ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

เราไม่ได้เลือกธรรมแต่ธรรมเป็นผู้เลือกเรา ในบางครั้งจึงต้องมีการทดสอบสภาวะต่างๆหลายๆอย่างเพื่อให้สามารถรองรับธรรมได้ ใครรับไม่ได้ก็ไป รับได้ก็ฟังต่อ
ในเมื่อเป็นธรรมแล้วทุกอย่างมีเหตุและผลในการแสดงเสมอ
ท่านดอกไม้มีแสงธรรมดีๆมาเสมอ ทำให้ต้นหญ้าอย่างผมเจริญงอกงามดีจริงๆครับ

 

ปกติ คุณทำครัวจะมีพลังธาตุไฟสะสมในร่างมาก
เพียงแต่ไม่อาจแผ่พลังธาตุไฟได้ดีเท่านั้น

หากใช้พลังธาตุไฟออกมา ก็อาจเป็นพลังทำลายที่ร้อนแรง

ดังนั้น ธรรมชาติอาจจัดสรรพลังตรงข้ามลงมาข่มคุมไว้ก่อน
เช่น พลังดวงมณีจันทรา ทว่า สิ่งนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติของเรา
เมื่อเราได้รับ "การปลุกให้ตื่น" พลังงานที่ถูกกดข่มไว้นั้น
ก็จะถูกเปิดออกมา ดวงมณีสุริยะ มีลักษณะอบอุ่น ไม่ใช่
เย็นเยือก และส่องแสงสว่างอ่อนๆ นุ่มนวล ไม่แข็งกร้าว
(ดวงมณีจันทราบางทีจะแข็งคล้ายๆ น้ำแข็งเย็นเยือก)

เช่น การแสดงธรรมของคุณ ก็อธิบายได้กระจ่างดีนะครับ

 

ขอบคุณครับท่านดอกไม้ ในหลายๆอย่างจริงๆ
เพราะธรรมของท่านได้สะกิดธรรมของผมหลายๆส่วนให้ตื่นไวขึ้นครับ สิ่งที่ผมตอบก็แค่พยายามสอบทวนธรรมกับท่านดอกไม้เท่านั้นเอง เพราะสิ่งที่ท่านกล่าวผมเชื่อใจว่ามีเหตุและผลของมันเสมอ (ขนาดธรรมเด็กแว้นผมยังเชื่อเลยว่ามันมี มันก็มีจริงๆ)
ปัจจุบันนี้ผมยังไม่สามารถรวมธาตุใจได้เลยครับท่านดอกไม้ ด้วยธรรมเดิมของผมนั้นแข็งเกินไปจนส่งผลถึงกายหยาบให้มีอาการเสียดหัวตลอดเวลา สิ่งที่ผมมีในตอนนี้ยังไม่สามารถน้อมเขากลับมาได้เลยครับ แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆเบาลงไปเยอะ
เพราะเมื่อก่อนเหมือนมีเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงตลอดเวลาเลยครับ และผมก็หวังว่าซักวันความรู้สึกผมจะส่งถึงเขาครับ
ผมคงหากระจกที่ส่องแล้วชัดเจนขนาดท่านคงหายากละครับ

 

เขียน ๒๒.๒๖

อ่านแล้วเหมือนโดนกระตุ้นเมมเก่าขึ้นมาเลยอ่ะ ความว่า
เคยอ่านบางท่าน ที่โดนบางท่านแวะมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย
แล้วหลังจากนั้น ข้อความก็เหมือนจะลึกล้ำขี้น
ดูเหมือนบังเอิญ แต่ก็เห็นได้มากขึ้นเรื่อย
จนสรุปได้ว่า คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เหมือนโดนเลือกให้มีลุ้นมารับ
โมเมว่าท่านดอกไม้ยืนยัน
ตามนี้ละกันนะ เนอะ


กระต่ายป่า ข้างวัด / จะมีใครรู้ไม๊เนี่ย ว่าใคร
.

