เจอของจริงวิ่งหนีป่าราบ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Angel_Of_Dream, 27 กรกฎาคม 2008.

  1. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    คุณแพนี่แหละผู้รู้ละ ตัวจริงเลย ไม่ต้องถ่อมตัวครับ อิอิ(smile)
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เดิน นอน นั่ง ยืน อยากให้นั่งนะครับ นั่งห้อยขากับเก้าอี้ก็ได้ ควรปิดทวารเหลือทวารเดียว ไม่เช่นนั้นสติไม่เท่าทันการเกิดดับในขันธ์ห้าครับ :love:
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    <TR><TD width="241" valign="top" height="15" bgcolor="#ffcccc" align="left">
    [FONT=Cordia New,sans-serif][SIZE=+1]สัมมัตตะ ([/SIZE][/FONT][FONT=CordiaUPC,sans-serif][SIZE=+1]ความเห็นถูก[/SIZE][/FONT][FONT=Cordia New,sans-serif][SIZE=+1], ภาวะที่ถูก)[/SIZE][/FONT]​
    </TD><TD width="274" valign="top" bgcolor="#ffcccc" align="left">
    [FONT=CordiaUPC,sans-serif][/FONT][FONT=Cordia New,sans-serif][SIZE=+1]มิจฉัตตะ (ความเห็นผิด, ภาวะที่ผิด)[/SIZE][/FONT]​
    </TD></TR><TR><TD width="241" valign="top" height="15" bgcolor="#ffcccc" align="left">
    • [FONT=CordiaUPC,sans-serif][/FONT][FONT=Cordia New,sans-serif][SIZE=+1]1. สัมมาทิฐิ
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    <TABLE class=tborder id=post1380349 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>TupLuang<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1380349", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: เมื่อวานนี้ 04:42 PM
    วันที่สมัคร: Jun 2008
    ข้อความ: 1,450
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,856
    ได้รับอนุโมทนา 10,774 ครั้ง ใน 1,318 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 147 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1380349 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ก้าวเล็กๆ แห่งการเริ่มต้น
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ก้าวเล็กๆ แห่งการเริ่มต้น

    โดย ใบไม้ที่ร่วงหล่น


    วันนี้ผมจะขอมากล่าวถึงเกร็ดเล็กๆ ของการเริ่มปฏิบัติ ผมรู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะเริ่มปฎิบัติ การตามดูจิต แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง จะดูตรงไหน แล้วดูอย่างนี้ถูกไหม หรือว่าเพ่งไป ผมจะมาแนะนำวิธีการเริ่มต้นง่ายๆครับก่อนอื่น ให้คุณลองพูดคำว่า “พุท-โธ” สัก ๒-๓ ครั้ง คุณจะได้ยินเสียง “พุท-โธ” ที่คุณเปล่งออกไป คุณจะเห็นว่าตัวคุณเป็นผู้ได้ยินเสียง และเสียงที่ได้ยินไม่ใช่ตัวคุณอย่างแน่นอน คุณเป็นเพียงผู้ได้ยิน ขั้นต่อมา ให้คุณลองพูดว่า “พุท-โธ” ในใจ สัก ๒-๓ ครั้ง ทีนี้คุณจะรู้สึกว่า มีเสียงพากย์ในใจ ว่า “พุท-โธ พุท-โธ”คุณรู้สึกไหมครับการที่คุณได้ยินเสียงพากย์ในใจเหล่านั้น ก็เหมือนกับการที่คุณได้ยินเสียงภายนอก เสียงที่ได้ยินในใจมันไม่ใช่ตัวจิต มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกได้ยิน สิ่งที่ถูกรู้ทีนี้เราเอามาประยุกต์ใช้ยังไง เคยไหมครับเวลาโกรธหรือโมโหอะไร มันจะมีเสียงพากย์วนไปวนมา ว่า “ทำไมต้องมาทำอย่างนี้กับฉัน ทำไมฉันถึงต้องมาโดนอย่างนี้ ฉันทำดีมาตลอดต้องมาได้รับผลอย่างนี้หรือ โมโหจริงๆเลย อยากจะทำร้ายคืนให้เขาต้องเจ็บแสบบ้าง” เห็นไหมครับว่าเสียงพากย์เหล่านี้ก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่จิตได้ยิน หรือสิ่งที่จิตไปรู้ ไม่ใช่ตัวจิตเลย จิตไม่ได้โกรธ เพียงแต่จิตไปฟังอารมณ์ที่โกรธ แล้วถูกชักจูงไปด้วยว่าจิตโกรธนะ เพราะขาดสติ เท่านี้ล่ะครับการตามรู้จิตในเบื้องต้น จิตเขาจะคิดเขาจะได้ยิน ให้เขาคิดให้เขาได้ยินไป ไม่ต้องไปห้ามนะครับ เพราะเป็นธรรมชาติของจิต เราแค่คอยตามดูว่าเขาไปคิดนะเขาได้ยินเสียงพากย์นะ เพื่อไม่ให้จิตถูกชักจูง หลงตามความคิดครับ
    </PRE>

