ข่าวสารจากจิตจักรวาล

4. พิบัติภัยแผ่นดินหาย-พิ้นที่เสี่ยงภัย 100 %

เขตพื้นที่ริมแม่น้ำโขง พายุฝนกระหน่ำ น้ำทะเลจะเข้ามาแทนที่ ทำให้แม่น้ำโขงหายไปจากแผนที่โลก พื้นที่ต่ำจะจมหายไปด้วย
เลย หนองคาย มุกดาหาร อุบลฯ นครพนม อำนาจเจริญ โขงเจียม เขมราช พิบูรณมังสาหาร จะติดทะเล เพราะแผ่นดินหักทรุดตัวลง
บริเวญด้ามขวาน
ประจวบฯ บางสะพานใหญ่-น้อย ชะอำ หัวหิน เขาสามร้อยยอด ประทิว หลังสวน
เสี่ยงภัย 100 %

สุราษฎ์ฯ ท่าชนะ ไชยา บ้านนาสาร ฯ เสี่ยง 100 % แต่ไม่จมทั้งหมด
ตรัง จะมีเกาะยอ (โครงการพระเทพฯ) จะเป็นที่รอดปลอดภัย จะมีคน 300-400 คนรอด
ภูเก็ต เสี่ยงภัย 100 %
ปัตตานีเหลือที่เดียว คือ วัดช้างไห้ สมเด็จทวดซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ สามารถเข้า-ออกมิติโลกได้ทุกเวลา ท่านจะลงมาช่วยผู้คนในขณะนั้น
สายน้ำจะเบี่ยงออกไปให้เห็นเป็นอัศจรรย์ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
เกาะพัทลุง บ้านคุณชวน หลีกภัย รอด
ด้านตะวันออกของระนอง รอดปลอดภัย
เขื่อนเชี่ยวหลาน (รัชประภา) รอดไม่แตก

ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในวันเวลาที่ 11 ตามรหัสแห่งหายนะโลก

จดมาได้เท่านี้รอ Update กันอีกรอบครับ

 

ฮัลโหล..คุณมีด
ไปเข้าฟังสายไม่ได้จดด้วย ลืมสมุดโน็ตพอจำได้
มาช่วยเสริมข่าวสารตอนท้าย ที่คุณรีบกลับไปก่อน
ครั้งนี้มีคนเยอะขึ้น มาใหม่ๆก็มี มาจากลาว 2 คันรถ และจากฮาวาย
จะมีการนำการบรรยายครั้งนี้ไปออกทีวีด้วย และนำไปเผยแพร่ในต่างประเทศ
อจ.กล่าวถึง อัลกอร์ พูดถูกเพียงแค่ 30% ถ้าอัลกอร์ ได้ฟัง อจ. ก็คงจะดี

 

• ปี 52 ภัยถี่จนมนุษย์โงหัวไม่ขึ้น

แค่ปีนี้ก็ย่ำแย่เต็มทีแล้วนะคะ อ่านข่าวแต่ละวัน
มันหดหู่จริง มีแต่อะไรแปลกๆ ประหลาด
สังคมเสื่อมโทรมย่ำแย่ ไม่นึกเลยว่าจะมาเร็วขนาดนี้

 

ขอบคุณที่ช่วยแนะนะครับ เข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ

ขอบคุณคุณ mead ที่ช่วยแนะนะครับ

ในการสั่นสะเทือนของจิตในเสี้ยววินาที เป็นได้ทั้งการหมุนธรรมจักร หรือกรรมจักร ใช่มั๊ยครับ

จิตมีหลายดวง สามารถคิดเชิงซ้อนพร้อมๆกันได้ หากไม่มีสติมากรอง เราจะหมุนธรรมจักร พร้อมๆกับหมุนกรรมจักรก็ได้

การมีสติ คือ การรับรู้ และกรองเอาอารมณ์หยาบๆออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสั่นสะเทือนทางด้านลบ ออกมาเป็นอารมณ์หยาบๆ และให้มองหาคุณสมบัติของสิ่งที่เรารับรู้ผ่านอาตยนะทั้ง 5 แทน

