การปฏิบัติทางอริยมรรค ต้องมีการถึงจุดจบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 13 สิงหาคม 2021.

  1. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,090
    ค่าพลัง:
    +374
    ถูกต้องแล้วแมวเน่า มโนล้วนๆ ไม่มีอะไรปนเลย
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่งั้น พระอริยบุคคลก็คงจะล้นตลาดไป
    แล้วฮับ
     
  3. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    การฝึกแบบคุณหมู ไม่ได้ผิดอะไรนะในแง่ของการดึงจิตมาอยู่กับลมหายใจของผู้ฝึกใหม่ๆ พอจิตไหลไปแล้วค่อยมีสติระลึกรู้ ไหลแล้วรู้ เจตนาดึงจิตมาที่ลมก็รู้ สลับกันไปมาแบบนี้ (แต่ก็หนีไม่พ้นสติกำกับไว้ตลอดเวลา) ช่วงแรกมันต้องฝืนจิตแบบนี้แหล่ะค่ะ จนกว่าจิตจะนิ่งและชิน


    เพียงแต่เขาไม่เชื่อว่ามีคนสามารถดูนามธรรมได้เลยตรงๆ ซึ่งคนเหล่านั้นส่วนมากก็เคยผ่านการฝึกแบบข้างต้นมาแล้ว สามารถเพียรระลึกรู้ได้คล่องตัวและยืดหยุ่นขึ้น โดยไม่จำเป็นจะต้องยึดฐานใดฐานนึง เพราะสามารถเริ่มได้ในทุกฐานเวียนกันไปได้เลย
     
  4. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,090
    ค่าพลัง:
    +374
    ก็แล้วแต่แฟนต้าจะมองนะจ๊ะ เพราะแฟนต้าไม่ใช่เจ้าของศาสนาทั้งในอดีตและอนาคต อันนี้แล้วแต่แฟนต้าจะมอง เพราะมันแค่โลกธรรมทั่วไป
     
  5. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    นี่ดูนะ
    ของจริง ที่มีอยู่จริง ปราศจากตัวตนเราเขา มี4อย่าง

    จิต
    เป็นจิตเดิมแท้ของลุงแมวนี่แหล่ะ เพราะจิตตัวนี้ เป้นธาตุรู้
    ไม่มีวันตาย แต่ว่าสภาวะของมัน
    มันมีอาการเกิดดับ เป็นสันตติ เร็วจนแทบไม่เห็นช่องว่างของสันตติ
    ฤษีก่อนพระพุทธเจ้า แม้แต่ทำฌานได้ละเอียดๆ ถึงสมาบัติ 8
    ก็ไม่สามารถ เห็นช่องว่างของสันตติได้
    จึงมองว่า จิตเที่ยง ไม่เกิดไม่ดับ

    พออบรม ด้วย การเจริญสติปัฏฐาน
    ที่พระพุทธเจ้ามาสอน
    มันจึงจะเห็นช่องว่างของสันตติ ที่เกิดดับสืบต่อกันเร็วอย่างเร็วที่สุ๊ด
    และสภาพเดิมๆของมัน นี่ ก้เคยบอกไปแล้ว ว่าจะเห็นจิตเดิมแท้ จะไปเห็นในฌานที่4

    สภาพไม่มีกิเลส เป็นแต่ความผ่องใส ใส สว่างไสว ตรงนี้ ที่หลวงตาบัวท่านจึงสอนว่า ความผ่องใส สว่างไสว คืออวิชา
    ซึ่งมัน ยังไม่จบแค่นี้ หลังจากเคยรู้ ว่าผ่องใส มันเป็นยังไง
    พอมันถอยออกมาขึ้นวิถีจิต มันจะเข้าไปตามอายตนะ ออกรู้ทางช่องวิญญาณ6 ทันที

    ฉะนั้นแล้ว จิตเดิมมันไม่เรียกว่า บริสุทธิ์ เพราะความผ่องใส่ของมัน มันทำให้ปิดบังสันตติ
    เรียกว่า อวิชา ปิดบังไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง

    พอมีการฝึก ตามสติปัฏฐาน
    มันจึงย้อนศร เข้ามาทำลายอวิชา ด้วยสติปัญญา ในตัวมันเอง