    http://dungtrin.com/mag/?47.practice
    </TD></TR></TBODY></TABLE></P>
     
  5. แพน้อย

    แพน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    อย่าไปงง สงสัยเลยค่ะ ความหมายสมบูรณ์ในตัวเองแล้ว
    ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมเพื่อไม่ต้องทำ แต่ถึงไม่ทำก็มีธรรม
    ท้ายสุดวางธรรมเพื่อธรรม และ ส่งต่อธรรมค่ะ
    สภาวะกลางกับทุกสิ่งทุกอารมณ์เป็นสภาวะที่ไร้การปรุงแต่งนะคะ
    นั่นค่ะ คืออุเบกขา เพื่ออุเบกขา วางอุเบกขา
    รอคนอธิบายที่ชัดกว่านี้นะคะ
    แพน้อยตอบไปตามความเข้าใจเท่าที่ธรรมตัวเองมีค่ะ
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทำไมถึงมีสำนวนว่า ธรรมะอยู่ตรงกลาง และ กลางของกลาง

    เพราะธรรมดาชีวิตคนเราส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ เพ่ง กับ เหม่อ

    เพ่ง กับ เหม่อ เป็นอาการสุดโต่งสองข้างที่เกิดขึ้นเสมอ

    เพ่ง คือ อาการของคนมีตัณหาจริต จึง คิดว่า ถ้าจะทำอะไรที่มีคุณความดี
    จะต้องลงมือเกาะเกี่ยวอะไรสักอย่างหนึ่งให้นิ่ง ให้มั่น ไม่หันเหออก ไม่ละวาง
    กลางคัน

    เพราะอะไรถึงคิดเช่นนั้น ก็เพราะ กลัว เหม่อ ที่เป็นอาการสุดโต่งอีกฝากนั่น
    เอง

    ความเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติแท้ หรือ ธรรมะ จึงอยู่ตรงกลาง เพราะถ้าไม่
    อยู่ตรงกลาง ก็จะเข้าไปสู่ความสุดโต่งสองข้าง

    โดยทั่วไป เมื่อคนไปติดเพ่ง มักจะหยุดตรงกลางไม่ได้ เพราะพื้นฐานของการ
    ติดเพ่งก็คือตัณหาจริต ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เป็นธรรมชาติของคนที่มีตัณหาจริต

    แต่คนที่เหม่อ คือ พวกไหน คือ พวกชอบคิด คิดไปเรื่อยเจื่อย จึงกลายเป็นเหม่อ
    อันนี้ก็เรียกว่า คนมี ทิฏฐิจริต

    ทั้ง ตัณหาจริต และ ทิฏฐิจริต ก็คือ ตัวอยาก และ การหลงคิด

    จะเห็นว่า ทั้งสองจริตนั้น มีส่วนของอกุศลจิตอยู่สองข้าง ที่ต่างกัน แต่เป็น
    อกุศลจิตทั้งคู่ ดังนั้น ธรรมะจึงอยู่ตรงกลาง ไม่ค่อนไปทางอยากเกินไป
    และไม่ค่อนไปทางคิดมากเกินไป ความพอดี จึงอยู่ตรงกลาง