การหมุนธรรมจักร คือ การละตัวตน (อารมณ์ที่สั่นสะเทือนในความถี่ต่ำๆ) และใช้สติปัญญาของจิตวิญญาณ (มองหาคุณสมบัติของสิ่งนั้น)
ให้เป็นสายที่ต่อเนื่องกันไป

จากจิตดวงหนึ่งหมุนธรรมจักร ส่งต่อให้จิตดวงที่สองรับรู้และหมุนต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดพลังงานที่จะมอบต่อกัน และมอบให้โลก และเอกภพพร้อมๆกัน

เช่นจิตคุณ mead ส่งต่อสัจธรรมมาให้ และผมคิดต่อเนื่องในแนวทางเดียวกัน ก็จะเกิดพลังงานด้านบวก ที่ส่งต่อกันไปเป็นสายไปเรื่อยๆ กลับไปสู่คุณ mead และให้โลก และเอกภพไปพร้อมๆกัน

ขอบคุณมากครับ (y)

 

เข้าใจถูกต้องแล้วครับ จิตวิญญาณเป็นระบบเครือข่าย มีการรับ-ส่งข้อมูลกันตลอดเวลา เราก็เป็นบุคคลตัวตนหนึ่งในระบบ-มีหลายตัวตน-หลายชาติภพ -หลายมิติ-หลายเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ซึ่งมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน
หากกรรมส่งผลเป็นปัจจุบันทันด่วน บุญก็ส่งผลเป็นปัจจุบันทันด่วนเช่นกัน เพราะทุกชีวิต ทุกชาติภพ ทุกตัวตน มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันครับ ค่ารวมของพลังงานที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเป็น จิตสำนึกของโลก จะว่าไปแล้วโลกนี้ก็เหมือนมีชีวิตนะครับ

 

เรื่องพายุหมุนในกรุงเทพฯถ้าจําไม่ผิด อ.บอกไว้พักนึงแล้วนี่
จะมีมาลูกนึงก่อน แล้วก็จะเกิดโกลาหลเล็กน้อย
จะตามมาอีก 3 ลูก ใหญ่กว่าลูกแรก
ขณะที่หน่วยกู้ภัยยังเก็บศพคนจากลูกแรกไม่เสร็จ..

ใจจริงไม่ค่อยยึดถือจิตจักรวาลมากเพราะไม่ค่อยตรงกับ
ในพุทธศาสนาบ้างหลายๆเรื่อง
แต่ในมันก็มีอะไรในชีวิตที่เหมือนกับคอยจะบอกว่า
"พระบิดา"มีจริง ยังไงยังงั้น
คุณ Mead และคนอื่นๆไม่ทราบว่าเคยรู้สึกแบบนั้นไหม
เช่นมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วมัน
ดูเหมือนมีอะไรคอยดูแล คอยจัดการให้
อะไรประมาณนี้ ชาวคริสต์เขาเรียกว่า"พระเจ้า"ซินะ

 

*** เหนือโลก เหนือความเชื่อ เหนือมนุษย์ ****

รวบรวมคำสอนพระพุทธเจ้า...คือ พระไตรปิฎก
เป็นตัวอักษร....มีอยู่ทั่วไป รอบๆ เรา
พระไตรปิฎก...มีตัวตน
ปรากฏเป็น....โลกุตตระ มนุษย์เหนือโลก
รู้ในทุกย่างก้าว...ของพระพุทธเจ้าทุกองค์

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

รู้สึกแบบนั้นล่ะครับคุณ wellrider ไม่ว่าเป็นอะไรก็ตามสิ่งนั้นก็อยู่ในเราทุกคนครับ (เหมือนพลังจากแบตตารี่)
พระศาสดาของศาสนาต่างๆท่านใช้กุศโลบายและกลยุทธต่างๆกัน ให้เหมาะกับยุคสมัย เนื้อแท้แล้วคือสิ่งเดียวกัน สัจจะธรรมเองก็ยังมองได้หลายมุม ให้รักและศรัทธาในสิ่งที่เรานับถือสูงสุดไว้โดยไม่คิดแบ่งแยกกันก็ดีที่สุดแล้วครับ

