ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทั้งโลกทุกศาสนา ก็มีเพียง สามข้อนี้ ที่เป็นเหตุ เป็นผลกัน...ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรอีกแล้วล่ะ...
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทั้งสามโลก นรก โลก สวรรค์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต....ความจริงแห่งนิพพาน อยู่ในหัวใจ๓ข้อ นี้เท่านั้น....ธรรมอย่างอื่น แค่แจกแจง สภาวะ แห่งเส้นทางเดิน โพธิปักขิยะธรรมเฉยๆ

    พูดง่ายๆ ทำได้ครบสามข้อ นิพพานทันที...ไม่ต้องไปเสียเวลา หลงเหมือนคนอื่นเลย
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สมัยพุทธกาล แม้พระอรหันต์ มารวมกัน ในวันมาฆะบูชา...ธรรมะที่พระพุทธองค์ แสดงแก่พระอรหันต์ ก็ 3ข้อนี้..เท่านั้น ท่านไม่ได้สอนพระอรหันต์ แต่ท่านฝากให้พระอรหันต์ สอนคนแค่ สามข้อนี้...เท่านั้น...เอง

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธรรมมัง สรณ้ง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

    อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ...ความไม่ประมาทคือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สุดท้าย ผมเอง มาถึงวันนี้ ก็ขอลา เวป อย่างเป็นทางการ ได้เสียที

    เพราะมาวันนี้ ผมจึง เข้าถึง หัวใจแห่ง พระพุทธ ได้ชัดเจน ก็วันนี้เอง

    กรรมใดที่ เราเคยร่วม กรรมกันมา...ผมให้อโหสิกรรมกับทุกท่าน..ส่วนพวกท่านจะอโหสิกรรม แก่ผมหรือไม่ ก็ตามใจทุกท่านนะครับ..ผมลาแล้วครับ...ขอให้ทุกท่าน สำเร็จในความปรารถนาที่ดีงาม นะครับ เอวัง.
     
  5. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อ้าวววว ไปซะแล้ว :boo:
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ลุงแมวกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพอใจในการเกิด
    ทำความคุ้นเคยกับการเกิด
    ขณะเดียวกันกำลังพิจารณาว่าจะพอใจกับการมีชีวิต
    อยู่โดยไม่เสแสร้ง
    โดยอยู่แบบเบิกบานอย่างไร
    โดยพยายามหลบหลีกสิ่งเร้าที่
    ทำให้จิตตกในแต่ละ
    วันแต่ละคืน
    เอาธุระเรื่องการรักษาจิตเป็นหลัก
    ไม่ให้จิดตกไป
    เกาะเกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย
    สามารถตัดการคิดเรื่องภายนอกได้เร็วขึ้น
    โดยเอาบทเรียนจากความไม่แน่นอน ที่เราประสบ
    มาด้วยตนเอง
    เช่น
    ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนก็ดี สามวันดี 4 วันไข้ก็ดี
    4 ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
    วันนี้อยู่พรุ่งนี้ตาย

    ล้วนเป็นตามไตรลักษณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง
    แตกต่างกันที่ระยะเวลา
    แต่ทุกสิ่งเมื่อเกิดขึ้น
    ต่อมาจะแปรปรวนพลิกไปมา
    แม้จะใช้ศาสตร์อะไรมาเยียวยา
    ก็ไม่สามารถกลับมา
    มั่นคงแบบเดิมได้และล่มสลายหรือแตกดับไป
    ด้วยกาลเวลา ดิ้นรนประคับประคองอย่างไร
    ก็ทนอยู่ไม่ได้
    ปิรมิดหินจากต่างดาว
    ที่อียิปต์ก็อยู่ไม่ได้....ถึงจะซ่อมแซมสักกี่ครั้ง
    ก็อยู่ไม่ได้
    ก็ทราบดีว่าแค่นี้ยังป้องกันกิเลสไม่ได้
    แต่ก็เป็นความเชื่อที่ไม่ได้มี
    ความขัดแย้งกับ
    อริยสัจจ์ 4 ขององค์สมเด็จพระสัมมา
    แต่
    ต้องรอจนกว่าจะกาล
    อันเหมาะสมจึงจะสามารถ
    ทรงอยู่ในมรรคได้...ไม่ชาตินี้ก็ชาติไหนก็
    เป็นไปตาม
    ผลบุญและผลกรรมครับ
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ผู้รู้
    ผู้ตื่น
    ผู้เบิกบาน
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มีผู้ทำลายสักกายทิฏฐิให้ ก็เป็นบุญสูงสุดแล้ว


