ขอความรู้ครับ เรื่องเจริญสติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Chabob1, 27 ธันวาคม 2018.

  1. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    หลังจากที่ผมปฎิบัติมาได้สักพักนึง พี่ๆในนี้แนะนำว่าให้เจริญสติ ผมทำมาได้สักพักใหญ่ๆ แต่บอกก่อนว่าแรกๆก็ไม่ได้ทำทั้งวัน ...มีเผลอคิดนู้นนี่บ้าง พอรู้ก็ดึงกลับ ...น่าจะประมาน5เดือนมั้งครับที่ผมใช้วิธีเจริญสติแทนการนั่งสมาธิ ...ผมใช้วิธีมีสติอยู่กับตัวและอารมณ์นั้น พอมีอารมณ์ไหนกระทบก็ตามรู้ คิดอดีต อนาคต ก็ดึงมาปัจจุบัน โกรธ ดีใจ ก็ดูมันและมองมันดับ ...ตั้งแต่ปฎิบัติมาก็มีหลายอารมณ์มากระทบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ยอมรับเลยครับว่าผมเข้าใจชีวิตขึ้นเยอะมาก ... เข้าคำถามนะครับ ..ผมปฎิบัติแบบที่กล่าวไปเรื่อยๆช่วงหลังๆผมมีอาการ มือหรือปลายนิ้วเหมือนโดนไฟช็อตเบาๆ เท้าบ้าง มือบ้าง แต่ก็ตามรู้ปกติอยากช็อตช็อตไป สงสัยก็รู้ว่าสงสัย แต่ก็เริ่มถี่ขึ้น จนผมสงสัยล่ะ อยากรู้ล่ะว่ามันเกิดจากอะไร สภาพร่างกายหรือการเจริญสติ ขอบคุณครับ
     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สติ มันไม่ส่งออก ไปหิวอารทณ์ภายนอก

    จิต เริ่มวิวัฏ รู้ไม่เกินกายใจ

    เริ่มเหนคุณค่า ของการสงัดจากกาม

    ปิติ เริ่มเกิด....

    จริงๆ ปิติ อุเบกขา มันเกิดของมันตลอด

    แต่ พอสงัดจากกาม มันก้ เริ่มมารู้ กายคตาสติ

    ปิติ อาสัยกาย

    แรกๆ จะไม่หวือหวา แลบสมถะ จะแค่ ปลายนิ้ว
    ปลายขา ขนหัว แล้วก้ รวบไปที่ กลางอก เย็นกาย
    เย็นใจ

    ถ้าเคยฝึกสมถะ มาก่อน แนะนำว่า เวลาระลึก
    ปิติได้ ให้ หน่วงเหนี่ยว แผ่ไปทั่วกาย ..จะเหน
    เลยว่า ไม่ใช่แค่ปลายนิ้ว แต่มีอยู่แล้ว ทุกที่
    ทุกอนูเซล.....โดยที่ ไม่ต้องทำ สมถะ

    ทั้งนี้ เพราะ การฝึกสติ จะได้ สมถะ ไปในตัว

    เพียงแต่ ไม่เน้นความแนบแน่น

    ฝึกไปเรื่อยๆ ทุกอริยาบท แม้นแต่ถ่ายทุกขฺ
    หนักเบา จะเหนว่า ฝึกสติ ได้ สมาธิได้

    พอมีเวลา สมควร ก้ ทำสมถะเต็มรูปแบบ
    จะ เข้าใจ สมถะธรรมมากขึ้น ( แต่แรกๆ
    จะเหมือนว่า ไม่ได้เหมือนเดิม....อย่าไป
    เชื่อมัน ...ฝึก สติ วิปัสสนา สลับ สมถะ
    เปน งานสองอย่างที่ ควรกำหนดรู้ยิ่ง...)