​

ส่วนเรื่องนี้เราเปิดใจกว้างไว้ก็ไม่เสียหลาย ก็เหมือนการที่เราเรียนรู้จากใบไม้นอกกำมือนั่นล่ะครับ จริงๆภาษามนุษย์เองไม่สามารถให้คำจำกัดความของคำว่าพระเจ้า+ พระบิดา+พระมารดา+อุทรธรรมได้ชัดเจนเท่าที่ควร ทำให้มนุษย์มักจะคิดเห็นหรือมีความเชื่อต่างกันหรือสร้างตัวตนขึ้นมาให้ดูยิ่งใหญ่เกินจริง แถมยังบิดเบือนไปตามกาลเวลาอีกด้วย ผมขอเรียกว่า พลังงานต้นกำเนิด หรือ ต้นกำเนิดจิตวิญญาณมนุษย์ หรือ แก่นแท้ของสรรพสิ่งทั้งปวง ดูมีที่มาที่ไปเป็นกันเองและเข้าใจง่ายกว่านะครับ เนื่องจากว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ท่านก็ไม่เคยปฎิเสธว่าสิ่งนี้ไม่มี เพราะแท้จริง แก่นแท้ ที่ว่านั้นก็อยู่ในตัวเราทุกคนด้วยครับ

 

ในสายทางพุทธก็คือ องค์พระธรรมธาตุเจ้า ครับ ท่านเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง

 

เข้าให้ถึงซึ่งคุณสมบัติของจักรวาลครับ แล้วแสดงออกมาทางความคิด ความรู้สึก คำพูด และการกระทำครับ
เป็นการฝึกให้จิตมีพลังครับ
หากต้องการทราบว่ามีผู้ที่ดูแลแก่นแท้เราอยู่หรือไม่
ลองทำจิตให้ไร้อัตตา แล้วลองแสดงความขอบคุณ แล้วลองสังเกตดูจิตใจ และประสาทสัมผัสของเราดูครับว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างครับ
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ที่เราสามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างที่เหมือนจะมืดแปดด้านแต่ก็สามารถแก้ได้ หรือยามที่เราประสบอันตรายแต่รอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด ล้วนไม่มีสิ่งที่บังเอิญครับ

 

มนุษย์จะช่วยลดภัยพิบัติที่เกิด ได้ด้วยการแก้ไขจิตสำนึกของตน ณ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ครับ
โดยการเปิดกลไกการใช้ปัญญาญาณทุกที่ทุกเวลาให้ได้ครับ
ผมเคยฝึกพลังมาหลายสาย หากไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ การฝึกนั้นก็จะได้แค่เปลือกนอก คือพลังงาน แต่จะไม่สามารถควบคุมพลังงานนั้นให้อยู่ตลอดไปได้ มีแต่จะรั่วไหลออกไปผ่านอาตยนะทั้ง 5 ครับ ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องมีสติกำกับครับ
สิ่งที่จิตจักรวาลท่านสื่อสอนมา เป็นธรรมมะขั้นสูงครับ เป็นการสื่อผ่านแก่นแท้เข้าสู่แก่นแท้ของเราโดยตรง อย่าให้เป็นเพียงตัวอักษร แต่ให้ทำให้ตัวอักษรนั้นเกิดเป็นเราให้ได้ ผ่านการใช้สติ+ปัญญาครับ
เทคนิคในการนั่งสมาธิทั้งหลาย สุดท้ายจะต้องมาจบที่การใช้ปัญญาญาณทั้งสิ้นครับ อยู่ที่ว่าเมื่อประตูมิติในการใช้ปัญญาญาณเปิดออกมาแล้ว เราจะเข้าใจและใช้ให้เกิดประโยชน์ผ่านการคิด ตรึกตรอง และส่งผ่านออกมาเป็นรูปธรรมหรือไม่ครับ
สิ่งที่ครูสื่อสอนออกมา เราจะต้องพิสูจน์ ผ่านการใช้ปัญญาญาณของตัวเราเท่านั้น สิ่งที่ท่านสื่อออกมาก็จะไม่ไร้ความหมายครับ
หากมีเวลาผมจะคัดลอกกลไกของสมองทั้ง 4 ส่วน ผ่านการใช้ปัญญาญาณมาให้พี่ๆน้องๆในเว๊ปมาพิจารณากันครับ