    สิ่งสำคัญด่านแรกของการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลก็คือ การทลายสักกายทิฏฐิ บุคคลใดผ่านด่านถูกทำลายสักกายทิฏฐิมาได้ ท่านว่าเป็นผู้ประเสริฐหาได้ยากแล้ว เพราะไม่ใช่ของง่ายนะ บางที ยิ่งเรามีความรู้มาก ฉลาดมาก ยิ่งทลายสักกายทิฏฐิยากเหมือนท่านใบลานเปล่า รู้ธรรมะมากมาย สอนคนอื่นทั่วไปหมด แต่ไม่มีใครจะทลายสักกายทิฏฐิให้ท่าน จนต้องไปขอธรรมจากสามเณรผู้เคยเป็นศิษย์ของตน สุดท้าย จึงบรรลุอรหันตผลได้ ทว่า หลายคนเน้นเอาแต่ความรู้ เอาแต่ความฉลาด แต่ไม่เคยเน้นตัวนี้ ทีนี้ ต่อให้รู้มาก ก็ยังไม่ได้โสดาบันสักที แม้แต่โสดาบันก็ยังไม่ได้นะ ต่อให้รู้เยอะไปขนาดไหนก็ตาม เพราะยังไม่ได้ผ่านด่านทลายสักกายทิฏฐินี่ละ ซึ่งด่านนี้ เราทำเองไม่ได้ เราต้องให้คนอื่นมาช่วยทำให้ ถ้าไม่มีใครมาทำให้เราแล้ว ก็จบเห่ ไม่ต้องหวังมรรคผลอะไรกันอีกเลย ไม่มีแล้ว เหมือนการเข้าตีเมือง ต้องทำลายประตูเมืองให้ได้ก่อน เปิดประตูเมืองได้ก็จะเข้าจู่โจมในเมืองได้ ถ้าเปิดประตูเมืองไม่ได้ ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ ดังนั้น การทลายสักกายทิฏฐิจึงสำคัญมากอย่างนี้ และมีความยากที่สุดอันดับแรกดังนี้

    หลายคนเข้าสู่วิถี "ปัจเจกยาน" เพราะเก่งเกิน รู้มากเกินและไม่มีใครยอมมาเป็นครู มาช่วยทลายสักกายทิฏฐิให้ ใครเห็นเข้าเขาก็เบือนหน้าหนี บอกว่า "ไม่ไหวหรอก ฉันสอนคนๆ นี้ไม่ได้แน่ มันดื้อเกิน" เมื่อนั้นเอง คนๆ นั้นก็ไม่มีใครเอา ไม่มีใครช่วยทลายสักกายทิฏฐิให้ ก็จะเข้าสู่วิถีแห่งปัจเจกยานไป ซึ่งไม่ได้แปลว่าอยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใครนะ พวกปัจเจกยานบางคนทำตัวเหมือนพระพุทธเจ้ามีสาวกอยู่รายล้อมก็มี แต่ไม่มีใครช่วยทลายสักกายทิฏฐิให้เขาได้เท่านั้นเอง การได้รับการทลายสักกายทิฏฐิจึงเป็นบูญสูงสุด กว่าบุญอื่นใด เพราะได้หลุดพ้นจากการเข้าสู่ปัจเจกวิถี ทีนี้ อาจมีคนเถียงว่าแล้วเป็นปัจเจกฯ มันไม่ดีตรงไหน? เอาละ "ขอไม่บอกละกัน" ฮ่าๆๆ เป็นแล้วจะรู้เองว่ามันดีหรือไม่ดียังไง? แล้วจะรู้ว่าทำไม ท่านใบลานเปล่าถึงยอมให้ลูกศิษย์ตัวเองสอน บางคนยอมคุกเขาร้องขอให้คนอื่นช่วยสอนตัวเอง ช่วยทลายสักกายทิฏฐิให้ตัวเองเลย มันเพราะอะไร ไม่บอกดีกว่า เอาเป็นว่าทุกคน ทุกเส้นทาง มีคุณค่าในตัวมันเอง แทนที่กันไม่ได้ จักรวาลมีสมดุลของมัน ถ้ามีคนเข้าสู่ปัจเจกวิถีคนหนึ่ง ก็จะมีผู้หลุดออกจากปัจเจกวิถีหนึ่งคนเหมือนกัน นี่คือความสมดุลของจักรวาลนะ แล้วท่านละ เลือกจะอยู่จุดไหน? ก็แล้วแต่นะ ตามแต่ใจแล้วกัน ทุกคนมีเจตจำนงค์เสรีที่จะเลือกทางของตน

    ยิ่งรู้มาก ยิ่งเก่งมาก ยิ่งหาคนมาทำลายสักกายทิฏฐิให้ได้ยากครับ!
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ระบบ 30% รักษาทุกโรค ก็แค่โปรโมชั่นลดราคาที่ลูกค้าไม่เอา!


