที่เรียกว่า "ปราบมาร" ทำวิชชาตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นเวลา ๓๐ ปีเศษ โดยให้บรรดาศิษย์ธรรมกายระดับแก่กล้าเข้าเวรทำวิชชาจะให้พ้นปกครองของภาคมาร มี ๖ เวร ๆ ละ ๔ ชั่วโมง ตลอดวันตลอดคืน แต่ก็ยังไม่ยุติหลวงพ่อก็มรณะภาพเสียก่อน


    และใครที่สามารถ ก็แม้แต่บุรุษผู้เลิศสุดในภพสาม ยังไม่สามารถรื้อ
    แล้วบุคคลประเภทใดเล่า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างไรเล่า จึงสามารถ
    แม้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวคุณสมถะ ก็ขอฟังไว้ประดับความรู้น่ะ


    การ "ปราบมาร" นั้น ทำมาหลายยุคหลายสมัย ยังไม่สำเร็จเด็ดขาดจริง ถามว่าเป็นอย่างไร ขอกล่าวโดยย่อความ ดังนี้ การจะรื้อสังสารวัฏฏ์ที่เรียกว่า ปราบมาร นั้น ผู้เป็นธรรมกายระดังสูง ก็จะต้องทำวิชชาร่วมกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระอรหันต์ พระเจ้าจักรพรรดิ รวมความว่า ธาตุธรรมภาคขาวมีเท่าไร(ที่ท่านว่ามีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรนั่นแหละ)อาราธนามารวมทำวิชชารบ(ปราบมาร)ด้วยกันทั้งหมด โดยมีกายมนุษย์หยาบของผู้ปราบมารเป็นฐาน กายละเอียดสู้มารไม่ได้ จึงต้องมีกายหยาบเป็นฐาน ผู้ที่จะทำวิชชาปราบมารต้องมีกายหยาบ(กายที่นั่งอ่านอยู่นี่)และต้องเป็นวิชชาชั้นสูงด้วย ธาตุธรรมภาคขาวทั้งหมดมาร่วมกับกายหยาบของผู้ทำวิชชาด้วย แปลว่างานนี้เป็นงานระดับ ธาตุธรรม นั่นแปลว่าปราบมารนั้นผู้ทำวิชชาที่มีกายหยาบนั้นเป็นฐานทัพให้พระพุทธเจ้า พระปัจเจก จักรพรรดิ ทั้งหมดของธรรมภาคขาวนั่นเอง ไม่ใช่ผู้ปราบมารเก่งอยู่คนเดียว แต่ก็ต้องมีวิชชาชั้นสูงด้วย วิชชาอ่อนก็ปราบมารไม่ได้ สู้เขาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องระดับปกครองใหญ่(ธาตุธรรม ๓ ฝ่าย)


    สรุป ดังนี้ครับ รื้อสังสารวัฏฏ์ ก็คือ ทำวิชชาปราบมาร ตามที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเคยลงมือทำวิชชามาแล้วพร้อมด้วยบรรดาศิษย์อีกหลายร้อยท่าน มีบางท่านที่ยังอยู่ที่วัดปากน้ำพอจะยืนยันได้ถึงการทำวิชชาปราบมารของหลวงพ่อ เพียงแต่การปราบยังไม่ยุติ ยังไม่ชนะ เพราะอะไรเพราะมันเป็นเรื่องยากที่สุด หลวงพ่อวัดปากน้ำกล่าวว่าการปราบมารมีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว แต่ยังไม่ยุติยังไม่ชนะภาคมารนั่นเอง


    สำหรับการอ้างคำว่า รื้อสังสารวัฏฏ์แล้วไปเอาแต่สร้างทานอย่างเดียว บารมีอย่างนี้รื้อสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ดอกครับ เป็นบารมีอ่อนเกินไป เป็นการให้ค่านิยมที่ไม่ตรงความรู้ของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั่นเอง


    ผมกล่าวเช่นนี้เพื่อต้องการให้ท่านผู้สนใจในวิชชาธรรมกาย หันมาศึกษาตัวเนื้อวิชชาภาคปฏิบัติให้จริงจัง อย่าไปหลงเชื่อว่าใครจะช่วยเราให้ไปอยู่สวรรค์หรือให้อยู่ในชั้นโพธิ์สัตว์ได้ เพราะถ้าปรากฏว่า ความรู้วิชชาธรรมกายไม่เจริญขึ้นในที่นั้นเลย การสอนให้คนเห็นธรรมเบื้องต้นก็ไม่เป็น คือมีคนร้อยคนต้องสอนให้เขาเห็นธรรมกายได้อย่างน้อย ๙๐ คนในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังจะรื้อสังสารวัฏฏ์เลย เขาเป็นโรคเขามีทุกข์ร้อนท่านใช้วิชชาธรรมกายแก้ทุกข์ร้อนให้เขาไม่ได้ก็อย่าหวังรื้อสังสารวัฏฏ์เลย มีคนตายญาติพี่น้องตายเราตรวจดูไม่ได้พิสูจน์ให้เขาเห็นไม่ได้ว่าตรวจคนตายได้ก็อย่าหวังรื้อสังสารวัฏฏ์เลย เขาถามความรู้เพียงแค่ความรู้พื้นฐาน เช่น เรื่อง วิชชา ๑๘ กาย ก็ตอบเขาไม่ได้ อ้างว่าเป็นความรู้สูงละเอียดลึกลับก็แปลว่าสอนคนไม่ได้สอนไม่เป็นก็อย่าหวังจะรื้อสังสารวัฏฎ์เลย ถ้าท่านฝึกวิชชาธรรมกายแล้วทำเรื่องเหล่านี้ให้เป็นที่ประจักษ์ไม่ได้ ไม่เคยอธิบายความรู้วิชชาธรรมกายให้ชัดเจนในสายตาของคนเป็นวิชชาด้วยกันเลย ก็แปลว่าท่านกำลังฝันลมๆ แล้งๆ ว่าท่านจะรื้อสังสารสัฏฏ์ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย


    จะสร้างบารมีอย่างไร จึงจะเกิดบุญศักดิ์สิทธิ์

    ท่านทนลำบากได้ไหม ตัวท่านเองจะต้องมีความรู้วิชชาธรรมกายที่ถูกต้องเป็นพื้นฐาน ท่านต้องสอนให้เขาเห็นธรรมกายได้ จึงจะได้ชื่อว่าพระโพธิสัตว์ ให้ธรรมเป็นทานเลิศกว่าทานทั้งปวง วัตถุทาน ให้เงิน ให้อาหาร ให้ปัจจัย สู้ให้ธรรมทานไม่ได้ ธรรมทานที่เลิศที่สุดคือ สอนให้คนอื่นเข้าถึงธรรมกายได้อย่างถูกต้อง ถ้าเริ่มต้นตรงนี้ไม่ได้ อย่าหวังรื้อสังสรวัฏฏ์เลยครับ ท่านจะไปอยู่ชั้นดุสิต ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าท่านสอนให้คนเห็นธรรมกายไม่ได้ก็เป็นโพธิสัตว์ไม่ได้ สร้างทานมาอย่างไร หมดเงินไปกี่ล้านก็ไปสวรรค์ชั้นดุสิตไม่ได้ ถ้าท่านยังไม่เคยให้ธรรมเป็นทานเลย ธรรมทานที่ว่านี้คือสอนให้คนอื่นเข้าถึงธรรมกายได้ นั่นแหละบารมีโพธิสัตว์ตัวจริง
     
  7. KING GOD

    KING GOD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +69
    มีข้อพิสูจน์ได้ไงว่า คุณสมถะ และทีมงานของนายการุณทำได้จริงๆ อาทิ แก้โรค หรือมีธรรมกายรู้เห็นใครเป็นอย่างไร ถ้ามีคนถามว่า คุณสมถะ ดูได้ไหมว่า ผมคนเขียนหน้าตายังไง ธรรมกายจริงเขารู้ แต่ไม่ทราบคุณสมถะ บอกได้ไหม ถ้าได้แสดงว่าคุณคือ ของจริง
    ผู้ได้ธรรมกาย ต้องพิสูจน์ได้ครับ ไม่ใช่ป่าวประกาศแต่พิสูจน์ไม่ได้
    ขอถามว่านายมีดบินรูปร่างยังไง เอาเท่านี้แหล่ะ มิใช่ดูเบา แต่ตัวผู้พบวิชาธรรมกายน่ะ ของจริงแน่ๆ แต่ลูกศิษย์หลายสำนักนี่ ยังสงสัยว่าใครจริงใครปลอม ขออภัยที่ล่วงเกิน
     
  8. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ผมคงไม่ใช่ของจริงดอกครับ เพราะผมไม่เคยบอกว่าผมเก่งทางวิชชาเลยครับ ดังนั้นผมเองไม่ใช่ผู้วิเศษตามที่คุณต้องการดอกครับ


    ผมแนะนำได้เพียงให้ท่านศึกษาไปเป็นลำดับ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันจะต้องแดงแจ๋ตามที่ท่านต้องการ เอาเหตุผลทางวิชชามาคุยกันเถิดครับ เพราะทุกอย่างมีเหตุมีผลอยู่ ฝึกได้ ปฏิบัติได้


    ผมเองกล่าวตามหลักของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั่นเอง


    หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านแก้โรคได้ แก้ทุกข์ร้อนได้ ถึงขนาดรับแก้โรคโดยไม่ต้องกินยาใช้วิชชาธรรมกายแก้ให้

    หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนให้คนเห็นธรรมกายได้ ให้แม่ชีและภิกษุออกสอนให้เขาเห็นธรรมกายได้

    หลวงพ่อวัดปากน้ำตรวจคนตายได้ แม่ชีและภิกษุเก่งๆ ในยุคนั้นก็ตรวจคนตายได้ว่าอยู่ที่ไหน

    หลวงพ่อวัดปากน้ำบอกวิชชา บอกความรู้ทางวิชชาให้เราเข้าใจได้ ดังที่เราได้เคยอ่านตำราของหลวงพ่อมาแล้วนั่นเอง


    ถ้าสำนักใดทำได้อย่างหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านก็มีสิทธิ์ทำวิชชาชั้นสูงขั้นปราบมารได้นั่นเอง นี่คือหลักเหตุผล


    ที่นี้ถ้าจะมานั่งพิสูจน์ด้วยความเห็นส่วนตัวแต่ไม่สนใจหลักวิชชาธรรมกายเลยก็จะเป็นเรื่องของอารมณ์กันไป หวังว่าท่านจะตั้งเจตนาในการศึกษาวิชชาธรรมกายเสียใหม่นะครับ อย่างน้อยถ้าใครเขามาบอกว่าให้สนใจภาคปฏฺบัติ มากกว่าการให้แต่ความหวังโดยที่เราก็พิสูจน์ไม่ได้ ท่านก็จะได้พิจารณาได้ว่า ความรู้สำคัญกว่าความเชื่อ เน้นนะครับ ความรู้สำคัญกว่าความเชื่อ...