 

ปัญญาญาน เกิดได้ก็ต่อเมื่อจิตอิสระอยู่บนทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) คือไม่ติดในกับดักโลกธรรมแปด ลาภ-เสื่อมลาภ ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา สุข-ทุกข์

ทางสายกลางหาให้เจอแล้วจะเห็นและเข้าใจในสภาวะการเกิดของปัญญาญาน พระพุทธองค์ทรงสอนมานานกว่า 2500 ปีแล้วครับ ปัญญาญานเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแห่งจิตที่ใสสะอาด เราบังคับให้มันเกิดไม่ได้และคิดเอาเองว่ามันเกิดก็ไม่ได้ ทางสายกลางของการเดินทางแห่งจิตคือวิถีแห่งการเปิดรับปํญญาญานอย่างแท้จริง

 

มาแลกเปลื่ยนพูดคุยกันตามสบายๆนะครับคุณทศพร คุณเซลล์ นำสาระเข้มข้นมาแบ่งปันกันอ่านบ่อยๆจะได้เกิดความเข้าใจที่ง่ายและชัดเจนขึ้น การปฎิบัติที่เหมาะสมจะเกิดผลดีกับทุกคนครับ

มนุษย์เราเกิดมามีคุณสมบัติทางจิตเท่าเทียมเสมอเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเด็กผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนพิการ สิ่งที่แตกต่างกันคือความคมชัดของสติ-สัมปชัญญะครับ ซึ่งเราสามารถเรียกคืนกลับมาได้ด้วยการฝึกฝนในชิวิตประจำวันด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การละวางกิเลส+ปฎิเสธตัวตน+พ้นไปจากความ มีดี-มีชั่ว หากทำได้จนเกิดความเคยชินคุณสมบัติของจิตเดิมแท้จะปรากฎออกมาเอง โดยไม่ต้องพึ่งพลังวิเศษอิทฤทธ์ใดๆจนเกินจำเป็นครับ และ นิพพาน ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มนักบวช สติปัญญาบนทางกลายกลาง คือทางลัดที่ดีที่สุดของมนุษย์ทุกคนครับ

 

*** เชื่อสัจจะ คือไม่ขวางสัจจะธรรม ****

ท่าน...เชื่อไหม "สัจจะ มีผลตอบแทน"
ท่าน....เชื่อไหม การกระทำเป็นสิ่งยิ่งใหญ่
ผลการกระทำ...คือ "ตัวกระทำ" ประเมินค่าไม่ได้

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

ขอบคุณคุณหนุมานฯครับ
จริงๆผมว่าคุณหนุมานเป็นคนน่ารักและชัดเจนในหลักสัจจะธรรมท่านนึง
ใครจะเข้าใจคุณหนุมานฯถูกหรือผิดอย่างไรปล่อยเค้า เป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ
(f)

ปล. มีคนฝากข้อความมาถึงคุณหนุมานฯ
ว่าจะขอทวงสัจจะ ที่คุณหนุมานเคยให้ไว้เมื่อปีก่อนว่า จะมาปรากฏตัวแล้วจะมาเจอกันน่ะครับ
ชื่อคนนั้นอยู่แถวๆนี้ล่ะครับ

 

สมองทั้ง 4 ส่วนของมนุษย์
สัมพันธ์กับจิต และจักรวาลอย่างไร
และสามารถเข้าถึงคุณสมบัติของจิตแต่ละขั้นได้อย่างไร
แนะนำเพื่อนๆลองอ่านหนังสือ "คัมภีร์นิพพาน" ของ อ.ปริญญา ดูนะครับ
แล้วลองช่วยกันพิสูจน์ว่า สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนได้หรือไม่ครับ

ผมขอฝากธรรมมะจากท่านหลวงปู่พุทธะอิสระ คุรุที่ผมเคารพองค์หนึ่ง ให้ทุกท่านลองตีความดูนะครับ

ลูกรัก...เจ้าจงรู้จักใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับในสมมติ
ให้ประโยชน์จากสมมติ สุดท้ายไม่ยึดติดในสมมติ<!-- Signature -->