    เอาเท่านี้ก่อน

    จะค่อยๆ เหน จิตที่ อบรมได้ ฉลาดในการ
    เฝ้น สภาวะเกิดดับ ที่ พ้นเจตนาเข้าไปยุ่ม
    ย่ามได้มากขึ้น

    เช่น คู้แขน เหยียดขา หายใจเข้า ออก เปนที่
    สบาย มีอุเบกขา มีสติ ไม่หวือหวา หวาดเสียว

    ถ้า มีจริตแนวกสิณ จะไปเหน การไหลเวียน
    ของธาตุ มหาภูต(รูป) เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ซึ่งจะ
    มี ปิติ หวือ หวา หวดเสียว ให้กำหนดรู้ จน
    กว่าจะ อุเบกขา.....
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก็เข้าทีดีอยู่นะ ให้สังเกตุเอาดี ๆ ว่า "ณ ขณะที่ "เป็น+อยู่" กับปัจจุบัณนั้น อดีต/อนาคต ดับ"
    +++ หาก "เห็น" ตรงนี้ได้ ก็เรียกว่า "เข้าท่า" ได้ดีทีเดียว
    +++ ต่อไปก็ "อดีต/อนาคต เกิด" "เข้าสู่ปัจจุบัณขณะ ดับ" ให้ทำจนเป็น "นิสัย" ก็จะดียิ่ง นะ...
    +++ อาการที่เหมือน "ไฟช็อตเบาๆ" จริง ๆ แล้ว เป็นอาการที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" เบื้องต้น
    +++ จะเรียกว่า "ความรู้สึกตัว" ที่แท้จริง ก็ได้
    ===========================================
    +++ "อาการของ ความรู้สึกตัว" มีได้หลายอย่าง เช่น อาการหนึบ ๆ อาการหยุ่น ๆ อาการคล้ายสนามพลังแม่เหล็ก อาการชา อาการอุ่น ๆ อาการซ่าน ๆ อาการแผ่ออก อาการคล้ายความดันออกไปที่ผิวหนังทั่วทุกทิศทั้งตัว เป็นต้น อาการเหล่านี้ล้วนแตกต่างกันไปตาม การใช้ภาษาของผู้ที่ต้องการอธิบายสภาวะของตน แต่สรุปออกมาได้เหมือนกันคือ เป็นอาการของ "ความรู้สึกตัว"
    ===========================================
    +++ ยามใดที่ "ได้ความรู้สึกตัวทั่วถึง ทั้งตัว" แล้ว
    +++ ก็จะ "รู้ได้ด้วยตน (ปัจจัตตัง)" ว่า อาการของ สัมปชัญญะ 4 ปิติ 5 ของ "สัมโพชฌงค์" มีอาการที่แท้จริงอย่างไร

    +++ ตอนนี้ ให้พยายาม "ทำ" ไฟช๊อตเบา ๆ ของคุณ "ให้ได้ เต็มอณู ทั่วทั้งร่างกาย ของคุณ" ให้ได้
    +++ ได้เมื่อไรจริง ๆ ก็จะได้ "สัมโพชฌงค์" แบบเต็มฐานได้เอง ตรงนี้ คือ "สัมมาสมาธิ" ใน มรรคตัวที่ 8

    +++ ให้เจริญในธรรม "ยิ่ง ๆ ขึ้นไป" นะครับ
     
  4. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ให้ได้เต็มอณู คือเพ่งตรงที่ไฟช็อตในจุดนั้นหรอครับ หรือในระหว่างที่ช๊อตอยู่ ก็ให้กำหนดรู้ทั้งร่างกาย
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "เต็มอณู ทั่วทั้งร่างกาย" ไม่สามารถเกิดได้ ด้วยอาการ "เพ่ง" อย่างเด็ดขาด แน่นอน
    +++ นั่นแหละ "ใช่" แล้วมันจะ "แผ่กระจายความซ่าน" ออกไปเองทั้งตัว
    +++ "รู้เฉย ๆ" จน "ความซ่าน" มีความหนาแน่น เท่ากันทั้งตัว เปรียบเสมือน "เป็น เนื้อสภาวะแห่ง ความซ่าน ที่เป็น เอกภาพ" และ มี "สติสัมปชัญญะ" โดดเด่นเป็นเอก
    +++ นั่นแล... "เริ่มต้นแห่งความเป็น สัมโพชฌงค์" ในโพธิปักขิย์ธรรม นั่นแล...
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เราฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันนั้น
    เพื่อสร้างเครื่องมือตัวหนึ่งที่จะคอยควบคุม
    ความคิดและพฤติกรรมของจิต(อาการที่เราเป็นนั้น
    ที่รู้ตัว ณ ปัจจุบันที่ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น)
    เพื่อให้จิตคลายจากความคิด
    และคลายจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    เราเรียก เครื่องมือ ตัวนี้ว่า สติทางธรรม

    เราต้องมาเพิ่มความต่อเนื่องจริงๆ
    ไม่ว่า จะเป็นช่วงเอี่ยว(คือ ช่วงที่เราทำ
    อะไรเป็นปกติจนชิน เช่น เดินไปเข้าห้องน้ำ
    ไปทานข้าว ไปซื้อของ ไปทักทายเพื่อน)
    ตรงนี้นี่หละ ที่จะทำให้ การสร้างสติทางธรรม
    ตรงนี้ของเรา มันขาดความต่อเนื่อง....