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008
  9. KING GOD

    KING GOD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +69
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือพระมงคลเทพมุนี เรายกท่านไว้ ผมคิดว่ามหาชนยอมรับ แต่คุณสมถะ อ้างว่าพิสูจน์ได้ ก็ต้องพิสูจน์วิชาได้ว่าทำได้จริงครับ การบอกวิชา โดยเอาความรู้จากคู่มือสมภารมาบอก ผมก็ทำได้ แต่การพิสูจน์ให้เห็นจริงเป็นอีกกรณี ผมเคยเจอที่วัดดัง บอกคุมจิต ผมก็สงสัยว่า เขาเก่งขนาดนี้หรือ เพราะที่เห็นทำได้ คือ ท่านมั่น ภูริทัตตะ แต่วัดดังอย่างวัดธรรมกาย ผมไม่เชื่อ เอาจริง เขาไม่ทราบ แต่เวลาพูดเหมือนกับยิ้มว่า ของตนของจริงรู้จริง ผมเองก็คนจริง เดินวิชาไปมา ก็รู้แล้วพวกนี้ผิดทาง แต่ก็ยังมีคุณคือ แม้จะไม่ได้สอนให้ละ เลิก ลด แต่สอนให้คนทำดี ถือศีล ก็ยังจัดว่าดี
     
  10. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอบคุณคุณสมถะสำหรับธรรมทานครับ

    นี่ lokemesa ก็พึ่งรู้ว่า วิชชาธรรมกายเหมือนกัน แต่สอนไม่เหมือนกัน
    ไหงเป็นงั้นล่ะ แล้ววิชชาธรรมกายนี่มีกี่สำนักเหรอ ตอนแรกนึกว่ามีแต่ที่วัดพระธรรมกาย
     
  11. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ขออภัยด้วยที่ทำให้เข้าใจผิดเรื่องพิสูจน์ได้ การพิสูจน์ได้ก็คือพิสูจน์ในเรื่องที่ผมนำเสนอไปแล้ว คือสอนได้ผล แปลว่าวิชชาเราต้องช่วยให้เข้าเห็นธรรมกายได้อย่างสะดวกขึ้นนี่ประการหนึ่ง แก้ทุกข์ร้อนได้ตามหลักวิชชาธรรมกายนี่ประการหนึ่ง ตรวจคนตายว่าไปอยู่ไหนได้ตามหลักวิชชาธรรมกายนี่ประการหนึ่ง อธิบายธรรมภาคปฏิบัติตั้งแต่หลักสูตรเบื้องต้นได้นี่ประการหนึ่ง ตรงนี้ต้องพิสูจน์ได้ คือมีผลงานมาให้ผู้สนใจได้รรับรู้ แต่ไม่ใช่ผมหรือความหมายที่ผมแสดงแปลว่า ต้องแสดงฤทธิ์ให้เห็นที่นี่เดี๋ยวนี้ได้ เพราะนั่นคนละประเด็นผมต้องการเพียงแต่ให้สนใจเนื้อความรู้ทางวิชชาธรรมกายให้ถูกตรงเท่านั้นครับ


    ขอออกตัวได้เลยว่าผมไม่มีความวิเศษเลิศหรูที่จะทำอะไรๆ ตามใจผู้ใดที่ปรารถนาได้ ถ้าจะมีความรู้ความสามารถบ้างก็เป็นไปตามหลักวิชชาธรรมกายเท่านั้นครับ ไม่ได้เก่งเลอเลิศไม่เคยคิดว่าจะต้องเก่งและไม่เอาเรื่องแบบนี้มานำเสนออย่างแน่นอน ถ้าจะเสนอก็เป็นความรู้ตามหลักวิชชาธรรมกายเท่านั้น


    ผมเองกำลังจะให้ท่านผู้อ่านผู้ถามค่อยๆ ใช้เหตุผลทางความคิด การที่เราเคยได้ยินมาอย่างนั้นอย่างนี้เมื่อเอาหลักวิชชามาจับแล้วไม่เข้าด้วยหลักวิชชาแต่ประการใดเลย เราทำทาน ต่อให้มากจนหมดประเทศ ใช้เงินไปทั้งประเทศเพื่อสร้างทาน แล้วก็นำไปสร้างวัตถุ มันก็เป็นเพียงบุญระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่จะหวังว่าบุญเช่นนี้จะทำให้เราเป็นพระโพธิสัตว์เสวยสุขในดุสิตได้แล้วจะยังผลอานิงสงค์ให้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้เลย บุญได้จริงแต่ไม่ใช่แบบที่โฆษณาสรรพคุณเกินจริงเท่านั้นเองครับ


    วิชชาธรรมกายเป็นภาคปฏิบัติ บุญเกิดตรงนี้ ตรงปฏิบัติเข้าถึงจริงได้มากแค่ไหน เข้าถึงมากก็ได้บุญมาก เข้าใกล้มรรคผลนิพพานได้มาก ผมเพียงต้องการกระตุกต่อมความคิดของท่านให้หันกลับมามองคุณค่าของการเข้าถึงธรรม คุณค่าของการศึกษาเอาความรู้จริง ความรู้ที่ถูกต้องนี่แหละจะช่วยให้เราพ้นทุกข์พ้นภัยในวัฏฏะได้จริง


    ตรงนี้หวังว่าท่านคงเข้าใจได้บ้าง ผมมิได้มีความประสงค์ห้ามเรื่องทำทาน ท่านจะทำแค่ไหนอย่างไรเป็นสิทธิของท่าน แต่ท่านอย่าลืมเรียนให้ถึงความรู้ที่ถูกต้องของวิชชาธรรมกายด้วย เพราะวิชชาธรรมกายจะดับสูญก็เพราะเราผู้สนใจแต่กลับไม่เอาใจใส่ต่อการเรียนรู้จริงกลับไปหลงวัตถุและพิธีกรรมฟุ่มเฟือย ไม่ใส่ใจต่อความรู้ ความรู้ก็ค่อยๆ สูญไปเพราะเราไม่เห็นคุณค่าไม่เห็นความสำคัญนั่นเอง สอนให้คนเป็นคนดีนั้นดีแล้ว แต่สอนให้คนเดินไปสู่ความรู้ที่ถูกตรงด้วยนั้นจะดียิ่งกว่ามากนัก เพียงแต่เรามีความรู้ที่ถูกตรงในหลักวิชชาธรรมกายสอนเขาได้ไหมเท่านั้นเอง ผมพูดเพื่อให้ท่านที่สนใจในวิชชาธรรมกายเข้าหาเนื้อวิชชาในภาคปฏิบัติเท่านั้นเอง...ขอรับ


    ผมก็ไม่เก่งไปกว่าท่านดอก แต่ผมเป็นเพื่อนท่านได้เมื่อท่านต้องการความรู้ทางวิชชาธรรมกายนะครับ



    เอาล่ะครับ ท่านที่ถามมาเรื่องรื้อสังสารวัฏฏ์ผมตอบให้แล้ว ท่านถาม...ผมจึงตอบถ้าท่านใดไม่ถูกใจในคำตอบก็ขอได้โปรดให้อภัยผู้ตอบด้วยเถิด ผมเพียงอธิบายไปตามความเห็นของผมเท่านั้นครับ...
     
