เจอของจริงวิ่งหนีป่าราบ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Angel_Of_Dream, 27 กรกฎาคม 2008.

  1. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253

    ...
     
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เจอของจริงวิ่งหนีป่าราบ (26 คน กำลังดูอยู่) ([​IMG] 1 2 3 4 5 6 7 8 9)

    โอ้โห มีคนเข้ามาอ่านตั้ง 26 คนแนะ

    เชิญต่อเลยครับคุณพายุ

    แต่ถ้ามี โพสของผม ก็จะของสงวนเอาไว้ตอบกับ คุณ lisy นะครับ
    ให้ท่านอ่านผ่านไปได้เลย เพราะไม่ได้เจตนาไปขัดคำสอนคุณ ผม
    เพียงแต่โต้ตอบกับคุณ lisy ที่ยังใหม่อยู่เท่านั้น
     
  3. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วครับ ดีครับ

    ใจหรือจิตก็คือวิญญาณเป็นธรรมชาติรับรู้อารมณ์ครับ

    ความคิด เป็นเจตสิกตัวสังขารครับ เป็นอาการของใจอีกทีหนึ่ง

    สติก็เป็นเจตสิกอีกตัวหนึ่งเช่นกันครับ เป็นสิ่งที่เข้ามาประกอบจิตแล้วทำให้จิตมีความจดจ่อตั้งใจอยู่ในสิ่งปัจจุบันได้ครับ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ในความเห็นของเค ปัญญา คือ การรู้ตัว
    ถ้าเรารู้ตัวมากขึ้น มีอะไรมากระทบเราก็รู้ตัว
    มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็รู้ตัว
    ชอบ ไม่ชอบ ร้อน เย็น ก็ให้รู้ตัว
    เมื่อก่อนเราไม่ค่อยรู้ตัว (เรียกว่าหลงไปอยู่ในโลกของความคิด)
    อะไร อะไร เกิดมันสนองตอบไปแบบอัตโนมัติ
    ดูหนังก็อินเหมือนเข้าไปอยู่ในหนัง ร้องไห้ หัวเราะ ก็ไม่รู้ตัว
    โดนกิเลสครอบงำก็ไม่รู้ตัว
    ที่บอกว่าไม่คิด หมายถึง อย่าไปช่วยเค้าคิด แต่ให้รู้ตัวว่าคิด
    (มันน่างงเหมือนกันเนอะ) ถ้าต้องทำงานที่ต้องใช้ความคิด
    ก็คิดไปนะคะ เพราะบางทีพอรู้ว่าคิด มันก็มักจะหยุดคิดซะดื้อๆ
    เอาตามพอเหมาะสมกับตัวเอง เพราะวันนึงมีตั้งหลาย ชม.


    แล้วทำไมเราถึงต้องรู้ตัว
    ในความเห็นของ เค การรู้ตัว คือการตื่นของจิตหนึ่งมารับรู้โลก
    เค เรียกเค้าว่า สติ การฝึกรู้ตัว ก็คือการฝึกเจริญสติ

    มีสติแล้วมันดียังไง
    ในความเห็นของ เค การมีสติ ทำให้รู้ตามจริง ตามความเป็นไปของโลก
    เมื่อรู้มากๆเข้า จิตนี้เค้าจะเลื่อนขั้นเลื่อนภูมิ ตามความรับรู้ไปตามลำดับ
    ธรรมมะ คือความจริง ที่มีอยู่ รอให้จิตเราไปเรียนรู้
    ตอนนี้รู้แค่นี้อะค่ะ เพราะยังรู้ตัวน้อยอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  5. กายในกาย

    กายในกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +1,265
    สนทนาธรรมตามภูมิธรรมของแต่ละท่าน อย่างที่ผมเคยบอกไว้ข้างต้น เพื่อจะได้เข้าใจกันได้อย่างง่าย ไม่ต้องสงสัยเลยภูมิธรรมของแต่ละท่านมาจากพระธรรม และการฝึก ปฏิบัติ ของแต่ละท่าน แล้วนำมาบอกกล่าวตามความเข้าใจ ตามภาษาของแต่ละท่าน คือ ภูมิธรรมของแต่ละท่าน ที่สำคัญคือการยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แล้วนำมาคิด พัฒนา ปรับปรุงจิตใจของเราครับ กระทู้ที่สนทนาธรรมกัน เป็นกระทู้ที่น่าศึกษาติดตามมากครับ อย่างคุณ บุคคลทั่วไป 3 คน คุณขวัญ คุณคีตเสวี และหลาย ๆ ท่าน ที่สนทนาตามภูมิธรรมของแต่ละท่าน นับเป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยให้ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการทำสมาธิ เรื่องจิต เรื่องใจ ได้เข้าใจ น่ายินดีที่มีบุคคลอย่างท่านครับ
     
