ขอค้าน หลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 27 กุมภาพันธ์ 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมรู้สึกว่า ทุกๆ ท่านไม่ยอมตอบในข้อที่ท่านตอบไม่ได้ แต่ ท่านกำลังจะย้อนคำถามกลับผม
    ข้อที่บอกว่า โอนบุญคือ การแผ่เมตตา แบบ แจงละเอียด ข้อนี้ ผมก็บอกได้ว่า การโอนบุญคือ อุทัจจะ แบบมีชั้นเชิง

    ทุกๆ ท่านที่จะแย้ง กรุณา ตอบคำถามผมก่อนเป็นข้อๆ ไม่ใช่ตั้งคำถามกลับ เพราะว่า ผมไม่ได้เป็นคนถูกกล่าวหา
    แต่ผมกำลังเป็นผู้ชี้แจง หากท่านไม่เห็นด้วย ก็ควรบอกว่า เพราะอะไร ไม่ใช่ตั้งคำถามกลับ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ดูประเด็นนะครับ
    ผมกล่าวหาว่า หลวงพ่อเกษม กำลังปฏิรูปธรรม ให้ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก และ พุทธพจน์ โดย ใช้ความคิดของตนเอง เป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาความจริงมาพูด ซึ่งก่อให้เกิดผลคือ พุทธศาสนิกชนมีความเข้าใจผิด และ สับสน

    ข้อที่ว่า นั้นคือ
    1 มีการโอนบุญกันได้
    2 สวดมนต์แล้วเบียดเบียนสัตว์
    3 น้ำมนต์เบียดเบียนสัตว์
    4 มีการจ้างเทวดาได้
    5 มีการแผ่เมตตาแล้ว ทำให้เรามีอุปสรรค
    6 กล่าวว่า ว่า ชินบัญชร เป็นคาถาที่ไม่ดี

    อีกหลายข้อที่ อุตริ แหวกแนว โดยให้เหตุผลที่ไม่ชัดเจน
    ข้อเหล่านี้ ผมถามว่า ทำไมจะต้องสอนแบบนี้ ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง ทำไมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย พูดตรงกันข้าม

    ข้อเหล่านี้ ท่านไม่ยอมตอบ ท่านออกมาพูดเฉไฉ เอาเหตุผล มาสนับสนุนตนเอง

    ตามธรรมดา แล้วเมื่อถุกกล่าวหา เราต้องชี้แจงก่อน ไม่ใช่ เอาเหตุผลใหม่ หรือ เรื่องใหม่เข้ามา มันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
     
  3. mw1958

    mw1958 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +302
    บางที่เราชาวธรรมะทั้งหลายต่างใช้ภาวะสมมติภาษาบัญญัติ
    แล้วบางทีเราพยายามไปเปรียบเทียบเทียบเคียงภาษาจิต ภาษานามธรรม
    นามธรรมกับภาษามนุษย์บัญญัติ อาจอธิบายได้ยากยิ่ง
    คำกล่าวที่ว่า ผู้มีบารมีน้อยขอบารมีกับผู้สำเร็จได้หรือไม่
    ท่านทั้งหลายเห็นว่าอย่างไร
     
  4. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ก็ถ้าคุณเชื่อว่าบุญมี เอามาให้ผมดูไม่ได้...แล้วคุณจะถามหาคำตอบอะไร
    ล่ะครับ....อย่างนี้เขาเรียกว่า...อะไรน้า..................
    ......................
    คุณเชื่อว่าบุญมี แล้วคุณเชื่อว่าแผ่ให้คนอื่นได้ แล้ว บุญมันจะเปลี่ยนเป็นอะไรได้บ้าง เปลี่ยนยังไง
    ......................
    คุณจะถามหา................อะไรครับ
    คุณขันธ์ผู้ฉลาดปราดเปรื่อง.......
     
  5. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คุณ ขันธ์ ครับ การจ้างเทวดาผมยกตัวอย่างไปแล้ว เข้าใจเหมือนผมใหมครับ..
     