    มันไม่ช่วยอะไรได้เลยครับ นอกจากลดราคา อย่างแรก คนที่ได้รับการลดราคา ก็จะไม่มีความคิดเชิง "สังคม" คือ ตัวใครตัวมัน จ่ายของใครของมัน นึกออกไหมครับ? เทียบกับแบบ "ระบบถั่วเฉลี่ย" แล้ว ต่างกันมาก อย่างไร? อย่างนี้ครับ เวลาคุณจ่ายแบบระบบถัวเฉลี่ย แทนที่คุณจะจ่ายของคุณแบบตัวใครตัวมัน (แบบปัจเจกชน แบบเห็นแก่ตัว) ไม่ได้ละ คุณต้องจ่ายทั้งระบบ ทั้งหมด องค์รวมแต่เผอิญคนที่จ่ายไม่ได้มีคุณคนเดียว จะมีประชาชนทั้งประเทศหกสิบล้านกว่าคนร่วมแบกภาระจ่ายพร้อมกับคุณด้วย เห็นไหม มันไม่ได้มากอย่างที่คิด แต่แนวคิดของคนจะถูกเปลี่ยน แทนที่เราจะคิดแบบตัวใครตัวมัน ฉันป่วยฉันก็จ่ายของฉัน มันไม่ใช่แล้ว มันจะกลายเป็นใครป่วยก็ตาม ก็ช่วยกันจ่ายให้หมด "โดยประชาชน เพื่อประชาชน"

    ทีนี้ มีคนเถียง มีข้ออ้างบอกว่า "มันทำไม่ได้ละ ไม่ทันละ ต้องเอาอย่างที่ตัวเองคิดละ คือ ระบบ 30% รักษาทุกโรค" ชายก็ไม่ได้ว่าอะไร อุตส่าห์บอกสิ่งที่ดีที่สุดให้ จะได้ผลงานชิ้นโบว์แดง แต่ไม่เอาก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกฮะ ทำได้แค่ "ระบบโปรโมชั่น" ไม่ต่างอะไรกับพวก "ทุนนิยม" ใช้โปรโมชั่นมาทำการตลาดให้คนนิยมชมชอบ แล้วแบบนี้จะปฏิวัติ ยึดอำนาจไปทำไม? ในเมื่อยุครัฐบาลปูเขาเป็นทุนนิยมอยู่แล้ว เขาเปิดทางให้ทุนนิยมอยู่แล้ว เพียงแต่ในระดับ รบ. เขาใช้นโยบายแบบ "รัฐสวัสดิการ" แบบ "ประชานิยม" ก็เท่านั้นเอง พอเปลี่ยนยุคสมัย มันก็ไม่ได้เปลี่ยนวิธีคิด หรือจะช่วยอะไรให้ดีมาได้เลย มันก็เหมือนเดิม "โปรโมชั่นพิเศษลด 30%" เพื่อให้ได้ทำแค่นี้นะ ถึงกับปฏิวัติ เอาทหารมายึดอำนาจ ทำอะไรกันวุ่นวาย สุดท้าย ประชาชนก็ถูกสอนให้เห็นแก่ตัวเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย "ถุยส์" แล้วยังมาทำเหมือนว่าตัวเองคิดมาดีเหลือหลาย โธ่! ขอบอกนะ ประชาชนเขาไม่รู้สึกเลยว่านี่คือโปรโมชั่น เพราะเขาจะต้องจ่ายมากขึ้นกว่าเดิม ไม่มีใครเขาชอบเลย คนเราจะเป็นผู้นำไม่ต้องมานั่งคิดแข่งกับขงเบ้งหรอก เป็นเล่าปี่แล้วไปหาขงเบ้งมาคิดแทนตัวเอง เท่านั้นเอง ทำได้ไหม? ถ้าทำไม่ได้ ก็เป็นจิวยี่ต่อไป

    ระบบถั่วเฉลี่ย มันไม่ได้ยาก มันง่ายกว่าระบบ 30% รักษาทุกโรค เพราะมันแค่ให้คนไข้จ่ายมากขึ้น เปลี่ยนจาก 30 บาท เป็น 300 บ. (สมมุตินะครับ) แค่นี้ จบเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม รพ. ทำงานไม่ต่างจากเดิม เปลี่ยนแค่ตัวเลขที่คนไข้ต้องจ่ายเท่านั้นเอง แต่แนวคิดนี้ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงได้มากในภาคประชาชน คือ ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เข้มแข็งขึ้น พึ่งพารัฐน้อยลง และช่วยเหลือกันเองมากขึ้น เพราะรัฐไม่ได้ช่วยอุ้มโครงการนี้อีกต่อไปแล้ว ประชาชนต้องช่วยเหลือกันเอง "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" อย่างแท้จริง แต่วิธีการทำ กลับง่ายมาก แถมไม่ต้องมาคิดค่ายาทีละคนให้ยุ่งยากอีก จ่ายเท่ากัน เหมือนกันหมด ทีเดียวจบเลย ยังจะมาเถียงอีกว่าทำไม่ได้ ทำยาก ทำไม่ได้แล้ว แก้ไม่ได้แล้ว ห่าอะไร ม่ีแต่ข้ออ้างเท่านั้น ความจริงก็คือ คนเรามันมีอีโก้ เอาแต่ใจตัวเอง เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ดื้อรั้นจะเอาชนะให้ได้ก็แค่นั้นเอง