  6. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    เสริมนิดนึงครับ ผู้รู้นั้นรู้อะไร

    ผู้รู้นั้นรู้เห็นการเลื่อนเข้าออกของสิ่งที่มาประกอบจิต

    และรู้ว่าสิ่งทั้งหลายที่เลื่อนไหลเข้าออกอยู่นั้น เป็นไปตามไตรลักษณ์

    นั่นคือ ไหลเข้ามาแล้วก็ไหลออกไป ทนประกอบอยู่ได้ไม่ตลอดไปและไม่มีตัวตนอยู่จริงครับ

    เมื่อรู้ชัดแล้วจึงได้ชื่อว่าได้เห็นผู้รู้ครับ
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ดีครับ สนุกดีครับ มองแบบวงกลม คุณพายุ.ใช้เครื่องมือมาแสดงได้ดี

    เดี๋ยว จบ แล้วกรูณาบอกด้วยนะครับว่า จบ แล้ว ผมจะได้
    ใช้วงกลมแสดงในมุมมองผมเหมือนกัน

    อั้นอยู่ตอนนี้.......
     
  8. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    อีกหน่อยครับ

    ถึงเราได้ชื่อว่าผู้รู้แล้วแต่ทำไมเราถึงยังต้องกระทำตามใจแล้วยังก่อกรรม วิบาก เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้อีกเล่า

    อันนี้เพราะว่าถึงเรารู้แล้ว(จะเรียกว่าโสดาก็ได้นะค่รับจะได้ไม่ต้องตีความ) แต่ยังละไม่ได้นั่นเอง

    มันมีสิ่งที่เราต้องการจะกระทำกระตุ้นเร้าใจอยู่ ก็กิเลศนั่นแหละครับ

    ถ้าวางจิตสอดส่องดูตอนอาการที่จิตกำลังเคลื่อนไปรับอารมณ์ของความต้องการทั้งต้องการได้ต้องการไม่ได้ รวมทั้งเรื่องของกามตัญหาแล้ว

    ถ้าเห็นทันจะเห็นการไหลเข้ามาของตัญหา แล้วจะมีแรงส่งกระตุ้นเร้าให้อยากจะกระทำสิ่งต่าง ๆเพื่อจะสนองตัญหาของตน แล้วก็รับผลของการกระทำนั้น หรือรับวิบากกรรม

    ดังนั้นท่านที่รู้อยู่ว่าเป็นผู้เห็นแล้ว ยังคงต้องเพียรรู้และละสิ่งที่เข้ามาประกอบในทางอกุศลมิให้ได้กำเริบขึ้นมาอีก

    ถ้าละได้หมดและไม่สามารถกำเริบได้โดยสิ้นเชิง ท่านก็จบกิจแล้วครับ
     
  9. ต้นสักใหญ่

    ต้นสักใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +140
  10. แพน้อย

    แพน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    "^_^"LL
    --------<------@
    ดอกไม้ขาวไม่หมดจากโลก
    ธรรมมะพุทธองค์คงอยู่ตลอดกาล


    ฟังธรรมเป็นธรรมแล้วจะได้ธรรม
    เลือกเฟ้นธรรมที่ควรแก่ตน

    แพน้อยว่า . ง่ายกว่าวงกลมนะคะ
    ไม่ต้องสร้างอะไรเลย ปรุงระเบิด

    ธรรมเค้าอยู่ของเค้า เราแค่เข้าไปรับรู้ เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
    แรกเริ่มจนท้ายสุด เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติตลอดเวลา นั่นค่ะธรรมมะ

    ธรรมปฏิบัติจากฐานกว้างขึ้นยอดแคบนะคะ
    เป็นเพราะคิด คิดเพราะเป็น
    หมดคิด หมดเป็น
    เริ่มจากคิด ทิ้งคิดไม่ได้ต้องคิดเพื่อคิด จบธรรมด้วยหมดคิด
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แล้วจบหรือยังละ ผมอั้นของผมอยู่นะ

    ถ้าไม่สามารถแสดงให้จบได้ เพราะ มันจะยิ่งยาว

    ก็ขอให้คุณกล่าวอนุญาติด้วย เพื่อที่ว่า คุณจะได้ไม่เห็นว่า ผม
    ไปขัดคำสอนของคุณ ( คุณได้ห้ามเราไว้ ว่าอย่าขัด จนกว่า
    คุณจะแสดงจบ )