  6. mw1958

    mw1958 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +302
    คำกล่าวของบุคคลคนที่1 คนที่2 ฟังมาแล้วเล่าสู่คนที่3
    จนถึงคนที่ 10 เป็นต้น
    ถ้อยคำของคนที่1 เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคนที่ 10
    ท่านทั้งหลายคิดว่า จะตรงกันทุกถ้อยความหรือไม่
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ข้อแรก วิชาโอนบุญ ผมถามว่า ในเมื่อแผ่เมตตา ก็คือ แผ่เมตตา ทำไมต้องใช้ศัพท์ใหม่ คือ โอนบุญ
    ทั้งๆ ที่ เรื่องของนามธรรม มันวัดด้วยปริมาณไม่ได้ ข้อนี้เจตนาคือ ต้องการสร้างความแหวกแนว อันเป็น ธรรมปฏิรูป

    ข้อสอง การจ้างเทวดา ผมถามว่า การอธิษฐาน บนบานศาลกล่าว มันก็มีอยู่ ข้อเหล่านี้เดิมที พุทธศาสนาก็ไม่เคยสอนให้แก้ปัญหาด้วยการบนบานศาลกล่าว มาคราวนี้หนักขึ้นไปอีก คือ มีการจ้างเทวดาได้

    ข้อนี้ เจตนาของ พระเกษม ต้องการให้เกิด ความศรัทธาในตัวเอง มากกว่าธรรม คือ ข้อเท็จจริง
     
  8. mw1958

    mw1958 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +302
    พุทธองค์ดับขันธ์นานสองพันกว่าปี ขอธรรมะข้อสงสัยของพุทธบริษัท
    ใครเฉลยได้ถูกต้องที่สุด
     
  9. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระคาถาชินบัญชร ผมก็ว่าดีมาก คาถาหนึ่ง แต่ พระคาถานี้เหมาะกับการ
    ทำศึก ไม่ว่าจะศึกสงครามภายนอก หรือศึกภายในที่สู้กับกิเลส

    มันเหมือนเราใส่เสื้อเกราะตลอดเวลา เทวดาที่เห็น บางคนอยากลองดี บางคนก็กลัว หลบลี้หนีหาย

    หลวงพ่อเกษมคงมีเมตตาต่อพวกหลบลี้หนีหาย และเมตตาต่อผู้สวมเกราะ
    กลัวมีเทวดาลองดี จึงบอกว่าไม่ควรสวดคาถานี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นคาถาที่
    เจตนาไม่ดี

    คน 70 % ท่องคาถาชินบัญชรเพื่อป้องกันผีและสิ่งไม่ดี และมีความถือตัวว่า
    มีคาถาดีเข้าไปในอาณาเขตของวิญญาน แล้วอวดดีท่องคาถาคุ้มกาย มันจึงวุ่น
    วายหาหมอผีกันอยู่ทุกวัน จึงมาเน้นเรื่องเมตตา การแผ่บุญให้มากกว่าการคุ้มกายด้วยคาถา

    เท่าที่รู้มาคนที่สวดพระคาถาชินบัญชรจะไม่ค่อยมีดวงถูกหวย แต่คนสวดบารมี
    จะมีดวงถูกหวยมากกว่า