  12. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    ขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่นะครับ การฝึกสมาธิแนวธรรมกายมาจากวัดปากน้ำ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสั่งสอนแนวปฏิบัติเอาไว้ ลูกศิษย์ของท่านมีมากทั้งภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณะภาพลง เหล่าบรรดาศิษย์ก็ต่างแยกย้ายกันไป บางท่านอยู่ที่วัดปากน้ำถึงปัจจุบันก็มี

    ที่อำเภอดำเนินสะดวก จ. ราชบุรี ก็มีวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสริมชัย หรือหลวงป๋า ท่านเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณภาวนา ท่านก็สอนสมาธิแนววิชชาธรรมกาย ท่านสอนตามแนวความรู้ของหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยเฉพาะตามตำรา คู่มือสมภาร มรรคผลพิสดาร

    ที่อื่นๆ ก็มี เชียงราย เชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา ร้อยเอ็ด สงขลา ชลบุรี เพียงแต่จำชื่อสถานที่ไม่ได้ สำนักเหล่านี้สอนสมาธิแนวธรรมกายและไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายที่ปทุมธานี ต่างประเทศก็มีครับ วัดป่าที่ร้อยเอ็ด ชื่อวัดป่าเจริญธรรมกาย อ.ปทุมรัตน์ สำนักเหล่านี้ก็เหมือนวัดทั่วๆ ไป ไม่มีกิจกรรมใหญ่โตอะไร

    ถามว่า ทำไมสอนไม่เหมือนกัน ผมตอบได้ว่า สอนเหมือนกันครับ ถ้าสำนักนั้นๆ ใช้ความรู้หลวงพ่อวัดปากน้ำมาสอนก็เหมือนกันทุกสำนัก ความรู้ที่พอเป็นเครื่องชี้วัดก็มีตำรา 4 เล่ม ซึ่งเป็นความรู้สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ นั่นคือ

    ๑.ทางมรรคผลนิพพาน เล่มวิชชา ๑๘ กาย
    ๒.คู่มือสมภาร
    ๓.มรรคผลพิสดารภาค ๑
    ๔.มรรคผลพิสดารภาค ๒


    ไปสอบถามดูแต่ละสำนักว่ามีตำราเหล่านี้หรือเปล่า สอนตามความรู้หลวงพ่อวัดปากน้ำในตำราเหล่านี้หรือเปล่า หรืออย่างน้อยก็ไปที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ไปถามหาตำราเหล่านี้ นำมาอ่าน นำมาปฏิบัติ ถ้าอ่านไม่เข้าใจก็เข้าไปในเว็ปของศิษย์ท่านอาจารย์การุณย์มีเขียนอธิบายแนวเดินวิชชาไว้ครบหมดแล้ว เท่านี้เองเราก็จะทราบความรู้ทางวิชชาธรรมกายได้เอง ถ้าเรียนมาความรู้เดียวกันก็ต้องสอนเหมือนกันครับ ที่ไม่เหมือนกันก็แปลว่าไม่สอนตามความรู้เหล่านี้หรือไม่ก็ขอให้ท่านไปหาคำตอบเอาเองครับ...
     
  13. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    lokemesa เองเพิ่งลองมาศึกษาวิชชาธรรมกายได้ไม่ถึงปี
    หลักๆ ก็มาจากวัดพระธรรมกายนั่นล่ะ แล้วก็ดูเอาจาก DMC
    เห็นคนมาวัดฯเยอะ คิดว่าคงจะมีดีอยู่หรอก และคงมีบัณฑิตผู้รู้อยู่บ้างแหละ ก็ยังอยู่ในระหว่างติดตามดูอยู่ครับ ยังไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก

    แต่เท่าที่ อ่านของคุณสมถะ ความหมายของคำว่า พญามาร ที่ทางวัดฯกล่าว ไม่น่าจะเหมือนมารภาคดำที่คุณสมถะอธิบายนะ

    คุณสมถะว่า คำว่า ปราปมาร นี่คือตัว พญามาร หรือ มารอะไรในมาร ๕ ฝูงหรือ แล้วมารที่มาทวงอปราชิตบัลลังก์นั้น จริงๆแล้ว เป็นมารอะรกันแน่ ที่แน่ๆคือคงไม่ใช่เทวบุตรมาร เพราะแม้พระพรหมยังต้องหนีด้วยความกลัว ขอความเห็นคุณสมถะผู้บัณฑิตครับ
     
  14. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    เรื่องมีดีหรือไม่คุณlokemesaต้องไปพิสูจน์เอาเองนะครับ เพียงแต่คุณจะต้องมีพื้นความรู้บ้างไม่อย่างนั้นคุณจะพิจารณาได้อย่างไรล่ะครับ


    คำว่าปราบมาร ถ้ายังไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้ดอกครับ เขาก็ปราบเราก่อนแล้ว


    เอาอย่างนี้นะครับ มาร ๕ ฝูงนั้นมีอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่ธาตุธรรมภาคมาร เช่น กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวปุตรมาร นี่เขาเรียกว่ามารที่อยู่ในโลกียะ ไม่ใช่ธาตุธรรมภาคมาร เป็นเพียงเครื่องมือของมาร หรือวิชชาของภาคมารเขาส่งมาปกครองสัตว์โลกอีกที