    รบกวนด้วยนะครับ
     
  12. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ผู้ที่รู้จะยังมีอาการจำแนกได้อีกสองลักษณะครับ

    คือตอนที่รู้กับตอนที่เผลอ

    อาการตอนที่รู้ตัวมันจะมีเจตสิกตัวสติประกอบอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกเท่ห์ ๆว่าตื่นแล้ว สติจะบอกว่า เราไม่ใช่ตัวตน ไม่มีเราในเรา ตามสภาพที่จริงแท้และไม่มีอาการหนักใด ๆ

    และจะสลับกับการเผลอสติ ซึ่งเราจะทำอะไรไปโดยที่ลืมไปชั่วขณะว่าเราเป็นอนัตตา และเมื่อมีสติกลับมาเราก็จะอยู่กับไตรลักษณ์ที่เป็นไปตามจริงเหมือนเดิม
     
  13. lisy

    lisy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +21
    เพิ่งกลับมาจากหม่ำๆ จะพยายามตั้งสติคิดตามนะคะ

    ok.. ถ้า lisy จะพูดว่า เราควรจะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมคะ เหมือนที่ใครๆชอบบอกว่าตามดูจิต อย่างเช่น วันนี้ lisy ถูกนายดุ lisy ก็เถียงคือไม่ยอมเพราะ lisy คิดว่าlisy ทำถูกต้อง หลังจากเถียงไปแล้ว lisy ก็หยุดคิดว่า lisy กำลังโกรธที่นายที่นายไม่มีเหตุผล ทำให้อารมณ์ของ lisy ขุ่นมัวแต่เช้า แล้ว lisy ก็หยุดเถียงต่อเลย อย่างนี้หรือเปล่าที่คุณพยายามจะบอก
     
  14. lisy

    lisy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +21

    แหะ แหะ...
    แล้ว lisy ควรทำอย่างไรละคะ คุยกับทุกๆท่านก็ไม่เข้าใจ เริ่มอย่างไรดีก่อน
     
  15. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    แปลก ๆ ชอบกล ข้อความที่ผมโพสต์ไป ทำไมถูกลบ
    ไม่เป็นไรครับ เซฟมาโพสต์ใหม่ข้างล่าง

    ความอยากเกิดขึ้น , แล้วกระทำตามความอยากนั้น , จะมีผลมาเป็นสองทาง
    สุขอย่างหนึ่ง , และทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ,
    ไม่สามารถหยุดความอยากนั้นได้ , จึงต้องกระทำตามความอยากนั้นต่อไป ,
    วนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด การที่หยุดความอยากนี้ได้ ไม่ใช่อยู่ที่การพิจารณา ไปตามหลักเหตุผล แต่..ต้องนำธรรมบทใดบทหนึ่ง มาเป็นเครื่องพิจารณา
    จนจิตละวาง , ละวางทั้งความชั่ว , ละวางทั้งความดี

    ธรรมมะไม่ใช่อยู่ตรงที่เรียกว่าดี ว่าถูกต้อง
    และธรรมมะไม่ใช่อยู่ตรงที่เรียกว่าชั่ว ว่าเลว
    แต่ธรรมมะที่แท้จริง มันไม่มีทั้งดีทั้งชั่ว มันอยู่ตรงกลาง
    กลางระหว่างสีขาวและดำ
    กลางระหว่างชายและหญิง
    กลางระหว่างบวกกับลบ
    กลางระหว่างชั่วกับดี
    กลางระหว่างผิดและถูก
    กลางของกลาง
    งงอ่ะคร๊าบ!
     
  16. แพน้อย

    แพน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    <!-- / next / previous links --><!-- / next / previous links -->

    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 13 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>แพน้อย, มังกรบูรพา, เพียงนาม, วิมุตติ, jinny95, k.kwan, lisy, stefa, wadeem, ต้นสักใหญ่, พายุทะเลทราย </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- currently active users -->
    <!-- popup menu contents -->มาแจมกันค่ะ ไหนไหนก็เข้ามากันแล้ว
    แพน้อยมาตามอ่านของทุกคน
    ติดเคลียร์งาน ยังไม่เสร็จเลย
    วันนี้สหายธรรมมากกว่าเมื่อวาน
    คุณวิมุตติ เจิมนะคะ เอาซะหน่อย
    "^_^"LL คนอื่นด้วยเชิญค่ะ
    <!-- currently active users -->