    คนที่สวดชินบัญชรเดินมา จะมีรัศมีแบบหนึ่ง คนสวดบารมีก็จะมีรัศมีอีกแบบครับ เอาตามความเข้าใจนี่ล่ะครับไม่ต้องอิงบาลีให้ฟุ้งซ่าน.
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาแบบนี้ เดี๋ยวเอาไว้ค่อยมาต่อใหม่ สำหรับ คุณ จร
    และทุกท่าน ธรรมะ คือ ความจริง ที่พิสุจน์ได้ พูดออกมาแล้วเห็นจริง ตามนั้น แม้ ใครๆ ก็เห็นได้ ไม่ต้องมีตาทิพย์ก็เห็นได้
    แต่หากว่า ไม่ใช่ธรรม คือ ข้อความจริง ที่เห็นไม่ได้ ไม่มีกฎเหณฑ์และเหตุผล ใดๆ มาสนับสนุน
    เช่น พระคาถาชินบัญชร สวดแล้วจะโดนลองของบ้าง หรือ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้
    ข้อนี้ ไม่เป็นธรรม เพราะว่า แม้ไม่สวด มันก็ไม่ดีได้ หรือ โดนลองของได้ หรือ คนสวดที่ได้รับผลดีก้มีมากไป
    แต่ ที่เป็นธรรม คือ ผู้สวดจะระลึกถึง พุทธคุณ ซึ่งได้รับผลดีแต่อย่างเดียว

    ธรรม คือ สิ่งที่เป็นจริงเสมอ เป็นอกาลิโก ไม่ใช่ จริงบ้างไม่จริงบ้าง
    ถ้าหลวงพ่อเกษมกล่าวมาทั้งหมด เป็นธรรม มันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ตามที่ผมได้ชี้แจงไปหลายๆ ข้อ
     
  11. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    การอนุโมทนาบุญที่เขาทำไว้ดีแล้วกับการอุทิศส่วนกุศลไงครับ

    เมื่อมีผู้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึง แล้วเรากล่าวอนุโมทนาเราก็จะได้ส่วนแห่งบุญนั้นด้วย โดยบุญของผู้นั้นก็มิได้ลดลงเลย

    เสมือนการ ต่อเทียนให้กับผู้อื่น แสงเทียนของเราก็ไม่ได้สว่างลดลง
    มีแต่บริเวณนั้นจะสว่างเพื่มขึ้นจากแสงของเทียนที่เราเพิ่งต่อให้

    แต่บุญจากการอนุโมทนาก็จะส่งผลไม่เหมือนกับที่เราทำเอง
    คือเรามีส่วนแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของครับ

    บุญจากการทำทาน รักษาศีล และทำภาวนา
    เมื่อทำการอนุโมทนาหรืออุทิศบุญนั้นจะได้บุญในส่วนของการอนุโมทนาหรืออุทิศบุญ
    ซึ่งไม่เหมือนบุญจากทาน ศีล ภาวนาที่เราได้ทำไว้ครั้งแรกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2008
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ลมมีอยู่จริงไหม...มีจริง เอามาแสดงให้ดูหน่อยสิ ว่ามี ขนาด หน้าตา สัณฐานเป็นอย่างไร...ทำไม่ได้
    บุญก็เช่นกัน บุญเป็นนามธรรม คงไม่มีใครเอาออกมาแสดงให้ใครเห็นได้ แต่ชาวพุทธเชื่อว่า มีอยู่จริง

    การท้าให้เอาบุญมาแสดงให้ดู เป็นการแถแบบข้างๆคูๆ เพราะรู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้ ควรแลกเปลี่ยนให้ตรงประเด็น อย่าหลงประเด็นครับ
     
  13. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    คำว่า โอนบุญ เข้าใจกันเป็นสิ่งเดียวกับ การแผ่เมตตา

    ที่จริงความหมายต่างกันมาก

    การแผ่มเตตา เป็นฤทธิ์ทางใจ กล่าวคือ
    เราส่งความปราถนาดีไปสู่ผู้อื่น
    ผลที่ได้ทันตา คือ จิตใจเราอ่อนโยนขึ้น
    คนที่อยู่ใกล้ๆก็สามารถรับรู้ถึงความเย็นนั้นได้
    การแผ่ให้ศัตรูก็เหมือนกัน เราแผ่ไปโดยกุศลจิต ไม่คิดอาฆาต
    ส่งผลให้ตัวเราไม่ร้อนรน
    การแผ่เมตตา ยิ่งแผ่ยิ่งได้ นี่คือความเย็น