 

ระบบพลังงานในตัวมนุษย์มีหลายชั้น


มีทั้งชั้นที่ใช่ และไม่ใช่ ชั้นพลังงานที่ใช่คือ พลังงานในส่วนธรรมเราจริงๆ
แต่ชั้นพลังงานที่ไม่ใช่คือ พลังงานในส่วนธรรมอื่นไม่ใช่ธรรมเราแต่เข้ามา
ทำหน้าที่บางอย่าง เช่น เข้ามากดข่ม ธรรมะ ธรรมชาติเดิมแท้ของเราก่อน
เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย เหมือนของขวัญถูกห่อหุ้มเอาไว้ ยังไม่ได้แกะ
ออกมา ผู้ชายบางคนมีพลังเทพที่ดุร้าย แต่ถูกพลังตรงกันข้ามกดข่มให้ทำ
ตัวเป็นกระเทย (พลังของปีศาจสาว) ก็มี เพราะเขาดุร้ายเกินไป มีพลังขั้น
เทพสูงเกินไป จนไม่เข้าใจปีศาจหรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวเอง จนต้องกด
ข่มพลังของเขาเอาไว้แบบนี้ก็มี บางคนมีพลังธาตุไฟแต่ถูกพลังเย็นกดข่ม
เอาไว้ก็มี การถูกกดข่มด้วยพลังตรงข้ามนั้น พลังที่กดข่มจะเป็นพลังอยู่ชั้น
นอกๆ และเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เมื่อถึงวาระที่จะเปิดเผยพลังที่แท้จริงออก
จะต้องดึงเอาพลังที่กดข่มออกมาก่อน ธรรมะธรรมชาติดั้งเดิมจึงปรากฏได้

ซึ่งคนไทยบ้านๆ จะเรียก "การกดข่มพลัง" กันว่า "การครอบขันธ์" นั่นเอง

 

ท่านดอกไม้การที่เรามีธาตุไฟรุนแรงอย่างที่ท่านดอกไม้กล่าว เกี่ยวที่ต้นตระกูลเราหรือเปล่าครับ ต้นตระกูลผมอยู่ในสาย sun ครับ
มันไม่เกี่ยวกับธาตุปีเกิดใช่ไหมครับเพราะผมเกิด ปีฉลู ราศีก็พฤษภ ดินล้วนๆ
การที่ปล่อยให้ธรรมทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่ฝืนมันก็คือการกลับคืนไปตามธรรมชาติของมันเองแบบนี้เหรอครับท่านดอกไม้

 

ก็เป็นไปได้ครับ

แต่การปล่อยไปตามธรรมชาตินี่ ไม่ใช่ไปตั้งเจตนาปล่อย
เพราะมันจะเป็นกรรมสืบชาติภพ ไม่จบไม่สิ้นเพราะปล่อยนี่ละ

ถ้าไปตั้งเจตนาปล่อย มันก็กลายเป็นการตั้งโปรแกรมจิตไปแทน

 

เขียน ๑๑.๑๖

ถ้าเจตนาปล่อยไม่ได้ ไม่เหมาะ
แล้วแบบ "ปล่อยปละละเลย" ล่ะครับ
ให้คล้อยตามสถานการณ์รอบข้าง ไหลไป
แต่ในมือ ก็กำ "อนัตตา" ไว้ให้มั่น ทุกลมหายใจ
อ่านสภาพแวดล้อมให้ขาด อย่าให้พลาดทุกข่าวสารใด


กระต่ายป่า แห่งสุริยะจักรวาล / ตัวเลขหนึ่งที่หายไป
.

 

อ่าครับอันนี้เข้าใจ การปล่อยให้มันเป็นไปคือปล่อยให้เขาแสดงออกมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แล้วเราจะใช้ธรรมตัวไหนก็ได้อบรมเขา หรือจะเฉยๆก็ได้ เราใช้ชีวิตแบบปรกติธรรมดาไปนี่ละครับ ธรรมที่ใช้บ่อยๆ คือดูหนัง ฟังเพลง เรื่อยเปื่อยเพื่อให้เขาแสดงออกมาครับ
แต่ท่านกล่าวแบบนี้ก็เข้าใจเลยว่าธรรมเรายังอ่อนรองรับเขายังไม่ได้ต้องค่อยเป็นค่อยไป
ขนาดทั้งชำระ ทั้งลงนรก เข้าหลุมดำหลายปี มารับธรรมจากท่านดอกไม้อีก เพื่อให้สภาวะเราสามารถรองรับเขาได้ไม่งั้นกายอาจจะรับไม่ไหว อาจจะเป็นแบบนี้แหละท่านดอกไม้