    <!-- popup menu contents -->
     
  17. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    [FONT=&quot] ธรรมมะอยู่ทุกที่ถูกต้องแล้วครับ ธรรมมะอยู่ที่ใจก็ถูกอีกครับ มันอยู่ทุกหนแห่ง[/FONT]
    [FONT=&quot]มันอยู่ในทุก ๆ สิ่ง ที่มนุษย์จะเรียกขาน และเอ่ยนามได้ แต่ตัวธรรมมะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่แท้มันไม่มีความยินดี , ยินร้าย , โกรธ , ชอบ , ชั่ว , ดี , ตัวเรา , ตัวเขา ,[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรมมะเกิดได้ เพราะไม่เห็นดีไม่เห็นชั่ว , ธรรมมะเกิดได้เพราะไม่เห็นบวกไม่เห็นลบ [/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีการแยกแยะสิ่งใด ๆ , แม้กระทั่งกายและจิต , ธรรมมะจะเกิดได้ ต้องเอาใจไปวาง[/FONT]
    [FONT=&quot]การวางไม่ใช่วางตรงฝ่ายดี หรือวางบนฝ่ายเลว เราต้องเอาจิตไปทาบ ต้องเอาจิตไปวาง[/FONT]
    [FONT=&quot]ตรงกลาง ตรงกลาง ตรงกลาง[/FONT] [FONT=&quot]เพื่อรับรู้สภาวะทั้ง 2 ฝ่าย <o:p></o:p>[/FONT]
    <o:p> </o:p>
     
  18. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    [FONT=&quot]มีโลกใบหนึ่ง ถูกแบ่งเป็น 2 ซีก ด้านหนึ่งมืด อีกด้านสว่าง คนที่อยู่ด้านมืด[/FONT]
    [FONT=&quot]มองไม่เห็นด้านสว่าง , คนที่อยู่ด้านสว่าง มองไม่เห็นด้านมืด[/FONT]
    [FONT=&quot]การเห็นแต่สิ่งดีฝ่ายเดียว ไม่อาจบรรลุธรรม , การเห็นแต่สิ่งชั่วฝ่ายเดียว ก็ไม่บรรลุธรรม[/FONT]
    [FONT=&quot]ธรรม แปลว่าความจริง ธรรมแปลว่าแก่นแท้ ธรรมจึงไม่แยกแยะทั้ง 2 ฝ่าย ธรรมที่แท้[/FONT]
    [FONT=&quot]มันอยู่ตรงกลาง [/FONT] [FONT=&quot]พระอริยะจิตท่านหลุดพ้น เพราะรู้สภาวะธรรม ตามความเป็นจริง[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย และตัวผมเอง อาจเพียงสัมผัสได้แค่เปลือก หรือกระพี้ธรรม[/FONT]
    [FONT=&quot]เท่านั้นเอ [/FONT]
     
  19. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    การหยุดของคนทั่วไป กับการหยุดของอริยะบุคคลเป็นอาการเดียวกันนะครับ ไม่ได้มีพิสดารต่างกันไปอย่างไร ไม่ได้สูงส่งไปหยุดบนวิมารหรือสถานที่ใด มันหยุดที่ใจนี่
    แหละครับ

    ทีนี้คนธรรมดาหยุดแล้วมันจะถูกดึงให้ออกนอกความหยุดได้ง่าย เค้าเรียกว่าความไม่รู้นี่แหละครับ

    ส่วนผู้รู้ อีกนั่นแหละก็คือรู้ว่าตัวเราเป็นไตรลักษณ์ นั้น เนื่องจากได้รู้แล้วว่าตัวเราแท้จริงนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้นการหยุดของท่านจะหยุดได้นานหน่อยเพราะหยุดเนื่องจากรู้

    แต่เพราะยังละกิเลศได้ไม่ดี จึงต้องถูกดึงดันด้วยความอยากทำอยากไม่ทำอยากมีอยากไม่มีอยู่นั่น ท่านจึงยังหยุดได้ไม่ต่อเนื่อง

    ส่วนท่านผู้ไกลจากกิเลศแล้ว ท่านไม่ต้องถูกดึงดันจากสิ่งใด ท่านจึงถึงความเบาอยู่ตลอดเวลานั่นเองครับ
     
  20. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    แล้วถ้าไม่มีสมมุติล่ะครับ ทุกอย่างเกิดจริง ดับจริง กิเลสจริง ทุกข์จริง จะทำอย่างไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...