    การโอนบุญ โดยหลักคือการให้
    แต่การให้ในที่นี้ คือ อุปทาน
    บุญสร้างกันมา โอนกันง่ายๆ แล้วจะเหลืออะไรติดตัว
    การสอนแบบนี้ มันรักษาไม่ถูกโรค
    การบริจาคทาน เพื่อ ละโมหะ
    การเจิรญเมตตา เพื่อ ละโทสะ

    มิใช่ทำบุญกระเบื้องหลังคาวัด เปลี่ยนเป็น เจอเนื้อคู่ดี
    มันคนละเรื่อง

    โอนบุญให้เทวดา ยิ่งหนักเข้าใหญ่
    ส่งเสริมให้เอาอกเอาใจสิ่งที่มองไม่เห็น
    โอนให้เยอะ ยิ่งเยอะยิ่งดี ท่านจะได้เห็นใจเรา บันดาลให้เรา อย่างนี้ โง่
    เราทำดี ไม่ต้องไปโอนให้ใครหรอก สิ่งศักดิ์มีแต่จะโมทนาด้วย

    การโอน จึงเป็นของ ร้อน
    ไม่ได้ส่งเสริม ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
     
  14. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ก๊าซฮีเลี่ยมก๊าซออกซิเจนมีอยู่ในอากาศ เราสามารถหาปริมาณได้ครับ
    แต่เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะหามันอย่างถูกต้องเราก็จะหาได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2008
  15. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ความจริงผมเองไม่รู้จักหลวงพ่อเกษม แบบเคยพบกัน แต่ที่ต้องออกมาแก้ให้
    เพราะสงสารทั้ง หลวงพ่อ และคนที่ไม่รู้ เพื่อยืนยันว่าวิชานี้มีอยู่จริง การปฎิบัติแบบนี้ยังความสุขให้เกิดกับคนทั้งหลาย การแผ่เมตตาไม่มีประมาณ และแบบเจาะจง นั้นมีคุณประโยชน์ แต่ในหัวของผมนะครับ คิดว่า
    "หรือว่าคุณไปพบหลวงพ่อ แล้วท่านไม่ให้ความสำคัญกับคุณ คุณจึงมีอคติ กับการสอนของท่าน โดยมองเฉพาะเหตุ ไม่มองผล ก็เป็นได้"..
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    แม้พระอรหันต์เหมือนกัน ก็ใช่ว่าจะเห็นได้เหมือนกัน ถ้าไม่ดูมัน (สัตว์ลึกลับ)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->


    ถอดความบางตอนจากเทศน์หลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล วัดสามแยก จ.เพชรบูรณ์ ชุดแสดงธรรม ณ.วัดป่าสันติธรรม