    กลางของกลาง คือ อะไร

    เมื่อเราหยุดคิด หรือ หยุดอยาก หรือ หยุดทำ ก็เหมือนกับหยุดปริกรรม
    ด้วยเสียง ( หยุดคิด พร้อมหยุดทำเพราะอยาก ) จะทำให้ มาอยู่ที่ จิตเป็น
    ผู้ได้ยิน ตามกระทู้ที่ยกมาก่อนหน้า ก็เมื่อเราหยุดส่งเสียง แต่ยังได้ยิน นั้น
    แหละ คือ อยู่ตรงกลางแล้ว แต่จะเห็นว่า จิตยังได้ยินเสียงภากษ์ และเมื่อ
    หยุดคิดและหยุดทำ(เพ่งสมาธิ) ไปได้อีก(กลางของกลาง) จิตก็จะหยุดได้ยิน
    จิตจะหยุดพูด และสัมผัสความว่างอันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ที่รอการค้นพบ

    ก็จะเห็นว่า วิปัสสนานั้น มีทางเข้าได้ทั้งทางสมถะยานิก(หยุดเพ่ง เข้าหากลาง)
    และเข้าทางวิปัสสนายานิก(หยุดคิด เข้าหาหลาง)

    แต่อย่างที่บอก กรณีของหยุดคิด แล้วเข้าหากลาง ตามสถิติ จะทำได้ง่ายกว่า
    แต่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มตัณหาจริต(สมถะยานิก) ซึ่งเป็นลักษณะธรรมดา
    ที่เขาจะไม่พอใจ แต่ถ้าเขาพิจารณา ก็จะเห็นทิศทางที่พระอาจารย์ของเขา
    สอนอยู่ การพัฒนาไปในแต่ละขั้น ก็คือการสำทับว่า หยุดคิด หยุดทำ หยุดอยาก
    ลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมาตรงกลาง

    ส่วนพวกทิฏฐิจริต จะหยุดง่าย เพราะกลุ่มพวกนี้ชอบใช้ความคิดอยู่แล้ว พอแนะ
    ให้ทำ แล้วเขาพบว่ามันหยุดจริง สงบจริง เขาก็จะน้อมเอาปฏิเวธนั้นเป็นส่วนนำ
    ปริยัติเพื่อให้ได้ข้อปฏิบัติ ดังนั้น กลุ่มนี้ พอชี้ให้พบทางแล้ว พระอาจารย์สามารถ
    ไล่ให้ไปปฏิบัติเพียงลำพังได้เลย เพราะมักไม่มีตัณหามาก ถ้าจะติด ก็เพราะ
    คิดวิตจัยมากไป