    ซึ่งมันจะเป็นเหตุให้ความเข้าใจทางด้าน
    กิริยาทางด้านนามธรรมต่างๆเรายังไม่ดี......

    ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญในการสร้างความต่อเนื่อง
    ตรงนี้ ร่วมกับการมาพิจารณาก่อนที่จะหลับตา
    และลืมตาตื่นตอนว่า วันนี้เราได้ทำอะไรมาบ้าง
    เราพลาดตรงไหนบ้าง เพื่อเป็นในลักษณะของ
    ความต่อเนื่องของสติและเป็นการฝึกความทรงจำ
    ทางโลกอาจจะเรียกว่า สติสัมโภษชงค์นั่นเอง
    ตรงนี้ถึงจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาทางจิต..........


    จนกว่า ตัวจิตจะเห็นตัวความคิดในขณะที่มันกำลังขึ้น
    มาจากตัวจิต หรือ เห็นตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนที่
    มันจะมารวมกับตัวจิต(เอกลักษณะมันคือ ถ้าเราไปสนใจ
    ไปรู้ มันจะดับทันที และเปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ)

    จิตเราก็จะแยกรูปแยกนามได้ เพราะ จิตจะดีดความคิด
    ต่างๆเหล่านี้ออกจากจิตทันที และถ้าเห็นขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรมก่อนที่มันจะรวมกับจิตได้
    จิตก็จะแยกรูปแยกนามได้ ความเห็นชอบก็จะเปิดทาง
    ให้เราสามารถเดินปัญญาได้ แบบที่จะไม่กลายเป็น
    วิปัสสนึก

    เมื่อเราเจริญสติอยู เนื่องจากมันกำลังสร้างสติทางธรรม
    ที่เป็นเครื่องมีในการควบคุมความคิดและพฤติกรรมของจิตนั้น
    มันเป็นนามธรรม ย่อมทำให้เกิดการรับรู้ทางนามธรรมได้ดีขึ้น
    เป็นปกติครับ.....
    กิริยาที่รู้สึกว่า มีไฟซ๊อตนี่ก็ใช่ แต่มันเป็นกิริยาพื้นฐาน
    เบสิคเริ่มต้นทั่วไป. และฟ้องว่า ร่างกายเรานั้นมันขาดสมดุลย์
    ในเรื่องของการถ่ายเทพลังงงาน
    (จริงๆแล้ว เรื่องพวกนี แค่เดินเหยียบดินหรือเหยียบหญ้าด้วย
    เท้าเปล่า หรือ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล หรือ แช่เท้าในน้ำเกลือ
    มันก็ไม่เป็นแล้ว) อย่าไปเผลอเข้าใจว่า มันเป็นกิริยาอะไร
    ที่วิเศษวิโสอะไร เพราะถ้าเราไปเผลอสนใจ มันจะกลายเป็นวิบาก
    ทันที และมันจะส่งผลต่อร่างกายทันที แบบเบสิคๆเลยก็คือ
    ส่งผลต่อระบบขับถ่ายของเรา และการตึงบริเวณศรีษะ
    และอาการตึงๆ บริเวณแขนและขาของเรา..........


    ดั้งนั้น ถ้าเกิดอาการตรงนี้ ก็ไปแก้ซะ
    ยิ่งหน้าหนาวมันยิ่งเป็นได้ง่ายๆเรื่องปกติ

    ให้เน้นการเพิ่มความต่อเนื่องการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันจนกระทั่งจิตแยกรูปแยกนามได้ก่อน
    และเดินปัญญาไปก่อนซักระยะหนึ่ง.......

    กิริยาพวกนี้ อย่าไปดู อย่าไปสนใจ เกิดก็แก้อย่างที่บอกซะ
    และถ้าร่างกาย เกิดรับรู้ได้ ว่าหมุนตรงนั้นตรงนี้
    ก็อย่าไปสนใจ ให้ปล่อยไปเลยตามธรรมชาติ
    เพราะถ้าสนใจเมื่อไร จะกลายเป็นวิบากกรรมทันที
    ที่จะดลให้เรา เป็นไปตาม จริต อนุสัย วิบากอย่าง
    ใดอย่างหนึ่งนั่นเอง.......