    เดี๋ยวทำออกมา ไม่ดี วุ่นวาย สับสน คนทำก็ต้องรับผิดชอบละครับ!
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสิ เน้นป้องกันมากกว่ารักษาให้ได้ก่อน

    วางระบบสุขภาพ ควรเน้นที่ดูแลสิ่งที่พลเมืองจะกินจะใช้
    เป็นหลัก อาหารที่ปนเปื้อนสารพิษอย่าปล่อยให้มีการซื้อขาย
    กันในตลาด
    อาหารหวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด
    ที่เป็นบ่อเกิดแห่งสาระพัดโรค
    สำรวจตรวจสอบด้วยระบบ
    ที่เข้มข้น โดยโยกงบประมาณการรักษามา
    ใช้ในการเฝ้าระวัง...ดูว่ารักพลเมืองดีกว่า
    ป่วยแล้วมีรถ มีเตียง มีห้องแอร์ มียาฝรั่ง
    บริการเพียบพร้อม
    ต้องโหวตขอมติว่าประชาชนจะเลือกแบบไหน
    ระหว่างควบคุมดูแลเอาใจใส่ก่อนจะป่วยไข้

    กับป่วยแล้วมีบริการเพียบ
    พร้อม ทั้งเวชภัณฑ์และแพทย์พยาบาลเอกชนก็มีให้เลือกมากมาย
    มันก็ประชาธิปไตยทั้ง 2 แนวทางนั่นแหละฮะ
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    การออกกฏหมายแบบนั่งร่าง นั่งยกมือกันในสภาทั้งวันยันตี 4 ถ้าจะไม่ใช่เสียแล้วล่ะ

    การออกกฏหมายมาใช้กับคน 65 ล้านคนโดย
    ใช้คนแค่ 500 กว่าคนนั่งหลับบ้าง ตื่นบ้างคอยยกมือ
    บ้าง โต้เถียงกันบ้าง
    โยนเก้าอี้สภาราคาแพงใส้กันบ้าง
    บางทีด่าพ่อล่อแม่กันก็บ่อย
    ดูท่าจะล้าสมัยไปแล้วแต่ยังขืนใช้อยู่
    นี่ประชาชนโง่ หรือพวก 500 เซ่อกันแน่

    เพราะทุกคนก็มองเห็นกันหมดว่าพัฒนาประเทศ
    แบบยั่งยืนไม่ได้
    แต่ก็ยังใช้วิธีการแบบเดิมๆ หรือคนไทยหมดปัญญาหาทางออกเพราะโดนฝังชิพ 55อิอิ
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หากคณะบุคคล 500 กว่าคนยังอยากจะทำหน้าที่ควรจะอย่างไรดี

    หาก ส.ส.และ สว.ยังอยากจะทำหน้าออกกฏหมายมาใช้กับคน 65 ล้านคนเพราะมองไม่เห็นช่องทางอื่นที่ดีกว่า
    ก็ทำไปเลย
    แต่ควรมีมาตรสุดท้ายกำหนดโทษไว้อย่างรุนแรง
    หากกฏหมายที่พากันรับรอง
    แต่เอามาใช้บังคับแลัวปัญหาด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นหรือ
    ประเทศไม่พัฒนาก้าวไปข้างหน้า ต้องติดคุกติดตารางกันบ้าง
    แต่ถ้าตรงกันข้ามประเทศพัฒนารุดหน้าไม่หยุดยั้ง
    ก็มีมาตราหนึ่งที่ ปูนความดีความชอบ
    และสิทธิพิเศษต่างๆ ให้แก่วงคผ์ตระกูลเดินหน้า ไป 3 ชั่วโคตรถอยหลังไป 3 ชั่วโคตร
    ถึงจะทำหน้าที่ด้วยวิจารณญาณจริงๆ และคุ้มเงินตอบแทน
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    หัวใจของ "อวตังสกสูตร" (หัวใจแห่งอิทัปปัจยตา)

    ความว่างกับความมี เป็นธรรมคู่ตรงข้ามกัน
    เมื่อความมีดับ ความว่างก็เกิด
    เมื่อความว่างดับ ความมีก็เกิด
    ท่านจึงว่า "รูปคือความว่าง ความว่างก็คือรูป"
    คือ ไม่ยึดติดทั้งรูปและความว่าง
    (ความมีและความว่าง)​