    ความต่าง ของสติตัวนี้ มันจึงเรียกว่า พ้นเจตนา ไม่มีเราเข้าประกอบ มีแต่ สติ จิต
    หรือจะเรียกว่า จิต เจตสิก
    ที่ทำงานกันเอง และการภาวนาที่มาถึงขั้นนี้

    จึงเรียกว่า จิตดำเนินไปเอง ฟังดีดีอีกครั้ง จิตจะดำเนินไปเอง
    ฉะนั้น "การรู้โดยไม่คิดเอง" จึงเกิดขึ้นตรงนี้ และเรียกว่า จิดเดิน วิปัสนาขั้นละเอียด
    แต่
    การรู้โดยตั้งใจคิดเอง มันเป็นเพียงสมถะมาก่อน
    เช่น ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาอาการ32 กรรมฐาน5 ซึ่งพระท่านก็สอนโดยทั่วไปอยู่แล้ว
    นี่เบื้องต้นของสมถะ

    ส่วน "การรู้โดยไม่คิด" ก็ไม่เรียกว่าเป็นการเดินวิปัสนา
    เพราะมันไม่มีสิ่งรู้ สิ่งระลึกมาให้จิต ได้สร้างสติ
    เป็นแต่การทำสมถะอย่างเดียวให้ไปหาจุดจุดเดียว ละเอียดๆลงไปเรื่อยๆ
    แล้วก็จะไปลงกับความว่าง ที่สร้างขึ้นมา ไปๆมาๆ จะกลายเป็นจิตหดหู่ เป็นโมหะสมาธิ
    ขี้เกียจขี้คร้าน จะเอาแต่ นิ่ง นิ่ง นิ่ง เพราะเฉย นิ่ง นิ่ง ไม่คิด มันสะบาย





    ส่วน
    เจตสิก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นดับไปพร้อมกับจิต มีทั้ง สติ ปัญญา ราคะ โทษะ โมหะ
    นี่พวกนี้เรียกว่า เจตสิก เพราะเป็นสิ่งที่ มีอยู่จริงเช่นกัน
    การฝึกอบรมจิต จิต จะมี สติ ประกอบ ไปจนสมาธิประกอบ มีปัญญา ประกอบไปจน สัมปยุติเกิดพร้อมกัน สติ สมาธิ ปัญญา
    นี่ถ้า อบรมจิต จนเกิด สติ สมาธิ ปัญญา พร้อมกัน นี่จึงเรียกว่า
    จัดเข้า เป็น สมาธิ3ประการ คือ หรือสั้นๆ สัมมาสมาธิ นี่ ความต่าง ที่พ้นเจตนาด้วย
    เป็น ขั้น ที่จิต ดำเนินเป็นเองด้วย
    ฉะนั้น จุดนัดพบ ของนักภาวนา จะต้องมาเจอที่ ความเป็นเอง ความที่จิตดำเนินไปเอง
    นี่จุดนี่ หากใครยังภาวนามาไม่ถึงขึ้นที่ จิตเริ่มภาวนาเอง นี่แสดงว่า อ่อนมาก

    เช่น รู้ลมหายใจแล้วยังคอยประครองให้จิตไปรุ้ลมหายใจ
    หรือจะพุทโธ แล้วยังคอยประครองให้จิตอยุ่กับพุทโธ

    แต่หากว่ารู้ลมหายใจ โดยที่ไม่ต้องไปคอยประครอง แต่จิตกลับไปรุ้สึกตัวของลมหายใจเข้าออกเอง นี่แบบนี้ ใช้ได้

    หรือ จิตไปบริกรรมพุทโธเองโดยไม่ต้องไปประครองจิต นี่อย่างนี้ใช้ได้
    จึงจะจัดเข้าสู่โหมด เริ่มเดิน วิปัสนา