    ปล.อย่าสนใจเรื่องอื่นๆใด จนกว่า จิตจะแยกรูปแยกนาม
    และเดินปัญญาไปก่อนซักระยะเวลาหนึ่ง
    ไม่งั้นจะเสียเวลาในการปฏิบัติเฉยๆ
    ช่วงนี้ แม้จะสนใจกรรมฐานอะไร ฝึกยังไง
    ก็ไม่สำเร็จ ถ้าจิตยังแยกรูปแยกนามไม่ได้
    และไม่ได้ผ่านการเดินปัญญามาก่อน
    อย่าลืมว่า กิริยาระหว่างทางระหว่างการฝึก
    มันเป็นนามธรรมทั้งนั้น

    ดังนั้น สติทางธรรม ที่จะทำให้เข้าใจ
    เรื่องนามธรรมเหล่านี้เอาให้มันแน่นไว้ก่อน
    พอเข้าใจที่พูดเนาะ
    อย่าหลงประเด็น...
    สมาธิผิดทางจะสร้างปัญหา...
     
  7. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอความรู้หน่อยครับ ถ้าเราฟังเสียงกรนตัวเองในระหว่างนอนหลับและก็พิจารณาไปด้วย ช่วงเวลาเจริญสติระหว่างวันช่วงแรกๆที่ทำ ผมมีอาการไหวหรือใจไหวอ่อนๆ ที่ลิ้นปี่ เช่นมีอารมณ์ใดมากระทบตัวไหวตัวนี้จะไหวขึ้นมา เวลาที่ไม่พอใจ เราจะรู้ว่าเนี่ยไม่พอใจ พอรู้ตัวแล้วก็ไหวที่ลิ้นปี่ก็จะไหวเบาๆ แต่ในระหว่างที่ไหวๆอยู่ ผมมีสติพิจารณาและตามดูความไม่พอใจ จนมันดับลง พอดูหลายอารมณ์มากระทบตัวไหวตัวนี้จะหายไป แต่เหมือนว่าผมควบคุมสติในทุกเรื่องได้ ไม่ใช่บังคับสติ แต่เราเห็นมาก่อนแล้ว ไม่ว่าอารมณ์ไหนที่เข้ามาก็ไม่มีความคงทน ก็เลยไม่ยึดไปสักอารมณ์ คือรู้สึกชอบไม่ชอบอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ยึดติด ชอบเดี๋ยวก็ดับ ไม่ชอบเดี๋ยวก็ดับ ไม่ได้เป็นอาการคนเฉยชาเลยนะ ในระหว่างที่ผมทำชีวิตประจำวัน ผมเห็นตัวจิตและกายแยก จิตที่คิดจิตที่โกรธที่สุข เหมือนเราเฝ้ามองอาการนี้อย่างเงียบๆแล้วดูมันลง เหมือนฉายหนังให้เราดูซ้ำๆ ผมอยากถามพี่ว่า อาการนี้เป็นการแยกรูปอยกนามที่ถูกรึป่าวครับ ถ้าไม่ถูกต้องทำวิธีไหน ขอบคุณครับ

    อาการที่แสดงต่างๆมาคือห้ามยึดติดใช่ไหมครับ แต่ถ้าถามผมแค่อยากรู้ก็ถือว่ายึดติดนะ แล้วเราจะระงับความอยากรู้ยังไงครับ สำหรับผมความอยากรู้มันบังคับยากมากกว่าเรื่องไหนๆอีกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2018
  8. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณมากครับ ผมจะเอาปฎิบัติตามครับ
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ถ้า เหนความ ไหว ที่กลางอก...

    แล้ว ทราบว่า ความไหวนั้นเกิดจาก ปัจจัย
    เช่น ผัสสะ นิทาน นามรูป วิญญาณ(สภาพ
    รู้...อย่าให้เหน วิญญาน เปนเรือง สัตว ตัวตน
    บุคคล เรา เขา ผู้บันดาล ผู้ถูกกระทำ) เรียก
    ว่า ขันธ์มันแยกแล้ว

    อาการ ขันธ์แยก ไม่ใข่สภาวะที่จะต้องเกิดถาวร

    หากชาติหนึ่งชาติใด ในแสนกัปที่ผ่านมา เคย
    มั สักชาตอหนึ่ง เคยภาวนาจนแยกได้แล้ว....