 

อันนี้ผมหมายถึง ตอนปฏิบัติธรรมหรือกำลังจะบรรลุธรรมนะ
ไม่ได้หมายถึงทุกขณะ จะต้องมีหรือไม่มีเจตนาไปตลอดครับ

 

เจตนาย่อมเกิดจากความคิด ถ้าไม่มีความคิดก็ไม่มีเหตุอะไรใช่ไหมครับ เพราะเราใช้แค่สัมผัสรู้ดูมันไม่มีความตั่งมั่นกับอะไร เหมือนการปล่อยปละละเลยที่ท่านกระต่ายบอกแต่ไม่มีเจตนากับอะไรเลย หรือง่ายๆก็ช่างหัวมัน อะไรแบบนั้น

 

เจตนาไม่ใช่ความคิด แต่ความคิดอาจทำให้เกิดเจตนาได้


เช่น มีคนคิดว่าเราควรทำความดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราเลยเจตนาทำดีตามความคิด
นั้นๆ นี่เรียกว่า เจตนาเกิดจากความคิด แต่บางครั้ง เราไม่ได้คิด ก็มีเจตนาแล้วก็
มีความคิดเข้ามาเป็นเหตุปัจจัยร่วมภายหลังเฉยๆ เช่น เราอาจเจตนาไปช่วยคน
แต่เราอาจมีความคิดมากมายเกิดขึ้นว่าจะช่วยเขาอย่างนั้น อย่างนี้ ฯลฯ เป็นต้น

เจตนากับความคิด สวนทางกันได้ เช่น เราเจตนาจะให้คนมายอมรับเรามากๆ ก็
เลยเกิดความคิดจะทำนั่นสร้างนี่ สร้างผลงานแข่งกับคนอื่น เพื่อให้คนมายอมรับ
เราเยอะๆ นี่เจตนาเรามีแค่อยากให้คนมายอมรับ แต่เราไปต่อความคิดเป็นอะไร
ได้เยอะแยะ ซึ่ง "คนเขาอาจไม่ได้คิดตรงกับเรา" ก็ได้ เพราะความคิดคนเรานี้
ต่างกันได้ ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา เพราะความคิดไม่ตรงกันนี่เอง

คนเราอาจขัดแย้งกันเพราะ "ความคิดต่างกัน" ก็ได้ แต่หากดูที่เจตนาแล้วก็อาจ
ตรงกัน เช่น เจตนาจะทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง แต่เพราะ "ต่างคนต่างก็
คิด" ไปคนละทางก็กลายเป็นความขัดแย้งเพราะความคิดต่างแต่เจตนาเดียวกัน


และคนเราอาจหลอกตัวเองว่ามีเจตนาดี ด้วย "การคิดว่าตัวเองเป็นคนดี" ก็ได้!

 

คนเราอาจหลอกตัวเองว่าเป็นคนดีได้
ทั้งๆที่่จริงๆแล้วไม่ใช่คนดี
คนดีดูที่การกระทำ..ไม่ใช่คำพูด
บางคนพูดร้ายแต่จิตใจโครตดี
บางคนพูดเพราะพูดจาหวานหยด
แต่จิตใจโครตโหดเหี้ยมแบบนี้มีเยอะ...
ปล.เจอกับตัวเองอยู่เลยพูดได้

 

เข้าใจมากขึ้นละครับ ความคิดเป็นภายนอก เจตนาเป็นภายใน
เจตนาเหมือนกันแต่ความคิดและวิธีการอาจแตกต่างกัน108
และความคิดอาจทำให้เกิดเจตนาได้ กลับมากลับไปนี่ละ
ทั้งหมดเสมือนฝันที่ห่อหุ้มเราไว้นี่เอง
เอ้า วนออกมาช่องนี้อีกละ มีแต่ทางออกแหะท่านดอกไม้ กลับเข้าไปฝันต่อกับท่านดอกไม้ดีกว่า ZzzzZZ