    ส่วนด้าน เพ่ง หรือ สมถะยานิก จะมีปัญหาเรื่อยๆ เพราะไปเจออะไรก็อยากรู้ ไม่
    สามารถหยุดการอยากรู้ได้ ถ้าการรู้นั้นดี พระผู้เป็นอาจารย์เห็นอินทรีย์ว่ามี ก็จะ
    ส่งเสริมให้รู้ไปเพิ่ม แต่ถ้าไม่มีอินทรีย์ก็มักจะกล่าวให้หยุด ตอนนี้แหละที่จะเกิด
    ปัญหา ศิษย์เถียงครู และอาจจะเอาปัจจัตตังของตนยกขึ้นเป็นสิ่งที่เป็นความรู้
    ใหม่ ผู้เป็นอาจารย์ไม่มี เพราะชี้ไม่ได้ แบบนี้ก็มี ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะตัณหา
    ไม่ได้ถูกชี้เอาไว้ให้ระลึกดูควบคู่การทำไปด้วย ทำให้ ด้าเพ่ง ถ้าพลาด พลาดยาว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2008
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่อท่านยังคิด ก็ดูคิดไปนะท่าน
    วันใดที่ท่านเลิกคิด ท่านก็จะรู้ตามเป็นจริง
    วันนั้นท่านก็จะทราบเองว่า ธรรมะอยู่ที่ใด
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การหยุดคิด การไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องที่คิด
    ก็เป็นบุญวาสนาแล้ว
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ดูจิตตัวเองด้วยความความรู้ตัว
    ดูคิดตัวเอง ทำยากเหมือนกันนะ
    ทำบุญให้ตัวเอง ยากกว่าทำบุญให้คนอื่น
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อยากให้คนอื่นเข้าใจความคิดที่เกิดในหัวเรา
    อยากให้คนอื่นเป็นอย่างใจเรา
    อยากให้คนอื่นคิดเหมือนเรา
    จิตที่รู้ทันตัวอยากนี้ได้ ก็คงเป็นบุญวาสนาที่เกิดแก่จิตมั้ง
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จิตไม่ต้องไปวิวาทกับโลก
    โลกไม่มาวิวาทกับจิตเรา
    เป็นบุญวาสนาอย่างหนึ่งเหมือนกัล นะ
    รู้ทันจิต ก็เป็นบุญวาสนา มั้ง
     
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253

    คุณลองอ่านทบทวน โพสที่ 104 ดูอีกสักรอบสองรอบ

    แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรนะครับ เอาเท่าที่คุณรู้สึกได้ก็พอ

    ยังไม่ต้องไปทำความเข้าใจก็ได้ เอาแค่เท่าที่คุณรู้สึกได้ก็พอแล้ว

    เพราะถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็จะยากที่จะทำความเข้าใจ

    แต่ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ได้อะไร รู้สึกว่าไม่เข้าใจ ตรงที่คุณหยุด
    คิดแล้ว มาดู มาเอา ตรงความรู้สึกนั้นนั่นแหละ คุณเข้าใจการ
    หยุดอยู่ตรงกลางแล้ว คือ ไม่ถือความคิดเป็นใหญ่(หยุดคิด)
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จิต = อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก (ความเห็นส่วนตัวนะ เห็นต่างกันได้ สำหรับเรา)
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำบุญให้ตัวเอง สำหรับเราเป็นความเห็นของเรา
    ท่านก็เห็นต่างได้ ไม่เป็นปัญหา
     
  15. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ธรรมมะก็มีอยู่ตอนที่เราเบา ๆ สบาย ๆ นั่นแหละครับ

    ถ้าหนัก ๆ ก็ถือธรรมไว้แบบหนัก ๆ ถ้าจะเบาก็ต้องปลดปล่อย

    มีธรรมนะครับ จึงจะเป็นธรรม ต้องอาศัยธรรมนะครับ จึงจะเห็นธรรม แต่เมื่อเห็นธรรมแล้วนะครับ จึงได้วางธรรม มันก็เบาอยู่ตรงนั้นนั่นแหละครับ

    นั่งมองอยู่ครับ มองแล้วก็ยิ้ม ๆ เราก็พบความเบากันอยู่เป็นประจำครับ แต่ไม่รู้จักกันว่ามันคือความเบา มันเลยเขวไปเอาตรงหนัก ๆ กันอยู่เสมอ ๆ เลย

    เหมือนเราโหนเถาวัลย์เพื่อข้ามไปฝั่งกระโน้น ต้องออกแรงนิดนึงครับ ต้องมีเถาวัลย์ด้วยต้องมีแรงด้วย แต่พอเหวี่ยงตัวเองข้ามไปได้แล้ว ก็ปล่อยเถาวัลย์ได้ครับ ไม่ต้องออกแรงด้วยครับ มันถึงฝั่งแล้วมันก็เข้าใจ