    คุณสมถะว่า คำว่า ปราปมาร นี่คือตัว พญามาร หรือ มารอะไรในมาร ๕ ฝูงหรือ แล้วมารที่มาทวงอปราชิตบัลลังก์นั้น จริงๆแล้ว เป็นมารอะรกันแน่ ที่แน่ๆคือคงไม่ใช่เทวบุตรมาร เพราะแม้พระพรหมยังต้องหนีด้วยความกลัว

    คำว่าพญามารที่หลวงพ่อวัดปากน้ำกล่าว ท่านหมายเอาธาตุธรรมภาคมาร หมายเอาผู้ปกครองใหญ่ภาคมาร ไม่ใช่พญามารที่มาแย่งบัลลังของพระพุทธเจ้าในวันก่อนตรัสรู้นะครับ นั่นเขาเรียกว่าเทวปุตรมาร ไม่ใช่ธาตุธรรมภาคมาร มาร ๕ ฝูงนั้นเป็นผลของวิชชาของต้นธาตุภาคมาร มาร ๕ ฝูงอยู่ในระดับปกครองย่อย แต่ธาตุธรรมภาคมารอยู่ในระดับปกครองใหญ่ ถ้าไม่มีความรู้จริง จะไปปราบแต่มาร ๕ ฝูง กับ เทวปุตรมารที่เรียกว่าพญามารล่ะก็ ปราบอย่างนั้นก็เท่ากับเด็กเล่นขายของ ไม่ใช่เรื่องจริงเรื่องจัง ถือว่าความรู้ยังตื้นเขินไปหน่อยนะครับ แปลว่าไม่มีความรู้แล้ว...

    ขึ้นชื่อว่ามาร เขาก็มีอำนาจปกครองไปเป็นลำดับ ต้น กลาง ปลาย อ่อน แก่ หยาบ ละเอียด ถ้าจะคุยความรู้เรื่องนี้แนะนำให้เข้าไปอ่านเรื่องธาตุธรรม ๓ ฝ่ายก่อนนะครับ ถ้าจะเล่าความรู้อะไรให้ลูกศิษย์ฟังแต่แยกแยะไม่ถูก หรือตัวผู้เล่าก็ไม่มีความรู้จริง เราก็จะได้ความรู้แบบผิดๆ ถูกๆ เป็นเรื่องธรรมดาครับ นี่ผมกล่าวทั่วๆ ไปนะครับ

    ธาตุธรรม ๓ ฝ่าย
    http://palungjit.org/showthread.php?t=37540
     
  15. lokemesa

    lokemesa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอขอบคุณสมถะสำหรับหรับคำชี้แนะครับ
    มีประโยชน์มากครับ

    ได้เวลาไปนั่งหลับตาแล้ว วันนี้ขอตัวก่อนครับ
    คราวหน้าต้องรบกวนขอความรู้เพิ่มเติมนะครับ

    อ้อ ขอให้คุณสมถะได้บุญบารมีเยอะๆ ในธรรมทานนี้นะครับ
    ไว้เป็นกำลังปราปมารครับ
    ขอบคุณครับ
     
  16. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    การจะทำวิชชาปราบมารได้ต้องอาศัยกายหยาบเป็นฐานจำนวนมาก

    นั่นคือต้องมีผู้เข้าถึงธรรมกายและทำวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้จำนวนมากๆ

    แต่ในปัจจุบันเรามาเกิดในผังของเขาแล้ว ต้องเสียเวลาทำมาหากิน

    เวลาจะมานั่งหลับตาทำภาวนามันก็น้อยเหลือเกิน

    วิชชาชั้นสูงจะเข้าถึงได้ต้องฝึกตั้งแต่หยาบไปสุ่ละเอียด

    เอาแค่เห็นประตูที่เขาเขียนว่าให้ดึงแล้วเราผลัก ก็ยังมีผลกับการปฏิบัติแล้ว

    จะว่าไปใยกับการ เข้าถึงะรรมชั้นสูงที่ต้องทุ่มเทกันถึงขั้นทิ้งชีวิตในการศึกษาและได้มา

    มันก็ต้องมีขั้นมีตอนในการฝึกฝนและขัดเกลาสันดานของตน

    ของภายนอกเราสละออกได้ง่ายแค่ใหน ความโลภเรามีแค่ใหน

    ความเสียดายทรัพย์เรามีแค่ใหน แล้วความเสียดายชีวิตเรามีแค่ใหน

    ยังมีความเครพ ความกตัญญู ความพร้อมเพรียง ความอดทน ความมักน้อย

    ความมีวินัย และอื่นๆอีกที่ต้องมีมากจนถึงที่สุดทุกคนที่ทำวิชชาปราบมาร

    ความรู้จึงจะเท่าเทียมทันกันหมดเพราะมันจำเป็นในการเอาชนะ

    ปัจจุบันวิชชายังไม่ทันเขาเพราะขาดทีมที่มีคุณสมบัติดังกล่าว

    ครูบาอาจารย์ท่านทราบดี แต่ละท่านก็มีวิธีฝึกฝนศิษย์ที่เชื่อท่านเครพท่าน

    เพราะท่านไม่ได้มองเฉพาะชาตินี้ท่านมองข้ามภพข้ามชาติและวางแผนในการฝึกฝนศิษย์ของท่านไว้แล้ว

    ว่าการที่จะให้มีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากๆ ตองไม่เดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน

    และจะไม่ต้องเดือดร้อนทำมาหากินต้องทำอยางไร ท่านก็สั่งสอนให้ทำ และต้องทำด้วยใจอย่างไรเป็นต้น และยังมีเรื่องอื่นๆในทศบารมี ที่ขาดไม่ได้

    และยังต้องมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุด และต้องเป็นกายหยาบที่มีคุณภาพดีที่สุดอีก และวิธีการที่จะได้มาต้องทำอย่างไร