    …อาจารย์อื่นทำไมไม่ทำเหมือนท่าน มีคำถามเกิดขึ้น บอกตรงๆ อาจารย์อื่นไม่เห็นตรงนี้..แล้วท่านหลุดพ้นมาได้ไหม..ท่านเหล่านั้นหลุดพ้นมาได้ แต่ไม่เห็นตรงนี้ เข้าใจไหม๊ อย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์แล้วจะเห็นทุกอย่างนะ เข้าใจไหม๊ เข้าใจไหม๊ เข้าใจไหม๊ทุกท่าน ไม่ใช่ผู้หลุดพ้นจะเห็นทุกๆอย่างนะ ถ้าท่านไม่พยายาม อาตมาเมื่อเห็นเป๊าะแป๊ะ เป๊าะแป๊ะ แล้วจะพยายาม จะพยายามแก้ไข..เห็นกิ้งก่า เคยเหยียบกิ้งก่าตาย ตัวใหญ่ๆเท่ารถไฟ ขาข้างหนึ่งใหญ่เท่ามนุษย์นี่ อยู่โน่น กำลังจะกินอาตมาอย่างเนี๊ยะ อย่างนั้นก็เสือกกระโหลกไปเห็นเขาน๊า…
    …เมื่อพรรษาที่สองได้รู้จักครูจารย์วี อาตมาก็ได้เดินทางไปจำพรรษาที่ภูจ้อก้อ ไปรู้จักเรื่องนี้อยู่บนภูลูกนั้น แต่ไม่ใช่ว่ามีครูบาอาจารย์บอกนะ มันเกิดว๊อบๆแวมๆ เวลาที่กำลังจะรื้อผ้า(ถลกผ้าสบง)ฉี่อย่างเนี๊ยะ ก็ไปเห็นน๊า เห็นไต่ลึ่มล่ำลึ่มล่ำ แล้วหัวเป็นคนก็มีน๊า ตัวเป็นคนก็มี หัวเป็นควาย แล้วตัวเป็นควายก็มี ขาเป็นคนอย่างงี้น๊า เดินอยู่..ก็หยุด ตรงนี้ฉี่ไม่ได้ พอถอยไปที่ใหม่ พอจะฉี่อีก ก็เห็นอีก พอไปที่ใหม่ ที่โล่งๆสะอาดๆอย่างนี้ พองัดออกมาจะฉี่อีก ก็เห็นอีก ..เอ๋า..แล้วกูจะฉี่ไหน..ทีนี้ก็เลยไปจับกระโถนขึ้นมา กำลังจะฉี่ในกระโถน ก็..ไต่อยู่ในกระโถนนั่นอีก วิ่งอยู่ในกระโถนนั่นอีก..เอ๋า..เอ๋า..ขนาดอยู่ในกระโถนก็มีเหรอ..หว่ะ..แล้วจะให้กูฉี่ตรงไหน..หว่ะ.. เอางี้ก็แล้วกัน “พวกเจ้าขยับหลีกไปทางไหนก็ได้ ขอให้รู้จักภาษานี้ด้วย จงหลีกออกไป จงหลีกออกไป (แล้วเคาะๆๆ) จะฉี่นะ”..หว่ะ..เฮ้ย..ตั้งแต่วันนั้นก็มานั่งนึกอยู่ ..คิ๊ดด..แล้วไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นเนี่ย มันจะไปเล่าให้ใครฟังห่ละ ใครจะเข้าใจ และจะมีผู้ใดเปิดและไขข้อข้องใจให้เราได้ สัตว์ประเภทนี้คืออะไร..นะ ..หลายวันนะถึงได้ไปกราบเรียนหลวงปู่หล้า “ปู่ครับ พวกผีตัวเล็กกๆ ตัวเท่าแมงเม่าเนี่ย ตัวเท่ากุ๊ดจี่ ตัวเท่าแมงจี่นูนเนี่ย มีไหม๊ แต่รูปพรรณสัณฐานนี่มีหัวเป็นต่างๆ มีขาเป็นต่างๆ มีตัวเป็นต่างๆ นะ” “มีสิ” ท่านว่า..นั่น!.ว๊าบ..เลยทีนี้พอท่านว่ามีสิ “โอ๊..แล้ววิธีจะทำให้เขาดีขึ้นกว่านั้นทำยังไง” “เอ้อ..เอาบุญให้เขา” ท่านสอนว่าแผ่เมตตาให้เขา และสอนว่าแผ่เมตตาอุทิศให้เขา อย่างนี้นะ ให้เข้าใจวิธีทำง่ายๆท่านว่า แผ่เมตตาและอุทิศให้เขา แล้วอาตมาก็ไปแผ่เมตตา นั่งแผ่เมตตากันอยู่อย่างงั้นแหละ ก็ไม่เห็นโคตรมันเปลี่ยนขึ้นน๊า ทีนี้ก็เลยคิดว่า..เอ..ต้องทำยังไง ถ้างั้นต้องหาของให้ทาน อุทิศผลมาให้แก่พวกนี้ พอเตือนไว้ปั๊บว่า “จะให้ทานแล้วอุทิศผลมาให้พวกเจ้านะ เราจะยกบุญทั้งหมดให้เลย” พอให้ทานปั๊บด้วยสิ่งของที่มันเกิดขึ้นเล็กๆน้อยๆน๊า ก็เอาให้พระให้เณรในวัดนั่น ก็คิดว่า “บุญนี้ให้ถึงแก่พวกที่เรามองเห็น” น๊า โดยไม่รู้จักว่ามันเป็นอะไรบ้างแหละ แต่ให้แก่พวกที่มองเห็นวันนั้น พอกลับมาวันใหม่ นะมันจะใหญ่กว่าเดิม ทีนี้ งูก็มีแต่ตัวใหญ่ๆ หมาก็มีแต่ตัวใหญ่ๆ อยู่รอบๆนั้น แต่มองไปมองมาก็หายวั๊บเข้าไปในเสาอย่างเนี๊ยะ มองไปมองมาก็หายวั๊บเข้าไปในต้นไม้ อย่างนี้น๊า มองไปมองมาก็หายวั๊บเข้าไปในหิน อย่างนี้น๊า ก็เลยถามดูว่า “เฮ๊ย ! ใช่พวกเดิมไหม๊” มันตอบออกมาว่า “ใช่” ถามในใจนะ แล้วก็ได้ยินขึ้นมาในใจว่า “ใช่” ก็เลยไปถามหลวงปู่หล้าใหม่นะว่า “ปู่ครับ เนี่ยไอ้ที่..