    ถ้ายังออกแรงไม่พอยังไม่ข้ามไปฝั่งโน้น ก็ออกแรงกันไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งหยุดออกแรง อย่าลืมครับต้องมีแรงส่งที่เพียงพอ แต่พอข้ามไปแล้วมันสบายสุด ๆ ละครับ ไม่เมื่อยไม่เพลีย มันเห็นหมอ มันเบาหมดเลยครับ มันก็เจอความสบายอยู่แบบนั้นครับ
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าคุณพายุ รู้ว่าตอนนี้ตัวเองหยุดคิด จิตว่างๆ แล้วแป๊ปเดียวก็ทนไม่ได้

    จะต้องคิดต่อไป นั่นเห็นหรือเปล่า ว่าความคิดมาจากไหน มาจากคุณหรือ
    เปล่า ต้องไม่ เพราะคุณกำหนดแล้วว่าตอนนี้ได้หยุดคิด แต่ความคิดก็ผุด
    มาอีกจนได้ นั้นแหละ มันไม่ได้มาจากคุณ แต่มาจาก ขันธ์5 กองใดกอง
    หนึ่งที่ไม่ใช่เรา

    เมื่อเรา ดูกาย ดูจิต ไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเห็นว่า ตัวคิดที่ทำให้เราไม่อาจหยุดคิด
    ได้นั้นมาจาก ขันธ์ 5 กองไหนกันแน่ นี่คือการสาวไปให้รู้ถ้วนในขันธ์ 5 ให้รู้
    ว่าเขาทำงานอย่างไร พอเห็นว่าเขาทำงานอย่างไร คุณพึงหวังทัศนะที่เกิด
    คือ รู้ปจิฏสมุปบาท หรือ รู้อริยะสัจ 4 ข้างใดข้างหนึ่ง แล้วแต่อินทรีย์
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณก็คิดไปคนเดียวจิ ความเห็นใคร ความเห็นมัน
    เราก็ดูคิดของเราไป ไม่ต้องมาใจดี ชวนเราคิดเรยท่าน ขอบจาย
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แต่ถ้าคุณพายุ ไม่เคยลองทำจิตทำใจ ว่าตัวเองจะเป็นคนหยุดคิดนะ

    เพราะอะไร ถึงไม่ทำเช่นนั้น ก็เพราะว่า คุณถือว่าจิตคือเรา เราคือจิต

    คุณจึงไม่เห็นด้วยที่จะกล่าวไปว่า จิตมันจะหยุดคิดได้ คุณจะเห็นแต่
    เพียงว่า จิตมันต้องคิด

    ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะคุณยึดจิตเป็นเราอยู่อย่างเหนียวแน่น แถมยิ่งกว่า
    นั้น ยังแอบยกระดับของจิตที่เป็นตัวคุณว่ามีที่มาอันสูงส่ง การคิดสำทับ
    ไปแบบนี้จะยิ่งทำให้วางจิตไม่เป็น เมื่อวางจิตไม่เป็น ก็ไม่สามารถทำใจ
    ยอมรับประโยคที่ว่า หยุดคิด ได้

    ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ คำว่า สักกาย ก็คือ ถือว่า มีเรา
    คำว่า ทิฏฐิ คือ การคิด รวมแล้วคือ การคิดว่ามีเรา ดังนั้น เมื่อเรา
    ไม่ยอมละสักกายทิฏฐิ เราจึงไม่อาจเห็นธรรมะ เพราะ ธรรมะในระดับ
    โสดาบัน จะต้องละสักกายทิฏฐิ
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ความเบาใจนี่ก็ละได้ยาก เข้าใจได้ยาก พิจารณาได้ยากแท้เนอะ มองไปไม่ลุไม่สุดซักที เฮ้อ... จะกลับไปพิจารณาของหนัก ๆ ก็ไม่ค่อยจะมีให้เห็น ....^-^
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อิอิ ท่านก็ลองแสดงความเห็นที่ต่างกะชาวโลกดูจิ
    ดูว่าจิตจะเต้นรึป่าว ไม่ลองไม่รุ (ความเห็นนะท่าน อย่าคิดมากนา)
     

แชร์หน้านี้

Loading...