    พอได้สดับ ธรรม เรื่อง สติปัฏฐาน จิตจะเข้า
    มาเหนสภาสะไหวๆ กลางอก ได้ทันที .....

    บาลีเรียกว่า อุปนิสัย

    บาลีเรียก อินทรียภาวนา

    บาลีเรียก เกิดมาพร้อมปัญญา พร้อมบรรลุ
    ได้ตั้งแต่ แสนกัปที่ผ่านมา ....แต่...เพราะ
    ขาดการสดับ ยังส่วจิตออกนอก ไปเทียบ
    เคียงการปฏิบัติ มัวแต่ฟังธรรมบัญญัติ
    ที่มี คนแสดงธรรม

    ทั้งๆที่ เรา ภาวนา เพื่อ สดับ สิ่วที่พ้นการ
    แสดงจากสัตว์ทุกๆตัวตน

    นะ

    สภาวะ ที่กลางอก หากเหนถูก เวลาที่ระลึก
    ได้ว่า จิตไม่ได้สมาทานสิกขา จิตจะ วั๊บเข้า
    มาเหนสภาวะที่กลางอกได้ ทันที!

    แล้วกัดับ ทันที ...เพราะ จิตต้องการ สัมมาทิฏฐิ
    เรื่อง จิตไม่เที่ยง เปนเพียง ธาตุ ที่เกิดจาก
    จากปัจจัยการ เปนอนัตตา

    ถ้า สามารถ กำหนดรู้ว่า สภาวะเหนกลางอก
    ก้เปน อนิจจัง อนัตตา

    จะสามารถยก อนิจจานุปัสสี อนัตตานุปัสสี ได้

    พอ รู้ชัดว่า ขันธ์5 เปนอนิจจัง อนันตตา โดย
    ไม่บัญญัติ ขันธ์ที่6 ขึ้นมาทับการภาวนา

    ก้จะเรียกว่า เจิญอานาปานสติ เพื่อตาม
    เหนการสลัดคืนไม่เหลือ หนึ่งรอบ

    ซึ่งจะต้องภาวนา ตามเหนการสลัดคืนเปน
    ประจำเข้ามาอีก เปน พหุลีกตา แสนโกฏิ
    รอบก้อาจจยังไม่พอ ....เว้นแต่ จะฉลาด
    เหน ทุกขสัจจ ก้อาจจะแค่ 7คาบลมหายใจ
    7วัน 7เดือน 7ปี.....

    พอฟาดเข้า ทุกขสัจจ กิจในอริยสัจจ ได้

    ค่อยพูดเรื่อง โพชฌงค์7 (ธรรม เครื่องสลัดออก)
     
  10. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    ลึกและนิ่งกว่าเห็นไหวๆกลางอกคือ เห็นสภาวะแย็บของจิตสังขาร คืออาการที่จะเริ่มปรุง แต่ส่งขึ้นปรุงไม่ได้ เพราะถูกเห็น
    การรู้เห็นนี้ไม่มีฐานที่ตั้งใดในกายทั้งสิ้น ไม่พูดเยอะ เจ็บคอ..
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ปุถุชน เวลา รู้ตัวว่า ตัวเองกรน นอนผลิกตัวทั้งคืน

    เขาจะเข้าใจว่า ตนนอนไม่หลับ ตื่นมา ก้จะ
    คว้าอากัปกริยา หงุดหงิด บรรดา มี

    แต่ ปุถุชน หมั่นสดับ เวลา นอนแล้วรู้ว่า
    กรนบ้าง ผลิกตัวบ้าง จิตไหลไปรวม
    อยู่ตรงนั้น ตรงนี้บ้าง ......จะเหน สภาวะ
    นอน เปนอาสวะของสัตว์โดยเฉพาะ เดรัจฉาน

    แท้จริงแล้ว การนอนเปนเพียง อนุสัย อย่างนึง

    การประกอบธรรม เครื่องตื่นตลอดเวลา ก้
    เปนการผักผ่อนได้ (พอได้ทิฏฐิแบบนี้
    เวลากรน ผลิกตัว จิตจะสมาทานอารมณ์
    ฌาณเข้ามาเสพ สว่างนิดนึง แล้วก้ออก
    ถ้าชำนาญ ก้จะเข้า อยู่ ออก.....ถ้าชำนาญ
    กว่านั้น จะรำพึงจิตเพื่ออิทธิบาท ได้)

    ยกตัวอย่าง พระราชาในพระบรมเจดีย์ ร9
    ท่านสุเมธ องค์มนตรี เล่าว่า ท่านไม่เคยทรง
    บรรทม พระองค์ จะหลับตาเพียงห้านาที
    กำหนดรู้ลมหายใจ แล้วก้ ลืมพระเนตร
    ทรงงานต่อเนื่อง.......
     