เวลามันได้บุญ แล้วมันจะเปลี่ยนขึ้นไหม” ท่านบอกยังไงรู้ไหม๊ “เปลี่ยนบ่เปลี่ยนกะบ่ฮู้นำฮิแมมันแหล๋ว” (แปลว่า เปลี่ยนไม่เปลี่ยนก็ไม่รู้กับมันหรอก) เข้าใจไหม๊ “เปลี่ยนบ่เปลี่ยนกะบ่ฮู้นำฮิแมมันแหล๋ว เฮากะบ่ได้นำไปจอบเบิ่งผู้ได๋แหม” (แปลว่า เปลี่ยนไม่เปลี่ยนก็ไม่รู้กับมันหรอกเพราะไม่ได้ไปแอบดูใคร) ท่านว่าอย่างนั้น แล้วจะไปซักถามท่านต่อไปก็ไม่ควรสิทีนี้ ก็ต้องมาคิดเอง ทีนี้ ..แสดงว่าหลวงปู่ท่านไม่ได้ตรวจตรงนี้ จึงไม่เห็น..นะ..แต่ไม่ได้ดูถูกคุณพระอรหันต์ของท่านนะ ทราบแน่นอนจึงไปฝึกไปหัด ทราบแน่นอนจึงไปอยู่ใกล้ ทราบแน่นอนว่าวิเศษสุด เหมือนพระอรหันต์ครั้งพุทธกาลแน่นอน แต่ทำไมท่านจึงไม่เห็นตรงนี้ ก็ไปค้นดูในตำรา พอไปอ่านในมหาสมัยนะ “ภิกษุบางองค์เห็นเทวดา 10 องค์ ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาร้อย ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาพัน ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาสามพัน ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาเจ็ดพัน ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาเป็นหมื่น ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาเป็นแสน ภิกษุบางองค์เห็นเทวดาเป็นไม่มีประมาณ” เข้าใจไหม๊ เข้าใจไหม๊ ในนั้น ในมหาสมัยสูตร ประกาศไว้แบบนี้ แล้วพวกเราไปสวดมหาสมัยสูตรแต่ไม่ได้แปลก็ไม่รู้เรื่อง แต่เมื่ออ่านดูคำแปลแล้วหนะ ดูรู้กันต่างๆแบบนี้ “ภิกษุบางองค์เห็นแค่ 10” แนะ! โอ้โห..แสดงว่าองค์ที่เห็นแค่ 10 นี่ ท่านมีคุณงามความดี บารมีอันยิ่งใหญ่ แต่การตรวจดูของท่านไม่ได้มีอะไรมาก ไม่ได้ตรวจดูมาก จึงได้เห็นในวงจรเท่านั้น แล้วถ้าท่านเห็น 10 แล้วถ้าท่านเคลื่อนภูมิของท่านใหม่จ้องเข้าไปที่ใหม่อีก จะเห็นอีก กลุ่มอื่น แล้วก็เคลื่อนภูมิหนีจากความสงบในระดับนั้น เคลื่อนภูมิหนีจากความสงบต่างระดับ ต่างระดับ ทำจิตใจให้ไปต่างระดับ ต่างระดับ ถ้าเป็นภูมิ เป็นผี เป็นปีศาจ ก็ทำจิตใจให้มีโทษะ หรือเกิดขึ้นด้วยความหิวโหยอะไรซักอย่าง แล้วก็ลงไปสู่กระแสนั้นของเขา รับกระแสนั้นของเขา ให้กระแสนั้นเข้าสู่กระแสคิดเท่านั้นจะรับทราบผีชั้นต่ำได้ รับทราบผีชั้นสูงได้ แล้วเคลื่อนขึ้นมาเมื่อมีความเยือกเย็นสบายใจ ลดตัวเองลงไปแล้ว ก็เลื่อนขึ้นมาหาดูว่าความเป็นสุขเย็นใจนี้จะเกิดขึ้นแล้ว กระแสนี้จะเป็นไง เริ่มเย็นใจขึ้นมาจะเห็นเทวดาชั้นต่ำๆแล้ว พอเริ่มเห็นอย่างชัดเจนแล้วนี่ก็ตรวจสอบดูได้ ถามดูได้ ถ้าทำความสงบมากขึ้น ตรวจสอบออกไปจะเห็นเทวดาหลายๆชั้น..แต่ทีนี้..ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านบอกว่า “ขี้เกียจดูมัน” แล้วเราจะว่ายังไง
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  17. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    การดับทุกข์ ต้องทำแบบที่ท่านทำหรือ ทั้งๆ ที่ พระพุทธองค์ สอนไว้แล้วว่าหัวใจพระศาสนา คือ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ละอกุศลทั้งปวง และ ชำระจิตของตนให้ผ่องใส เราไม่จำเป็นต้องไปหาว่า ผีสางนางไม้จะเป็นอะไร
    เราคิดดีทำดี พอ[/quote]

    ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับคุณขันธ์ครับ
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อา...... อนุโมทนานี้ถูก เป็นกิจของสาธุชน

    แต่..... โอนบุญก็นะ ไม่เคยปรากฏ

    ถ้าทำบุญมาแล้ว เออพี่ไปทำบุญมา แล้วต้องเงียบ ต้องให้คนฟัง กล่าว
    อนุโมทนาเอง อย่างนี้คือ วิถีพุทธ คือ ไม่มีการยกให้เฉยๆ แม้แต่เทวดา
    เวลาเรานั่งปฏิบัติธรรม ก็รู้โดยทั่วกันอยู่แล้วว่า เทวดา เขาจะ อนุโมทนาทัน
    ที ไม่ต้องรอให้เราโอนบุญ เขาไม่ใช่ขอทาน เขาสามารถเห็นดีเห็นงามได้
    โดยไม่ต้องชี้

    ในบทแผ่เมตตา ตามพระสูตร ก็ไม่มีการกล่าวว่าให้ แผ่ตรงๆไปที่ใคร ห้ามด้วย
    ซ้ำ เว้นแต่จะได้แผ่ไปทุกสารทิศแล้ว ค่อยวกกลับมาแผ่เป็นรายบุคคล และแผ่
    กลับมาที่ตัว อันนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วตามพระสูตร นัยยะก็คือ ลดควาตระหนี่
    อยากได้ อยากทำบุญหวังกุศล อยากแผ่เมตตาเพื่อหวังผล ท่านจึงให้แผ่
    ออกไปให้กว้าง