    และการที่จะเข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ใจต้องเป็นอย่างไร และมีวิธีการฝึกอย่างไร นานแค่ไหน

    ครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็เน้นพื้นฐานไม่เหมือนกันการฝึกศิษย์จึงไม่เหมือนกันด้วย

    และการเข้าถึงธรรมชั้นสูงและการทำวิชชาก็ยังต้องอาศัยบุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ซึ่งเหล่านี้จะได้มาก็ต้องสั่งสมเอาทั้งสิ้น

    ดังนั้นหากเรารู้ไม่ทันครูบาอาจารย์บางท่าน เราก็อาจจะไปปรามาสท่านได้ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008
  17. bigbasna

    bigbasna สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +10
    อย่าไปรู้เลยครับ รักษาสุขภาพจิตใจและร่างกาย ให้ได้อยู่กับคนที่คุณรักและคนที่รักคุณนานๆดีกว่า ตายไปแล้วก้อหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วครับ
     
  18. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972

    ผมได้อ่านความเห็นข้างบนนี้แล้ว เห็นว่ายังไม่ตรงกับความเป็นจริง และอาจจะดูหนักไปทางศรัทธานิยม ไม่เข้าด้วยหลักความเป็นจริงที่ควรจะเป็น ขอชี้แจงในความเห็นของท่าน ดังนี้ครับ




    การจะทำวิชชาปราบมารได้ต้องอาศัยกายหยาบเป็นฐานจำนวนมาก<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    นั่นคือต้องมีผู้เข้าถึงธรรมกายและทำวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้จำนวนมากๆ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความจริงน่าจะเป็นเช่นนี้ครับ วิชชาปราบมารไม่ขึ้นอยู่กับต้องใช้กายหยาบจำนวนมาก แต่เพียงแค่คนเดียวที่ทำวิชชาปราบมารได้จริงโลกก็น่าอยู่น่าอาศัยแล้ว แปลว่าอย่าไปมองที่ปริมาณ ให้มองที่คุณภาพ คนเดียวถ้าทำได้จริงก็เกินคุ้มแล้วครับ แต่ถ้ามีจำนวนมากจริงก็ต้องมีคนคุมวิชชาอย่างเช่นหลวงพ่อวัดปากน้ำถึงจะเป็นไปได้ ถามว่าปัจจุบันนี้มีคนคุมวิชชาที่มีความรู้ชั้นสูงเช่นนั้นได้สักกี่คน ที่เห็นโด่งดังอยู่บางแห่งแต่พอถามความรู้แค่เบื้องต้นยังตอบไม่ได้ ยังตอบไม่ถูกแค่นี้ก็ทราบแล้วว่าอะไรเป็นอะไรครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่ในปัจจุบันเรามาเกิดในผังของเขาแล้ว ต้องเสียเวลาทำมาหากิน <o:p></o:p>
    เวลาจะมานั่งหลับตาทำภาวนามันก็น้อยเหลือเกิน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นี่ก็เป็นการตั้งสมมติฐานผิดครับ ทำไมไม่ดูตัวอย่างสมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำล่ะครับ หลวงพ่อตั้งเวรทำวิชชารบ ๒๔ ชั่วโมง ๖ เวร ๆ ละ ๔ ชั่วโมง คนๆ นึงในเวรนั้นๆ ใช้เวลาทำวิชชาเพียง ๔ ชั่งโมงเท่านั้นเอง หรือแม้คนปราบมารเพียงคนเดียวก็สามารถแบ่งเวลางานทางโลกงานทางธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากจนเกินไป นี่แปลว่าเราตั้งเงื่อนไขเพื่ออ้างสู่ความเกียจคร้าน เราต้องถือคติว่า พร้อมก็ทำไม่พร้อมก็ทำแล้วเราจะทำได้ ความจริงเรื่องเวลายังพอจัดแจงได้ เรื่องสำคัญคือความรู้ทางวิชชาต่างหากครับ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วิชชาชั้นสูงจะเข้าถึงได้ต้องฝึกตั้งแต่หยาบไปสุ่ละเอียด<o:p></o:p>
    เอาแค่เห็นประตูที่เขาเขียนว่าให้ดึงแล้วเราผลัก ก็ยังมีผลกับการปฏิบัติแล้ว<o:p></o:p>
    จะว่าไปใยกับการ เข้าถึงะรรมชั้นสูงที่ต้องทุ่มเทกันถึงขั้นทิ้งชีวิตในการศึกษาและได้มามันก็ต้องมีขั้นมีตอนในการฝึกฝนและขัดเกลาสันดานของตน<o:p></o:p>
    ของภายนอกเราสละออกได้ง่ายแค่ใหน ความโลภเรามีแค่ใหน <o:p></o:p>
    ความเสียดายทรัพย์เรามีแค่ใหน แล้วความเสียดายชีวิตเรามีแค่ใหน<o:p></o:p>
    ยังมีความเครพ ความกตัญญู ความพร้อมเพรียง ความอดทน ความมักน้อย<o:p></o:p>
    ความมีวินัย และอื่นๆอีกที่ต้องมีมากจนถึงที่สุดทุกคนที่ทำวิชชาปราบมาร<o:p></o:p>
    ความรู้จึงจะเท่าเทียมทันกันหมดเพราะมันจำเป็นในการเอาชนะปัจจุบันวิชชายังไม่ทันเขาเพราะขาดทีมที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
    <o:p></o:p>
    ถ้ามั่วแต่คิดแค่นี้ก็ไม่ต้องทำอะไร สร้างเงื่อนไขว่าต้องพร้อมทุกเรื่องเก่งทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ได้ดอกครับ ทำไมไม่เอาใจใส่ต่อเนื้อวิชชาให้ถูกต้องก่อนล่ะครับ ปัจจุบันวิชชาไม่ทันเขาเพราะเราไม่เอาจริงเอาจังกันคิดอย่างนี้ไม่เท่าทันเขาดอกครับ ไม่ใช่อยู่ที่ทีมแต่อยู่ที่ความไม่เอาไหนไม่เอาจริงของผู้ฝึกต่างหาก ตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ก็บอกแววพ่ายแพ้แล้วครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ครูบาอาจารย์ท่านทราบดี แต่ละท่านก็มีวิธีฝึกฝนศิษย์ที่เชื่อท่านเครพท่าน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะท่านไม่ได้มองเฉพาะชาตินี้ท่านมองข้ามภพข้ามชาติและวางแผนในการฝึกฝนศิษย์ของท่านไว้แล้ว