    หากท่านได้อ่านคัมภีร์อวตังสกสูตร อาจพบแต่เรื่องปัญญาของพระพุทธเจ้าอันเป็นอจิณไตย ไม่อาจอธิบายเปรียบเทียบกับอะไรได้ และปนๆ ด้วยแนวคิดสุญตาแบบปรัชญาปารมิตาสูตรครับ ทว่า หัวใจหลักของพระสูตรนี้ ไม่ได้อยู่ตรงนั้น บางครั้ง ผู้รจนาคัมภีร์ ท่านแค่รจนาขึ้นมาเพื่อให้ "ของที่ไม่มี" หรือ "หามาไม่ได้จริง" แต่มีอยู่ กล่าวอยู่ในตำนาน ได้มีจริงขึ้นมา ท่านหวังดีก็เลยแต่งขึ้นมาเองก็มีครับ เราอ่านตำรา อย่าไปหลงตำรามากเกินไป เพราะเราไม่รู้ว่าเบื้องหลังของตำรา มันมีความเป็นมาอย่างไร? อ่านแล้วก็ให้คิดว่าเป็น "อุบาย" ให้เราทำความดี หรือคลายความยึดมั่นอะไรก็ว่ากันไป

    หัวใจสำคัญของพระสูตรนี้แท้แล้วอยู่ที่ใด? หัวใจสำคัญอยู่ที่การแก้ไข อาการยึดความว่างเปล่ามากเกินไปจนสุดโต่ง หลังจากใช้ปรัชญาปารมิตาสูตรมานานๆ ถ้าเนื้อหาของพระสูตรนี้เหมือนกับของปรัชญาปารมิตาสูตรแล้วจะมีพระสูตรนี้ขึ้นมาทำไม? ถ้ายังกล่าวแต่มุมของความว่าง (สุญตา) แล้วจะต้องมีพระสูตรใหม่อีกทำไม? แต่เพราะหลังจากใช้อุบายของมหาสุญตาแล้ว คนกลับยึดติดมากไป ก็เลยต้องมีพระสูตรนี้มาแก้ นั่นเอง ชายสรุปด้วยคำว่า "ความบริบูรณ์พร้อมในธรรม" คำนี้ไม่มีในพระสูตรหรอกครับ ชายปิ๊งขึ้นมาได้เอง แต่อ้างอิงจากนาม "อวตังสกะ" ที่แปลว่า "พวงดอกไม้อันไม่มีที่สิ้นสุด" ได้ อย่างนี้ครับ พระสูตรนี้อุปมาเรื่อง "อิทัปปัจจยตา" เหมือนกับพวงดอกไม้ มีเหตุและผล ร้อยเรืื่องเชื่อมโยงต่อเนื่องกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ท่านมาแก้ให้เราเห็นสรรพสิ่งเป็นเพียงอิทัปปัจจยตา อิงกันเกิด เมื่อสิ่งเริ่มต้นไม่เที่ยง ก็พากันไม่เที่ยงไปทั้งหมด เหมือนพวงดอกไม้ต่อให้ยาวแค่ไหน ถ้าขาดเสียแล้ว ดอกไม้ที่ร้อยเรียง ก็กระจัดกระจาย สิ้นสภาพหมดไป ทว่า ท่านไม่ได้มองเป็นอุบายแบบความว่าง แต่มองเห็น "เหตุปัจจัย" มีเหตุ ย่อมมีผล ไม่ใช่ยึดแต่ว่างเปล่าอันเป็นอุบายในปรัชญาปารมิตาสูตรที่ไม่สนใจหลักอิทัปปัจจยตา

    พระสูตรมหายานหลายพระสูตร รจนาขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ของเดิมครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มหัศจรรย์ของพวงมาลาแห่งชีวิต ...


    ที่รัก มหัศจรรย์ของชีวิตนั้นอยู่เหนือคำบรรยายใดๆ ประกอบไปด้วยเหตุและผลอันร้อยเรียงกันดุจพวงมาลาอันไม่มีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุด ทว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นได้ด้วยการอิงอาศัยเหตุเกิด แลเหตุนั้นก็ไม่เที่ยงแท้ ไม่ใช่ตัวตนของตน เช่นนี้ ผลที่เกิดขึ้นทั้งหลายก็ไม่เที่ยงไปด้วย พวงมาลาแห่งเหตุและผลอันไม่มีที่สิ้นสุดนั้น จึงเป็นดั่งมายาการร้อยเรียงเป็นเรื่องราวของการเกิดและการดับไปแห่งสมมุติธรรมทั้งหลาย ที่หนุนเนื่องเชื่อมโยงกันไปเท่านั้นเอง ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ มิอาจยึดมั่นเหตุและผลหนึ่งใดเป็นตัวตนของตนได้เลย ทว่า ภายใต้ความมหัศจรรย์แห่งชีวิตเหล่านี้ล้วน "บริบูรณ์โดยธรรม" ในแก่นแท้ของมันเอง หากเพียงแต่เราได้เห็นแจ้งในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้แล้ว ย่อมเห็นแจ้งในสัจธรรมทั้งหมด ด้วยสัจธรรมทั้งหลายนั้นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งสิ้น แลอยู่เหนือสมมุติธรรม สมมุติบัญญัติ ศัพท์ภาษา และศาสนาใดๆ จะขังกรอบไว้ได้