  12. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ผมพอเข้าใจที่พี่พูดอยู่นะ ผมไม่ใช่คนถนัดภาษาธรรมะเท่าไร อายุผมยังน้อย20+ เรื่องภาษาธรรมเลยไม่ค่อยถนัด ผิดที่ผมด้วย ผมไม่แสวงเรียนรู้ภาษาธรรมเท่าไร ก็จะเข้าใจภาษาง่ายๆซะมากกว่า ผมอธิบายแล้วพี่ช่วยแนะนำได้ไหมครับ ว่าผมทำถูกไหม อย่างที่พี่บอกก็ถูกนะครับ ผมจะมีปัญญาต่อเมื่อเห็นของจริงแล้วเอาความคิดเนี่ยไปคิดตามในเหตุการณ์นั้นๆ อย่างที่ผ่านมา ตอนลิ้นปี่ไหวๆ เหมือนสายตาและสมองมันจะจับจ้อง อะไรเคลื่อนไหวไปหมด คิดภาพหน้ากากไอรอนแมน ที่เป็นตัวล็อคเป้า ผมมีอาการแบบนี้ แล้วสมองมันจะพิจารณาด้วยของมันเอง หมาแมว ควาย วัว เขา เธอ ล้วนเหมือนเรา ต่างแค่สังขาร เหมือนเราตรง เกิดมา กิน ขี้ ปี้ นอน พูดแบบหยาบๆนะครับ (ถ้าหยาบผมขอโทษด้วย) เพราะมี4ตัวนี้ขึ้นมาเลยยึดติดเป็นของตน กินเพราะอยู่รอด กินเพราะโลภ กินเพราะติดในรส ขี้เพราะมันเป็นกลไกของสังขาล แล้วก็ต่างๆมากมาย จนมันแน่นขึ้นและก่อกรรมขึ้นมาไม่รู้จบ เพราะเอามายึดติดว่าทุกอารมณ์ทุกสิ่งอย่างคือของเรา ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจแบบนี้ ก็เหมือนกรรมของผมอีก เป็นเด็กไม่ชอบฟังธรรม อ่านธรรม แต่ชอบคิดตามและคิดเองเออเอง ก็ไม่รู้ตัวเองคิดถูกไหม แต่คิดแบบนี้จนถึงทุกวันนี้ พี่ชี้แนะผมหน่อยครับ การใช้ปัญญาที่ถูกต้องและคิดพิจารณาได้ตรงที่สุด ควรทำขั้นตอนแบบไหน ขอบคุณครับ
     
  13. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    คิดภาพตัวเองทำแบบนั้นไม่ออกเลย ผมจะมีบุญทำได้ถึงขนาดนั้นไหมเนี่ย ผมพูดจริงๆนะ ฟังพี่เล่าผมน้ำตาซึมเลย
     
  14. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    แย็บเหมือนไฟช็อตลิ้นปี่ใช่ไหมครับ
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฟังดีๆนะ....

    ขั้นตอนต่อไป จะยากสุดแสนยาก

    ร้อยละร้อย พอฟังแล้ว รับไม่ได้ ....เพราะ
    ว่ว หิวอารมณ์

    นะ

    การภาวนาต่อไปคือ ให้ยกที่เล่ามา อะไรก้
    ตามที่เปน ปัจจัยในการภาวนา ..ให้ระลึก
    เหน สิ่งที่เปน ธรรมเกิด ธรรมผุด นั้นก้
    พึ่งดับไปสดๆ ร้อนๆ