    แต่นี่โอนบุญ มันออกราคะจริตไปหน่อย คือมี อหังการ และ มมังการ ครบ
    ไม่เป็นไปเพื่อการละการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เรา เขา ขนาดเข้าสู่การยก
    วิปัสสนาญาณ คือ การกระทำภาวนา กลับให้เริ่มด้วยการมีราคะจริตอีก นี่
    มันจะเป็นไปเพื่อการยก ญาณทัศนะ ได้อย่างไรละ


    คือ ศึกษาอย่างไรก็ไม่มีการชี้ไปเพื่อการละทุกข์ ออกแนวเทวดานุสติเสีย
    ส่วนใหญ่ จะบอกของใหม่หายไปร้อยปีก็ไม่ใช่ ก็มัน เทวดานุสติ ทั่วไปที่
    มีบรรยายอยู่แล้ว แต่ ถึงเป็นเทวดานุสติ นั้นก็เพื่อ หิริ โอตัปปะ ไม่ใช่เรื่อง
    โอนบุญอยู่ดี ท่านให้เห็นคุณของเทวดาแล้วทำตาม แล้วยกให้สูงกว่า ให้พ้น
    ไป ไม่ใช่เห็นคุณเป็นเทวดาแล้วให้อยากเป็นเห็นดีเห็นงาม

    อ่านบทความที่คุณขจรให้โหลด อ่านไปอ่านมา เหมือนกับของ ห้องภัยพิบัติ
    มีการยก ภพ มีการยก พุทธทำนาย แล้วกลับมีการกำกับว่า ห้ามลอกเลียนแบบ
    อ้าว ตกลงของวัดสามแยกเป็นต้นฉบับ แล้ว พลังจิต ไปลอกมาหรือ ก็ไม่ใช่
    เพราะเป็นบทแปล ก็มีคนแปลไว้เยอะแล้ว แต่ลงท้ายห้ามทำซ้ำ หรือเอาไป
    ขาย ก็แปลกอีก หวงในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน

    ไม่เอาละ ใครอยากได้กุศลก็ทำไป อยากไปบริจาคทานที่ธรรมกายก็ทำไป
    มันไม่ต่างกันเลย เราก็ขอยินดีกับสงฆ์ที่ชี้การยกวิปัสสนาญาณได้อย่างมี
    กุสโลบายที่ชัดเจน ดูบังเทิงใจกว่า ดูน่ายินดีกว่า

    และถ้า โอนบุญ หรือ การเอาแต่ แผ่เมตตา เป็นหลักใหญ่นี้ ดีอย่างว่า ก็เลิก
    ไปต่อว่า คุณใบไม้นอกกำมือ เสียด้วย เพราะปฏิปทาเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2008
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เห็นเทวดาเป็นร้อย ก็ไม่เท่า ชี้ให้เห็น พระนิพพาน

    จะเสียเวลาชี้เทวดาอยู่ทำไม

    มาชี้ นิพพาน กันเถิด
     
  20. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เราต้องเข้าใจว่า พระป่าไม่ได้ศึกษาตำรามาก่อน ปฎิบัติแบบไหนก็พูด
    ออกมาแบบนั้น ไม่ยกบาลีมาอ้างว่า ฉันปฎิบัติได้มาแบบนี้ ภาษาบาลีว่าแบบนี้
    เหมือนคนที่พูดไทยคำ-อังกฤษคำ เพื่ออวดตัวว่า ข้านี้เรียนสูง
    หลวงปู่ฝั้นอาจาโร เป็นลุงของผมแท้ๆ ยังสอนแค่ให้ดูเสียงที่หัวใจ มองมัน
    ดูมันอย่างเดียว ถามว่าเป็นกรรมฐานกองใด บาลีว่ายังไงท่านคงไม่รู้
    เพราะไม่เคยเห็นท่านพูด สอนทีไรก็มีแต่ให้ฟังเสียงในใจอยู่นั่นแหละ..

    ที่พูดมานั้น ต้องเข้าใจพื้นฐานของพระป่าด้วยนะครับ..
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...