    ที่รัก จงอย่าได้เตลิดไปสู่ "สิ่งหลอกล่อ" อื่นใดให้ยาวนานเกินไปนัก แต่จงค้นหาความมหัศจรรย์ของชีวิตที่ธรรมชาตินั้นได้จัดสรรมาให้ดีแล้ว บริบูรณ์พร้อมอยู่แล้วนั้น เพราะสิ่งหลอกล่อทั้งหลายนั้นเพียงแต่กระตุ้น "ความต้องการจอมปลอม" และ "ความสุขชั่วครู่" ให้แก่เราเพียงเท่านั้น มิอาจทำให้เราค้นพบ "ความปรารถนาที่แท้จริงและความสุขที่แท้จริง" ของเราได้เลย ที่รัก ภายใต้ความมหัศจรรย์ของชีวิตนั้น มีความสุขที่ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งหลอกล่อใดๆ ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดเลย เพราะเป็นความสุขที่เป็นปกติสุขโดยแท้ เกิดขึ้นโดยอิสระของมันเอง อยู่แล้วโดยบริบูรณ์ ความสุขที่เกิดขึ้นจากสิ่งหลอกล่ออื่นใดนั้น ก็เป็นเพียง "อุบาย" ให้เราได้ดำเนินไปสู่พวงมาลาแห่งเหตุและผลอันไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เพียงเพื่อจะได้เข้าใจจิตใจของสัตว์ทั้งหลาย เพียงเพื่อได้เรียนรู้ ลองผิด ลองถูก ขยายองค์คุณแห่งปัญญาธิคุณทั้งหลาย และเพียงเพื่อได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ขององค์คุณแห่งมหากรุณาธิคุณเพียงเท่านั้น ทว่า ภายใต้ความมหัศจรรย์ของชีวิตของเราเอง ทั้งหมดนี้ล้วน "บริบูรณ์โดยธรรม" อยู่แล้ว และย่อมจะปรากฏขึ้นโดยประจักษ์ ณ ปัจจุบัน เมื่อเราได้ตื่นแจ้งในสัจธรรมหนึ่งใด แลทั้งหมดนี้ ก็มิได้เป็นไปเพื่อการยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวตนของตนแต่อย่างใดเลย เป็นแต่เพียงเหตุและปัจจัยที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้นแลดับไปไม่จีรังยั่งยืนเพียงเท่านั้น

    ธรรมย่อมบริบูรณ์เช่นนี้ สมมุติธรรมใดๆ ก็มิเคยว่างเปล่าจากสัจธรรมเลย
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปชต. แบบ "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" ดีต่อรัฐอย่างแน่นอน!


    ปัญหาของหลายประเทศในทุกวันนี้คือ การแบกรับภาระในการดูแลประชาชนผ่านโครงการต่างๆ ทว่า ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ภายใต้แนวคิดปชต. แบบ "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" เพราะ ปชช. จะมาเป็นผู้รับผิดชอบ และดูแลประเทศของพวกเขาด้วยตัวของพวกเขาเอง จะไม่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่แบกรับภาระของประเทศไว้เพียงคนเดียวอีกต่อไป ระบบ "พระเอกคนเดียว-ฮีโร่คนเดียว" จะสิ้นไป เราจะทำงานเป็นทีม และทีมของเรามีทีมเดียวคือ "ประชาชนทั้งชาติ" ของเรา หากเข้าใจแนวคิด "โดยประชาชนเพื่อประชาชน" ก็จะทราบว่าแนวคิดนี้ ได้ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่รัฐต้องแบกรับภาระดูแลประชาชนไว้ในตัวอยู่แล้ว ซึ่ง "ระบบสวัสดิการ" นั้นทำไม่ได้ และหากใช้รัฐสวัสดิการเมื่อไร ก็จะเกิดปัญหาการแบกรับภาระของภาครัฐ การโอบอุ้มประชาชน และการทำให้ประชาชนอ่อนแอลงทันที ถึงแม้ว่าแนวคิดการจัดสรรสวัสดิการไปสู่ภาคประชาชนจะเป็นแนวคิดที่ดีก็ตาม แต่เราพบว่าในระยะยาวจะมีปัญหาแน่นอนเช่น บรูไน เองในปัจจุบันนี้ กำลังขาดแคลนน้ำมันและในอนาคตก็จะเกิดผลกระทบต่อรายได้ของรัฐ ซึ่งในหนุนสวัสดิการของรัฐอยู่แน่นอน