 

เทวสภาวะ VS โพธิสภาวะ


หลายคนสับสนเรื่องนี้มากครับ คือ คิดว่าคนที่มีเทวสภาวะเป็นคนที่มีโพธิสภาวะ เพราะคนที่มีเทวสภาวะจะมีฤทธิ์เดชเยอะ อุปมาเหมือนกับซุนหง๋อคง ก็มีฤทธิ์มาก แต่พระถังซัมจั๋งไม่มีฤทธิ์อะไรเลย นี่ปกติครับ เพราะธรรมะ ธรรมชาติของคนที่มีเทวสภาวะ จะมีฤทธิ์เดชเป็นเทพกึ่งมนุษย์อยู่แล้ว แต่คนที่มีโพธิสภาวะจะมี "บารมีธรรม" ครับ จะไม่มีฤทธิ์เดชอะไร เพราะหากมีฤทธิ์เดช ก็จะใช้ฤทธิ์เดชจนไม่บำเพ็ญบารมี และธรรมก็จะไม่เกิด ปกติแล้วคนที่มีเทวสภาวะกับคนที่มีโพธิสภาวะอาจไปด้วยกันได้เหมือนพระถังซัมจั๋งและซุนหง๋อคง ประมาณนี้ คนที่คิดจะบำเพ็ญให้ได้โพธิจิตจริงๆ จะไม่เอาฤทธิ์เดชอะไรมากนะครับ เพราะหากเอาฤทธิ์เดชแล้ว จะไม่ได้โพธิจิต แต่จะได้เทวสภาวะแทน ดังนั้น คนทรง, คนถ่ายทอดธรรม ฯลฯ ที่เป็นร่างทรง ม้าทรงที่มีฤทธิ์เดชทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่โพธิสภาวะครับ ส่วนบางคนที่ทำงานช่วยเหลือคนอื่นโดยไร้ตำแหน่ง เหมือนขี้ข้าต่ำต้อย เช่น ทำครัว, ทำ ความสะอาดในสถานธรรม มักจะได้โพธิสภาวะมากกว่าคนพวกแรก

หลายคนสับสน ก็จะไม่ชอบโพธิแท้ ไปชอบโพธิเทียมที่มีฤทธิ์แทน

 

อาจจะเป็นเพราะว่าโพธิ ต้องอดทนต้องใช้ปัญญามากในการแก้ไขปัญหาต่างๆหรือเปล่าครับเพราะใช้แต่ฤทธิ์มันก็ใช้แต่กำลังหักหาญกัน ก็เลยต้องบำเพ็ญบารมีไปเรื่อยๆ

 

ทำครัว-ทำสวน ฝึกวิทยายุทธ์อะไรได้บ้าง?


ทำครัว : สอนให้เราเข้าใจเรื่อง "ธาตุ" เล่นแร่แปรธาตุ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ เวลาอยู่หน้าเตาไฟ เราใส่ทั้งน้ำลงกะทะ ใส่ผักซึ่งเป็นธาตุดินลงกะทะ ผัดและขยับคือธาตุลม ผสมกันไป ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ฯลฯ ออกมาก็เห็นผลเลย เช่น เวลาชายมีธาตุไฟมาก อาหารจะออกมารสชาติแซ่บเผ็ดร้อน, เวลามีธาตุน้ำมาก จะออกมารสอ่อนๆ แต่สวยงาม ในการทำงานทุกอย่างจะต้องทำจนได้ "ใจ" หรือได้จากข้างใน (Inner) หรือที่เรียกว่าได้ sense ไม่ใช่ได้แต่สมองคิดหรือต้องดูข้อมูล การทำครัวก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้ sense คุณก็จะไม่ถึงศิลปะการทำครัว แต่ถ้าทำได้ คุณจะสำเร็จวิชา "เปลี่ยนเส้นเอ็น" ของวัดเส้าหลินครับ