    ส่วน
    รูป
    รูปนี่ ที่เป็นปรมัตถ์ มันคือ ธาตุ 4 ดินน้ำไฟลม
    ธาตุ4 นี้ ไม่ใช่ว่า
    ธาตุไฟ คือตัวไฟที่เผาป่าหูงหาอาหาร
    หรือธาตุดินที่เราเดินเหยียบ
    หรือธาตุน้ำ ใช้ว่าเป็นน้ำที่เราเอามาอาบมากิน
    หรือธาตุลม ที่พัดไปในอากาศ

    รูปที่เป็นปรมัตถ์ของธาตุ4 คือ ลักษณะ

    เย็นร้อน เป็นธาตุไฟ
    อ่อนแข็ง เป็นธาตุดิน
    ไหวตึง เป็นธาตุลม
    ไหลเกาะกุมเป็นธาตุน้ำ

    ธาตุปรมัถต์ หรือรูปปรมัตถ์ จึงมีความละเอียดมากๆ มีการเชื่อมโยง ระหว่างรูป และนาม
    โดยมีปริเฉท หรือช่องว่างเชื่อมต่อกัน
    ปัญญาขั้นแรกที่ทำให้จิตรู้เห็นตรงนี้ จึงเรียกเป็นรูปนามปริเฉท
    รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก ไม่ได้มีนิมิต แต่อย่างใด
    สมาธิ3 ประประเภท มันจึงพ้นนิมิตทั้งปวง เป้นแต่ รู้สึก ถึงการเกิดดับ สืบต่อกันเป็นสันติไปเรื่อย อย่างเร็วที่สุ๊ดแทบไม่มีช่องว่าง แต่ก้ไม่พ้น สติปัญญา ที่พระพุทธเจ้ามาสอน

    ฉะนั้น พวกทำฌานทั้งหลาย หากไม่มีสติที่เป็นสัมมาสติ
    จึงไม่มีโอกาสเห็นรุปนามเป็นปริเฉท
    การเห็นเกิดดับจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

    เมื่อ จิต ผ่านการอบรม จนทำลายอวิชาไปได้
    นิพพานจึงปรากฎ ต่อหน้าต่อตาทันที

    เรียกได้ว่า นิพพานมันมีจริงอยู่แล้ว เป็นสภาวะ ที่จิตสิ้นกิเลส นิพพานเลยปรากฎ
    หากจิตไม่สินกิเลสนิพพานจะไม่ปรากฎ
    นิพพานไม่ได้เป็นเนื้ออวกาส จักรวาล จักรยานแต่อย่างใด
    ขอเพียงแค่มีจิต จิตที่อบรมนั่นจนบริสุทธิ์นิพพานจึงพร้อมจะปรากฎ
    ไม่ได้ไปรากฎบนอวกาสธาตุหรือจักรวาลธาตุ

    แม้จะมีจิตอยู่ที่แห่งใด ถ้าจิตนั้นไม่สิ้นกิเลสไม่อบรมจนบริสุทธิ์ นิพพานไม่มีทางปรากฎ

    แต่หากอบรม จิตให้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จึงสามารถพูดว่าจิตเป็นไวพจน์เดียวกับนิพพานได้

    นิพพาน จึงเป็นนิพพาน มีอยุ่จริง
    และไม่ได้รอใคร ไม่มีการมา การไปไม่ใช่สถานที่ ไม่ต้องรอตายก่อนจึงไป
    ไม่ได้เป็นของที่อะไรจะมาปรุงแต่งได้
    แต่เป้นผลสุดท้ายที่จิตบริสุทธิ์เท่านั้น จึงได้ชื่อว่านิพพาน
     
  6. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ก็อาจจะมีนะ พวกไปหาครูบาอาจารย์มารับรองตนเอง ว่าผมเป็นลำดับขั้นนั้น ขั้นนี้
    แล้วมาโคสนาเพื่อให้ตัวเองดูดี ว่าครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ รับรองเราแล้วนะ