    แนวคิด "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" นอกจากจะเป็น ปชต. แล้ว ยังตอบโจทย์และแก้ปัญหาเหล่านั้นให้หมดไปได้ ฝึกประชาชนให้มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เป็นปัจเจกชน ไม่ต้องพึ่งพาระบบสังคมนิยม แต่เป็นระบอบ ปชต. ที่พึ่งพาภาคประชาชนด้วยตัวเอง ปชช. จะมีความเข้มแข็ง มีความภาคภูมิใจที่ได้ทำเพื่อชาติของพวกเขาเอง และไม่ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งในประเทศที่จะต้องลำบากเพียงคนเดียว เหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลใคลย้อยอยู่เพียงคนเดียวอีกต่อไป เพราะประชาชนทั้งประเทศจะกลายมาเป็นผู้ดูแลประเทศของเขาเอง จากภาระที่หนักอึ้งเพราะถูกแบกรับโดยภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว จะกลายเป็นเบามาก เพราะเมื่อคนทั้งประเทศได้ช่วยเหลือ ได้ช่วยกันแบกรับแล้ว จากที่หนักก็จะกลายเป็นเบาได้ เช่น โครงการประกันสุขภาพ อาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมากถึงหลักหมื่นล้าน แต่พอประชาชน 60 ล้านคนช่วยกันแบกรับภาระนี้ต่อไป ก็อาจกลายเป็นเบา แต่ละคนช่วยกันออกแค่หลัก 100 ก็สามารถพยุงโครงการให้รอดต่อไปได้แล้ว แต่หากให้รัฐแบกรับภาระอยู่ฝ่ายเดียว ก็อาจสร้างปัญหาให้แก่ระบบการเงินการคลังของรัฐได้ ใช่ไหมครับ นอกจากนี้ แนวคิด "โดยประชาชน เพื่อประชาชน" นั้นในทางปฏิบัติไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย หลายคนมักอ้างเหตุผลว่ายากบ้าง ทำไม่ได้บ้าง ต้องใช้แนวคิดอื่น ระบบอื่นไปก่อนบ้าง อันที่จริงแล้ว ระบบอื่น แนวคิดอื่นนั้น ยุ่งยากและซับซ้อนยิ่งกว่าครับ เช่น ระบบศักดินา เราจะต้องมาแบ่งแยกคนรวยกับคนชน แบ่งเป็นชนชั้น แล้วจัดการแต่ละชนชั้นแตกต่างกันไป แต่แบบ ปชต. นี้ เราเห็นทุกคนเท่าเทียมกันหมด จึงไม่ต้องแบ่งแยกชนชั้น และบริหารจัดการได้ง่ายกว่าครับ

    แนวคิดนี้จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชาติมากขึ้นครับ
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เป็นไปได้เมื่อถึงยุคนั้น
    " ยุคศรีอริยะ"
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ปรากฏการณ์เตะก้านคอหมอสังคมไม่ฮือฮา

    อาชีพแพทย์เป็นอาชีพอีนดับต้นๆที่พ่อแม่
    อยากให้ลูกเรียน...
    และเด็กเองก็ใฝ่ฝัน
    แต่ชม.นี้บุคคลากรด้านสุขภาพที่ต้องทำงานด้วยใจ
    เหนือกว่าเงิน
    กลับถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ทำมาค้าขาย
    ไม่ต่างจากพ่อค้าแม่ค้าอื่นๆ
    ต่างกันที่สินค้า
    นั้นเป็นเวชภัณฑ์และการบริการขั้นสูง

    ซึ่งคนไข้ที่มีฐานะก็ยินดีจ่ายแพงไม่อั้น ถ้าบริการ
    ถูกใจ
    แต่ถ้าไม่ก็ระวังก้านคอ....

    ลุงแมวว่าถ้าปล่อย
    ไปอย่างนี้คงไม่ไหวแน่
    คงลามไปอย่างกว้างขวางรวมไปถึง
    ครู อาจารย์ ตำรวจ ทหาร พระ เณรเถรชี
    ต้องมีความเสี่ยงโดนเตะก้านคอกันทุกตำแหน่งหน้าที่
    มิหนำซ้ำสังคมไม่แคร์แล้วยังมี
    เสียงเล็ดรอดออกมาเบาๆ
    อีกว่า "ก็สมแล้ว"ซะอีก

    ทางออกคือทุกอาชีพที่ถูกมองว่าเป็นอาชีพซื้อๆ ขายๆ
    ควรต้องหาทางป้องกันตนเอง
    หลังจากจบการศึกษามาแล้ว
    โดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล ควรเข้าค่ายมวย
    เพื่อฝึกวิชามวยไทยอย่างน้อย 6 เดือน
    ก่อนออกปฏิบัติการให้การรักษาคนไข้
    ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว 555
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    บ้านอื่นเมืองอื่นเขาเป็นกันหมดแล้ว ครึ่งโลก
    มีแต่ประเทศไทย เมื่อก่อนจะเป็นอยู่แล้ว

    กลับมาเดินถอยหลังลงคลองอีก ก็แค่นั้น
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกฯ ตรัสรู้ต่างกันอย่างไร?


    พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าล้วนตรัสรู้เองทั้งคู่ และเข้าถึงซึ่งสัจธรรมที่ไม่ต่างกัน ทว่า พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต่างกัน กล่าวคือ ก่อนตรัสรู้นั้นจิตของพระพุทธเจ้าอยู่ใน "โพธิยาน" คือ มีความเป็นพระโพธิสัตว์สมบูรณ์ ส่วนจิตของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น อยู่ในปัจเจกยาน ตรงนี้ต่างกันมาก สังเกตุอย่างไร? อย่างนี้ครับ ถ้าเป็นโพธิยานจะไม่บำเพ็ญเดี่ยวด้วยตัวเอง แต่มี "เจ้ากรรมนายเวร" เข้ามาร่วม เหมือนพระธิดาเมี่ยวซ่านที่ถูกปลดเป็นสามัญชนแล้วถูกกลั่นแกล้งให้ทำงานหนักเหมือนทาส ช่วงนี้จะเรียกว่า "บีฑาธรรม" เจ้ากรรมนายเวรจะเข้ามาบีฑาธรรมเรา ทำให้เราได้รับชำระวิบากที่ขัดขวางต่อการบรรลุธรรม เหมือนเราจะหลุดพ้นแล้ว เจ้าหนี้ก็ต้องมาทวงหนี้ใช่ไหมครับ? แต่ในพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจะไม่มี ไม่พบ เพราะไม่ยอมให้ใครล่วงเกินตนเองได้ ด้วยปัจเจกยานนั้นถือตัวว่าสูงส่ง สูงสุด ไม่สนใจใคร จึงมักพบว่าก่อนตรัสรู้มักหลบหายไปแต่ผู้เดียว เข้าป่าบ้าง อยู่ในถ้ำบ้าง ฯลฯ เจ้ากรรมนายเวรก็หาตัวไม่พบจึงไม่ผ่านการถูกบีฑาธรรม พระปัจเจกฯ บางองค์ก่อนตรัสรู้ได้ก็จะต้อง "ทรมานตัวเอง" ครับ เพราะไม่มีใครเข้ามาบีฑาธรรมให้ท่าน นั่นเอง (พระปัจเจกฯ ทำทุกขกริยา แต่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรมานตัวเอง แต่ถูกเจ้ากรรมนายเวรบีฑาธรรมจนใช้หนี้กรรมหมด)

    และในการตรัสรู้นั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านจะตรัสรู้โดยเช่ื่อมต่อธรรมถึงกันได้เรียกว่าสายธรรมต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไม่มีที่สิ้นสุดดุจสายน้ำที่ไหลลงสู่ทะเล พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านก็ต่อสายธรรมเชื่อมกับองค์ก่อนหน้า (องค์อดีต) ทำให้ทราบว่าองค์ก่อนหน้าได้มีกิจใดทำไปแล้วบ้าง สิ่งใดค้างคาอยู่บ้าง และสามารถสืบทอดต่อให้องค์ต่อไปที่จะตรัสรู้ในอนาคตได้ด้วยเช่น บางองค์ก็ให้พยากรณ์แก่พระนิตยโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้ลำดับถัดๆ ไป พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ใช่ปัจเจก ท่านจะต่อเนื่องเชื่อมโยงธรรมกันได้ ท่านจะทราบได้ว่าธรรมขององค์ก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร กิจที่ต้องทำต่อไปนั้นคืออะไร? และยิ่งกว่านั้นท่านจะทราบว่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนมีศักยภาพในการบรรลุพุทธสภาวะเฉกเช่นท่าน ไม่ต่างจากท่าน ไม่มีใครสูงหรือต่ำกว่าใคร และเมื่อตรัสรู้เป็นพุทธะแล้วก็จะเชื่อมต่อสายธรรมกันได้ทั้งหมด เป็นสายธารธรรมเดียวกัน "ไม่มีขาดสาย" เพราะถ้าขาดสายเมื่อไร ก็จะ "แตกแถว" และออกไปตามทางของตัวเองและกลายเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ไป อาทิเช่น ธรรมใบบัว ที่อุปมาดั่งน้ำกลิ้งบนใบบัวของพระกัสสปพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านก็จะทราบด้วยและทำให้ต่อเชื่อมธรรมกันได้ เพราะท่านได้สร้างบุญบารมีสะสมร่วมกันมาแต่อดีตชาติครับ

    ส่วนพระปัจเจกฯ นั้น ท่านจะหาสายธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ครับ
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่ใช่แค่นั้น
    อย่ามาพูดให้หลงผิดทาง เข้าแถวรอเดินเข้าคุกอยู่
    อีกเป็นหางว่าว...ไม่เห็นเหรอ
    คดีจำนำข้าวต้องเอาเงินมาคืนรัฐกี่แสนล้าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...