ทำสวน : สอนให้เราเข้าใจเรื่อง "การเมืองการปกครอง" ต้นไม้ก็เป็นดั่งคนเรานี่ละครับ วางผิดตำแหน่งมันกลายเป็นปัญหาได้ เราต้องฝึกวางต้นไม้แต่ละต้นลงตำแหน่งที่เหมาะสม เขาก็จะยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงได้ไม่ต้องย้ายบ่อยๆ ต้นไม้แต่ละต้นมีความสัมพันธ์กันสามารถส่งเสริมกันได้ และมีหญ้าเป็นปรปักษ์คอยมารังควาน แต่บางครั้งเราก็ใช้ประโยชน์จากหญ้าได้เช่นกัน เมื่อเรา "ไม่คิดทำลายปรปักษ์" แต่คิดใช้ประโยชน์จากเขาให้ได้ เมื่อนั้นละ เราได้ sense of politic คุณก็จะสำเร็จวิชา "หัตถ์เทพยดา" ของสำนักสุสานโบราณ ซึ่งเป็นวิชาระดับมังกร หรือฮ่องเต้ฝึกกันเลยละครับ

ผมก็ฝึกวิทยายุทธ์, ฝึกจิต, ปฏิบัติธรรม จากการทำครัว, ทำสวน, กวาดลาน นี่ละครับ

 

ถ้าใช้ฤทธิ์แล้ว บารมี 10 ตัวก็จะไม่ได้ใช้
เหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าเราเล่นแต่
แขน ไม่เล่นขา ขาก็ไม่พัฒนาอะไรแบบนั้น

 

อ่อ พอเข้าใจครับเรื่องอาหารก็เป็นแบบนั้นละครับ ส่วนต้นไม้ไม่ได้ศึกษาในเชิงลึกส่วนใหญ่ก็รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยธรรมดา แต่ก็พอเข้าใจนะครับรู้สึกว่าควรทำอะไรยังกับต้นนี้จะ ขุดดิน ใช้ดินแบบไหนแต่ก็ไม่ชัดเจนครับ

 

~ คนชอบใช้ความคิดเป็นใหญ่ แต่ไม่อาจเป็นใหญ่ได้ด้วยความคิด ~


คนเลยต้องขัดแย้งกันเพราะ "ความคิด" อย่างที่เป็นอยู่
ต่างคนต่างคิด คนนั้นจะเอาอย่างนั้น คนนี้จะเอาอย่างนี้

คิดว่ามันดี อยากจะทำตามความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
สุดท้าย ก็กลายเป็น "เผด็จการทางความคิด" ในที่สุด

คนจะเป็นนักการเมืองการปกครองที่ดีได้ต้องไร้ความคิด
แต่ไม่ใช่คนสิ้นคิด, คิดอะไรไม่เป็น, ไม่รู้จักคิดหรือคิดโง่ๆ

เรียกว่า "รู้จักใช้สิ่งที่เหนือความคิด" ในการเมืองการปกครอง
เมื่อนั้น ใครก็ไม่อาจคาดคิดเท่าทันเราได้ เพราะมันไม่ใช่ความคิด

ความคิดของคนเรา อาจอ่านกันได้ เท่าทันกันได้ด้วยความคิด
แต่หาก "ไร้ความคิด, อยู่เหนือความคิด" แล้ว ใครจะคิดคาดถึง?

เช่นนี้ แม้แผนการณ์ทางการเมืองใดๆ ก็มิอาจมีผู้ใดคาดคิดถึงได้
แล้วจักหาผู้ใด มาแก้ มาตอบโต้ วิถีที่เหนือความคิด นี้ได้อีกเล่า?

แลเพราะเหตุนี้้้ ผู้ที่เก่งคิด จึงต้องอยู่ภายใต้ผู้ที่อยู่เหนือความคิด
และเป็นได้เพียงที่ปรึกษาหรือขุนนางเท่านั้น หาใช่ผู้นำที่แท้จริง ไม่

~ เพราะลิขิตฟ้าอยู่เหนือกว่าความคิดคน คนคิด มิเท่าฟ้าบัญชา ~