    คนภาวนาไม่เป็น ไปฟังคำโคสนาก็เลย พยักหน้า ขอรั๊บ เท่านั้นเอง
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ทวนธรรมชาติของมิติที่ 2
    คือ ใจ หรือพุทธะ หรือ จิตเดิมแท้
    หรือธรรมธาตุหรืออมตะธาตุอมตะธรรม
    มิตินี้ไม่อะไรให้รับรู้ได้ เป็นความว่าง
    เช่นเดียวกับอวกาศ
    ไม่มีปรากฎทั้งตัวตน ทั้งไม่ปรากฎอาการ
    ใดๆ ได้แต่รู้ตัวเอง
    และรู้ทุกอาการที่ปรุงแต่งเกิดดับ
    เกิดดับ
    ของขันธ์ 5 ทุกกิริยาอาการที่เกิดดับ
    โดยทั้ง 2 มิติอยู่ด้วยกัน
    สรุปว่า ขันธ์5 ที่เกิดการปรุงแต่งนั้น
    เกิดดับตลอดเวลา
    อยู่ในท่ามกลางความว่างที่เป็นผู้รู้
    คือใจที่ไม่เกิดดับ
    โดยไม่มีผู้ไปยึดมั่นถือมั่นทั้งธรรมชาติ
    สิ่งที่เกิดดับ และธรรมชาติ
    ของผู้รู้สิ่งที่้เกิดดับ
    เห็นหรือยังคับว่าไม่มีใคร ต้องไปรออะไรในอนาคต
    เพียงแค่เข้าใจในธรรมชาติให้ถูกต้อง
    ของ 2 มิติ
    ภพชาติก็สิ้นสุดทันทีที่มีสติระลึกธรรมชาตินี้ได้
    ฮับ
     
  8. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ทำยังไงละเพียงแค่เข้าใจ

    ไปๆมาก้บอกว่า

    ที่มีสติระลึกรู้ธรรมชาตินี้

    แต่ตอนต้นบอกว่า

    ได้แต่รู้ตัวเอง
    และรู้ทุกอาการที่ปรุงแต่งเกิดดับ
    เกิดดับ
    ของขันธ์ 5 ทุกกิริยาอาการที่เกิดดับ
    โดยทั้ง 2 มิติอยู่ด้วยกัน


    มามอบรางวาน

    upload_2021-9-1_22-12-28.png
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    คณะเข้าคอร์สอบรมวิปัสสนา 7 วันรับใบเซอร์
    ยืนยันการบรรลุธรรมทั้งรุ่น
    (แต่ปลอมทั้งรุ่น)
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อ่านให้ดีใครรู้ตัวเอง
    แต่ถึงอ่านได้ครบถ้วน
    หากแต่น้อมไม่ได้
    การบรรลุฉับพลันตทังคนิพพาน
    ก็ไม่อาจจะเกิดได้ฮับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2021
  11. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ก็ไม่เสมอไปหรอกมั้ง ก้อาจจะได้รับแนวทาง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
    ฉะนั้น การหาครูหรือหาคนที่จะเทศน์สอนวิธีการฝึกในพระไตรปิฎก

    จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก คือ การฟังพระธรรม จากสัปปบุรุษ

    ใครได้พบได้ฟังธรรมจากสัปปบุรุษ จึงถือว่า วาสนาดี

    แม้ วาสนาดีก็ยังแบ่งเป็นสอง

    ได้ฟังธรรมแล้วจำได้ขึ้นชื่อว่าดีกว่า

    แม้ได้ฟังธรรมแล้วจำได้ยังแบ่งเป็นสอง
    จำธรรมได้แล้วนำไปฝึก ได้ขึ้นชื่อว่า ดีกว่ายิ่งขึ้น

    แม้จำธรรมแล้วนำไปฝึก ยังแบ่งเป้นสอง
    ฝึกอย่างต่อเนื่องไปจนสุดทาง ได้ขึ้นชื่อว่า ดีกว่ายิ่งขึ้นอย่างยิ่ง
     
  12. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ของลุง ก็จิตเดิมแท้ไง ที่รู้ตัวเอง

    นี่แบบนี้ มันบรรลุตั้งแต่เกิดมาแล้ว นิพพานมาตั้งแต่อุแว๊ อุแว๊แล้ว

    เพราะมันมีจิตเป็นพุทธะมาตั้งแต่เกิด
    อะไรอะไรก้เกิดดับปล่อยมันไปตามธรรมชาติอยู่แว้วว