    ไม่มีค้างเติ่ง

    เกิดขึ้น เพราะมีเหตุ ให้เกิด

    เมื่อเหตุดับ การภาวนาได้ ปัญญาพูดได้ ต้องดับ

    ถ้าไม่ดับ แปลว่า เจตนามีธรรม เปนนักธรรม
    ตลบแตลง ไม่ใข่การเหน ตามความเปนจริง

    เหน กุสบ แม้น ปฏิปทาที่เปน สัมมา ดับ แล้ว
    ได้อะไร

    ได้การตามรู้ ทุกขาปฏิปทาในสมัยบ้าง
    สุขปฏิปทาในสมัยบ้าง

    ถ้า ปฏิปทาใดเกิดแน่น แข็ง ตึง ก้เรียกว่า
    รู้(ปฏิปทาดับเปนธรรมดา)ช้า

    ถ้าเกิดความเบากาย เบาใจ ไม่เปนจุด ไม่เปน
    ดวง มีนิรามิส มีอนาสวะ ก้เรียดว่า รู้เร็ว

    ตามเหน ทุกขาปฏิปทารู้ช้า ทุกขาปฏิปทารู้เร็ว
    สุขาปฏิปทารู้ช้า สุขาปฏิปทารู้เร็ว แล้วแต่
    ดับทั้งสิ้น ซ้อนขึ้นมาอีก

    ก้จะเหน มรรคที่เปนสาสวะ ตบแต่งขันธ์ โหลยโถ้ย

    กับ

    มรรคที่เปนไปเพื่อ อนาสวะ ....เกิด มรรคามินีปฏิปทา คือ รู้อย่างไรคือมรรคเพื่อสิ้รอาสวะ

    มรรคอย่างไรเปนมรรคก้จริงแต่โหลยโถ้ย
    ไปอีกแสนกัป ผ่านพุทธทันดรอีกเปนล้าน
    ก้ลูบคลำมรรค ไม่เลิก
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เปนไง พอฟังไหว ไหม

    มันจะมีรสคล้าย ไม่เหนมีใครพูดอย่างนี้มาก่อน

    ธรรมพ้นการได้ยินได้ฟังมาก่อน

    ถ้าทนไม่ไหว จะเกิดการ หิวอารมณ์ สำคัญว่า
    ปฏิบัติธรรมทั้งที ควรมีรสชุ่มชื่นใจ ประดับ
    ประดา อย่างนั้นอย่างนี้.....

    พอเสวยอารมณ์แม้นที่เปนธรรมะ สังเกตเลย
    จะเกิดหมู่สัตว์ แหมมาอนุโมทนากันเต็มไปหมด

    ประมาท !
     
  17. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    พี่พอมีลิ้งธรรม ที่พี่บอกมาป่าวครับ ผมจะได้ฟังให้เข้าใจ ขอบคุณครับ
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อันนี้ ขออนุญาติ นิดนึง

    การกตัญญู เปนเครื่องหมายของ คนดี

    การพูดบาลีได้แค่ สองคำ สองวรรค พระพุทธ
    องค์ทรงยกบ่องว่าเป็น พหูสูต

    การพูดบาลีได้ เปนเรื่อง ที่จะออกมาจาก
    ความกตัญญู

    อย่าพูดบาลี เพียงเพราะว่า เอามาฉาบหน้า
    เพื่อเปนอุบาย ไปฟัง คำ ที่กลั่นออกมาจาก ตน
    กลุ่มตน ....เพราะนั่นจะกลายเปน อุปนิสัย
    อกัตตัญญู
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มีใน ปฏิสัมภิทามรรค จะเปน ภาษาแบยแผน

    จขกท ยังไม่ต้องรีบ เทียบปริยัติ

    การภาวนามาเหนไหวๆ ตรงนี้ หากไปเจอ
    พระป่า ท่านจะไม่เทศนาเลย ท่านจะไล่
    เข้าป่า เอาตำรายัดใส่ลิ้นชัก ห้ามไม่ให้
    ภาษาตำราออกมา.....

    การจะกตัญญู ไม่ต้องรีบร้อน...

    เอาให้ได้รสธรรมชัดๆ จนทราบพระกรุณาธิคุณ
    แล้วค่อย ไล่ตำรา ทีหลังก้ได้

    เหมือน พระปฏิจราเถรี ท่านภาวนาก่อน
    เสร็จแล้ว ก้ ทราบว่า ต้องทรงธรรมวินัย
    ให้แม่น ท่านก้มาเก็บเอาทีหลัง

    เก็บทีหลัง ยังได้เปน เอทัคคด้านทรงธรรมวินัย
     
  20. Chabob1

    Chabob1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +22
    ตอบตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ เพราะยังไม่ลองทำ ถ้ามันยากมันจะต้องมีอุบายของตัวเองที่ทำให้ง่ายขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...