    คิดอย่างนี้แล้วชาติไหนจะได้ทำวิชชาล่ะครับ ก็บอกแล้วว่าถ้าครูอาจารย์ไม่เป็นเรื่องไม่สนใจเนื้อวิชชาก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรได้จริงดอกครับ เรียกว่าเขวเสียแล้ว ชาตินี้คุณยังทำอะไรไม่ได้เลย ชาติหน้าหมดสิทธิ วิชชาภาคปราบต้องสนใจเรื่องภาคปฏิบัติไม่ใช่คิดแต่จะต้องวางแผนให้มันใหญ่โตจะได้บุญใหญ่เท่าฟ้าครอบไปถึงชาติหน้าแล้วจะวิเศษ นั่นมันเรื่องหลอกเด็กนะครับ บุญที่ทำๆ กันทุกวันนี้หวานคอมารเขาทั้งนั้น ไม่ใช่บุญที่จะไปสะกิดเขาได้เลย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ว่าการที่จะให้มีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากๆ ตองไม่เดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน
    และจะไม่ต้องเดือดร้อนทำมาหากินต้องทำอยางไร ท่านก็สั่งสอนให้ทำ และต้องทำด้วยใจอย่างไรเป็นต้น และยังมีเรื่องอื่นๆในทศบารมี ที่ขาดไม่ได้

    เรื่องนี้เป็นกุศโลบายที่ไม่ตรงทางวิชชาภาคปราบเท่าใดนัก ทำไมไม่พิจารณาหลวงพ่อวัดปากน้ำล่ะครับ ท่านทำได้ เราทำไม่ได้เพราะไม่ทำตามแบบอย่างท่าน ความจริงแล้วไปคิดเรื่องอื่นมากกว่า ไม่เอาจริงมากกว่า ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดแบบนี้แปลว่าครูท่านนั้นไม่ฉลาดเลย แล้วก็ไปคิดว่าต้องพร้อมก่อน ภาคมารเขาไม่โง่ให้เราพร้อมก่อนดอกครับ แปลว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว

    และยังต้องมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุด และต้องเป็นกายหยาบที่มีคุณภาพดีที่สุดอีก และวิธีการที่จะได้มาต้องทำอย่างไร

    เขาหลอกเราหรือเปล่าครับ จะเอากายมหาบุรุษแบบพระพุทธองค์ก็ยังทรงต้องประชวรก่อนปรินิพพานได้เลย กายที่แข็งแรงที่สุดก็เรื่องหลอกลวงอีกแล้วครับ ถ้าไม่ทำวิชชาปราบกายแข็งแรงที่สุดเกิดขึ้นไม่ได้เลย ภาคมารเขาไม่โง่ดอกครับ เขาดูเราสร้างบารมีอยู่ เรามีปัญญาแค่นี้ก็เสร็จเขานะครับ

    และการที่จะเข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ใจต้องเป็นอย่างไร และมีวิธีการฝึกอย่างไร นานแค่ไหน

    อย่าไปคิดเองเออเองเช่นนี้ แค่หลักเบื้องต้นท่านยังสอนไม่ได้แล้วจะสอนชั้นสูงได้อย่างไรล่ะครับ แปลว่าเข้าใจผิดตั้งสมมติฐานผิด ก็ออกทะเล ไม่สามรถยังผลให้เข้าถึงวิชชาตัวจริงครับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็เน้นพื้นฐานไม่เหมือนกันการฝึกศิษย์จึงไม่เหมือนกันด้วย
    และการเข้าถึงธรรมชั้นสูงและการทำวิชชาก็ยังต้องอาศัยบุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ซึ่งเหล่านี้จะได้มาก็ต้องสั่งสมเอาทั้งสิ้น

    นี่เป็นคำลวงของบางแห่งกระมังครับ ทำไมไม่พิจารณาในยุคของหลวงพ่อวัดปากน้ำล่ะครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับครูอาจารย์ ถ้าอาจารย์มีความรู้จริงก็ไม่ยากที่จะเจอคนจริงมาร่วมด้วย แต่ถ้าครูอาจารย์ไม่มีความรู้จริงแล้วมาบอกว่าต้องให้ทุกคนสร้างบารมีก่อน ผมบอกได้เลย ไม่มีทางที่จะทำวิชชาปราบได้จริง เพราะคิดเช่นนี้เราถึงเป็นลองธรรมภาคมาร แปลว่าแพ้เขาแล้ว ปราบได้หรือไม่ได้อยู่ที่เนื้อวิชชาภาคปฏิบัติไม่ได้อยู่ที่ความพร้อมทางโลก ต้องรวยก่อน ต้องมีกายแข็งแรงก่อน ต้องสะสมบุญบารมีก่อน เรื่องหลอกลวงทั้งเพ เพราะทำอย่างนี้เขาก็ปราบเราก่อนแล้วเขาไม่โง่ให้เราพร้อมทุกอย่างก่อนดอกครับ นอกเสียจากเราโง่เองที่ไปคิดอย่างนั้น <o:p></o:p>
    ผมขอกล่าวว่าคนจะทำวิชชาภาคปราบได้ ธาตุธรรมภาคขาวท่านส่งมาเกิดท่านวางเอาไว้แล้ว เมื่อมาเกิดก็ต้องทำได้ ถ้าใครอ้างว่าจะทำแต่ต้องทำอย่างอื่นก่อนแปลว่าไม่เป็นความจริงแล้ว แปลว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว

    ดังนั้นหากเรารู้ไม่ทันครูบาอาจารย์บางท่าน เราก็อาจจะไปปรามาสท่านได้ ครับ

    ผมกลับมองว่า เราต้องรู้เท่าทันครูอาจารย์บางท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักวิชชาธรรมกาย ไม่ได้ปฏิบัติตามแบบอย่างหลวงพ่อวัดปากน้ำ แต่ทำตามหลักคิดเองเออเองของตนแล้วก็อ้างเหตุผลร้อยแปด สุดท้ายสิ่งที่ควรทำก็ไม่ทำ สิ่งที่ไม่ควรทำกลับทำหน้าตาเฉยเลย นี่คือความจริงที่ผมพูดแบบเบาที่สุดแล้วนะครับ เพราะรู้และเห็นความจริงบางอย่างมา จึงต้องกล่าวตรงๆ เช่นนี้ครับ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    ขออภัยด้วยถ้าความเห็นของผมไปกระทบต่อความไม่พอใจของท่านใดเข้า ผมกล่าวกว้างๆ และขอกำชับว่าความรู้ทางวิชชาธรรมกายมีให้ศึกษาตามตำราที่หลวงพ่อวัดปากน้ำวางไว้ให้หมดแล้ว ท่านเอาจริงเมื่อใดก็ได้ของจริงเมื่อนั้น เราต้องสร้างบารมีเพื่อให้ถึงความพร้อมนั้นจะสร้างอย่างไร สร้างแบบไหนจึงจะเป็นบารมีศักดิ์สิทธิ์ สร้างอย่างทุกวันนี้เอาเงินไปทำทานเอาเงินไปสร้างวัตถุไม่ใช่บารมีศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าท่านมาเรียนจริงฝึกฝนจริงในวิชชาธรรมกาย แล้วสร้างบารมีโดยให้ธรรมทาน สอนให้คนอื่นเห็นธรรมกายได้ นำความรู้ทางวิชชาธรรมกายไปแก้ทุกร้อนให้ตนเองและผู้อื่นได้ และดำเนินชีวิตตามหลักทาน ศีล ภาวนาที่เข้าด้วยหลักวิชชาธรรมกายอย่างแท้จรริง นั่นแหละคือบารมีตัวจริง บารมีเป็นพื้นฐานแต่ถ้าเราไม่ฉลาดในการสร้าง เอาแต่วัตถุทาน สิ่งก่อสร้างใหญ่โต บารมีเช่นนี้ภาคมารเขากำกับไว้หมดแล้ว เป็นของเปราะบาง วัตถุสร้างใหญ่โตขนาดไหนก็ไม่เท่าสร้างพระในใจคนซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ให้และผู้รับอย่างเอนกอนันตัง และเป็นบารมีที่จะให้เราเข้าถึงวิชชาธรรมกายอย่างถูกต้องต่อไปได้นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2008
  19. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
  20. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ตามที่คุณสมถะ กล่าวมาก็ถูกครับ

    แต่ที่ผมกล่าวถึงนั้นมิได้หมายถึงที่ผ่านมาหรือในปัจจุบัน เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำได้แค่ใหนก็เอาแค่นั้นก่อน ยันกันไปก่อน เกิดโรคระบาดก็รีบลงมือรักษาตามอาการก่อน เรื่องทำวัคซีน
    ก็ทำไป ยังทำไม่ได้ก็รักษาตามอาการกันไป

    แต่หมายถึงในอนาคตอันเป็นเป้าหมายคือวันที่พร้อมที่สุดในการทำภาระกิจนี้ให้เสร็จสิ้น



    นั่นหมายถึงอีกหลายภพหลายชาติที่ต้องสั่งสมจนถึงวันนั้น

    เรื่องที่มารไม่รอให้พร้อมนั้นก็ถูกต้องที่สุด

    มันก็เป็นปัญหาของเราว่าเมื่อไรจะชนะจริงๆ

    หากเข้าใจเหตุผลทั้งหมดก็น่าจะเข้าใจเรื่องหน้าที่ ในช่วงที่กำลังสร้างบารมีอยู่

    ว่าแต่ละคนมีหน้าที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ความแก่อ่อนของธาตุธรรม

    บางคนเหมาะจะสนับสนุน บางคนต้องรบ บางคนต้องเป็นหมอสนาม

    แต่ทั้งหมด มีเป้าหมายเดียวกัน

    ดังนั้นส่งใดจะทำให้เกิดการแตกแยก ก็ควรสงวนไว้

    เรารบกันมา จากนิพพานเป็นจนนิพพานตาย เกิดพระพุทธเจ้านับไม่ถ้วน

    และปัจจุบันก็ยังไม่ชนะ

    แล้วทำอย่างไรจึงจะชนะได้?

    สิ่งที่จำเป็นต้องมี กายมหาบุรุษ อันเป็นกายที่สมบูรณ์ที่สุดในการทำวิชชา

    ไม่จำเป็นจริงหรือ

    หากเป็นอย่างสมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ แล้วนั่นหมายถึงความสมบูรณ์แล้ว

    ทำไมเอาแก้วจักรพรรดิ์ขึ้นมาไม่สำเร็จ

    และหากสมบูรณ์แล้วทำไมคำนวณข้ามยุคไม่สำเร็จ

    สิ่งนั้นทำให้ผมเข้าใจว่ามันยังมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์อยู่

    ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้รวมทั้งข้อความก่อนนี้เป็นความคิดของผมแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวด้วย
    ครูบาอาจารย์แต่อย่างใด

    ผิดถูกข้าพเจ้าขอรับไว้ทั้งหมด

    ขออนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...