    มา

    หลังจากรับรางวาน ไปต่อที่นี่

    upload_2021-9-1_22-23-44.png

    น่าจะพอได้อยู่นะ กิ่งนี้
     
  13. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,117
    ค่าพลัง:
    +3,086
    ยังไม่จบครับ ลุงแมว ต้องโยนิโส หรือ วิปัสสนา ให้ จิต ได้รู้เห็นจริงครบทั้งวงจรครับ

    ลองค้นหาคำว่า ปฏิจจสมุปบาท 24 ครับ จะเห็นแนวทางได้ชัด
     
  14. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    กลับมาอ่านซ้ำ ก้ อด อมยิ้มไม่ได้

    ว่าง่ายๆ ก็ขำ นั่นแหละ บรรลุฉับพลัน ตทังคนิพพาน 5555
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถึงบอกว่าอรหันต์ต้องตั้งเอง
    ถึงจะไม่ถูกปลด 555
     
  16. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ตทังคปหาน ที่เคยได้ยินนี่คือ การที่ดับกิเลส ณ ขณะนั้นเป็นเรื่องๆไปรึเปล่าคะ

    เช่นเห็นโทสะดับโทสะ เห็นเบื่อดับเบื่อ ในเฉพาะตอนนั้น
     
  17. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ตทังคประหาน คือ

    ดับชั่วคราว

    พูดอีกอย่างก้คือ ดับกิเลสด้วยเจตนางดเว้น

    เช่น จะ จะฆ่าสัตว์ แต่นึกถึงศีลข้อแรก ก้เลย งดเว้นไม่ฆ่าสัตว์

    หรือพูดง่ายๆว่า ตทังคประหาน มันดับกิเลสทางกาย
    ดับอกุศลที่จะเกิดขึ้นทางกาย
    เรียก ตทังคประหาน คือ ชั่วคราว
     
  18. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    การดับกิเลสทางใจในขณะนั้น ระงับได้ชั่วคราว อะไรแบบนี้ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของคำว่า ตทังคปหาน หรอคะ

    งง คำ ศัพท์ มาก เอามาใช้ไม่ถูกเลยทีเดียว
     
  19. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,090
    ค่าพลัง:
    +374
    ตทังคปหาน “การละด้วยองค์นั้น”,
    การละกิเลสด้วยองค์ธรรมที่จำเพาะกันนั้น คือละกิเลสด้วยองค์ธรรมจำเพาะที่เป็นคู่ปรับกัน
    แปลง่ายๆ ว่า “การละกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ” เช่น ละโกรธด้วยเมตตา
    (แปลกันมาว่า “การละกิเลสได้ชั่วคราว”)
    เขาแปลมาแบบนี้ หรือ ยานของแฟนต้ามีอีกแบบก็บอกมาเถอะ เผื่อมันจะไปกันได้ ไม่วันใดก็วันนึง
     
  20. ๑๓อักษร

    ๑๓อักษร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2021
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +68
    ระงับแบบนั้น กิเลสอย่างกลาง มีนิวรณ์เป็นต้น ระงับด้วยการข่ม

    เรียกว่า วิกขัมภนประหาน

    ข่มนิวรณ์ ด้วยสมาธิ จะอยุ่กับลมหายใจหรือพุทโธ จุดเดียว


    แต่ถ้าดับกิเลสขาดสะบั้นแบบ ละเอียด คืออนุสัย นั่น
    นี่จึงเรียกว่า สมุปเฉทประหาน คือไม่มีมากำเริบอีก

    สมุปเฉทประหานจะมี 4 ขั้น
    ขาดไป ขั้นแรกเป็นโสดาบันผล
    ขาดต่อไปอีกขั้นเป็น พระสกทาคามี
    ขาดไปอีกขั้นจะเป็นพระอนาคามี
    ขาดไปขั้นสุดท้ายเป็นพระอรหันต์

    บางจำพวกไม่เป็นอย่างนั้น
    ขาดเป็น จริมรรค คือ สำเร็จจากมรรคไปผลทันที

    เมื่อเสร็จสิ้นกิจผลนิพพานก้ปรากฎทันที
    จึงเรียกว่าจิตบริสุทธิ์เป้นไวพจน์กับนิพพานได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...